“เย็นมากแล้ว คุณควรจะกลับได้แล้วนะครับ” ชายหนุ่มที่เดินตามหลังเด็กสาวร่างเล็กอยู่ร่วมชั่วโมงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือน
“เป็นแค่การ์ด อย่าสอดปากพูดจะได้มั้ย” เด็กสาวตอบกลับด้วยถ้อยคำเผ็ดร้อน
“คุณยังไม่กลับบ้าน คุณท่านจะเป็นห่วงเอานะครับ”
“ช่างสิ คิดว่าเขาจะเป็นห่วงฉันหรือไง......เขาก็ห่วงแต่สมบัติของเขาเท่านั้นแหละ” เด็กสาวยังคงเดินไปเรื่อยเปื่อย
“เรื่องที่บริษัทก็ทำให้คุณท่านปวดหัวมากแล้ว คุณคริสต้าอย่าทำให้คุณท่านต้องเป็นกังวลมากไปกว่านี้เลยนะครับ”
เพี๊ยะ!!!!!
พอจบคำใบหน้าคมคายก็ถึงกับสะบัดด้วยแรงตบที่ไม่ใคร่จะเบานัก
“คิดว่าตัวเองเป็นใคร กล้าดียังไงมาสั่งสอนฉัน......อาร์มิน อัลเรลโต้”
“ผมเพียงแค่พูดในฐานะคนที่มีประสบการณ์มากกว่าที่กำลังเตือนเด็กที่กำลังหลงทางก็เท่านั้น”
“ฉันไม่อยากได้ยินคำสั่นสอนที่หลุดออกมาจากปากคนรับใช้อย่างนายหรอกนะ” เด็กสาวตวาดเสียงดังก่อนจะเดินตึงตังเข้าไปนั่งรอที่รถแต่โดยดี อาร์มินมองตามแผ่นหลังเล็กบางแล้วก็ต้องถอนใจ
ในความดื้อรั้นเอาแต่ใจที่เห็น
ก็ยังพอมีสามัญสำนึกอยู่บ้างแหละนะ.......
ตลอดทางที่ผ่านมาคริสต้าแทบไม่ได้ปริปากเอ่ยอะไรสักคำ
ซึ่งนั่นก็ทำให้อาร์มินอดคิดไม่ได้ว่า
ดีเหมือนกัน
จะได้ไม่ต้องเปลืองน้ำลาย…..
รถยนต์สีดำค่อยๆเลี้ยวเข้าคฤหาสน์ตระกูลเลนซ์ช้าๆ
คริสต้าเดินปึงปังเข้าบ้านไปทันทีเมื่อรถจอด
“แกหายไปไหนมา!!!!” เสียงผู้เป็นพ่อตะโกนดังลั่นใส่ลูกสาวราวกับฟ้าผ่า
“ก็ไปเที่ยว ไปเล่น ไปช็อป ไม่ได้รึไง” เด็กสาวเองก็ตวาดเสียงดังกลับไปไม่แพ้กัน
“แกก็รู้ว่าสภาพการเงินของบ้านเราเป็นยังไง
ยังมีหน้าเอาเงินไปผลาญเล่นอีกเหรอ”
“สมบัติของคุณลุงมีเยอะแยะตั้งเท่าไหร่ เงินจะหมดพ่อก็เอาไปขายซะสิ
จะกลัวอะไรในเมื่อตอนนี้พ่อก็ครอบครองทุกอย่างแล้ว” ยิ่งได้ฟังคำต่อล้อต่อเถียงของลูกผู้เป็นพ่อก็ยิ่งรู้สึกขุ่นเคือง
“เด็กอย่างแกมันจะไปรู้อะไร
ที่ฉันทำไปทั้งหมดนี้ก็เพื่อแก....ไม่เข้าใจรึไง”
“พ่ออย่าเอาหนูมาเป็นข้ออ้างหน่อยเลย ทุกอย่างที่พ่อทำ ก็เพื่อตัวพ่อเอง
ขนาดพี่ชายกับหลานแท้ๆพ่อก็ยังขายได้ อีกหน่อยก็คงจะขายหนูกินเหมือนกัน”
“หุบปาก!!!!” ผู้เป็นพ่อตวาดดังพร้อมกับมือหยาบที่ตวัดยกขึ้น
แต่มีอันต้องหยุดไปเพราะแรงฉุดจากชายหนุ่มผู้มีกำลังวังชามากกว่า
“ใจเย็นก่อนครับคุณท่าน คุณหนูยังเด็กอาจจะพูดอะไรไม่ระวังไปบ้าง
โปรดอภัยให้ด้วยครับ”
“แกมันก็ดีแต่ให้ท้ายมันนั่นแหละอาร์มิน
ตามใจมันแบบนี้มันถึงได้กล้าหือกับฉัน”
“ขออภัยครับคุณท่าน ผมจะพาคุณคริสต้าขึ้นห้องเดี๋ยวนี้”
เด็กสาวมองพ่อด้วยสายตาตัดพ้อแล้วรีบวิ่งขึ้นห้องล็อคประตูเอาไว้เสียแน่นหนา
อาร์มินที่เดินตามหลังมาเคาะประตูห้องนอนเบาๆ
“คุณหนูครับ กรุณาเปิดประตูด้วยครับ”
“ไสหัวไป ไม่ต้องมายุ่ง”
เสียงตะโกนตอบมาปนกับเสียงสะอื้น
“อย่าโกรธคุณท่านเลยนะครับ ตอนนี้คุณท่านอยู่ในภาวะเครียด ยิ่งคุณหนูดื้อคุณท่านก็ยิ่งอารมณ์แปรปรวนมากขึ้นไปอีก”
“เอะอะก็เลนซ์กรุ๊ป เอะอะก็สมบัติ ช่างหัวมันสิให้มันล้มละลายไปเลยยิ่งดี
สมน้ำหน้า ยังไงซะสมบัติพวกนั้นมันก็ไม่ใช่ของพ่อตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ให้ทุกอย่างมันพังๆไปให้หมดเลย”
“กรุณาเปิดประตูก่อนเถอะครับ......คุณคริสต้า”
“เลิกเรียกสักทีเถอะน่า รำคาญ จะไสหัวไปที่ไหนก็รีบไป”
“................”
เสียงที่ควรจะตอบกลับมาดันเงียบไปเสียอย่างนั้น
อะไรกัน
พอบอกให้ไป ก็ไปง่ายๆแบบนั้นเลยเหรอ.....
พอวิ่งออกมาเปิดประตูก็ถึงกับผงะเมื่อเจอร่างชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่หน้าประตู
“คุณเองก็รู้ว่าคุณท่านอยู่ในสถานการณ์ลำบากมากแค่ไหน คนที่จะเป็นกำลังใจให้คุณท่านได้มีเพียงคุณเท่านั้นนะครับ
กรุณาอย่าทำอะไรให้คุณออแลนโด้ต้องหนักใจไปมากกว่านี้เลยครับ” อาร์มินสั่งสอนด้วยท่าทีอ่อนโยนซึ่งนั่นทำให้คริสต้ามีท่าทีอ่อนลงเล็กน้อย
“ฉันก็แค่อยากจะทำให้พ่อเจ็บปวดบ้างก็เท่านั้น”
“ไม่มีอะไรจะเจ็บปวดมากไปกว่าการถูกคนในครอบครัวให้ร้ายหักหลังอีกแล้วล่ะครับ......คุณคริสต้าคุณควรจะไปขอโทษคุณท่านนะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเบาฝ่ายเด็กสาวตีหน้ายุ่งแล้วตะคอกใส่
“รู้แล้วน่า......ไว้จะไปขอโทษก็แล้วกัน” พูดจบก็ปิดประตูใส่หน้าเขาเสียงดัง
อาร์มินลอบยิ้ม
“เด็ก....ยังไงก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำสินะ”
รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วไม่พบกับคนที่ตนนอนกกกอดอยู่ทั้งคืน...........แต่ก็เอาเถอะ
พอจะรู้อยู่หรอกว่าไปหลบอยู่ที่ไหน รีไวเดินตรงไปยังห้องดนตรี
ยิ่งเดินเข้าไปใกล้เสียงเปียโนก็ยิ่งดังชัดขึ้นเรื่อยๆ
“อรุณสวัสดิ์ครับ......” รีไวพยักหน้ารับคำทักทายที่เบลทรูทส่งมาให้
“อยู่ที่นี่ตลอดเลยเหรอ”
“ครับ....ตั้งแต่เช้าตรู่เลย” เบลทรูทตอบพลางมองร่างบางด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
รีไวเดินไปเปิดกล่องไวโอลินขึ้น
เครื่องดนตรีสีเข้มถูกบรรเลงด้วยความชำนิชำนาญ เมื่อเสียงเปียโนที่ดังก้องอยู่ในขณะนี้รวมเข้ากับเสียงไวโอลินของชายหนุ่มแล้วทำให้บทเพลงรักที่กำลังบรรเลงอยู่เสนาะหูยิ่งขึ้น
เอเลนหยุดมือหันไปมองรีไวที่กำลังซึมซับอารมณ์สุนทรีอยู่ใกล้ๆ
“หยุดทำไมล่ะ......ไม่อยากเล่นแล้วเหรอ”
ขณะที่ชายหนุ่มเอ่ยถาม เอเลนส่ายหน้าเกาะแขนเขาเอาไว้แน่น
“ขอ........ขอได้มั้ยเจ้านาย.........ผมขอ.......” ดวงตากลมโตจ้องมองไวโอลินตาเป็นประกาย
รีไวส่งยื่นไวโอลินที่ร่างบางอยากได้ให้กับมือ
“เอาสิ จะเปียโน ไวโอลิน เชลโล่ อะไรก็ตามที่เอเลนอยากได้ฉันให้หมด ขอแค่เอเลนบอกว่าอยากได้ก็พอ”
เสียงไวโอลินขาดๆเกินๆดังลั่นทั่วทั้งสนามเด็กเล่น แม้ผู้ฟังจะมีเพียงเด็กน้อยหน้าตาสกปรกมอมแมมเท่านั้น
แต่ผู้บรรเลงก็ยังตั้งหน้าตั้งตาเล่นต่อไปด้วยรอยยิ้มภาคภูมิ เมื่อจบเพลง
เสียงปรบมือเปาะแปะจากเด็กน้อยข้างถนนผู้ฟังที่แสนดีก็ดังขึ้น ในขณะที่มือไวโอลินฝึกหัดเองก็โค้งให้แก่ผู้ฟังอย่างงดงาม
แล้วจึงไถลตัวลงมานั่งข้างเด็กน้อยสกปรกมอมแมมคนนี้
มือน้อยๆเกาะแขนเด็กชายที่เนื้อตัวมอมแมมโดยไม่สนใจความสกปรกนั้น
“เป็นไงๆ เพลงที่ฉันเล่น เพราะใช่มั้ย” เด็กน้อยข้างถนนพยักหน้ารับเงียบๆ
แล้วคิดในใจ ถึงตอนนี้จะยังฟังไม่เป็นเพลงเท่าไหร่
แต่ถ้าคุณฝึกฝนต่อไปมันจะต้องเพราะอย่างแน่นอน
“สุดยอดใช่มั้ยล่ะ......ฉันชอบมากเลยนะเวลาที่ได้เล่นเครื่องดนตรีพวกนี้
รู้สึกมีความสุขมากๆ ก็เลยอยากให้คนฟังมีความสุขไปด้วยล่ะ”
เด็กน้อยเจื้อยแจ้วเจือด้วยรอยยิ้มหวาน
“รู้อะไรมั้ย มอมแมม สิ่งที่ช่วยปลอบประโลมหัวใจมนุษย์ได้ก็คือ
เสียงดนตรีและความรักยังไงล่ะ” เด็กน้อยมอมแมมมองรอยยิ้มสดใสนั้นแล้วก็อดที่จะยิ้มตามไปด้วยไม่ได้
“ฟังอีกสักเพลงนะ มอมแมม” เห็นท่าทีดีใจขนาดนั้นใครจะไปขัดได้ลงคอ
เสียงไวโอลินแปลกๆแปร่งๆจึงดังขึ้นอีกหนึ่งคำรบ.....
แตกต่างกับตอนนี้อย่างสิ้นเชิง……
เสียงไวโอลินที่นุ่มนวลชวนฝันราวกับล่องลอยไปในนาวาดังก้องทั่วทั้งห้องดนตรี
แม้จะเป็นเพลงที่บรรเลงมาจากคนๆเดียวกัน แต่ก็แสดงให้เห็นว่า
คนผู้นี้ได้พัฒนาฝีมือขึ้นมาจากครั้งยังเยาว์วัยมากมายเพียงใดแล้ว ยิ่งเห็นเอเลนมีความสุขเท่าไหร่
รีไวก็ยิ่งอยากจะตอบสนองความต้องการทุกอย่างของร่างบางมากขึ้นเท่านั้น
“ไม่ว่าอะไรก็ตามที่คุณปรารถนา ผมจะทำให้ทุกอย่างเป็นจริงเอง
ความรักของผมจะฉุดรั้งคุณให้หลุดออกมาจากโลกมืดมนนี้ ขอเพียงแค่คุณมีความสุข
แม้จะต้องเสียทุกอย่างไป ผมก็ยอม”รีไวพึมพำกับตัวเองเบาๆ
“ทีนี้ก็คงไม่ต้องไปนั่งกดรีโมททีวีเล่นอีกแล้วนะครับ” เบลทรูทก้มกระซิบเสียงเบา
“อืม.....วันนี้ก็ฝากด้วยนะ ถ้าเบื่อก็พาออกไปนอกบ้านบ้างก็ได้”
“ครับ.....นายท่าน”
ถึงไม่อยากจะออกจากบ้านแต่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ในเมื่อเขามีงานที่จะต้องสะสางอยู่อีกมาก
ทันทีที่ประตูห้องทำงานเปิดก็เจอเข้ากับชายหนุ่มผมบลอนด์ตีหน้าเข้มยืนท้าวเอวขวางประตูอยู่
“อะไร.....”
“โบนัสกับโอทีเมื่อวานนี้.....จ่ายผมมา”
รีไวแค่นเสียง
หึ ขึ้นจมูก เขี่ยร่างเล็กให้พ้นทางแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้บุนวมตัวโต
“มันก็ต้องรอสิ้นเดือนไม่ใช่รึไง”
“ถ้าสิ้นเดือนผมคิดสามเท่า” นานาบะไม่ยอมง่ายๆหรอกนะ
“ฉันให้สิบเท่า.....หุบปากแล้วรายงานมา”
นานาบะยักไหล่
สิบเท่าก็ไม่เลว......เงินดีๆแบบนี้ ถึงงานจะหนักนิด เจ้านายจะขี้โมโหหน่อย
ก็ไม่มีปัญหา มือเรียวหยิบเอกสารในซองสีน้ำตาลออกมาแล้วยื่นส่งให้
“ล่าสุดเมื่อวานนี้ออแลนโด้ เลนซ์เพิ่งจะขายหุ้นเลนซ์กรุ๊ปทอดตลาดเพิ่มไป
ตอนนี้จำนวนหุ้นที่เขาเหลืออยู่จริงๆมีแค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ถ้าคุณคิดจะเทคโอเวอร์เลนซ์กรุ๊ป แค่กว้านซื้อหุ้นที่ขายไปก็พอแล้วนี่ครับ”
“แบบนั้นมันจะไปสนุกอะไรกันล่ะ” รีไวดูรายงานดัชนีหุ้นในมือแล้วยิ้มเย็น
“คือตอนนี้....นอกจากจะประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงินแล้วปัญหาครอบครัวก็ดูจะหนักเอาการเหมือนกันนะครับ”
“ครอบครัวเหรอ”
“ครับ ลูกสาวคนเดียวของเขา คริสต้า เลนซ์ ค่อนข้างจะเอาเรื่องอยู่”
“พวกเด็กมีปัญหาที่ชอบเรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่งั้นเหรอ”
“ครับ” นานาบะยื่นรูปถ่ายใบหนึ่งส่งให้ รีไวจ้องมองภาพเด็กสาวร่างเล็กที่นั่งกินไอศกรีมในร้านแห่งหนึ่งชัดๆ
“คริสต้า เลนซ์ เหรอ” มองเก็บรายละเอียดบุคคลในภาพอีกที
ไม่ถึงกับเหมือน
แต่ก็มีส่วนคล้าย……….
รีไวส่งรูปถ่ายกลับไปให้นานาบะ
แล้วเอ่ยถาม
“เรื่องที่สั่งไปก่อนหน้านี้ ว่ายังไง” นานาบะยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วตอบมา
“ป่านนี้เรื่องไปถึงมือตำรวจแล้วล่ะครับ”
ชาวประมงพ่อลูกที่ล่องเรือหาปลาอยู่ริมท่าเรือกำลังช่วยกันหว่านแห่จับปลาอยู่ตามปกติ
อยู่ดีๆ เจ้าลูกชายก็ตะโกนขึ้น
“พ่อๆ มาช่วยกันหน่อย สงสัยจะได้ตัวใหญ่”
เมื่อไม่สามารถดึงแหในมือขึ้นมาเองได้ก็ต้องหากำลังเสริม
สองพ่อลูกช่วยกันลากแหขึ้นมาบนเรือจนสำเร็จ เจ้าลูกชายที่กำลังจะปลดปลาตัวโตออกจากแหตะโกนก้องลำเรือด้วยความตกใจ
“เหวอ!!! ผี”
เสียงจอกแจก
จอแจของพวกคนชอบมุงและพวกนักข่าวดังทะลุโสตประสาทเสียจนผู้กองหนุ่มเริ่มจะหงุดหงิด
คนพวกนั้นต่างก็อยากที่จะข้ามแนวกั้นเทปสีเหลืองเพื่ออยากจะร่วมรู้ร่วมเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ท่าเรือแห่งนี้
โคนี่ถ่ายรูปศพที่สองพ่อลูกพบโดยละเอียด ในขณะที่ซาช่าก็ไปสอบปากคำผู้แจ้งเหตุทั้งสอง
“จะมีงานไหนที่เจ้าพวกนั้นไม่ตามกลิ่นมาบ้างมั้ยนะ” เอลวินบ่นให้พวกนักข่าวดังๆ
“ทำใจเถอะครับผู้กอง คุณออกจะเป็นเซเล็บขนาดนี้
คุณจับคดีไหนก็เป็นที่สนใจของพวกนักข่าวหมดนั่นแหละ” โคนี่ตอบขำๆพร้อมกับถ่ายรูปผู้กองหนุ่มไปด้วย
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าห้ามถ่ายรูปฉัน......หน้าฉันมันเหมือนศพนักรึไง” เอลวินผลักหัวเกรียนๆของลูกน้องด้วยความหัวเสีย
“ขอโทษครับ.....บังเอิญผู้กองหล่อเกิ้น!!!”
“ดูท่าคนร้ายจะโกรธแค้นผู้ตายน่าดู เล่นเสียไม่เหลือเค้าเดิมเลย” ซาช่าวิเคราะห์สภาพศพคร่าวๆ
“ค้นเจอบัตรประชาชนหรือหลักฐานที่พอจะระบุตัวผู้ตายบ้างมั้ย”
“ไม่มีเลยค่ะ....คงต้องรอผลการตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์ยืนยันอีกที” เอลวินนวดขมับตัวเองเบาๆ คดีเก่ายังไม่คืบหน้าไปไหน
คดีใหม่ก็มาให้ปวดหัวอีกแล้วสิ อะไรกันนักหนานะ
“ซาช่า.......แจ้งทางนิติเวชด้วยว่าฉันขอผลด่วน”
“รับทราบค่ะ!!!”
ผู้กองหนุ่มนั่งกุมขมับวิเคราะห์ภาพศพ
พร้อมกับอ่านรายงานการสอบปากคำที่ได้จากสองพ่อลูกชาวประมงเงียบๆ
“ไม่พบอาวุธ ไม่พบรอยเลือดจากบริเวณใกล้เคียง ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ขัดขืน
สภาพศพเน่าเปื่อยขนาดนี้คงเสียชีวิตมาแล้วอย่างน้อยสามวัน ดูท่า
คดีนี้คงเป็นการฆ่าเพื่ออำพรางคดีมากกว่า” เอลวินมองภาพศพที่ใบหน้าเละจนไม่มีชิ้นดีอีกครั้ง
“แต่ดูท่าทาง ฆาตกรคงมีเรื่องโกรธแค้นกับผู้ตายน่าดู
ถึงได้ลงมือเหี้ยมโหดถึงขนาดนี้ แต่โกดังแถวนี้ก็มีรายงานเรื่องการซื้อขายยาเสพติดบ่อยครั้งอาจมีการขัดแย้งผลประโยชน์กันก็เป็นได้
แต่หากประเมินดูอายุคร่าวๆ
ก็ยังนับว่าอยู่ในวัยฉกรรจ์ประเด็นเรื่องชู้สาวก็ยังตัดไปไม่ได้อีก บ้าเอ้ย!!! ไม่มีอะไรที่พอจะเป็นหลักฐานได้เลย สมมติฐานก็มีเป็นร้อยเป็นพัน แล้วจะเริ่มจากตรงไหนกันดีล่ะเนี่ย” เอลวินวางรายงานในมือแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะ พลางถอนหายใจออกมาเสียงดัง
“เหนื่อยชะมัด” ร่างสูงหลับตานิ่งพักสายตาเล็กน้อย
แต่จู่ๆก็นึกขึ้นมาได้
“เดี๋ยวสิ........สองคดีนี้เกิดไร่เรี่ยกัน
อาจจะมีความเชื่อมโยงกันก็เป็นได้นี่นา”
เอลวินลงมือตรวจสอบภาพศพของผู้ตายอย่างระเอียดอีกครั้ง
ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ โคนี่ และซาช่าวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาพอดี
“ว่ายังไง
ได้อะไรมาบ้าง”
“ผลการตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์ได้มาแล้วครับผู้กอง”
โคนี่หอบหายใจ ยื่นรายงานในมือส่งให้
“ผลการตรวจพิสูจน์ระบุว่า ผู้เสียชีวิตคือ แจน กิลชูไตน์!!!”
ผลการพิสูจน์อัตลักษณ์ที่ได้กลับทำให้เอลวินปวดหัวหนักขึ้นไปอีก
เบาะแสสำคัญอะไรก็ไม่มี มือสังหารที่กำลังตามหาตัวก็ดันมาชิงตายไปเสียก่อน
“จากการตรวจชันสูตรพบว่าผู้ตายเสียชีวิตจากการถูกยิงเข้าที่หน้าอกหลังจากนั้นจึงถูกของแข็งทุบที่บริเวณใบหน้าและศีรษะอย่างแรงหลายครั้ง
แล้วจึงถูกนำศพมาทิ้งน้ำ เวลาการเสียชีวิตราวๆสามวันค่ะ” ซาช่ารายงานข้อมูลเพิ่มเติม
“มิน่าล่ะ หาตัวแทบตายก็หาไม่เจอ ที่แท้ก็ชิงตายไปแล้วนี่เอง.......”
“แบบนี้มันก็คงต้องปิดคดีงานประมูลนั่นไปเลยสินะคะ ในเมื่อมือสังหารก็ตายไปแล้วแบบนั้น”
“มันก็ช่วยไม่ได้น่ะนะ แต่ฉันยังไม่อยากให้คดีมันจบลงแบบนี้หรอกนะ” ผู้กองหนุ่มกล่าวเสียงอ่อนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ทำไมล่ะครับผู้กอง”
“แรงจูงใจที่ทำให้แจน กิลชูไตน์ก่อคดีนี้คือตุ๊กตาคนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ตอนนี้เจ้านี่มันตายไปแล้ว ตุ๊กตาก็ยังหาตัวไม่พบ
คดีนี้มันยังมีเบื้องหน้าเบื้องหลังที่เคลือบแคลงน่าสงสัยอยู่อีกมากมาย
ฉันอยากจะเปิดโปงคนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ให้ได้เสียจริงๆ”
“นั่นสินะคะ จะไปสอบเอากับคนร้ายก็ไม่ได้ ในเมื่อตายไปแล้ว” ซาช่าเกาหัวตัวเองแกรกๆ
“ศพของแจน กิลชูไตน์อยู่ที่นี่ แล้วตุ๊กตาล่ะ ไปอยู่ไหนกันนะ
ภาพจากกล้องวงจรปิดก็แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย
แล้วจะไปตามหาตัวได้จากที่ไหน........คงไม่ใช่ว่าถูกเปลี่ยนมือไปให้คนใหม่แล้วหรอกนะ”
ถ้าตกไปอยู่ในมือพวกที่เส้นสายใหญ่ๆเข้า
คงไม่มีทางเข้าถึงตัวได้ง่ายๆแน่
“จะไปไหนเหรอ” ร่างบางที่กอดไวโอลินเอาไว้แน่นเอ่ยถามเบลทรูทที่ลากเขาเดินออกจากบ้านมาด้วยกัน
“ผมจะพาคุณไปดูอะไรดีๆนะครับ” เบลทรูทยิ้มตอบในขณะที่กระชับมือเอเลนแน่น
“อะไรเหรอ”
“ผมจะพาคุณไปรู้จักเพื่อนใหม่ เขาเป็นเพื่อนเจ้านายด้วยนะครับ”
“เพื่อนเจ้านายเหรอ” พอเป็นเรื่องของรีไว เอเลนก็ดูจะกระตือรือร้นขึ้นมาทันทีทันใด
“ครับ สนิทกันมาก ผมเลยจะพาคุณเอเลนไปรู้จักบ้าง”
เบลทรูทยิ้มแล้วเริ่มออกวิ่ง เมื่อถูกลากด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น เอเลนจำต้องเร่งฝีเท้าตาม
สนามดินขนาดใหญ่ที่ล้อมด้วยรั้วไม้ปรากฏขึ้นตรงหน้า ถึงจะเป็นลานเปิดโล่ง
แต่รอบๆกลับมีต้นไม้น้อยใหญ่คอยให้ร่มเงากระจายตัวอยู่เรื่อยๆ
ชวนให้น่าพักผ่อนยิ่งนัก
เสียงฝีเท้ากุบกับของสัตว์จำนวนหนึ่งดังแว่วเข้ามาใกล้
เอเลนมองฝูงสัตว์ที่วิ่งผ่านหน้าด้วยความเร็วชนิดฝุ่นตลบตาโต
ร่างบางวิ่งไปเกาะขอบรั้วไม้อย่างลืมตัว
“ม้า!!! ม้าเป็นฝูงเลย” ร่างบางอุทานขึ้นเสียงดัง
“ครับ!!! นี่แหละ เพื่อนสนิทของเจ้านาย
รอผมตรงนี้นะครับ”
เบลทรูทกระโดดข้ามรั้วไม้ออกวิ่งไล่ตามม้าฝูงนั้น
เป้าหมายของเขาคือม้าสีน้ำตาลตัวใหญ่
พอคว้าขนแผงคอของมันได้ก็โหนตัวขึ้นควบเจ้าม้าตัวนั้นทันที ร่างสูงควบม้าของตนตีคู่ม้าสีดำตัวเขื่องท่าทางดุร้ายตัวหนึ่งที่วิ่งนำหน้าสุดของฝูง
ค่อยๆต้อนให้มันวิ่งเลียบรั้วไม้แล้วไล่ให้หยุดลงตรงหน้าเอเลน
เจ้าม้าสีดำท่าทางกระฟัดกระเฟียดดูเหมือนว่ามันจะไม่พอใจที่เขาไปขัดจังหวะการวิ่งสู้ฟัดของมันสักเท่าไหร่
เอเลนถอยตัวออกห่างจากรั้วด้วยความตกใจ
“ไม่ต้องกลัวครับ ม้าก็เหมือนเจ้าของ ขี้หงุดหงิดพอกัน แต่ใจดี” เบลทรูทยิ้มพลางลูบขนแผงคอเจ้าม้าสีดำเพื่อเอาใจ เจ้าม้าหน้าเริ่ดเชิดหน้าสะบัดหนีมือใหญ่อย่างไว้ตัว
“ก็ได้ๆ ไม่จับก็ได้” เบลทรูทหัวเราะเบาๆ
“นี่สตอร์มครับ เพื่อนสนิทของเจ้านาย” ร่างสูงแนะนำม้าสีดำให้เอเลนรู้จัก
“ส่วนนี่ ลิลลี่ เพื่อนสนิทผมเองครับ” เบลทรูทตบหลังม้าที่ตนขี่อยู่ดังป้าบๆๆ
แต่เจ้าม้ากลับส่งเสียงร้องด้วยความยินดี
“จับได้ไหม” เอเลนลองยื่นมือออกไป
“ระวังมันงับนะครับ” พอได้ยินแบบนี้ก็รีบชักมือกลับทันที
“ผมล้อเล่นครับ ลิลลี่ไม่ดุหรอกครับ” ว่าพลางคว้ามือเรียวมาสัมผัสจมูกม้าสีอ่อนเบาๆ
เจ้าม้าแล่บลิ้นสากๆเลียมือบางเป็นการตอบสนอง เอเลนหน้าแดงทันที.......จั๊กจี้จัง
“แล้วสตอร์ม.......ผมจับได้มั้ย”
“สตอร์ม นี่คนสำคัญของเจ้านายนะ อย่ารังแกคุณเอเลนเชียวล่ะ เดี๋ยวเจ้านายโกรธไม่รู้ด้วยนะ” เบลทรูทหันไปพูดกับม้าตัวเขื่อง ราวกับเข้าใจคำพูด สตอร์มยืนนิ่งให้เอเลนสัมผัสแต่โดยดี
แต่เพียงไม่นานเจ้าม้าตัวนั้นก็ดีดตัวออกวิ่งไปกับฝูงอีกครั้ง เอเลนตกใจจนเกือบล้มดีที่เบลทรูทคว้าแขนไว้ได้ทัน
“ไม่เป็นไรนะครับ”
“ไม่ ไม่เป็นไร แค่ตกใจเล็กน้อย”
“ขึ้นด้วยได้มั้ย” เอเลนเอ่ยถามเบาๆราวกับเกรงใจ เบลทรูทยิ้มรับแล้วฉุดเอาร่างเล็กขึ้นมานั่งบนหลังลิลลี่ด้วยกัน
“ด้วยความยินดีครับ”
ลิลลี่วิ่งเหยาะๆเลียบไปตามรั้วสนามช้าๆ
เอเลนส่งเสียงหัวเราะเอิ้กอ้ากชอบใจ มือบางกำขนแผงคอเจ้าลิลลี่เอาไว้แน่นในขณะที่เบลทรูทช่วยโอบเอวเล็กไว้เพื่อกันไม่ให้ร่วงลงไปอีกที
“เร็วอีกได้มั้ย”
“ไม่กลัวแล้วเหรอครับ” เบลทรูทกระซิบข้างหูคนที่อยู่ในอ้อมแขน
“ไม่กลัวแล้ว!!!” เอเลนส่ายหน้า เบลทรูทกระชับเอวบางไว้แล้วเร่งความเร็วขึ้น
“รับทราบครับ!!!”
ชายหนุ่มควบลิลี่เข้าไปในฝูงเร่งความเร็วขึ้นจนตามสตอร์มได้ทันแล้ววิ่งตีคู่กันไป
เอเลนถึงกับโห่ร้องเสียงดังตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ นับว่าเป็นครั้งแรกที่เบลทรูทเพิ่งจะเห็นเอเลนยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุขขนาดนี้
ไม่เคยรู้หรอกว่าก่อนหน้านี้ร่างบางเคยใช้ชีวิตมาแบบไหน ต้องพบเจอกับเรื่องเลวร้ายอะไรบ้าง
แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าโลกของผู้ชายน่าสงสารคนนี้ช่างเปราะบางเหลือเกิน ทั้งเปราะบาง
อ่อนไหว อ่อนโยน และน่าทะนุถนอม
“ชอบมั้ยครับ” เบลทรูทเอ่ยถามคนที่เอาแต่หัวเราะร่วน
“ชอบสิ......ชอบมาก” เบลทรูทยิ้มรับ
“วันหลังก็ลองให้เจ้านายพาขี่สตอร์มดูนะครับ รับรอง เร็วกว่านี้แน่นอน”
เอเลนเชิดหน้ารับสายลมเย็นที่ปะทะเข้ามา
ปลายผมอ่อนนุ่มพัดพลิ้ว กลิ่นหอมนุ่มนวลโชยเข้าจมูกคนที่กำลังควบม้าอยู่ขณะนี้
ตั้งแต่วันแรกที่ถูกพามาที่คฤหาสน์แห่งนี้
เบลทรูทก็สำนึกได้ดีเขามีหน้าที่ต้องดูแลและปกป้องความปลอดภัยของรีไว
นี่เป็นคำสั่งที่นายใหญ่เคยสั่งไว้ เขาต้องเป็นทั้งโล่ ทั้งดาบที่ซื่อสัตย์
ไม่มีสิทธิ์เคลือบแคลงสงสัยในคำสั่งใดๆ ชีวิตนี้อุทิศให้แก่ชายผู้ชื่อรีไว
แอคเคอร์แมนเท่านั้น แม้จะถูกสั่งให้ไปตายก็ต้องไปอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
แต่นี่เป็นครั้งแรก........ครั้งแรกที่ชายหนุ่มรู้สึกอยากจะปกป้องใครสักคนขึ้นมาจากใจจริง
โดยเฉพาะ คนที่อยู่ในอ้อมแขนเวลานี้
“อยากให้เจ้านายอยู่ตรงนี้ด้วย” เอเลนเอ่ยขึ้นเจือด้วยรอยยิ้มหวานขณะที่หันไปมองเบลทรูท
ชั่วครู่ริมฝีปากบางปัดเฉียดสัมผัสแก้มของคนที่กำลังสับสนเบาๆ ชายหนุ่มเบิกตาโพลง
ลูบแก้มตนเองอย่างลืมตัว
“ขออภัยครับ......ผมไม่ทันระวัง ผมไม่ได้ตั้งใจ”
เบลทรูทตะกุกตะกักพูดขอโทษออกไปทั้งๆที่ตนเป็นฝ่ายเสียหายแท้ๆ แต่ดูเหมือนเอเลนจะไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าเมื่อครู่นั้นตัวเองได้จุ๊บแก้มชายหนุ่มไปแล้ว
ร่างบางยังคงส่งยิ้มพิมพ์ใจให้ไม่ขาด
“ถ้าคุณรีไวอยู่......คงจะสนุกดี”
ถ้อยคำนั้นทำให้ร่างสูงนิ่งไป.......
นั่นสินะ
ยังมีคุณรีไวอยู่ คนๆนี้มีคุณรีไวคอยปกป้องอยู่ทั้งคน
เขาไม่มีความจำเป็นอะไรสำหรับคนๆนี้เลยแม้แต่น้อย
“ครับ.......ถ้าเจ้านายอยู่ด้วยคงจะดี” เบลทรูทยิ้มรับแล้วตอบกลับไป
“ชื่อ?.......ชื่ออะไร”
เสียงใสยังคงเจื้อยแจ้วไม่หยุด
“ผมเหรอครับ?” เบลทรูทถามกลับด้วยความประหลาดใจ เอเลนมักจะไม่ค่อยให้ความสนใจกับสิ่งแวดล้อมรอบกายสักเท่าไหร่
ที่สำคัญร่างบางนี้ก็มีความจำระยะสั้นในขนาดที่ว่าสามารถลืมไปได้ง่ายๆในเวลาไม่ถึงสามนาที
แม้รีไวจะเรียกขานเขาบ่อยครั้งเอเลนก็ยังไม่เคยจะใส่ใจ
แต่จู่ๆเกิดจะอยากรู้ชื่อเขาขึ้นมาแบบนี้มันน่าดีใจน้อยเสียเมื่อไหร่
“ใช่.........ชื่ออะไร”
“เบลทรูทครับ”ตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้บางๆ เอเลนยิ้มรับ
“ชอบนะ!!! ผมชอบเบลทรูท เบลทรูทใจดี คุณรีไวก็ใจดี แจนก็ใจดี
ผมชอบ”
คำว่าชอบในความหมายของร่างบาง
แม้เบลทรูทจะไม่รู้ว่ามันเป็นแบบไหน แต่ก็ทำให้หัวใจคนฟังลิงโลดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
อยากจะรู้เสียเหลือเกินว่าเอเลนได้เข้าใจสิ่งที่ตนพูดออกมาแค่ไหนกันนะ
วงแขนใหญ่โอบกระชับเอวบางเอาไว้แล้วกระซิบให้ร่างบางฟังเบาๆ
“ผมก็ชอบคุณเอเลนเช่นกันครับ”
ใบหน้าสวยยิ้มรับอย่างใสซื่อ
เบลทรูทก้มลงกระซิบข้างใบหูของร่างบาง
“ผมไม่รู้ว่าคุณเข้าใจมากแค่ไหน
แต่ช่วยเก็บเรื่องที่ผมชอบคุณไว้เป็นความลับได้มั้ยครับ”
“เจ้านายก็บอกไม่ได้เหรอ”
ใบหน้าสวยแลดูฉงน
“ครับ
คุณรีไวก็บอกไม่ได้ครับ เก็บเรื่องนี้ให้เป็นความลับระหว่างเราสองคน”
“อื้ม....เอางั้นก็ได้”
กลีบปากบางคลี่ยิ้มงาม
“ความลับของเราสองคน.....”
เสียงหวานยังคงพึมพำกับตัวเองเบาๆ คนที่เฝ้ามองถึงขั้นเผลอไผลไปชั่วขณะ
ร่างสูงก้มหน้าลงในระยะประชิดกระซิบเสียงแผ่ว
“ถ้าคุณรักษาสัญญาเอาไว้ได้มันคงเป็นเรื่องดี
แต่มันจะดียิ่งกว่านี้หากต่อจากนี้ไปสามนาทีคุณจะลืมทุกอย่างที่ผมทำไปทั้งหมด”
เอเลนเงยหน้ามองคนพูดในจังหวะที่ริมฝีปากของชายหนุ่มได้ทาบทับลงมา
ริมฝีปากที่แนบสนิทบดคลึงแผ่วเบา
เรียวลิ้นนุ่มสอดลึกเข้าไปสัมผัสในโพรงปากหวานเกี่ยวกระหวัดรัดรึงแลกรสสัมผัสหวานฉ่ำ
แม้ร่างบางจะดูใสซื่อไร้เดียงสาแต่เบลทรูทก็ต้องยอมรับว่าปฏิกิริยาการตอบสนองของเอเลนนี้ไวเกินคาด
ดูดดึงกลีบปากบางสีหวานเบาๆก่อนจะถ่ายถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง
เอเลนปรือตาฉ่ำน้ำจ้องมองชายหนุ่มตาลอย ริมฝีปากบางเจ่อช้ำขยับถามเสียงแผ่วๆ
“เรื่องนี้ก็บอกเจ้านายไม่ได้ใช่มั้ย”
“ครับบอกไม่ได้”
เบลทรูทรับคำเสียงเบาขณะที่แตะนิ้วไล้กลีบปากสีสวยช้าๆ
“ถือเป็นความลับระหว่างเราสองคนนะครับ!!!”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น