วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2557

{Attack On Titan:Levi x Eren } Kill me - Kiss me.-11:

{Attack On Titan:Levi x Eren } Kill me - Kiss me.-11:
Chapter 11


“นี่คือเบอร์โทรศัพท์ของผม ถ้ามีเรื่องอะไรเร่งด่วน คุณสามารถติดต่อผมได้ทันทีตลอดเวลา” หลังจากที่ท่องจำหมายเลขเหล่านั้นได้ขึ้นใจ เอเลนก็จัดการฉีกกระดาษเป็นชิ้นเล็กๆและกดทิ้งลงชักโครก ก่อนจะกลับออกจากห้องน้ำและพบว่ามีใครอีกคนอยู่ในห้อง
“ตื่นแล้วหรือครับ ผมคิดว่าคุณจะยังหลับอยู่เสียอีก”
ชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม คนๆนี้รู้สึกว่าจะชื่อ เบลทรูท ฮูเบอร์สินะ มือขวาของรีไว แอคเคอร์แมน
“เชิญทางนี้ครับ นานาบะบอกว่าอยากจะมาเยี่ยมคุณแต่ยังถูกคุณรีไวกักตัวไว้อยู่เลยฝากผมมาแทน” เบลทรูทกล่าวขณะที่จูงมือเอเลนให้นั่งลงบนโซฟาที่มีขนมเค้กชิ้นเล็กตัดแบ่งใส่จานไว้รออย่างเรียบร้อย
“เห็นคุณฮันซี่บอกว่าให้คุณเริ่มทานอาหารอ่อนได้ คิดว่าซอฟท์เค้กนี่ก็คงจะอ่อนพอนะครับ” กล่าวพร้อมกับลากเก้าอี้มานั่งใกล้ๆรินน้ำส้มคั้นใส่แก้วให้อย่างเอาใจใส่ เอเลนมองชายหนุ่มแปลกหน้าผู้นี้เงียบๆก่อนจะเริ่มลงมือจัดการเค้กชิ้นเล็กนั้นด้วยความสงสัยว่า นานาบะคือใคร ในเมื่อแจนไม่ได้พูดถึงคนผู้นี้เอาไว้เลย
“อร่อยมั้ยครับ” เสียงทุ้มเอ่ยถามพร้อมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน เอเลนพยักหน้ารับด้วยความที่ไม่ระวังแก้มเนียนจึงบังเอิญไปชนกับช้อนที่ถือค้างไว้ ซอฟท์ครีมสีขาวจึงเปื้อนติดอยู่บนแก้มใสเข้าเต็มๆ
“เลอะเทอะหมดแล้วนะครับ” เบลทรูทเอ่ยขำๆก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกับไล้เลียซอฟท์ครีมที่ติดอยู่บนแก้มเนียนให้จนเกลี้ยงเกลา ด้วยความตกใจเอเลนถึงกับทำช้อนหล่นลงพื้น
ผู้ชายคนนี้ทำไมถึงได้...............
“เดี๋ยวผมจะเอาคันใหม่มาให้นะครับ” กล่าวพร้อมกับเก็บช้อนที่ร่วงกลับไปแล้วหยิบคันใหม่ออกมาให้แทน เอเลนได้แต่นั่งนิ่งจ้องมองชายหนุ่มเงียบๆ
“เป็นอะไรครับ มองหน้าผมแบบนี้มีอะไรติดอยู่รึเปล่า” ชายหนุ่มร่างบางไม่ได้กล่าวตอบอะไร แต่กลับขยับกายเข้าไปใกล้ เอเลนลุกขึ้นไปนั่งตักของชายหนุ่มอย่างถือวิสาสะ แขนเรียวยกคล้องคอชายหนุ่มร่างสูงไว้พลางจ้องนิ่งเข้าไปในดวงตาของเขา ในทีแรกเบลทรูทดูประหลาดใจแต่เพียงไม่นานวงแขนใหญ่ก็รวบกอดเอวบางของร่างที่นั่งอยู่บนตักของตนเอาไว้แทน
“เป็นอะไรไปครับ ถ้าอยากจะอ้อนล่ะก็ บอกไว้ก่อนนะครับว่าวันนี้เจ้านายคงไม่เลิกงานง่ายๆอาจจะไม่ได้แวะมาหาคุณด้วยนะครับ”
ไม่มาก็ดีแล้วนี่ใช่ว่าอยากจะเจอสักหน่อย ตอนนี้ก็แค่อยากพิสูจน์อะไรให้แน่ใจต่างหาก...........
ครุ่นคิดในใจขณะที่ละมือออกจากต้นคอไปสัมผัสกับใบหน้าของชายหนุ่มไล้นิ้วมือไปตามแนวกรามได้รูปช้าๆ นัยน์ตาสีเข้มทอประกายวูบไหวไปชั่วครู่ มือใหญ่ยึดจับเอามือบางที่เริ่มจะเลื้อยต่ำลงไปยังแนวไหปลาร้าไว้แล้วบีบแน่น
“ผมไม่ใช่.....คุณรีไวนะครับ” ถ้อยคำที่เหมือนจะตัดพ้อมาพร้อมกับสีหน้าเจ็บปวดชั่วครู่ก่อนที่มันจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว ชั่วขณะหนึ่งเอเลนคิดว่าตัวเองตาฝาด แต่เขาค่อนข้างจะมั่นใจว่ามันเกิดขึ้นจริงเพราะความนัยที่แฝงมากับประโยคนั้น
ไม่ใช่แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อมันไม่สำคัญสักนิด
มือเรียวแตะสัมผัสที่ริมฝีปากได้รูปของชายหนุ่มแผ่วเบาก่อนจะยืดกายไปประทับรอยริมฝีปากไว้ที่ปลายคางสากไรหนวดอย่างจงใจก่อนจะปั้นหน้าจ้องมองอีกฝ่ายอย่างใสซื่อ
“คุณ..........” เบลทรูทก้มหน้ามองร่างในอ้อมกอดนิ่งงัน จ้องมองเข้าไปในดวงตาสีเขียวมรกตเนิ่นนานก่อนที่เอเลนจะหลับตาลงเชิดหน้าเฝ้ารอการสัมผัสของชายหนุ่มอย่างใจเย็น
มือใหญ่โอบประคองใบหน้างามของร่างบางไว้ราวกับเป็นแก้วเลอค่าก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปประชิดแนบริมฝีปากประกบทับกับกลีบปากบางแผ่วเบาดูดดึงขบเม้มน้อยๆ เอเลนหลับตาพริ้มเบียดกายเข้าเสียดสีกับอ้อมอกแกร่ง สะโพกมนบดเบียดเข้ากับหน้าขาแน่นมัดกล้ามเนื้อของเบลทรูทอย่างเว้าวอน กลีบปากบางเผยอน้อยๆเปิดรับเรียวลิ้นอุ่นร้อนให้มีโอกาสได้เข้ามาสำรวจโพรงปากหวานอย่างเต็มใจ  เรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัดโรมรันต่อยอดอย่างไม่มีใครยอมใคร มือเรียวลุกไล้ซุกสอดเข้าไปสัมผัสหน้าท้องแน่นกล้ามขณะที่มือใหญ่บดคลึงสะโพกนิ่มอย่างเรียกร้อง
สัมผัสหวามไหวจากกลีบปากหวานนั้นเกินจะทานทน เบลทรูทกระชับร่างบางบนตักอุ้มลอยขึ้นจากพื้นขณะที่เอเลนเกี่ยวขารัดเอวแกร่งไว้อย่างแนบแน่น ทิ้งร่างนุ่มลงบนเตียงผู้ป่วยขาวสะอาดก่อนจะโถมทับร่างลงไป กดจูบดูดดึงกลีบปากสีสวยไล่เรื่อยลงมาตามลำคอระหง มือใหญ่ลูบไล้เข้าไปใต้เสื้อผู้ป่วยตัวบางบดคลึงบีบคั้นยอดอกนิ่มที่ไวต่อการสัมผัสขยับสะโพกบดเบียดความเป็นชายถูไถกับร่างน้อยที่กำลังบิดกายเร่าตอบรับอย่างโหยหา ลิ้นอุ่นลากไล้ผ่านลาดไหล่เล็กมาถึงกลางอก ละเลงลิ้นแทะโลมยอดปทุมถันน้อยผ่านผิวผ้าบางเบา ขบกัดดูดดุนยอดอกสีหวานให้กายบางได้สั่นสะท้าน เอเลนกัดริมฝีปากแน่นแอ่นกายบิดโค้งท้าทายเรียวลิ้นที่รุกรานอย่างหฤหรรษ์ มือเรียวบีบขย้ำกลุ่มผมสีเข้มของชายหนุ่มเอาไว้แน่น รู้สึกประหลาดใจตัวเองอยู่ไม่น้อย ทั้งๆที่ถูกสัมผัสเพียงเล็กน้อยแต่เหตุใดร่างกายจึงได้มีปฏิกิริยาตอบรับที่รุนแรงและโหยหาเช่นนี้
มือใหญ่ลูบไล้หน้าท้องแบนราบ สอดลึกเข้าไปใต้กางเกงผ้าฝ้ายตัวบางแตะสัมผัสแกนกายอ่อนนุ่มที่เริ่มสั่นระริกและชุ่มฉ่ำ บดคลึงช้าๆปลุกปั่นให้อารมณ์หฤหรรษ์ทบทวี เอเลนหลุดปากส่งเสียงครางกระเส่า ทั้งเรียวลิ้นที่โอ้โลมยอดปทุมถันและมือใหญ่ที่ปรนเปรอปลุกปั่นจุดที่ไวต่อการสัมผัสนั้นเกินจะต้านทาน
ไม่ได้........ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป สุดท้ายคงต้อง………
“พอ.....พอก่อน.....” หอบหายใจกระเส่าเปล่งเสียงพลางออกแรงผลักร่างใหญ่ที่กำลังรุกรานตนออกไปแต่ก็ไม่เป็นผล เบลทรูทในเวลานี้เรียกได้ว่าถูกแรงแห่งราคะบังตาจนมืดบอด มือใหญ่กดรวบมือเรียวที่กำลังขัดขวางความหฤหรรษ์ของเขาลงกับเตียงนุ่ม แนบกายลงทาบทับไม่ปล่อยโอกาสให้ร่างบางได้ดีดดิ้น บดเบียดความเป็นชายที่แข็งขืนแทบจะทะลุเนื้อผ้าเข้ากับแกนกายของร่างบาง ประทับริมฝีปากดูดดึงกลีบปากบางสีหวานให้เจ่อช้ำด้วยความหิวกระหาย ในขณะที่ร่างบางสั่นระริกหอบสะอื้นจนตัวโยน
“จ.....เจ้านาย.....ช่วยผมด้วย” เสียงหวานกระซิบแผ่วเบาสั่นเครือราวกับเป็นประกาศิต
“เจ้านาย.......ผมกลัว”
ชายหนุ่มหยุดชะงักการกระทำทั้งหมดจ้องมองใบหน้าหวานที่ขึ้นสีแดงกล่ำ กลีบปากบางแลดูบวมช้ำ นัยน์ตากลมโตปิดแน่นปลายหางตามีหยาดน้ำใสไหลรินออกมาช้าๆ สติที่ล่องลอยปลิดปลิวไปไกลค่อยๆกลับคืนสู่สามัญสำนึก มือใหญ่ที่บีบข้อมือเล็กจนขึ้นรอยแดงผละออกด้วยความตกใจ เอเลนพลิกกายขดร่างตัวสั่นเทา
“กลัวแล้ว......ผมกลัว”
ความรู้สึกผิดถาโถมทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจจนเจ็บแปลบ นี่เขาเกือบจะทำร้ายคนที่สำคัญที่สุดของเจ้านายไปแล้ว เขาเกือบจะข่มขืนเอเลนเพียงเพราะหลงผิดชั่ววูบไปกับท่าทีเชิญชวนอย่างไม่ได้ตั้งใจของคนเบื้องหน้า รู้ทั้งรู้ว่าร่างบางนี้ผิดปกติแตกต่างจากคนทั่วไปแต่เขากลับหลงระเริงไปกับความหฤหรรษ์ของรสสัมผัสและรูปสัมผัสจนลืมไปแม้กระทั่งเรื่องของศีลธรรมและความรับผิดชอบ
“ผม.....ขอโทษครับ คุณเอเลน.....ผมขอโทษ” ก้มหน้าจ้องมองร่างบางที่ขดตัวกลมดิกตัวสั่นเทาด้วยความสำนึกผิด ก่อนจะแนบริมฝีปากจูบซับปลายหางตาที่ชื้นหยาดน้ำใสให้อย่างอ่อนโยน
“อย่ากลัวไปเลยนะครับ....ผมจะไม่ทำร้ายคุณเด็ดขาด” กล่าวปลอบประโลมขณะที่ลูบศีรษะกลมมนของร่างบางเบาๆ โชคดีที่ยั้งตัวเองไว้ทัน เพราะถ้าหากทำลงไปจริงๆแล้วเขาเองก็จะกลายเป็นพวกเลวชาติไม่ต่างจากคนที่เคยทำร้ายเอเลนมาก่อนหน้านี้เลย
“ผม.....ขอ.....อยู่คนเดียว.....ได้มั้ย” เอ่ยถามเสียงเครือขณะที่ซุกหน้าลงกอดผ้าห่มเอาไว้แน่น
“ได้ครับ ผมจะสั่งไม่ให้ใครเข้ามารบกวนคุณอย่างเด็ดขาด ต้องขอโทษอีกครั้งนะครับคุณเอเลน ผมไม่มีเจตนาจะทำร้ายคุณจริงๆ.....ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ” กล่าวเสียงเบาด้วยความรู้สึกผิดก่อนจะรีบระเห็จตัวเองออกจากห้อง รอจนกระทั่งเสียงประตูปิดลงและแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แล้วร่างบางจึงได้ลุกขึ้นจากเตียงถอดชุดโรงพยาบาลตัวบางที่เปรอะเปื้อนน้ำลายของชายผู้นั้นทิ้ง รู้สึกชื้นแฉะไปทั้งยอดอกและชั้นในตัวจิ๋วแต่ก็คร้านจะใส่ใจรีบควานหาเสื้อผ้าชุดใหม่ที่อยู่ในตู้มาสวมใส่ก่อนจะเช็ดปาดคราบน้ำตาที่เปื้อนใบหน้าลวกๆ
นับว่าโชคดีที่เหตุการณ์เมื่อครู่นี้ยังหยุดไว้ได้ทัน ในตอนแรกเอเลนเพียงแค่รู้สึกสงสัยกับท่าทีของเบลทรูทที่ปฏิบัติกับตนเหมือนมีความนัยอะไรแอบแฝงบางอย่างจึงอยากจะทดสอบดูให้แน่ใจว่าชายคนนี้มีใจให้กับตนจริงหรือไม่ ซึ่งผลมันก็เป็นไปตามที่คาดไว้จริงและก็เกือบจะเลยเถิดไปถึงขั้นนั้นอีก
“อัตรายเกินไปแล้ว........แต่ก็หวังว่าพอจะใช้ประโยชน์จากคนๆนั้นได้บ้างล่ะนะ” ถึงขั้นถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถ้าไม่เล่นละครบทเจ้าน้ำตาออกมาก่อนคงไม่มีทางหยุดผู้ชายคนนั้นได้แน่ๆ
“ก็ยังพอมีมนุษยธรรมอยู่ล่ะนะ” แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องเตือนตัวเองเอาไว้ว่าจะเล่นกับไฟแบบนี้ไม่ได้อีกเด็ดขาด แต่โอกาสก็มาถึงแล้ว ผู้ชายคนนั้นบอกเอาไว้ว่าจะไม่ให้ใครเข้ามารบกวน เพราะฉะนั้นนี่จึงเป็นโอกาสดีที่จะไปจากที่นี่ มือเรียวแกะผ้าพันแผลที่พันรอบศีรษะออกทิ้งไว้แล้วปั่นผ้าห่มและผ้าปูที่นอนเป็นเกลียวผูกต่อกันเป็นเส้นหนา ห้องนี้อยู่บนชั้นสามของตึกนับว่าสูงพอสมควรแต่ก็ยังโชคดีที่แต่ละชั้นยังมีระเบียงพอให้เป็นจุดพักได้ การจะปีนลงไปก็ไม่ใช่เรื่องยากนัก
เริ่มลงมือผูกผ้าปูที่นอนเข้ากับราวระเบียงเหล็กแล้วโรยตัวลงไปยังระเบียงชั้นสองก่อนจะแกะปมผ้าห่มที่มัดอยู่กับปลายผ้าปูที่นอนมาผูกเข้ากับราวเหล็กแล้วโรยตัวลงมาอีกทอด ระยะห่างระหว่าระเบียงชั้นหนึ่งและพื้นดินแค่เมตรกว่าๆไม่ใช่ปัญหา เอเลนกระโจนร่างออกจากระเบียงลงสู่พื้นพยายามลดแรงต้านด้วยการทิ้งร่างลงตรงๆเหมือนแมว แรงสะเทือนเมื่อครู่นี้ก็ทำให้รู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย แต่ร่างบางก็ตัดสินใจออกวิ่งเท้าเปล่าเต็มฝีเท้าไปยังถนนใหญ่โบกแท็กซี่แล้วรีบบอกทางไปยังจุดหมายให้เร็วที่สุดก่อนที่คนของพวกแอคเคอร์แมนจะจับได้
ถึงแจนจะบอกว่าสายไปแล้ว แต่อย่างไรเสียเขาก็ต้องการที่จะไปเห็นทุกอย่างกับตาของตัวเองอยู่ดี


ทันทีที่ประตูห้องทำงานเปิดออกและเห็นชายหนุ่มร่างสูงเดินเข้ามาเงียบๆ รีไวก็ต้องเอ่ยถามทันที
“ทำไมถึงกลับมาล่ะ” เบลทรูทชะงักไปก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเบา
“ผมไม่ถนัดดูแลคนป่วยครับ อาจจะดูแลคุณเอเลนได้ไม่ดีเลยคิดว่าเปลี่ยนให้นานาบะไปดูแลจะดีกว่า ผมขออยู่รับใช้คุณรีไวดีกว่าครับ” เบลทรูทกล่าวเสียงเรียบขณะที่เดินมาแย่งเก้าอี้ทำงานกับนานาบะแล้วก้มหน้าก้มตาทำงานส่วนที่เหลือต่อไม่พูดไม่จา นานาบะหันไปมองเหน้าจ้านายหนุ่มอย่างขอความเห็น
ปกติทุกงานที่สั่งเบลทรูทจะทำมันได้อย่างดีเยี่ยมและไม่เคยปริปากบ่น แต่คราวนี้เจ้าตัวถึงกับเอ่ยปากขอถอนตัวเอง มันจะต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างถึงเจ้าตัวจะไม่ยอมปริปากออกมาเถอะ
รีไวจ้องมองเบลทรูทที่กำลังขะมักเขม้นกับกองเอกสารตรงหน้าเงียบๆก่อนจะเอ่ยกับชายหนุ่มอีกคนที่ยืนทำหน้าเหรอหราอยู่ใกล้ๆ
“ไปเถอะนานาบะ ถ้ามีอะไรให้รายงานฉันทันทีก็แล้วกัน”
“ให้ผมไปได้จริงๆนะ.....โอเค งั้นผมขอตัวเลยนะครับ” เอ่ยอย่างดี๊ด๊าขณะที่คว้าเสื้อสูทและกระเป๋าหิ้วติดมือไปด้วย ยังไงซะ นั่งๆนอนๆเฝ้าคนไข้ก็ดีกว่าทำงานเครียดๆอยู่กับเจ้านายขี้โมโหล่ะนะ

ห้องผู้ป่วยนี่นับว่าหาได้ไม่ยากเลยในเมื่อมีชายชุดดำคอยยืนเฝ้าประตูทางเข้าอยู่ถึงสามคน
“ผมมาอยู่กับคุณเอเลนแทนเบลทรูท คุณเอเลนเป็นไงบ้าง”
“หลับอยู่ครับ คุณเบลทรูทสั่งไว้ว่าห้ามใครรบกวน” นานาบะพยักหน้ารับก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้องอย่างเงียบเชียบ ถ้าหลับอยู่ก็ไม่ควรจะรบกวนล่ะนะ วางผลไม้ลงบนโต๊ะก่อนจะเห็นว่ามีกล่องเค้กที่ฝากเบลทรูทติดมือมาเหลือวางไว้อยู่
“เสียดายจังแฮะ ถูกกินไปนิดเดียวเองอ่ะ” เก็บส่วนที่เหลือลงกล่องก่อนจะเดินไปดูคนป่วยสักหน่อยแต่ก็ต้องสะดุดกับกองเสื้อผ้าที่ถูกถอดทิ้งอย่างกระจัดกระจาย และเตียงผู้ป่วยที่ควรจะมีคนนอนอยู่กลับว่างเปล่าไม่มีแม้กระทั่งผ้าห่มและผ้าปูที่นอนมีเพียงประตูระเบียงที่ถูกเปิดทิ้งไว้ นานาบะเดินออกไปสำรวจด้านนอกก็พบกับผ้าปูที่ถูกมัดติดกับราวระเบียงเหล็กเป็นหลักฐาน จู่ๆก็รู้สึกเย็นสันหลังจนเหงื่อซึม ชายหนุ่มถึงกับกุมขมับกลืนน้ำลายอย่างเฝื่อนฝืดคอ
“มาเฝ้าไข้แบบนี้คงไม่ใช่งานง่ายๆซะแล้วสิ”

“คุณเอเลนอยู่กับคุณรึเปล่า” ทันทีที่เปิดประตูห้องผู้ป่วยออกมาแจนก็เจอกับนานาบะและชายชุดดำอีกสามคนมาเยือน ว่าแต่ว่าพวกเขาจะตามหาเอเลนไปทำไมกัน
“เปล่านี่ครับ คุณชายไม่ได้มาที่นี่เลย”  กล่าวตอบตามตรง แต่คำตอบที่ได้รับทำให้นานาบะหน้าซีดลงเรื่อยๆ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
“คุณชายของคุณ.......หนีไปแล้ว” ถ้อยคำบอกเล่านั้นทำให้แจนถึงกับหน้าเปลี่ยนสี มือใหญ่บีบไหล่ของชายหนุ่มร่างโปร่งแน่น
“คุณนานาบะครับผมคิดว่าผมรู้ว่าคุณชายจะไปที่ไหน ผมขอออกตามหาเองครับ รบกวนคุณอย่าเพิ่งแจ้งเจ้านายคุณนะครับ ขอเวลาให้ผมก่อนแล้วผมจะรีบติดต่อคุณทันที” แจนวิ่งผลุนผลันออกจากห้องไปด้วยความเร่งรีบ นานาบะมองตามเงาร่างของชายหนุ่มไปเงียบๆก่อนจะกล่าวเสียงเข้ม
“ตามเอิร์ดไปอย่าให้รู้ตัว คอยรายงานสถานการณ์เป็นระยะด้วย”
“รับทราบครับ” ชายชุดดำทั้งสามรับคำแล้วรีบสะกดรอยตามอีกฝ่ายไป นานาบะสูดหายใจลึกพยายามตั้งสติเรียบเรียงคำพูดและกดโทรออกไปยังเบอร์ที่เขาไม่ต้องการจะติดต่อที่สุดในเวลานี้ เสียงรอสายดังอยู่ไม่กี่คราวก่อนที่ปลายสายจะตอบรับ 
“เจ้านายครับ.......ผมมีเรื่องจะรายงาน”


“จอดตรงนี้แหละครับ รบกวนช่วยรอก่อนสักครู่ด้วยนะครับ” เอเลนกล่าวกับคนขับแท็กซี่ก่อนจะเปิดประตูรถเดินเลียบรั้วกรงเหล็กคฤหาสน์หลังใหญ่ไปเงียบๆ รั้วด้านนอกถูกเถาไม้เลื้อยปกคลุมไว้ทำให้ยากที่จะมองฝ่าเข้าไปด้านใน แต่เอเลนก็ยังพอจะมองส่องลอดเข้าไปได้ คฤหาสน์หลังใหญ่ที่ไม่ได้เห็นมานานหลายปีแม้จะเก่าทรุดโทรมไปบ้างแต่บรรยากาศทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม
เหมือนเมื่อครั้งยังเยาว์ที่เคยอาศัยอยู่..........
ที่ลานน้ำพุด้านหน้ามีรถมายบัคสีดำคันหนึ่งจอดเทียบอยู่ เอเลนจำได้ดีในเมื่อมันเป็นรถคันโปรดที่คุณพ่อชอบใช้ บ้านหลังนี้ไม่ได้ถูกทิ้งร้างอย่างที่เขาคิดแต่มันกลับมีคนที่อาศัยและดูแลบ้านหลังนี้ให้ ว่าแต่ใครกัน
หนุ่มร่างบางเดินเลียบรั้วราวเหล็กเข้าไปใกล้พยายามแฝงตัวหลบมุมอยู่ในจุดที่เป็นมุมอับของกล้องวงจรปิด เฝ้าคอยว่าคนที่จะออกจากคฤหาสน์หลังนั้นคือใคร เพียงไม่นานบุรุษหนุ่มร่างสูงในชุดสูทเนื้อดีสีเข้มก็ก้าวออกมา แม้ใบหน้าจะมีริ้วรอยโรยราไปตามอายุ เส้นผมสีบลอนด์ทองก็เริ่มมีสีเทาประปรายแต่เอเลนยังจำได้อย่างแม่นยำว่าคนๆนั้นคือใคร ชายวัยกลางคนผู้นั้นยืนรีรออยู่หน้าคฤหาสน์ด้วยสีหน้าบูดบึ้งเร่งรีบราวกับกำลังรอใครอีกคน แล้วหลังจากนั้นไม่นาน เด็กสาวร่างเล็กผมบลอนด์ทองในชุดเดรสลูกไม้สีดำสนิทก็ก้าวออกมา พวกเขาเหมือนจะถกเถียงกันชั่วครู่ก่อนที่ทั้งคู่จะขึ้นรถ
ใช่แล้วพวกเขายังอยู่ที่นี่..........
ความหวังริบหรี่จุดประกายขึ้นมารำไร พวกเขายังอยู่ที่นี่ บางทีหากพวกเขาเห็นว่าตนยังมีชีวิตอยู่อาจจะหาทางช่วยออกมาจากพวกแอคเคอร์แมนและหาทางโต้กลับคืนได้บ้าง คิดได้แบนั้นเมื่อล้อเริ่มหมุน เอเลนก็เริ่มออกวิ่ง
อย่างน้อยๆต้องไปให้ถึงประตูใหญ่ก่อนที่พวกเขาจะออกไปพ้น
ท่อนขาเรียวยาวซอยถี่ยิบสุดแรงเกิด แม้ร่างกายที่เอาแต่นอนนิ่งอยู่บนเตียงมานานจะเมื่อยล้าจนแทบหายใจไม่ทัน แต่เขาก็ไม่ยอมหยุด หยุดไม่ได้เด็ดขาด ถ้าหากพลาดถูกจับตัวกลับไปได้ล่ะก็คงไม่มีโอกาสเป็นครั้งที่สองอีกแล้ว
เมื่อประตูใหญ่เปิดขึ้น เอเลนก็รีบส่งเสียงตะโกนออกไปสุดเสียง......
“คุณอา!!!......คริสต้า!!!
และก่อนที่ร่างบางจะกระโจนออกไปขวางหน้ารถ เอวบางก็ถูกรวบเอาไว้เสียก่อน วงแขนใหญ่โอบรอบกกกอดร่างบางเข้าแนบอก กดใบหน้าหวานให้ซุกซบลงกับซอกคอแล้วสวมกอดแนบแน่น
“มองอะไรอยู่ คริสต้า” ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามบุตรสาวร่างเล็กซึ่งนั่งข้างกายที่มัวแต่จ้องมองออกไปนอกหน้าต่างรถอยู่นานสองนาน
“ผู้ชายแปลกหน้าสองคน กอดกันที่หน้าบ้านเราค่ะ” เธอตอบพลางเหลียวหลังมองจนสุดสายตา ชายหนุ่มร่างสูงในชุดผู้ป่วยที่มองยังไงก็ไม่คุ้นหน้ากำลังกอดชายหนุ่มร่างบางไว้แนบอกแต่เธอไม่อาจมองเห็นใบหน้าของหนุ่มร่างบางคนนั้นได้
“ก็แค่พวกวิปริตผิดเพศ อย่าไปสนใจ ขอแค่ไม่มาทำอุจาดตาอยู่หน้าบ้านก็พอไม่งั้นคงต้องแจ้งตำรวจ” ออร์แลนโด เลนซ์กล่าวน้ำสียงเฉยชาก่อนจะเลิกให้ความสนใจ

เสียงรถยนต์วิ่งผ่านหูไปไกลแล้ว โอกาสสุดท้ายที่จะได้ขอความช่วยเหลือจากคุณอาหลุดลอยไปแล้ว
“ปล่อยนะ!!! ปล่อยผม......ปล่อย” ร่างบางดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดขณะที่แจนเพิ่มแรงกอดรัดให้แน่นยิ่งขึ้น
“คุณชายครับ ได้โปรดใจเย็นก่อนเถอะครับ กรุณาฟังผมก่อน”
“ปล่อย.....แจน....ปล่อยผม พี่ทำอะไรรู้ตัวรึเปล่า ทำอะไรลงไป!!!” เอเลนตวาดเสียงดังลั่นด้วยความเจ็บใจ ฟางเส้นสุดท้ายที่จะช่วยให้พวกเขารอดพ้นจากน้ำมือของพวกแอคเคอร์แมนหลุดลอยไปแล้ว
“ไม่มีประโยชน์แล้วครับคุณชาย ตอนนี้ตระกูลเยเกอร์เหลือเพียงแค่ชื่อเท่านั้นต่อให้เป็นคุณออร์แลนโดก็ไม่มีทางช่วยพวกเราได้แล้ว ทางที่ดีที่สุดตอนนี้มีทางเดียวเท่านั้น ไปจากที่นี่กันเถอะครับ คุณชาย ผมจะพาคุณไปซ่อนในที่ปลอดภัย หลังจากนั้นเราค่อยคิดหาทางว่าจะเอายังไงกันต่อ ไปกันเถอะครับ” แจนออกแรงลากแขนร่างบางให้ออกเดินตามขณะที่เอเลนยังขืนตัวไม่เลิก
“แต่.....บ้าน.....” ทั้งๆที่บ้านก็อยู่ตรงหน้านี้แล้ว ทำไมจะต้องหนีไปอยู่ที่อื่นด้วยอีกล่ะ........ทำไมกัน
“ไปกันเถอะครับ คุณชาย นี่เป็นเพียงโอกาสเดียวเท่านั้น”
แจนออกแรงลากเอเลนเดินอีกครั้ง คราวนี้ร่างบางยินยอมพร้อมตามแต่โดยดี แม้จะได้ยินเสียงสะอื้นดังอยู่เบื้องหลังแต่แจนก็พยายามใจแข็งไม่สนใจ ออกมาถึงขนาดนี้แล้วจะไม่ยอมกลับไปเป็นเชลยที่บ้านหลังนั้นอีกเด็ดขาด ก่อนอื่นต้องหาทางออกจากโรมเสียก่อน ข้ามไปหลบอยู่ที่เกาะซิซิลีหรือซาร์ดิเนียสักพักแล้วค่อยหาทางขยับขยายไปที่ฝรั่งเศสอีกที แต่ก่อนอื่นต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้เสียก่อน
ลากร่างบางเร่งฝีเท้าจนกลายเป็นการวิ่ง เอเลนที่วิ่งไล่หลังจึงได้ส่งเสียงประท้วงเบาๆ
“แจน!!! ช้าหน่อยผมเจ็บ” เมื่อหันกลับมามองก็พบว่าร่างบางกำลังวิ่งด้วยฝ่าเท้าเปล่าเปลือย มันก็ช่วยไม่ได้เลยที่อีกฝ่ายจะทนไม่ไหว
“ผมอุ้มคุณเองครับ” กล่าวพร้อมกับช้อนร่างบางอุ้มขึ้นแนบอก ในจังหวะนั้นเองรถติดฟิล์มดำสามคันก็ขับปาดเข้ามาปิดล้อมทางหนีทั้งหมดเอาไว้ แสงไฟหน้ารถสาดจ้าเข้ามาจนรู้สึกแสบตา แจนดันร่างเจ้านายร่างบางชิดรั้วเหล็กแล้วเอาร่างตนเองมาเป็นโล่กำบัง นานาบะพร้อมด้วยชายชุดดำสามคนเปิดประตูออกมาจากรถคันซ้ายสุด พร้อมกับจ่อปืนคุมเชิงเอาไว้ เบลทรูทก้าวลงจากรถคันขวาสุดแม้จะไม่ได้ชักปืนออกมาแต่มือขวาก็เตรียมพร้อมอยู่ในอกเสื้อแล้ว แจนถึงกับสบถด้วยความหงุดหงิด
มากันหมดขนาดนี้แล้ว.....อีกคนคงไม่ต้องพูดถึงล่ะนะ
ประตูรถคันที่อยู่ตรงหน้าเปิดออกพร้อมกับที่ชายหนุ่มหน้าคมก้าวออกมา ใบหน้าคมคายประดับรอยยิ้มพึงใจชนิดที่เรียกได้ว่าหาดูได้ยากนัก แต่ก็ไม่มีใครอยากจะเชยชมนักเพราะเป็นอันเข้าใจกันโดยถ้วนทั่วว่ายิ้มแบบนั้นถือได้ว่าเป็นลางไม่ดีสักเท่าไหร่ เพราะมันเป็นรอยยิ้มที่ฉาบไว้บดบังอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ภายใน โดยเฉพาะในเวลานี้
“พอใจแล้วใช่มั้ย ที่ออกมาเที่ยวเล่นถึงนี่......ทำไมล่ะอยากกลับบ้านเก่ามากเหรอ” รีไวเอ่ยถามกลั้วหัวเราะขณะที่สาวเท้าเข้าไปยืนเบื้องหน้าแจน
“คุณชายกำลังสับสนครับ......ผมกำลังจะพาคุณชายกลับไปที่โรงพยาบาล” แจนตอบขณะที่มองสบกับนัยน์ตาสีรัตติกาลของชายหนุ่มตรงหน้า
“เหมือนทางกลับจะไม่ใช่ทางนั้นนะ หรือฉันเข้าใจผิดหรือยังไงนานาบะ”
“ทางกลับโรงพยาบาลไม่ใช่ทางนี้จริงๆครับ” นานาบะตอบหน้าเรียบ แจนหันไปมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกชังน้ำหน้าเป็นอย่างมาก
ทั้งๆที่อุตส่าห์ขอร้องเอาไว้แล้วแท้ๆ.................
“หรือยังเที่ยวไม่พอล่ะ อยากจะไปที่ไหนอีกอย่างนั้นเหรอ บอกกันดีๆก็ได้ ฉันใจดีนะ ถ้าอยากไปก็จะพาไปอยู่แล้ว ไม่เห็นจะต้องหนีออกมาเองแบบนี้เลยนี่นะ”
“เรากำลังจะกลับแล้วครับ ผมกำลังจะพาคุณชายกลับแล้วจริงๆ ไม่ได้คิดจะหนีไปไหนทั้งนั้น” แจนตอบด้วยถ้อยคำรัวเร็ว
ถ้าหากคนๆนี้รู้สึกเคียดแค้นแล้วมาลงที่เขานั่นยังพอรับไหว แต่ถ้าหากต้องไปลงที่คุณชายล่ะก็.......... คนจิตใจโหดเหี้ยมแบบนี้คุณชายคงทนไม่ไหวแน่
“โกหกนี่ไม่น่ารักเอาซะเลยนะ เอเลน......เป็นตุ๊กตาต้องเชื่อฟัง ต้องไม่โกหกไม่ใช่เหรอ แล้วตอนนี้สิ่งที่นายกำลังทำอยู่คืออะไร ตอบเจ้านายมาหน่อยสิ” รีไวเร่งเสียงเข้มขึ้นขณะที่พูดกับคนที่เอาแต่ซ่อนอยู่เบื้องหลังของแจนเงียบๆ
“ว่าไงล่ะเอเลน.......ตอบเจ้านายมาสิ.........อย่าทำให้ฉันต้องโมโหไปมากกว่านี้!!!” น้ำเสียงทุ้มกล่าวเรื่อยเฉื่อยก่อนจะเปลี่ยนเป็นตวาดเสียงดังเสียจนคนรอบข้างสะดุ้ง
มือใหญ่คว้า เบอเรตต้า เก้าสอง สีดำขลับออกมาจากเอวยกจ่อไปที่หน้าของแจนระยะประชิดพลางตวาดเสียงเข้ม
“ฉันบอกให้พูดยังไงล่ะ เอเลน......จะหนีฉันไปไหน อย่ายียวน อย่ากวนให้น้ำขุ่นมากกว่านี้เพราะถ้าฉันทนไม่ไหวอาจจะเผลอทำปืนลั่นแสกหน้าคนของนายเข้าได้ทุกเมื่อนะ!!!
“คุณไม่ใช่เจ้านายของผม......” เอเลนกล่าวเสียงเบาขณะที่ผลักแจนออกไปด้านข้าง ร่างบางสาวเท้าเข้าไปใกล้ชายหนุ่มหน้าคมผู้โกรธกริ้วในระยะประชิด ปากกระบอกปืนที่จ่อติดกลางหน้าผากมนสั่นน้อยๆ แต่ ณ เวลานี้เอเลนหมดสิ้นทุกอย่างแล้ว หมดสิ้นซึ่งความกลัว แม้แต่ความหวังก็หมดไปสิ้น
“คุณไม่ใช่เจ้านายของผม.......และผมไม่ใช่ตุ๊กตาของคุณ” ร่างบางเอ่ยย้ำ จ้องมองชายหนุ่มหน้าคมตรงหน้าด้วยสายตาชิงชังและเอาเรื่อง
รีไวจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีเขียวมรกตที่จับจ้องเขาอย่างไม่ลดละ เอเลนกำลังจ้องมองเขานิ่งงัน เป็นครั้งแรกที่ร่างบางมองสบตาเขาตรงๆไม่ใช่เลื่อนลอยมองผ่านอย่างที่ผ่านมา แม้จะเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความชิงชังและทิ่มแทงก็เถอะ.......แต่ ณ เวลานี้เอเลนกำลังจ้องมองเขาอยู่จริงๆ ซึ่งแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
ได้สติแล้วจริงๆสินะ...................
“ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด คุณไม่มีสิทธิ์ในตัวผมทั้งนั้น”
รีไวกดยิ้มมุมปากก่อนจะหัวเราะลั่น
“งดงาม!!! งดงามมากจริงๆเอเลน แววตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นและชิงชังแบบนั้นมันงดงามมาก งดงามเสียจนอยากจะควักออกไปประดับโคมไฟระย้าไว้ดูเล่นเลยล่ะ” กล่าวพร้อมกับเชยคางมนจ้องมองในระยะประชิด
“แต่ว่าก็ว่าเถอะ ถ้าดวงตาคู่นี้มันไม่ประดับอยู่บนใบหน้างามๆนี้ก็ไร้ความหมาย มันก็เลยจำเป็นที่ฉันจะต้องเก็บนายไว้ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ไงล่ะ ฉันไม่มีสิทธิ์ในตัวนายอย่างนั้นเหรอ........ผิดแล้วล่ะเอเลน ตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างของนายเป็นของฉัน ตราบใดที่ฉันไม่ทิ้งนายก็จะไม่มีสิทธิ์หนีไปไหน.......ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิด” ตัดสินใจเก็บเบอเร็ตต้าเหน็บเอวไว้ในขณะที่ยื่นมือไปบีบรอบลำคอระหงไว้แทน
“อย่าได้คิดว่าจะหนีไปไหนรอด ครั้งหนึ่งเมื่อนายตกอยู่ในกำมือฉัน ต่อให้หนีไปไกลแค่ไหน มือข้างนี้ก็จะตามไปกระชากนายกลับมาทุกที่” กล่าวพร้อมกับเพิ่มแรงบีบขึ้น เอเลนนิ่วหน้าด้วยความอึดอัดแต่ก็ไม่ยอมส่งเสียงร้องขอวิงวอนใดๆออกไป ยังคงจ้องมองรีไวด้วยสายตาชิงชังเงียบๆ
“ฉันจะติดตรึงพันธนาการเอาไว้ชนิดที่จะหนีก็ทำไม่ได้ จะตายก็ยากยิ่งกว่าเชียวล่ะ เตรียมตัวเตรียมใจไว้ได้เลย.......เอเลน”


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น