วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2557

Kiss Of Darkness บทที่สิบสาม ปลดผนึก -NC-

Kiss Of Darkness บทที่สิบสาม ปลดผนึก -NC-

“รีไว.....วางเราลงก่อนเถอะ เราเดินเองได้ ไม่ต้องให้อุ้มสักหน่อย”
“ก็แค่อยากจะอุ้ม อยากจะกอดให้หายคิดถึงไม่ได้รึไง” ถ้อยคำตรงไปตรงมาที่หาฟังได้ยากนักจากชายหนุ่มผู้นี้ทำให้เอเลนยิ้มกริ่ม
“คิดถึงเหมือนกัน” ตอบรับขณะที่ตวัดแขนโอบรอบลำคอของชายหนุ่ม
ร่างบางของเจ้าชายกำลังจะถูกวางลงบนที่นอนนุ่มแต่เอเลนกลับตวัดขากอดเอวรีไวไว้แน่น
“สกปรก.....อย่าให้เราไปทำให้ที่นอนสกปรกเลยนะ”
“ถ้าอย่างนั้นจะอาบน้ำให้” มือใหญ่บรรจงปลดอาภรณ์ที่เปรอะเปื้อนฝุ่นโคลนและคราบเลือดที่เกรอะกรังออกจากร่างเจ้าชายหนุ่มอย่างคล่องแคล่ว เอเลนถึงกับหลุดขำ
แลดูร้อนรนชอบกล
ผิวกายขาวเนียนเปล่าเปลือยยามสะท้อนต้องแสงเทียนที่สาดส่องเพียงวอมแวมแลดูละมุนละม่อม แม้แต่คราบเลือดสีแดงคล้ำที่แห้งกรังทิ้งรอยไว้ตามเรือนร่างขาวนวนก็ไม่ได้บดบังความงามให้ลดน้อยถอยลง เจ้าชายผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องราวกับหยาดน้ำค้างใต้แสงจันทร์ เคยงดงามอย่างไรก็ยังคงงดงามอยู่เช่นนั้น
งดงามจนรู้สึกอยากจะย้อมความบริสุทธิ์ผุดผ่องนั้นให้กลายเป็นสีดำด้วยคมเขี้ยวของตน……
มือใหญ่ลูบไล้ชโลมน้ำชำระล้างคราบสกปรกเกรอะกรังให้อย่างเบามือ ใบหน้าคมเข้มแลดูนิ่งสนิท เอเลนเงยหน้ามองใบหน้าสงบราบเรียบของชายหนุ่มนิ่งนาน
“คิดอะไรอยู่” มือเรียวชุ่มน้ำลากไล้ปลายคางสากของชายหนุ่มอย่างหยอกล้อ
“กำลังคิดว่าจะทำยังไงให้เจ็บน้อยที่สุด”
“เจ็บก็เจ็บสิ......แต่เราเชื่อนะว่ามันไม่ใช่แค่เจ็บอย่างเดียวน่ะ........ใช่รึเปล่า” เสียงหวานกระซิบหยอกอย่างยั่วเย้า
เรื่องยั่วน่ะ ถนัดนักนะ!!!!
“มาดูกันเถอะ”
ตวัดผ้าผืนนุ่มโอบร่างที่พราวไปด้วยหยดน้ำวางลงบนเตียงกว้าง นัยน์ตาสีรัตติกาลมองสบนัยน์ตาสีเขียวกระจ่างในระยะประชิด สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่รินรดใบหน้า ชั่วขณะหนึ่งอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าร่างกายที่แผ่สัมผัสไออุ่น ลมหายใจร้อนผ่าวที่บ่งบอกถึงการมีชีวิตนี้จะไม่ดีกว่าหรือ
“อย่า.....รีไว.....ได้โปรดอย่าได้เปลี่ยนใจ” เอเลนตัดพ้อเสียงแผ่วมองสบนัยน์ตาสีเข้มอย่างเว้าวอน
“ทำไมถึงคิดว่าฉันจะเปลี่ยนใจ”
“อย่ามองเราด้วยสายตารวนเรเช่นนั้น นี่เป็นสิ่งที่เราเลือก เป็นความสมัครใจของเราทั้งหมด”
ชายหนุ่มก้มหน้าซุกซบอยู่กับซอกคอขาวเนียนสูดกลิ่นหอมหวานยั่วยวนสัญชาตญาณดิบในกายนิ่งนาน
“แค่รู้สึกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็น่าจะดีอยู่แล้วก็เท่านั้น” รู้สึกไม่อยากให้เอเลนที่มีชีวิต......ต้องหายไป
“นี่ไม่ใช่จุดจบ.......แต่มันคือการเริ่มต้น” เอเลนยิ้มให้ความมั่นใจกับชายหนุ่ม
“การเริ่มต้นของเราสองคน จากนี้ไปจนนิรันดร์”
กดจูบบดคลึงกลีบปากบางช่างจ้อแผ่วเบา
“ด้วยเลือด คมเขี้ยว และวิญญา.......นับจากนี้ไปจนนิรันดร์”
นัยน์ตาสีรัตติกาลทอประกายวาวโรจน์แดงฉาน คมเขี้ยวขาวงอกยาวโผล่พ้นริมฝีปากได้รูป ผิวกายขาวผ่องเย็นเยียบราวกับหินสลักทอประกายสะท้อนแสงเทียนที่วูบไหว มวลอากาศในคุกใต้ดินเย็นลงอย่างฉับพลัน ขณะที่ก้มลงประทับริมฝีปากดูดดึงผิวเนื้อนุ่มเบาๆ
มือเรียวกอดกระชับลูบไล้แผ่นหลังเย็นเฉียบที่คุ้นเคย เอเลนทอดสายตามองเพดานที่สะท้อนเงาร่างของชายหนุ่มที่โก้งโค้งอยู่เหนือร่างของตนด้วยรอยยิ้มพึงใจพึมพำเสียงแผ่ว
“เป็นหนึ่งเดียวกัน ไปจนนิรันดร์”
ความรู้สึกปวดแปลบแล่นริ้วออกมาจากซอกคอที่ถูกจู่โจมด้วยคมเขี้ยวแห่งรัตติกาล เลือดในกายเดือดพล่านราวกับกำลังถูกหลอมละลายด้วยเปลวเพลิง
“................” ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะกรีดร้อง พละกำลังและความนึกรู้กำลังถูกฉกชิงออกไปจากร่าง เรือนกายขาวเนียนเกร็งสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่

รู้ดีว่าเจ็บแค่ไหน รู้ดีว่าทรมานอย่างไร แต่ไม่อาจหยุดยั้งได้อีกแล้ว กลิ่นกายนี้ เลือดนี้ กำลังมอมเมาปลุกสัญชาตญาณนักล่าในกายให้ตื่นขึ้นเต็มตัว
ความรู้สึกปวดแปลบแสบร้อนราวกับตกอยู่ในกองเพลิงที่แผดเผาค่อยทุเลาลง กลับเป็นอารมณ์หวามไหวที่ถูกส่งผ่านจากส่วนกลางของร่างกายที่ทบทวีขึ้น
เสียงหวานส่งเสียงครวญครางแผ่วเครือ ร่างบางบดเบียดเสียดสีกายเข้ากับชายหนุ่มอย่างออดอ้อน
“......รีไว.....แรง.......กว่านี้......อีก.....”
มือเรียวกดกระชับศีรษะของชายหนุ่มแนบชิดเข้ากับลำคอ เลือดสีเข้มไหลทะลักเอ่อท้นริมฝีปากหยักรินไหลลงเป็นทางตามแผ่นอกเนียน เจ้าชายหนุ่มเผลอหวีดเสียงร้องยามเมื่อองครักษ์คู่ใจถอนคมเขี้ยวออก ลิ้นชื้นตวัดโลมเลียไล่เรื่อยมาตามรอยเลือดจนถึงแผ่นอกเนียน กดจูบบดคลึงสร้างรอยสีกุหลาบลงบนแผ่นอกบางก่อนจะตวัดลิ้นโลมไล้ยอดถันสีงามที่กำลังชูชันอย่างหิวกระหาย แผ่นหลังบางแอ่นโค้งด้วยความรัญจวนใจยามเมื่อถูกกลั่นแกล้งด้วยลิ้นร้อนๆ มือเรียวสอดไล้ผ่านกางเกงเนื้อหนาลูบไล้ส่วนกลางของร่างกายที่กำลังตื่นตัวของชายหนุ่มเบาๆ
“ขออีก.....กัดอีก”
ลูบไล้ท่อนเนื้อที่เริ่มขยายใหญ่และแข็งขืนขึ้นเบาๆขณะที่กระซิบอย่างออดอ้อน ลิ้นชื้นที่กำลังหยอกเย้ายอดปทุมถันนุ่มถึงกับสะดุด รีไวส่งเสียงคำรามในลำคอ ดวงตาวาวโรจน์ด้วยอารมณ์แห่งตัณหาและราคะ กดคมเขี้ยวฝังลงบนยอดถันนุ่มดูดลิ้มชิมเลือดและบดคลึงหยอกเย้าไปในคราวเดียวกัน เจ้าชายหนุ่มถึงกับส่งเสียงครางไม่เป็นศัพท์ มือใหญ่ยื่นไปปรนเปรอส่วนกลางของร่างกายเจ้าชายหนุ่มที่กำลังไหวระริก หยาดน้ำสีขาวขุ่นไหลปริ่มจ่อออกมาจากส่วนปลาย มือใหญ่ชักนำรูดรั้งเสียจนร่างบางถึงที่สุดแห่งอารมณ์ คราบน้ำสีขุ่นล้นทะลักออกมาจนเปรอะเปื้อนไปถึงโคนขาเนียน
เอเลนหอบหายใจสะท้านปรือตามองชายหนุ่มที่แทรกกายเข้ามาอยู่กลางหว่างขาเอ่ยถามเสียงแผ่ว
“พอ.......แล้วหรือ”
มือใหญ่ลูบไล้เรียวขายาวแล้วยกพาดขึ้นบนบ่า บดคลึงฟอนเฟ้นสะโพกนุ่มอย่างหมั่นเขี้ยว รีไวก้มลงจุมพิตคนที่กำลังเบลอพิษรักเบาๆขณะที่กระซิบข้างหู
“กำลังจะกินจริงๆแล้วต่างหาก”
ก่อนที่เอเลนจะทันได้หวีดร้องยามเมื่อรู้สึกถึงสิ่งที่กำลังรุกรานเข้ามายังช่องทางด้านหลัง กลีบปากหยักก็โฉบลงมาบดคลึงดูดกลืนเสียงอุทธรณ์นั้นจนหายไปสิ้น
“ไม่เป็นไร แค่ทำให้ชินไม่ต้องตกใจ” กระซิบบอกเสียงพร่าขณะที่นิ้วยาวได้นวดวนบดคลึงช่องทางที่กำลังตอดรัดเบาๆ
“ไม่เป็นไร......ไม่เป็นไร” จูบขมับชื้นเหงื่อพร่ำกระซิบปลอบประโลมไม่หยุด ยามเมื่อชายหนุ่มพยายามแทรกกายผ่านช่องทางที่กำลังเต้นตุบและรัดรึงเพื่อหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน มือเรียวจิกผ้าปูที่นอนขาวที่เลอะเกรอะกรังไปด้วยคราบเลือดจากร่างของตนไว้แน่น เอเลนพยายามสูดหายใจลึกผ่อนกายเพื่อเปิดรับชายคนรักอย่างเต็มที่ ยามเมื่อเสือกกายเข้าไปจนสุดชายหนุ่มถึงกับนิ่งงัน ภายในร่างกายที่มีชีวิตช่างอบอุ่นและร้อนผ่าว ความร้อนที่ถูกส่งผ่านมาจากช่องทางที่ตอดรัดแทบจะทำให้เขาหลอมละลายกลายเป็นจุดเดือด
“เราไม่เป็นไร.......รีไว......ไม่ต้องทนเพื่อเราอีกแล้ว.....เราไม่เป็นไรจริงๆ” เอเลนยื่นมือไปโอบไหล่ของชายหนุ่มแล้วกอดไว้แน่นซบหน้าลงบนไหล่กว้างพึมพำเสียงสั่น
“ไม่ต้องอดทน.....เพื่อเราอีกแล้ว”
แม้จะอยากทะนุถนอม อยากจะอ่อนโยนกับร่างบอบบางนี้แค่ไหน แต่สัญชาตญาณที่ถูกปลุกเร้ากำลังกลืนกินทุกสิ่ง ส่งลิ้นโลมไล้จุดชีพจรบนซอกคอเบาๆก่อนจะขบกัดลงไปจนจมเขี้ยวส่งผ่านคำสาปแห่งรัตติกาลให้วิ่งพล่านไหลเวียนไปทั่วทั้งเรือนกายบาง เอเลนส่งเสียงหวีดร้องยามเมื่อชายหนุ่มโถมกายเข้าใส่ชำแรกแทรกลึกไปสู่ที่สุดแห่งอารมณ์ ช่องทางเบื้องหลังถูกกระตุ้นเร่งเร้าอย่างหนักหน่วงขณะที่เลือดในกายกำลังถูกกลืนกินออกไปทีละน้อย ชายผู้นี้แผดเผาเลือดในกายของเขาให้เดือดพล่านแล้วหลอมละลายเรือนร่างจนแทบจะกลายเป็นคนเดียวกัน อารมณ์หวามไหวพุ่งทะยานสูงขึ้นจวบจนที่สุดแห่งอารมณ์เจ้าชายหนุ่มผู้ด้อยประสบการณ์ปลดปล่อยออกมาอีกครั้งในขณะที่ชายหนุ่มเองก็ได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งคำสาปเข้าไปยังช่องทางที่กำลังกระตุกถี่อย่างท่วมท้น ปีกสีดำแผ่สยายปลิวว่อนทั่วทั้งคุกใต้ดินขณะที่รีไวหอบหายใจสะท้านโอบกอดเจ้าชายหนุ่มในอ้อมกอดไว้แน่น เอเลนเงยหน้าจ้องมองความงามของขนปีกที่กำลังโปรยปรายพร่างพรายไปทั่วทั้งห้อง ขนปีกอ่อนนุ่มที่ไล้สัมผัสผิวกายเปล่าทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ปีกสีดำสนิทที่แสนจะงดงามแต่ชายหนุ่มที่เรือนกายส่องประกายเรื่อเรืองท่ามกลางพายุปีกที่กำลังพร่างพรมนี้กลับงดงามยิ่งกว่า......
ชายหนุ่มผู้เป็นจ้าวแห่งรัตติกาล
มือทั้งสองสอดประสานเกาะกุมกันไว้มั่น นัยน์ตาคู่งามสบประสานจ้องมองซึ่งกันและกัน เอ่ยถ้อยคำสัตย์สาบานที่มีเพียงสองคนได้รับรู้อย่างพร้อมเพรียงกัน
“เคียงคู่........ชั่วนิจนิรันดร์”

ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่รู้ว่าผ่านไปกี่ชั่วยามในเมื่อคุกใต้ดินนี้มันมืดสนิทตลอดเวลา เอเลนขยับกายพลิกตัวออกจากอ้อมแขนที่กำลังโอบกอดไว้ช้าๆรีไวยังคงหลับสนิทร่างกายเปลือยเปล่ามีเพียงผ้าห่มปิดไว้อย่างหมิ่นเหม่ในขณะที่ตัวเขากลับถูกห่อคลุมไปด้วยผ้าห่มแทบจะทั้งผืน เอเลนจ้องมองใบหน้าที่กำลังหลับสนิทของชายหนุ่มอยู่เงียบๆ
ไม่ได้หลับแบบนี้มานานแค่ไหนกันแล้วนะ....ร้อยปี...พันปี....หรือหมื่นปีมาแล้วกันแน่.......
ค่อยๆลุกขึ้นจากเตียงช้าๆ ร่างกายรู้สึกเจ็บร้าวราวกับจะหลุดออกเป็นชิ้นๆ อาการปวดหนึบที่ช่วงล่างทำให้แม้แต่ลุกยืนยังขาสั่น กระชับผ้าห่มห่อกายแล้วเดินไปหากระจกเงาบานใหญ่เงียบๆ
ภาพสะท้อนชายหนุ่มร่างบางที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง ร่างกายปรากฏร่องรอยสีกุหลาบประปรายกระจายเป็นจุดๆ คราบเลือดแห้งกรังติดไปทั้งลำคอและแผงอก รอยเขี้ยวยังปรากฏเด่นชัดที่ซอกคอและยอดอกข้างซ้าย....ภาพที่เห็นมันชวนให้น่าอายอยู่ไม่น้อย แต่ความรู้สึกประหลาดใจมันมีมากกว่า
“ทำไมยังมองเห็นเงาอยู่ล่ะ......ก็ถูกกัดไปแล้วนี่นา” จำได้ว่าพวกรีไวไม่เคยมีเงาสะท้อนในกระจกแล้วทำไมเงาของเขาถึงยังมีอยู่ล่ะ
“เป็นมนุษย์มันก็ต้องมีเงาไม่ใช่รึไง” รีไวที่เพิ่งจะงัวเงียขึ้นมาจากที่นอนเดินแก้ผ้าโทงๆมาโอบเอวบางของเอเลนให้มองกระจกด้วยกัน แต่ภาพที่สะท้อนกลับมามีเพียงภาพของเอเลนเท่านั้น ใบหน้าขาวใสเริ่มซึมเศร้าอย่างเห็นได้ชัด
“ก็กัดเราแล้วนี่” เจ้าตัวเอ่ยเสียงอ่อย รีไวโอบแขนกอดร่างบางเอาไว้ในอ้อมกอดกระซิบปลอบเบาๆ
“ถ้าแค่กัดแล้วทำให้เป็นแวมไพร์ได้ ป่านนี้แวมไพร์คงล้นโลกไปแล้ว มันยังมีขั้นตอนสุดท้ายอยู่อีก”
“ก็แล้วทำไมไม่ทำให้เสร็จล่ะ”
“ยังก่อน......”
“จะรอไปถึงเมื่อไหร่ เราก็บอกแล้วว่าให้ทำๆ ยังจะกั๊กไว้อีก”
“ทำแน่......ไว้ขึ้นเป็นราชาได้เมื่อไหร่จะทำให้ทันที เพราะฉะนั้น ตั้งใจสู้ให้มากกว่านี้ถ้าทำสำเร็จจะให้เป็นรางวัล” เอเลนอยากจะหันไปว้ากใส่เหลือเกินว่าขี้โกง......ลองเล่นไม้นี้ก็มีทางเดียวเท่านั้นคือต้องชนะเสด็จพ่อให้ได้ ถึงจะไม่อยากทำสักเท่าไหร่ก็เถอะ
“แต่ตอนนี้ขอกินก่อนเพราะยังไม่อิ่ม” ว่าพลางรวบร่างบางขึ้นอุ้มเดินกลับไปที่เตียงอีกครั้ง เอเลนโอดครวญเสียงเบา
“เราจะยืนไม่ไหวอยู่แล้วนะ”

“ก็ไม่ได้ให้ยืน นอนไปนั่นล่ะ หรือจะคุกเข่าแทนก็ได้นะ......ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ยากๆกว่านี้ก็ไม่เกี่ยง”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น