วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2557

{Attack On Titan:Levi x Eren } Kill me - Kiss me.-10:

{Attack On Titan:Levi x Eren } Kill me - Kiss me.-10
Chapter 10


“เป็นยังไงบ้าง รู้สึกไม่สบายตรงไหนอีก” ชายหนุ่มหน้าคมเอ่ยถามขณะที่หย่อนกายลงนั่งบนเตียงผู้ป่วย มือใหญ่ลูบแก้มเนียนของคนป่วยเบาๆ เอเลนได้แต่นั่งนิ่งจ้องมองชายหนุ่มแปลกหน้าอยู่เงียบๆ
“รีไว แอคเคอร์แมนคือผู้กุมอำนาจสูงสุดของตระกูลแอคเคอร์แมนขณะนี้ ผมไม่รู้ว่าเขามีเป้าหมายอะไร แต่จุดประสงค์ในการที่เขาควบคุมตัวพวกเราไว้ในกำมือถือว่าไม่ใช่เรื่องดี ผู้ชายคนนี้โหดเหี้ยม จิตใจวิปริตผิดมนุษย์ เพราะตอนนี้คุณชายกำลังป่วยเขาจึงไม่ยอมเผยธาตุแท้ออกมา ทางที่ดีคุณชายควรจะแสร้งทำเป็นป่วยต่อไปจะดีที่สุด เพื่อความปลอดภัยของคุณเองครับ” ถ้อยคำบอกเล่าของแจนยังคงก้องอยู่ในหัวตอกย้ำเตือนจิตใจของตนอยู่ตลอด
“ต้องการดื่มน้ำหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆเอ่ยถามเสียงเบา เอเลนหันไปมองก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“เบลทรูท ฮูเบอร์ คนผู้นี้เปรียบเสมือนเป็นมือขวาของรีไว ท่าทีสุภาพนุ่มนวล แต่หน้าเนื้อใจเสือ ไม่อาจไว้ใจได้”
“แล้วเป็นอะไร ทำไมมองแบบนั้น” รีไวเอ่ยถามอีกครั้งแต่เอเลนกลับล้มตัวลงนอนแล้วดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปง เห็นท่าทีหงุดหงิดแบบนั้นชายหนุ่มก็ไม่อยากจะเซ้าซี้เกินความจำเป็น แต่หันกลับไปตั้งคำถามกับเพื่อนสนิทแทน
“เป็นอะไรมากมั้ย”
ฮันซี่ยักไหล่ก่อนจะตอบ
“ก็คนมันป่วย ก็ต้องเหนื่อย เพลีย หงุดหงิดเป็นธรรมดา” รีไวพยักหน้ารับ แล้วนิ่งไปชั่วครู่ ความคิดบางอย่างแล่นริ้วเข้ามาในสมอง
“ถ้าฉันอยากจะให้หมอคนที่เธอเคยแนะนำให้ มาช่วยดูแลจิตใจเอเลนระหว่างที่นอนโรงพยาบาลจะได้มั้ย”
“ได้สิ ไม่มีปัญหาเลย จะโทรบอกให้ตอนนี้เลยก็ยังได้นะ เผื่อหมอนั่นจะแวะเข้ามาดูวันนี้”
“งั้นก็ฝากด้วยแล้วกันนะ” กล่าวกับเพื่อนสนิทก่อนจะหันไปพูดกับคนที่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม มือใหญ่เอื้อมไปสัมผัสแต่ร่างบางกลับขดตัวหนีอย่างจงใจ รีไวชะงักไปก่อนจะพูดออกมาเสียงเบา
“เอเลน ฉันต้องเข้าบริษัท เย็นๆถึงจะกลับมา นอนพักให้มากๆนะ”
รอจนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าเดินห่างออกไปไกลพร้อมกับประตูห้องได้ปิดลง เอเลนจึงได้มุดกายออกมาจากใต้ผ้าห่ม นัยน์ตากลมโตสีเขียวมรกต จ้องมองประตูห้องที่ปิดสนิทนิ่งงัน มือเรียวจิกทึ้งผ้าห่มสีขาวจนยับยู่

“และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นผมคิดว่าตระกูลแอคเคอร์แมนอาจมีส่วนเกี่ยวพันกับการฆ่าล้างตระกูลเยเกอร์เมื่อครั้งอดีตด้วยครับ”

นี่เป็นคำบอกเล่าจากแจนที่ทำให้เอเลนติดใจมากที่สุด กลีบปากบางเม้มแน่นด้วยแรงชิงชังจนแทบเป็นเส้นตรง เสียงหวานพึมพำกับตนเองแผ่วเบา
“ผู้ชายคนนั้น......เกลียด......เกลียดที่สุด!!!


นี่มันใช่หน้าที่ที่เขาต้องทำด้วยเหรอ...........
เอลวินได้แต่แอบบ่นในใจขณะเงยหน้ามองป้าย แผนกชันสูตร ที่ติดอยู่หน้าห้องก่อนจะลงมือเคาะ
“ขออนุญาตครับ”
“..............”
ไม่มีใครอยูรึไงนะ..........
ถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปข้างใน แอร์คอนดิชั่นภายในห้องเปิดในอุณหภูมิที่ต่ำจนขนลุก ทั่วทั้งห้องตกอยู่ในบรรยากาศอึมครึม มีเพียงกลิ่นบุหรี่และน้ำยาดองศพที่โชยคลุ้ง เงาร่างใหญ่ตะคุ่มที่ลุกขึ้นมาจากโซฟาทำให้เอลวินถึงกับสะดุ้ง
“มาหาใคร” น้ำเสียงทุ้มหงุดหงิดดังแว่วมาจากเงาดำนั้น
“ผมมาขอข้อมูลการตรวจชันสูตรศพปริศนาที่ท่าเรือเพิ่มเติมครับ ไม่ทาบว่าเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบที่นี่อยู่หรือเปล่า”
“ไม่อยู่......และก็ไม่มี” น้ำเสียงห้วนตัดบทขณะที่หลอดไฟกระพริบถี่ก่อนที่ทั่วทั้งห้องจะสว่างขึ้น
“หืม.....ผู้กองสมิธ?” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผมบลอนด์ยาวกระเซอะกระเซิงที่ปิดบังดวงตาทั้งคู่ไว้อุทานด้วยความแปลกใจ ก่อนจะยิ้มกริ่ม สาวเท้าเข้าไปใกล้ผู้กองหนุ่มอย่างถือวิสาสะ
“ปกติเห็นส่งแต่ลูกน้องมานี่นา.....เจ้าเด็กหัวโล้นกวนโอ๊ย ปากมากนั่นไปไหนซะล่ะ ทำไมถึงได้ปล่อยให้ผู้กองเซเล็บต้องลงมาถึงนี่เอง” ชายแปลกหน้าร่างใหญ่รุกคืบเข้าไปใกล้ เบียดกายเข้าหาผู้กองหนุ่มอย่างจงใจ เอลวินได้แต่ถอยจนกระทั่งแผ่นหลังประชิดกับผนังห้อง ไม่อาจถอยหนีไปได้อีกแล้ว ชายแปลกหน้ายืดแขนใหญ่เหยียดท้าวกับผนังห้องกักตัวเขาไว้ในอ้อมแขน
“สองคนนั้นออกตรวจพื้นที่อุบัติเหตุหมู่บนเส้นไฮเวย์ ผมถึงต้องมาเอง” เอลวินตอบขณะเบี่ยงหน้าหนีกลุ่มควันบุหรี่ที่อีกฝ่ายจงใจพ่นใส่หน้าเขาเต็มๆ
จะเบียดไปไหนวะ............
ได้แต่แอบสบถในใจ ชายร่างใหญ่ผมเผ้ายุ่งเหยิง หนวดเครารุงรัง ท่าทางสกปรกมอมแมมคนนี้มันเป็นใครกัน ถ้าเกิดแตะต้องเขามากกว่านี้คงต้องใช้เทควันโดซัดให้หมอบ........
แต่จู่ๆชายแปลกหน้าผู้นั้นก็หัวเราะขึ้นเสียงดัง แล้วผละห่างออกไป
“ขอโทษที ไม่ต้องทำสีหน้ารังเกียจขนาดนั้นก็ได้ ผมแค่ไม่ได้อาบน้ำมาสามวันเอง.......คือ ทำงานจนเพลินน่ะ คุณบอกว่าอยากได้ผลการตรวจชันสูตรศพที่ว่ากันว่าเป็นร่างของ แจน กิลชูไตน์ใช่มั้ย” ชายผู้นั้นเอ่ยถามขณะที่รื้อค้นเอกสารที่กองเกลื่อนอยู่บนโต๊ะทำงาน
“ใช่”
“ได้สิ......แต่ต้องมีค่าตอบแทนนะ” ชายผู้นั้นกล่าวขณะที่โบกเอกสารในมือหยอยๆ เป็นเชิงหยอกเย้า
“ค่าตอบแทนอะไร รัฐก็จ่ายเงินเดือนให้คุณอยู่แล้ว” เอลวินตอบหน้าเครียด แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มระรื่น
“ค่าตอบแทนพิเศษน่ะ ผู้กองสมิธอุตส่าห์ให้เกียรติมาเยือนทั้งที..........เย็นนี้ไปดื่มกับผมสิ แล้วผมจะเอานี่ให้คุณ”
เอลวินมองปึกเอกสารที่อีกฝ่ายหยิบไปพัดเล่นก่อนจะตอบหน้ายุ่ง
“เย็นนี้ผมไม่ว่าง......เลิกล้อเล่นแล้วรีบส่งมาเถอะ” อย่าให้เขาต้องรู้สึกโมโหมากยิ่งกว่านี้อีกเลย.....ใช่เพื่อนเล่นกันรึไง
“ใครบอกว่าผมล้อเล่น!!!! ผมพูดจริงนะ” ชายร่างใหญ่ตอบเสียงเอื่อย ขณะที่ยกขาขึ้นเหยียดพาดโต๊ะอย่างสบายใจ
“ผมกำลังรีบ.....เลิกกวนประสาท......” ขณะที่เอลวินกำลังบ่น ชายผู้นั้นก็ยกมือส่งสัญญาณให้เขาเงียบ ก่อนจะหยิบมือถือของตนขึ้นมา
“ว่าไง”
“อยู่เวรรึเปล่า”
“ไม่!!! วันนี้จ๊อบพิเศษ”
“งั้นก็พอจะมีเวลาอ่ะดิ”
“ก็ตอนนี้ยังไม่มีเคส อิตาลีกำลังสงบสุข” เสียงทุ้มเอ่ยกลั้วหัวเราะ
“เออๆ จำเคสที่เคยคุยกันก่อนหน้านี้ได้มั้ย ที่ว่าเป็นฮิสทีเรียน่ะ”
“อืม.....ทำไม”
“ตอนนี้แอดมิทอยู่ที่แผนกฉัน พอจะมีเวลาแวะมาดูให้มั้ย”
“โอเค.....วันนี้ว่าง”
“ขอบใจมาก ฉันจะบอกพยาบาลที่แผนกไว้ก็แล้วกัน”
“อืม........” ตัดวางสายก่อนจะหันมาสนใจแขกผู้ที่กำลังยืนหน้ามุ่ยอีกครั้ง

“เสียดายจริงๆผมคงไม่มีเวลาเล่นกับคุณแล้ว มีคนไข้วีไอพีที่ผมต้องรีบไปดู.......พวกแอคเคอร์แมนเสียด้วยสิ ถ้าไม่พอใจเดี๋ยวจะเป็นเรื่อง” เสียงทุ้มพูดเอื่อยๆแต่จงใจวางระเบิดให้คนฟังเต็มที่
“ไว้วันหลังถ้ามีโอกาสค่อยไปดื่มด้วยกันก็แล้วกัน” มือใหญ่ยื่นเอกสารสรุปผลการตรวจชันสูตรส่งให้ แต่เอลวินกลับรวบข้อมือนั้นไว้แล้วพลิกตัวเบียดชายหนุ่มผู้นั้นเข้าติดกับกำแพง
“เย็นนี้ผมว่างแล้วสิ ไปดื่มกันก็ได้นะ” เอลวินกล่าวเสียงเบา เบียดต้นขาบดคลึงเป้ากางเกงของชายร่างสูงอย่างจงใจ อีกฝ่ายกลับยิ้มกรุ้มกริ่ม
“แต่ผมไม่ว่างแล้วสิ ไว้วันหลังไม่ดีกว่ารึไง” เอ่ยตอบอย่างยั่วเย้าขณะที่ถือโอกาสเนียน ยื่นมือไปคลึงสะโพกแน่นเนื้อของผู้กองหนุ่มอย่างจงใจ
ใจกล้าไม่เบานี่........เอลวิน สมิธ
“ให้ผมไปด้วยสิ.....ผมไปรอคุณก็ได้ แล้วหลังจากนั้นเราค่อยไปต่อกัน” มือใหญ่รีบตะปบมือปลาหมึกที่เริ่มจะไต่ยุบยับคลานต่ำลงไปหาส่วนที่ไม่ควรแตะต้องเอาไว้
เห็นเขาเล่นด้วยหน่อยก็ได้ใจใหญ่เชียวนะ
“งั้นก็ตกลงก็แล้วกัน”

ยี่สิบนาทีผ่านไป ผู้กองหนุ่มก้มมองนาฬิกาข้อมือเป็นครั้งที่สามขณะที่ติดเครื่องรถนั่งรอผู้ชายโรคจิตแปลกหน้าที่บอกว่ามีงานด่วนต้องรีบไป แต่ต้องขอจัดการสภาพโสโครกของตัวเองเสียก่อน
“มันมัวแต่ขัดขี้ไคลอยู่รึไง หนังหน้าแบบนั้นขัดยังไงก็คงไม่ดูดีขึ้นมาหรอก” บ่นออกมาเป็นรอบที่รอย ถึงรู้ว่าบ่นไปก็เท่านั้น แต่มันก็ถือว่าเป็นการระบายความเครียดอย่างหนึ่ง
เสียเวลาชะมัด!!!!!
ขณะที่กำลังหงุดหงิดสุดขีด เสียงเคาะกระจกฝั่งประตูที่นั่งข้างคนขับก็ดังขึ้น ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ใบหน้าคมเข้มในเสื้อเชิ้ตสีขาว เส้นผมสีบลอนด์ทองยาวมัดรวบหลวมๆไว้เป็นหางม้าด้านหลังกับนัยน์ตาสีฟ้าทอประกายสีน้ำทะเลกำลังส่งยิ้มมาให้เขา
“มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ” เอลวินเอ่ยถามขณะที่ลดกระจกลง
“พอดีเลยครับ.....คุณจะช่วยปลดล็อคประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับให้ผมได้รึเปล่าครับผู้กอง ผมไม่อยากพังกระจกหน้าต่างรถคุณเปิดเข้าไปหรอกนะครับ” ชายหนุ่มตอบพร้อมรอยยิ้มกริ่ม น้ำเสียงแน่นทุ้มกับถ้อยคำกวนโอ๊ยแบบนี้นี่มัน....
ผู้ชายร่างใหญ่ที่ดูดีระดับซุปเปอร์โมเดลคนนี้นี่ ใช่คนเดียวกันกับอีตาโรคจิตในห้องชันสูตรนั่นจริงๆเหรอ
“ขอโทษที....เชิญ” เอลวินกล่าวตอบหน้าเรียบ ขณะที่ชายหนุ่มร่างสูงยัดตัวเข้ามานั่งในรถ
“จะว่าไปเราก็ยังไม่ได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการเลยนี่นา ผม มิเกะ ซาคาเรียส”
“ผมคงไม่ต้องแนะนำตัวหรอกมั้ง” เอลวินกล่าวขณะที่เริ่มออกรถมุ่งหน้าไปสู่โรงพยาบาลกลาง
“คุณน่ะ....เด็กห้าขวบยังรู้จักเลย ไม่ต้องแนะนำตัวก็ได้” มิเกะเอ่ยกลั้วหัวเราะ
“คุณเป็นหมอเหรอ”
“ผมเป็นจิตแพทย์ ถ้าคุณมีปัญหาอะไรปรึกษาผมได้ตลอดเวลานะผู้กอง ผมจะช่วยเยียวยาหัวใจคุณให้เอง”
“มีแต่จะสร้างปัญหาให้กันล่ะสิไม่ว่า” แม้จะพยายามลดเสียงลงมากขนาดไหน แต่ระยะแค่นี้คนที่นั่งอยู่ข้างๆก็ยังได้ยินอยู่ดี มิเกะหัวเราะลั่นอย่างชอบใจ
“คุณนี่เป็นคนตรงดีนะผู้กอง”
“แล้วคุณมาทำงานแผนกชันสูตรได้ยังไง”
“ก็แค่พาร์ทไทม์ บังเอิญว่าผมสนใจเรื่องร่างกายมนุษย์เป็นพิเศษก็เลยเรียนเฉพาะทางด้านนี้มา งานชันสูตรก็เหมือนทำเล่นฆ่าเวลา การที่ต้องรับฟังปัญหาจิตใจของคนอื่นอยู่ตลอดเป็นเรื่องหนัก ช่วงเวลาที่ผมลงมีดชำแหละร่างกายมนุษย์นี่แหละเป็นช่วงเวลาปลดปล่อยของผม”
“โรคจิต!!!
“ขอบคุณที่ชม......อาจารย์ของผมก็ชมผมแบบนี้เหมือนกัน แต่ตอนนี้ผมกำลังสนใจว่าโครงร่างใหญ่ๆกล้ามเนื้อแน่นๆแบบนี้ถ้าเปิดเปลือยออกมาแล้วมันจะสวยงามแค่ไหนกัน” มิเกะกล่าวขณะที่เอื้อมมือไปลูบต้นขาผู้กองหนุ่มเบาๆ เอลวินตกใจถึงกับเหยียบเบรกกะทันหัน รถที่วิ่งไล่หลังมาต่างพากันเบรกจนตัวโก่ง เสียงแตรรถจากด้านหลังบีบไล่ระงม ภายในรถเกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่ มิเกะมองใบหน้าเผือดสีบึ้งตึงของผู้กองหนุ่มแล้วรีบละมือออก
“ขอโทษ ผมไม่กวนคุณอีกก็แล้วกัน” มิเกะกล่าวขณี่นั่งเงียบแล้วหันหน้าออกมองนอกหน้าต่าง
“เป็นความกรุณาอย่างสูง” เอลวินที่เหมือนจะได้สติกลับมาตอบเสียงดังด้วยความหงุดหงิดแล้วตีโค้งหักเลี้ยงอย่างแรง

สถานที่ราชการเขาไม่ให้สวมหมวกกับแว่นดำนะครับคุณมิเกะหันไปพูดกับชายหนุ่มร่างสูงผู้สวมแว่นกันแดดสีเข้มปิดบังใบหน้าไปมากกว่าครึ่งที่เดินตามหลังมา
คุณบอกเองนี่ ว่าเด็กห้าขวบยังรู้จักผม จะให้ผมเดินโทงๆเข้ามาเฉยๆได้ยังไง
เป็นคนดังนี่มันก็ลำบากจังนะมิเกะเอ่ยขำๆขณะที่เดินไปถึงเคาน์เตอร์พยาบาล
อ้าว คุณหมอไม่เจอกันนานเลยนะคะพยาบาลประจำเวรเอ่ยทักทายกับชายหนุ่มอย่างคุ้นเคย
อยากเจอผมบ่อยๆก็ย้ายไปอยู่แผนกผมสิครับ
แหม แผนกจิตเวช?.....เกรงใจจังค่ะผู้ป่วยจิตเวชใช่ว่าจะดูแลกันง่ายๆที่ไหน
ขอผมดูชาร์ตคนไข้ที่ฮันซี่ฝากไว้หน่อยครับ
ต้องตามราวด์มั้ยคะพยาบาลสาวเอ่ยถามขณะที่ยื่นชาร์ตส่งให้
คงต้องคุยกันยาว ไม่รบกวนดีกว่าครับ
มิเกะเปิดดูข้อมูลผู้ป่วยคร่าวๆขณะที่พาเอลวินเดินไปยังห้องผู้ป่วยพิเศษ
เอเลน เยเกอร์ ยี่สิบสี่ปี.......หืม อายุแค่นี้เป็นฮิสทีเรีย ท่าทางจะผ่านเรื่องแย่ๆมาเยอะน่าดู
คุณบอกว่าคนไข้ของคุณเป็นพวกแอคเคอร์แมนไม่ใช่เหรอ แต่ดูจากนามสกุลแล้วนี่......เหมือนจะเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่ฮันซี่บอกว่าเขาเป็นคนที่อยู่ในความดูแลของรีไว แอคเคอร์แมน ก็คงต้องตามนั้นมิเกะตอบก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้องผู้ป่วย
คุณไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นนะเขาหันมาสำทับกับเอลวินก่อนจะปล่อยให้ผู้กองหนุ่มตามเข้าไป
บนเตียงนอนสีขาวมีชายหนุ่มร่างบางนั่งมองหน้าต่างอย่างเหม่อเลยอยู่เพียงผู้เดียว เอลวินรีบสำรวจเก็บรายละเอียด เอเลน เยเกอร์ในทันที
สวัสดีครับ คุณเอเลน ผมขอนั่งตรงนี้นะครับมิเกะกล่าวขณะที่ลากเก้าอี้และโต๊ะมานั่งข้างเตียงโดยเว้นระยะห่างไว้พอสมควร
ผมชื่อ มิเกะ ซาคาเรียส เป็นหมอที่จะมาดูแลด้านจิตใจของคุณ
จิตแพทย์เหรอ......
เอเลนปรายตามองชายหนุ่มร่างสูงเพียงชั่วครู่ก่อนจะเหม่อออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่สนใจ
อากาศข้างนอกกำลังดีเลยนะครับ เหมาะแก่การออกไปนั่งรับลมเย็นมากๆ
“..........”
อยากจะออกไปหรือเปล่าครับ
“.........” แม้จะไม่มีคำตอบใดๆ แต่มิเกะก็พอจะสังเกตเห็นว่าร่างบางตรงหน้า ค่อนข้างจะสนใจการออกไปข้างนอกมากทีเดียว
จำชื่อตัวเองได้หรือเปล่าครับ
เอเลนเสียงหวานตอบกลับมาเบาๆ
รู้หรือเปล่าครับ ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน
“.........บ้าน
ที่นี่คือโรงพยาบาลครับ เสียใจจริงๆที่ผมต้องบอกว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของคุณมิเกะกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มหู
“...........”
อยากจะกลับบ้านใช่มั้ยครับ
อืม.....
คุณจะได้กลับก็ต่อเมื่ออาการป่วยดีขึ้น ระหว่างนี้ ผมจะมาคุยกับคุณทุกวันนะครับ
ไม่เอา.....ไม่จำเป็นท่าทางปฏิเสธอย่างก้าวร้าวทำให้มิเกะต้องเพิ่มระยะห่างระหว่างตัวเองกับเอเลนมากขึ้น ชายหนุ่มเริ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างแต่ยังคงเก็บไว้ในใจเงียบๆ
คุณคงต้องการความเป็นส่วนตัว ถ้าเช่นนั้นผมจะมาใหม่วันหลัง
มิเกะกล่าวขณะที่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มือใหญ่เผลอปัดปากกาที่จดบทสนทนาระหว่างเขากับเอเลนกลิ้งตกลงจากโต๊ะ แต่ก่อนที่มันจะหล่นลงกับพื้นเอเลนกลับคว้ามันไว้ได้ก่อน แล้วจึงวางลงบนโต๊ะเงียบๆ มิเกะเก็บปากกาด้ามนั้นลงกระเป๋าก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ
ดูเหมือนคุณคงจะไม่ต้องพึ่งจิตแพทย์จริงๆ ในเมื่อคุณไม่ได้มีปัญหาทางจิตอะไรอย่างที่ฮันซี่พูดมิเกะพูดเสียงเรียบขณะที่คอยสังเกตท่าทีของเอเลนไปด้วย
ผมคงต้องบอกเรื่องนี้กับแพทย์เจ้าของไข้ของคุณขณะที่จิตแพทย์หนุ่มกำลังจะเดินผละห่างออกไป เอเลนกลับคว้าข้อมือของเขาเอาไว้เสียก่อน
อย่า......อย่าบอกพวกเขาว่าผมไม่ได้เป็นบ้า......ได้โปรดเถอะคุณหมอร่างบางเอ่ยเสียงสั่น มือเรียวกุมข้อมือใหญ่ของจิตแพทย์หนุ่มไว้แน่น
คุณกำลังมีปัญหาอะไร คุณเอเลน
ผมไม่รู้จักพวกเขา ผมไม่รู้ว่าพวกเขาต้องการอะไรจากผม และผมก็ไม่รู้ว่าพวกเขากักตัวผมไว้ทำไม ผมกลัวว่าถ้าหากพวกเขารู้ว่าผมหายดีแล้ว พวกเขาจะเล่นงานผม
คุณแน่ใจเหรอ
ผมไม่รู้.....แต่ผมไม่ไว้ใจพวกเขาจริงๆ
จิตแพทย์หนุ่มหันไปมองหน้าผู้กองเซเล็บที่เอาแต่ยืนเงียบอยู่ตลอด ถ้าเอเลน เยเกอร์ให้การยืนยันว่าไม่รู้จักพวกแอคเคอร์แมนจริงๆแล้วล่ะก็.....มีสิทธิ์เป็นไปได้อย่างยิ่งที่ผู้ชายคนนี้จะเป็นเหยื่อของคดีอาชญากรรมลักพาตัว
แต่ก็อย่างว่า เรื่องแบบนี้ไม่อาจตัดสินด้วยการฟังความข้างเดียวได้
เอลวินสาวเท้าเข้าไปใกล้ก่อนจะวางมือลงบนไหล่ของชายหนุ่มร่างบาง
ใจเย็นๆก่อน คุณไม่ต้องกลัว ผมเป็นตำรวจ ผมสามารถช่วยคุ้มครองคุณได้
คุณจะพาผมกับพี่ชายออกไปจากที่นี่ได้มั้ยครับ
เรื่องนั้น..........คงเป็นไปได้ยาก
ไม่ได้สินะครับ
คือ.....ถ้าไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด ผมก็ไม่สามารถจับกุมความผิดอะไรของรีไว แอคเคอร์แมนได้
เอลวินกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ไม่ใช่ไม่รู้ว่ามือของรีไว แอคเคอร์แมนนั้นแปดเปื้อนมากแค่ไหน เพียงแค่ไม่เคยหาหลักฐานที่มัดตัวฝ่ายนั้นได้อย่างจังๆเลยสักครั้ง.........
และแล้ว ความคิดหนึ่งก็วูบเข้ามาในสมองของเอเลน
ถ้าหากว่าผม......ช่วยหาหลักฐานเอาความผิดกับรีไว แอคเคอร์แมนมาได้ คุณจะช่วยรับรองความปลอดภัยให้ผมกับพี่ชายได้หรือเปล่า
ขอแค่มีหลักฐาน การจะจับกุมคนผิดย่อมไม่ใช่เรื่องยากเอลวินยิ้มรับ หากมีคนใกล้ชิดคอยเป็นหูเป็นตาให้มันย่อมดียิ่งกว่า
ถ้าอย่างนั้น เรื่องหลักฐานความผิดของรีไว แอคเคอร์แมน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ผมเอง
นัยน์ตาสีเขียวมรกตทอประกายวาวโรจน์ด้วยความชิงชัง


ในเมื่อคุณเป็นคนทำลายชีวิตและครอบครัวของผมทั้งชีวิต.......คราวนี้ถึงทีผมบ้าง จะตอบแทนทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกคุณทำให้อย่างสาสม!!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น