กลับมาถึงบ้านทั้งทีแต่คนที่อยากจะพบหน้าที่สุดกลับไม่อยู่ให้เจอ
แม้จะเดินหาจนทั่วบ้านแล้วก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา
“เอเลนไปอยู่ที่ไหน ที่ห้องดนตรีก็ไม่มี” แล้วก็ได้คำตอบจากคุณพ่อบ้านว่า
“ออกไปกับคุณเบลทรูทครับ เห็นเดินไปที่สนามขี่ม้า”
“ไปนานแค่ไหน”
“ตั้งแต่กลางวันแล้วล่ะครับ”
รีไวมองนาฬิกาข้อมือ
เกือบหกโมงเย็นเริ่มจะมืดแล้วด้วย อีกไม่นานก็คงกลับ
หันไปเปิดโทรทัศน์ดูข่าวของวันนี้ฆ่าเวลา
“สำหรับคดีฆ่าล้างงานประมูลสะเทือนขวัญครั้งนี้
ทางตำรวจได้ออกมาให้ความคืบหน้าล่าสุดแล้วค่ะ เชิญชมภาพการรายงานได้เลยค่ะ”
ผู้กองสมิธปรากฏตัวต่อหน้ากล้องอีกครั้งด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย
นักข่าวเริ่มยิงคำถามใส่เขาทันที
“ทราบมาว่าตอนนี้ทางตำรวจได้ตัวคนร้ายแล้วใช่มั้ยครับ ผู้กอง”
“จริงครับ”
“ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ทางตำรวจก็อยู่ในกระบวนการสอบสวนใช่มั้ยคะ
พอจะเปิดเผยความคืบหน้าให้แก่พวกเราได้มั้ยคะ”
รีไวมองหน้าผู้กองหนุ่มผ่านจอโทรทัศน์แล้วก็นึกขำ
ท่าทางจะแย่นะนั่น..............
เสียงวิ่งดังตึงตังมาจากหน้าประตู
ก่อนจะรู้สึกถึงน้ำหนักที่โถมเข้าหาตัวอย่างแรง
“เจ้านาย......ผมไปเล่นกับสตอร์มมา” เอเลนที่โผตัวเข้ากอดคอชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเสียงดัง
รีไวทำท่าจุ๊ปากให้ร่างบางเป็นเชิงบอกให้เงียบซึ่งก็ดูเหมือนว่าเอเลนจะไม่ค่อยเข้าใจนัก
เบลทรูทจึงลากร่างบางออกจากตัวรีไวที่กำลังสนใจข่าวในโทรทัศน์อยู่
“อยู่นิ่งๆสักครู่นะครับ”ร่างสูงพูดกับเขา
ซึ่งเอเลนก็พยักหน้ารับ
ในจอภาพ
เหล่านักข่าวต่างยิงคำถามใส่ผู้กองหนุ่มเสียจนไม่เว้นช่องว่างให้เขาได้ตอบโต้เลยแม้แต่น้อย
“ช่วยกรุณาเงียบกันสักครู่ได้มั้ยครับ!!!!” ผู้กองหนุ่มตวาดเสียงดังเสียจนพวกนักข่าวเงียบกริบ
“คำถามทั้งหมดของพวกคุณ ผมจะสรุปให้ฟังสั้นๆ
ตอนนี้เราได้ตัวมือสังหารมาแล้ว
แต่มือสังหารที่เราได้มาตอนนี้คือศพปริศนาที่เราพบที่ท่าเรือเมื่อวันก่อน
สรุปง่ายๆตอนนี้ แจน กิลชูไตน์เสียชีวิตแล้ว
เราจึงไม่สามารถสอบสวนความจริงเท็จใดๆจากปากเขาได้”
“แล้วถ้าอย่างนั้น คดีนี้ต้องปิดลงเพราะมือสังหารถูกฆ่าปิดปากไปแล้วหรือครับ”
“ผมยังไม่สามารถสรุปอะไรตอนนี้ได้”
รีไวยิ้มเย็นกับภาพข่าวที่เห็น
“บอกคุณเลขาคนเก่งด้วยว่าสิ้นเดือนนี้
ฉันเพิ่มโบนัสพิเศษจากที่ตกลงกันเมื่อเช้านี้อีก สิบเปอร์เซ็นต์”
“ครับ” เบลทรูทรีบต่อโทรศัพท์ถึงนานาบะทันที
“แต่สืบเนื่องจากคดีนี้ยังมีผู้สาบสูญที่แจน กิลชูไตน์ลักพาตัวไป
ซึ่งไร้ร่องรอยจนถึงบัดนี้
ทางตำรวจจึงยังจะดำเนินการสืบสวนคดีนี้ต่อไปจนกว่าเรื่องราวทั้งหมดจะกระจ่างขึ้นครับ......ผมขอตัวไปปฏิบัติหน้าที่ก่อนครับ” ภาพของผู้กองหนุ่มถูกตัดออกไปจากหน้าจอ แต่นัยน์ตาคมกริบยังจับจ้องโทรทัศน์ตาไม่กระพริบ
อารมณ์ดีเมื่อครู่ปลิดปลิวหายไปเสียหมด
“กัดไม่ปล่อยจริงนะ.......อยากได้ตัวแจน กิลชูไตน์ ก็จัดให้แล้ว
ยังไม่พอใจอีกหรือไง......ก็ดี แล้วมาดูกัน หมากกระดานนี้คุณกับผม ใครจะรุกฆาต!!!”
แจนมองภาพข่าวที่ปรากฏบนหน้าจอด้วยสายตานิ่งเฉย............
ผู้ชายคนนั้นทำให้
แจน กิลชูไตน์ตายไปแล้วอย่างที่พูดได้จริงๆสินะ..........แต่ช่างเถอะ
อีกแค่วันเดียว วันพรุ่งนี้เท่านั้น จะตอบแทนทุกอย่างให้สาสมเลย.......รีไว
แอคเคอร์แมน
“เป็นอะไร”
มือใหญ่ลูบแก้มใสเบาๆ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเมื่อเห็นร่างบางจ้องมองตนเองตาแป๋ว
“เจ้านายไม่รักผม?” เป็นอะไรไปอีกแล้วล่ะ
“งอแงอะไรอีกล่ะ”
“เจ้านายไม่สนใจ ไม่รักผมเลย”
“พูดอะไรแบบนั้น ออกจะรักขนาดนี้”
กดจูบลงบนหน้าผากเนียนเพื่อยืนยัน
“เจ้านายไม่อยากรู้เหรอ ผมไปเที่ยวไหนมา” เล่นเกริ่นนำมาขนาดนี้
ไม่ถามก็คงไม่ได้
“วันนี้ไปเที่ยวไหนมา” พอชายหนุ่มเอ่ยถาม
หน้ายุ่งๆก็คลี่ยิ้มออกทันที
“เบลทรูทพาไปหาลิลลี่กับสตอร์ม”
“เหรอ....สนุกมั้ยล่ะ”
“สนุก แต่อยากให้เจ้านายไปด้วย เจ้านายใจดี เบลทรูทใจดี แจนก็ใจดี”
รีไวท้าวแขนจ้องมองร่างบางชัดๆ
“ใจดีทุกคนเลยเหรอ.....”
“อื้ม” ยิ้มตอบด้วยความซื่อ
“แล้วชอบใครที่สุดล่ะ”
“เอเลน ชอบทุกคน!!!!” คำตอบนั้นถึงกับทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้ว
เบลทรูทถึงกับหน้าเจื่อนไปชั่วครู่ รู้สึกถึงความเย็นที่ฉาบไล้ไปทั่วไขสันหลัง
รีไวยื่นหน้าเข้าไปกระซิบถามเอเลนใกล้ๆ
“ชอบทุกคน........แล้วรักใครที่สุด” เอเลนก้มหน้า
หลับตายามเมื่อหน้าคมเคลื่อนเข้ามาใกล้
“ตอบมาสิ.....รักใครที่สุด” ร่างบางหลับตาพริ้มเคลิบเคลิ้มไปกับจูบบางเบาแต่กลับนุ่มนวล
“จ.....เจ้านาย.....ที่สุด” อ้อมแอ้มตอบออกมาเบาๆ รีไวยิ้มรับ
“จะชอบคนอื่นน่ะไม่ว่า แต่ต้องรักฉันคนเดียวเข้าใจมั้ย” แก้มใสขึ้นสีเรื่อ เอเลนตอบรับเบาๆ
“ครับ”
“รีบนอนนะ พรุ่งนี้จะพาไปเจอใครคนหนึ่ง”
“ใครเหรอ”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้เอง ให้เบลทรูทพาเข้านอนซะนะ”
เอเลนเดินตามเบลทรูทออกไปแต่โดยดี หลังจากส่งร่างบางเข้านอนเสร็จ จึงกลับมาหารีไวอีกครั้ง
“คุณรีไวจะพาคุณเอเลนไปที่ไหนหรือครับ”
“โรงพยาบาล”
“คุณคงไม่คิดจะเอาตัวคุณเอเลนไปไว้ที่นั่นหรอกนะครับ”
เบลทรูทถามด้วยความร้อนใจ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริงเขาคงหมดโอกาสที่จะได้ดูแลเอเลนอีก
“ใครบอกว่าฉันจะทำแบบนั้น ฉันจะพาเอเลนไปรับคนต่างหาก” รีไวเหม่อมองท้องฟ้าที่มืดสนิทราวกับจิตใจของเขาในตอนนี้ไม่มีผิด
“ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไป ฉันจะทำให้มันรู้ ว่าการที่อยากเป็นเจ้าของ
แต่แตะต้องไม่ได้ มันทรมานยังไง แจน กิลชูไตน์”
เสียงขวดแก้วแตกกระจายเมื่อถูกกระสุนปืนเก็บเสียงที่เบลทรูทกระหน่ำรัวยิงไม่หยุดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
มือใหญ่สาดกระสุนเสียจนลูกปืนหมดแม็ก ร่างสูงหอบหายใจมองเศษแก้วที่แตกกระจายเต็มพื้น
กระสุนที่ส่งออกไปแต่ละนัด ไม่มีคำว่าพลาดเป้า
“อันตราย........อันตรายเหลือเกิน..........”
ไม่เคยรู้สึกสับสนและหวั่นไหวเท่านี้มาก่อนรู้ดีว่าไม่คู่ควร
รู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์แตะต้อง แต่หัวใจกลับร่ำร้องไม่หยุดหย่อน
“ไม่ควร จะเข้าใกล้ มากไปกว่านี้อีกแล้ว”
ยิ่งอยู่กับเอเลนมากเท่าไหร่
ความรู้สึกในใจมันยิ่งเต็มตื้นมากขึ้นทุกที ถ้อยคำที่ผู้เป็นนายประกาศไว้กับเขายังคงลอยวนอยู่ในห้วงความคิด
‘ฉันจะทำให้มันรู้ ว่าการที่อยากเป็นเจ้าของ แต่แตะต้องไม่ได้
มันทรมานยังไง’
เบลทรูทกุมหน้าอกตัวเองแน่น
แล้วทรุดเข่าลงกับพื้น
“ทรมาน.............ทรมานเหมือนจะขาดใจ”
เอเลนถูกพาตัวมาโรงพยาบาลในวันรุ่งขึ้น
แต่มาถึงแล้วกลับถูกสั่งให้รออยู่หน้าห้องผู้ป่วยกับเบลทรูท
“ทำไมกันล่ะ” ถึงจะถูกถามแบบนั้นแต่ก็ตอบไม่ได้เช่นกัน
เบลทรูทจึงได้แต่ยิ้มให้
“นั่นสิครับ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไม”
แต่เพียงไม่นาน
หนึ่งในบรรดาคนคุ้มกันก็เดินออกมา
“เชิญครับ”
เบลทรูทนำร่างบางเดินเข้าไปด้านใน
แผ่นหลังอันคุ้นตาของรีไวนั่งนิ่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย เสียงเครื่องช่วยหายใจและเครื่องตรวจวัดสัญญาณชีพยังดังมาจากร่างชายชราที่นอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ
เอเลนชะเง้อคอมองร่างคนที่นอนบนเตียงด้วยความสงสัย
“มานี่สิ”
มือใหญ่ยื่นมาคว้าแขนร่างบางแล้วดึงให้นั่งลงบนตักของตน
“เจ้านาย.....ใครเหรอครับ”
เอียงคอมองร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงก่อนจะหันมาพูดกับชายหนุ่มอย่างสงสัย
“คุณพ่อ........คุณพ่อของเอเลนอย่างไรล่ะ”
คำตอบของชายหนุ่มทำให้ร่างบางนิ่งไป ดวงตากลมโตคลอเคลือบไปด้วยหยดน้ำสีใสก่อนจะเกลือกกลิ้งลงมาตามแนวแก้มเรียว
“คุณพ่อ
ของผมเหรอ?”
“ใช่
คุณพ่อของเอเลน” ตอบพลางยกมือขึ้นเกลี่ยหยาดน้ำตาออกจากใบหน้างามให้อย่างแผ่วเบา
“คุณพ่อครับ!!! คุณพ่อ ผมกลับมาแล้วครับ.......คุณพ่อ!!!” เอเลนโผร่างเข้ากอดชายชราฟูมฟายร้องไห้เสียยกใหญ่
รีไวมองแผ่นหลังบางที่สั่นสะท้านเพราะแรงสะอื้นขณะที่ลูบปลอบประโลมเบาๆ
ขอโทษ........ผมขอโทษ
ที่ต้องโกหกคุณ
สิ่งที่ได้พูดคุยกับฮันซี่ไปเมื่อหลายวันก่อน
เขายังคงจำมันได้ทุกถ้อยคำ
“ฟังจากที่นายเล่ามา
ฉันคิดว่าเอเลนคงเป็นฮิสทีเรีย”
ถ้อยคำบอกเล่าของหญิงสาวทำให้รีไวและเบลทรูทถึงกับหน้าเปลี่ยนสี
ท่อนขาแน่นกล้ามยกยอหมายจะถีบเข้าที่หมอสาวซึ่งฮันซี่รีบยกมือขึ้นกันไว้ก่อน
“หยุด!!! หยุดก่อน ฟังฉันพูดก่อน ถ้านายอัดฉันก็ไม่ต้องมาขอความช่วยเหลือกันอีก”
ชายหนุ่มขยับท่อนขาที่หมายจะประทุษร้ายเปลี่ยนเป็นนั่งไขว่ห้างไว้แทน
“กะแล้วว่าพวกนายต้องเข้าใจผิด
มีหลายคนที่สับสนว่าฮิสทีเรียหมายถึงพวกที่มีความต้องการทางเพศสูงผิดปกติหรือขาดผู้ชายไม่ได้
นั่นมันไม่ใช่เว่ย!!!
โรคขาดผู้ชายไม่ได้จริงๆมันคือนิมโฟมาเนียต่างหาก แต่ฮิสทีเรียน่ะ
คนพวกนี้จะมีการแสดงออกมากกว่าปกติ
หรือบางทีอาจจะมีการเชิญชวนถึงขั้นยั่วยวนรวมอยู่ด้วย
มันเป็นการแสดงออกเพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนรอบข้างเนื่องจากมีความเป็นเด็กในตัวสูง
และก็ไม่ได้เป็นเพราะอยากเป็นหรอกนะ แต่มันเกิดจากการขาดความรักความอบอุ่นตั้งแต่วัยเด็ก
ทำให้คนพวกนี้โหยหายความรักตลอดเวลา ไม่ได้เป็นความปรารถนาในทางเพศเลยสักนิด
มันเป็นความผิดปกติทางจิตใจล้วนๆ บางคนถึงขั้นสูญเสียความทรงจำเลยก็มีเพราะได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจมากเกินไป
คนพวกนี้จึงเลือกที่จะไม่รับรู้ความเป็นจริงปิดกั้นตัวเองอยู่ในโลกส่วนตัวเป็นกลไกการป้องกันตัวทางจิตน่ะ......คือ
อันนี้เพื่อนฉันที่มันเป็นหมอจิตเวชมันวิเคราะห์มาให้น่ะนะ”
“แล้วทางรักษาล่ะ”
“ฉันว่าส่งเอเลนไปพักที่โรงพยาบาลจิตเวช.......”
“ไม่!!! ฉันจะไม่ส่งเอเลนเข้าโรงพยาบาลบ้าเด็ดขาด”
ตวาดเสียงดังลั่นเสียจนหมอสาวต้องถอยกรูดหลบรัศมีความยาวขา
“โอเค.....เข้าใจๆ
ฉันปรึกษากับเพื่อนดูแล้ว มันบอกว่าวิธีที่ดีที่สุดคือการบอกความจริงให้ผู้ป่วยค่อยๆยอมรับความเป็นจริง
หัดสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนรอบตัว สิ่งแวดล้อมรอบข้าง
ทำให้เขาไม่รู้สึกว่าขาดหรือโหยหาสิ่งใด น่าจะค่อยๆทำให้เอเลนดีขึ้น
หรือนายจะพาเอเลนไปพบเพื่อนฉันคนนี้ก็ได้นะ เดี๋ยวจะนัดให้
ถ้าไม่อยากไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนัดมันไปที่บ้านให้ก็ได้อ่ะ”
“ไว้ก่อน
ฉันขอลองดูก่อน ถ้าหมดหนทางแล้วจริงๆค่อยว่ากันอีกที” ชายหนุ่มตอบขณะที่ครุ่นคิด
หมอสาวพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“เอางั้นก็ได้
ถ้าเปลี่ยนใจก็บอกฉันได้ตลอดแล้วกัน”
แม้ฮันซี่จะบอกไว้ว่าวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาเอเลนคือการบอกความจริง
ค่อยๆให้ปรับตัวเรียนรู้ความเป็นจริงและยอมรับมันให้ได้
แต่ถ้าหากว่าความจริงเป็นสิ่งที่โหดร้าย
เขายอมที่จะสร้างโลกจอมปลอมในแบบที่เอเลนต้องการเอาไว้ให้คนๆนี้เสียดีกว่า
โลกในกำแพงแคบๆที่เต็มไปด้วยความหลอกลวง แต่ถ้ามันจะทำให้คนๆนี้มีความสุขได้
เขาพร้อมที่จะทำมันทุกอย่าง
จะคอยดูแลและปกป้องไม่ให้ใครมาทำลายกำแพงโลกแห่งความฝันของร่างบางตรงหน้านี้เด็ดขาด
“จะเปิดผ้าพันแผลแล้วนะ”
รีไวพยักหน้าให้ฮันซี่ที่เตรียมการทุกอย่างรอพร้อมนานแล้ว
ผ้าพันแผลค่อยๆถูกคลายออกจากใบหน้าของแจนแผ่วเบา ทั้งหมอและพยาบาลต่างก็ลุ้นกับโฉมหน้าใหม่ของเขา
แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวเองจะไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำ ผ้าพันแผลม้วนสุดท้ายหลุดออกรีไวยิ้มกว้างในทันที
“พาเข้ามาได้” ได้ยินเสียงสั่งแว่วมาแบบนั้น เบลทรูทจึงพาเอเลนที่สะอึกสะอื้นเข้าไปในห้อง
“เจ้านาย มาหาใครกัน” ร่างบางเอ่ยถามเสียงแผ่ว เมื่อได้ยินเสียงที่ตนเฝ้าถวิลหา
แจนรีบลืมตาขึ้นทันที
ในช่วงแรกภาพที่มองเห็นค่อนข้างจะพร่ามัวแต่ก็ค่อยๆปรับโฟกัสจนชัดเจนในที่สุด
“นั่นไงล่ะ” รีไวพยักเพยิดมาทางเขา เอเลนมองตาม
แต่สายตาที่ทอดมองมาราวกับเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกัน
“ใคร.....” เอเลนเอ่ยถามเบาๆ แจนรู้สึกถึงนัยน์ตาของตนที่ร้อนผ่าว
คุณชายจำเขาไม่ได้...............
“ใครครับ ผมไม่รู้จัก” เอเลนถามย้ำอีกครั้ง
“ไม่รู้จัก จริงเหรอ” รีไวเอ่ยถามยิ้มๆ
“ครับ.........ไม่รู้จักจริงๆ” เอเลนตอบพลางจ้องมองแจนอีกครั้ง
“ค......คุณชาย......”
มือใหญ่หมายจะคว้าเอามือบอบบางที่ตนเคยกอบกุมมาให้อุ่นไอ แต่เอเลนกลับเป็นฝ่ายปัดออกแถมยังถอยห่างออกจากเขา
“ไม่!!! อย่าแตะผม คุณเป็นใคร”
“คุณชาย ผมเองครับ.....คุณชายผมเอง” แจนพยายามเข้าใกล้เอเลนอีกครั้ง
เขาไม่รู้ว่าการผ่าตัดนี้จะเปลี่ยนเขาไปมากมายแค่ไหน แต่ที่ชัดๆ
เสียงที่กำลังเปล่งอยู่ในตอนนี้ ไม่ใช่เสียงเดิมของเขาอย่างแน่นอน
“อย่าแตะผม ไม่เอา ผมกลัว อย่าแตะผม!!!”
เอเลนโวยวายขณะหลบไปมุดอยู่หลังรีไว
“คุณชาย..........ผมเองครับ.......แจน........ผมเอง”
แจนพร่ำเรียกร่างบางด้วยหัวใจที่บอบช้ำ
“ไม่ใช่.........ไม่ใช่แจน.........โกหก!!! โกหก!!!” เอเลนเริ่มมีท่าทีตื่นตระหนก แจนทรุดกายลงกับพื้น มือใหญ่เอื้อมจับข้อเท้าเล็กเอาไว้แต่เอเลนกลับถอยหนีออกไปอีก
“คุณชาย..........ได้โปรด” รู้สึกอ่อนแรงราวกับสูญเสียพลังชีวิตไปเมื่อถูกคุณชายผู้เป็นที่รักปฏิเสธ
“เจ้านาย กลับบ้าน!!! ผมอยากกลับบ้าน”
“ได้สิ ถ้าเอเลนมั่นใจว่าไม่รู้จัก ฉันก็จะพาเอเลนกลับบ้านเดี๋ยวนี้”
เบลทรูทโอบไหล่บางที่ดูตื่นๆออกจากห้องพยาบาลไป
รีไวจึงหันกลับมาพูดกับแจนที่ทรุดร่างอยู่แทบเท้าเขาอีกครั้ง
“แย่หน่อยนะ ดูเหมือนจะจำไม่ได้ เข้าใกล้ก็ไม่ได้ด้วย แล้วคราวนี้ล่ะ
นายจะดูแลคุณชายของนายได้ยังไงกัน”
“แกต้องการจะกันฉันออกจากคุณชายตั้งแต่แรกแล้วใช่มั้ย”
“นั่นมันก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่ฉันต้องการมันมากกว่านั้น”
รีไวก้มลงจ้องตากับแจนเต็มตาแล้วเอ่ยเสียงเย็น
“ฉันแค่อยากให้แกได้ลิ้มรสชาติความทรมานของการที่อยากจะเป็นเจ้าของแต่ไม่มีสิทธิ์แตะต้องได้บ้างก็เท่านั้นเอง
เจ็บใจมั้ยล่ะ ทั้งๆที่อยู่ตรงหน้า แต่กลับไม่มีสิทธิ์ที่จะสัมผัส” แจนจ้องมองนัยน์ตาสีนิลที่ทอประกายความโกรธแค้นคู่นี้นิ่ง
ดวงตาคู่นี้
แววตาแบบนี้ เขาเคยเห็นมาก่อน แต่...................ที่ไหนกัน
“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
จงจมอยู่ในห้วงแห่งความทรมานนั้นเสียเถอะ แจน กิลชูไตน์”
ถึงแม้จะกลับมาถึงรถแล้ว
แต่เอเลนก็ยังไม่ยอมสงบ
“ใคร เขาเป็นใคร ผมไม่รู้จัก เขาเป็นใครกัน” เบลทรูทกอดร่างบางเอาไว้แน่น
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรหรอก ไม่ต้องกลัวนะครับ”
“เขาจะจับผม เขาจะรังแกผม.....ไม่เอา ไม่เอา”
“ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอกครับ คุณรีไวไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นกับคุณหรอก”
“เจ้านาย......เจ้านายอยู่ไหน ช่วยผมด้วย”
“เดี๋ยวคุณรีไวก็มานะครับ ใจเย็นๆ”
“เจ้านาย!!!....เจ้านาย!!!”
เอเลนยังเอาแต่สั่นไม่หยุดจนกระทั่งเมื่อรีไวปรากฏตัวขึ้น
เบลทรูทสละที่นั่งลุกขึ้นไปประจำที่นั่งข้างคนขับปล่อยให้ชายหนุ่มโอบกอดร่างบางเพื่อปลอบขวัญ
“ไม่เป็นไรไม่ต้องกลัว ผู้ชายคนนั้นฉันอยากให้เอเลนรู้จักไว้เพราะตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
เขาจะมาช่วยฉันปกป้องเอเลนเอง”
“คนของเจ้านาย ไม่น่ากลัวใช่มั้ย”
“ใช่ ไม่น่ากลัว แต่จำเอาไว้ เอเลนไม่จำเป็นต้องพูดหรือใส่ใจเขา
เพราะเขาเป็นแค่คนรับใช้คนหนึ่งเท่านั้น จำไว้นะเด็กดี”
“ครับ ไม่พูด ไม่คุย ไม่สนใจ”
“ที่สำคัญอย่าปล่อยให้หมอนั่นเข้าใกล้ ถ้าไม่จำเป็น”
“ไม่อยู่ใกล้ถ้าไม่จำเป็น” รีไวยิ้มรับอย่างอ่อนโยน
แจน
กิลชูไตน์ ฉันจะทำทุกอย่างเหยียบย่ำศักดิ์ศรี ความภาคภูมิใจทุกอย่าง
จนแกต้องมาอ้อนวอนร้องขอความตายอยู่แทบเท้าฉันให้ดู!!!
“คริสต้า เอาจริงเหรอ ถ้าถูกจับได้ เรื่องนี้ถึงผู้ปกครองเชียวนะ”
“ถึงก็ถึง กลัวอะไร ถ้ากลัวก็ไม่ต้องไป ฉันไปเอง” คาบเรียนยังไม่ทันจะเริ่ม
คริสต้ากับเพื่อนก็หนีเรียนเสียแล้ว อันที่จริงถ้าถูกจับได้ก็ดี
เพราะการถูกเรียกมาตักเตือนแบบนี้ก็คงจะสร้างความอับอายให้กับพ่อได้บ้าง
แต่ก็น้อยนักที่จะถูกเจอจังๆ และสถานที่สุดฮิตของเด็กที่โดดเรียนออกมาเดินเตร่ก็คงไม่พ้นห้างสรรพสินค้านั่นเอง
พวกเด็กๆต่างก็เข้าร้านนั้นเดินออกร้านนี้เป็นว่าเล่น คริสต้ารอจังหวะที่พวกเพื่อนๆเผลอแอบไปยืนในที่ลับสายตาคน
แต่ก็เลือกอยู่ในส่วนที่กล้องวงจรปิดของร้านส่องเห็นแล้วหยิบหนังสือเล่มหนึ่งใส่กระเป๋าเป้ไปเงียบๆ
“ทำอะไร” สะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกมือใหญ่ของใครบางคนคว้ามือข้างที่ถือหนังสือเอาไว้
จนทำร่วงหลุดลงกับพื้น
“ปล่อยนะ!!!” เด็กสาวพยายามสะบัดตัวให้หลุดออกจากการเกาะกุม
“หยิบของที่ยังไม่จ่ายเงินออกจากร้านไปแบบนั้น มันขโมยไม่ใช่รึไง”
“ฉันเปล่านะ ไม่ได้ขโมยเสียหน่อย” โกหก ออกไปคำโต ไม่คิดว่าจะถูกจับได้จังๆแบบนี้
บ้าเอ้ย เสียแผนหมด
“มานี่!!!”
ผู้ชายคนนั้นหยิบหนังสือขึ้นจากพื้นพลางลากคริสต้าตามออกมาด้วย
เป้าหมายของเขาคือเคาน์เตอร์ชำระเงิน
“ไม่นะ ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ได้ทำ ปล่อยฉัน ปล่อย!!!”
มือใหญ่ล็อคคอเด็กสาวไว้พลางปิดปากที่กำลังโวยวายเอาไว้แน่น
“เอาเล่มนี้ครับ” ชายหนุ่มเอ่ยกับพนักงานในเคาน์เตอร์
หลังจากชำระเงินเสร็จสรรพก็ลากคริสต้าออกจากร้านติดมือมาด้วย ในขณะที่เธอยังโวยวายไม่หยุด
“ปล่อยนะ......ปล่อยๆ” เมื่อคำเรียกร้องไม่เป็นผล
เด็กสาวฝังคมเขี้ยวลงบนข้อมือของชายหนุ่มทันที
“เด็กบ้าเอ้ย!!!” ชายคนนั้นบ่นพลางสะบัดมือตัวเองไล่ความปวด
“เป็นหมารึไง กัดมาได้ มันเจ็บนะ”
“คุณก็ปล่อยฉันแต่แรกก็สิ้นเรื่อง”
“ถ้าปล่อยแล้วเธอหนีไปจะทำยังไง”
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว” คริสต้าตอบเสียงสะบัดแต่ผู้ชายคนนั้นกลับขำไม่หยุด
“หัวเราะอะไร” เด็กสาวตวาดด้วยความหงุดหงิด
“เปล่า แค่รู้สึกว่าเธอตลกดี”
คริสต้าหลบสายตาคมปลาบที่ชายคนนั้นจ้องมองมา
ดวงตาคู่นั้นเฉียบคมราวกับจะล้วงลึกถึงความนึกคิดข้างในใจเธอ
“เอาไปสิ” ชายผู้นั้นยิ้มพลางยื่นหนังสือเล่มนั้นมาให้
“ไม่ได้อยากได้สักหน่อย” คริสต้าปัดหนังสือเล่มนั้นลงกับพื้น
“ทิ้งๆขว้างๆหนังสือแบบนี้เดี๋ยวก็โง่หรอก” ผู้ชายคนนั้นแสร้งบ่นดังๆให้คริสต้าได้ยิน
ขณะที่ก้มเก็บหนังสือขึ้นมาถือไว้
“ถ้าไม่อยากได้ จะขโมยทำไม”
“ไม่ใช่เรื่องของคุณ!!!” เด็กสาวขู่ฟ่อ
แต่ผู้ชายคนนั้นก็แค่ยิ้มขำเบาๆ
“นั่นสินะ ไม่เกี่ยวกับฉันนี่.........” มือใหญ่ยัดหนังสือลงใส่มือของเด็กสาว
“ถือว่าฉันซื้อให้ก็แล้วกัน ถ้าไม่อยากได้ก็โยนทิ้งไปซะ” เขาพูดแล้วก็เดินจากไป ไม่ได้หันกลับมาสนใจคริสต้าอีก เด็กสาวมองตามแผ่นหลังชายหนุ่มที่ทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ
“บ้า......บ้าที่สุด คนอะไรกัน........บ้า!!!”
กลับมาถึงบ้านเย็นนี้รีไวก็ได้เห็นเอเลนกำลังง่วนอยู่กับการเช็ดทำความสะอาดไวโอลินที่เขามอบให้ไม่หยุด
ร่างบางวิ่งตรงมาหาทันทีเมื่อเห็นเขาเดินเข้าบ้านมาแต่มีอันต้องชะงักไปเมื่อเห็นคนที่เดินตามหลังรีไวมาติดๆ
ผู้ชายท่าทางน่ากลัวที่เจอที่โรงพยาบาลเมื่อเช้านี้......เจ้านายบอกว่าอย่าเข้าใกล้
รีไวลอบยิ้มเมื่อเห็นท่าทีของเอเลนที่มีต่อแจน
“จะไปไหนก็ไปเถอะ เอิร์ด” แต่แจนยังคงยืนนิ่ง
“ก็บอกว่าให้ไป!!!” รีไวขึ้นเสียงดังขึ้นอีก
“ครับ.....” คราวนี้แจนยอมถอยไปแต่โดยดี เอเลนวิ่งไปเกาะแขนชายหนุ่มไว้แล้วเริ่มอ้อน
“ผมไม่ชอบ.....ผู้ชายคนนั้นไม่เชื่อฟังเจ้านาย”
“ไม่ชอบก็ดีแล้วล่ะ” รีไวลูบแก้มใสเบาๆ เอเลนคว้าข้อมือใหญ่มามองดูใกล้ๆ
เมื่อสังเกตเห็นรอยฟันที่ประทับอยู่บนข้อมือของชายหนุ่ม
“เจ้านาย......เจ้านายเป็นอะไร เจ้านายมีแผล” รีไวก้มมองรอยฟันที่เพิ่งได้รับมาวันนี้แล้วแค่นยิ้ม
“ก็แค่หมากัดน่ะ อย่าใส่ใจเลย”
“เจ้านายเจ็บมั้ย” เอเลนเป่าลมลงบนข้อมือให้เบาๆ
“แค่เอเลนเป่าให้ก็หายแล้ว”
“เจ้านายเจ็บตรงไหนอีก ผมจะเป่าให้”
“ไม่มีแล้วล่ะ ไม่เจ็บแล้ว หิวแล้วไปกินข้าวเย็นกันเถอะเด็กดี” รีไวโอบร่างบางเดินเข้าห้องอาหารไปในขณะที่เอเลนยังคงซักไม่เลิก
“ไม่เจ็บจริงๆนะ.....”
“ใช่......ไม่เจ็บจริงๆ”
แจนได้แต่ลอบมองคุณชายของเขาเดินคลอเคลียไปกับศัตรูคู่แค้นด้วยความเจ็บปวดใจอยู่เงียบๆ
“ฉันขอสาบาน ฉันจะเอาเลือดแกมาล้างเท้าฉันกับคุณชายให้ได้ รีไว แอคเคอร์แมน!!!”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น