“เป็นยังไงบ้าง
รู้สึกไม่สบายตรงไหนอีก” ชายหนุ่มหน้าคมเอ่ยถามขณะที่หย่อนกายลงนั่งบนเตียงผู้ป่วย
มือใหญ่ลูบแก้มเนียนของคนป่วยเบาๆ
เอเลนได้แต่นั่งนิ่งจ้องมองชายหนุ่มแปลกหน้าอยู่เงียบๆ
“รีไว
แอคเคอร์แมนคือผู้กุมอำนาจสูงสุดของตระกูลแอคเคอร์แมนขณะนี้
ผมไม่รู้ว่าเขามีเป้าหมายอะไร
แต่จุดประสงค์ในการที่เขาควบคุมตัวพวกเราไว้ในกำมือถือว่าไม่ใช่เรื่องดี ผู้ชายคนนี้โหดเหี้ยม
จิตใจวิปริตผิดมนุษย์ เพราะตอนนี้คุณชายกำลังป่วยเขาจึงไม่ยอมเผยธาตุแท้ออกมา
ทางที่ดีคุณชายควรจะแสร้งทำเป็นป่วยต่อไปจะดีที่สุด
เพื่อความปลอดภัยของคุณเองครับ”
ถ้อยคำบอกเล่าของแจนยังคงก้องอยู่ในหัวตอกย้ำเตือนจิตใจของตนอยู่ตลอด
“ต้องการดื่มน้ำหรือเปล่าครับ”
ชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆเอ่ยถามเสียงเบา
เอเลนหันไปมองก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“เบลทรูท ฮูเบอร์ คนผู้นี้เปรียบเสมือนเป็นมือขวาของรีไว
ท่าทีสุภาพนุ่มนวล แต่หน้าเนื้อใจเสือ ไม่อาจไว้ใจได้”
“แล้วเป็นอะไร
ทำไมมองแบบนั้น” รีไวเอ่ยถามอีกครั้งแต่เอเลนกลับล้มตัวลงนอนแล้วดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปง
เห็นท่าทีหงุดหงิดแบบนั้นชายหนุ่มก็ไม่อยากจะเซ้าซี้เกินความจำเป็น
แต่หันกลับไปตั้งคำถามกับเพื่อนสนิทแทน
“เป็นอะไรมากมั้ย”
ฮันซี่ยักไหล่ก่อนจะตอบ
“ก็คนมันป่วย
ก็ต้องเหนื่อย เพลีย หงุดหงิดเป็นธรรมดา” รีไวพยักหน้ารับ แล้วนิ่งไปชั่วครู่
ความคิดบางอย่างแล่นริ้วเข้ามาในสมอง
“ถ้าฉันอยากจะให้หมอคนที่เธอเคยแนะนำให้
มาช่วยดูแลจิตใจเอเลนระหว่างที่นอนโรงพยาบาลจะได้มั้ย”
“ได้สิ
ไม่มีปัญหาเลย จะโทรบอกให้ตอนนี้เลยก็ยังได้นะ เผื่อหมอนั่นจะแวะเข้ามาดูวันนี้”
“งั้นก็ฝากด้วยแล้วกันนะ”
กล่าวกับเพื่อนสนิทก่อนจะหันไปพูดกับคนที่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม
มือใหญ่เอื้อมไปสัมผัสแต่ร่างบางกลับขดตัวหนีอย่างจงใจ
รีไวชะงักไปก่อนจะพูดออกมาเสียงเบา
“เอเลน
ฉันต้องเข้าบริษัท เย็นๆถึงจะกลับมา นอนพักให้มากๆนะ”
รอจนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าเดินห่างออกไปไกลพร้อมกับประตูห้องได้ปิดลง
เอเลนจึงได้มุดกายออกมาจากใต้ผ้าห่ม นัยน์ตากลมโตสีเขียวมรกต
จ้องมองประตูห้องที่ปิดสนิทนิ่งงัน มือเรียวจิกทึ้งผ้าห่มสีขาวจนยับยู่
“และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นผมคิดว่าตระกูลแอคเคอร์แมนอาจมีส่วนเกี่ยวพันกับการฆ่าล้างตระกูลเยเกอร์เมื่อครั้งอดีตด้วยครับ”
นี่เป็นคำบอกเล่าจากแจนที่ทำให้เอเลนติดใจมากที่สุด
กลีบปากบางเม้มแน่นด้วยแรงชิงชังจนแทบเป็นเส้นตรง เสียงหวานพึมพำกับตนเองแผ่วเบา
“ผู้ชายคนนั้น......เกลียด......เกลียดที่สุด!!!”
นี่มันใช่หน้าที่ที่เขาต้องทำด้วยเหรอ...........
เอลวินได้แต่แอบบ่นในใจขณะเงยหน้ามองป้าย
แผนกชันสูตร ที่ติดอยู่หน้าห้องก่อนจะลงมือเคาะ
“ขออนุญาตครับ”
“..............”
ไม่มีใครอยูรึไงนะ..........
ถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปข้างใน
แอร์คอนดิชั่นภายในห้องเปิดในอุณหภูมิที่ต่ำจนขนลุก ทั่วทั้งห้องตกอยู่ในบรรยากาศอึมครึม
มีเพียงกลิ่นบุหรี่และน้ำยาดองศพที่โชยคลุ้ง
เงาร่างใหญ่ตะคุ่มที่ลุกขึ้นมาจากโซฟาทำให้เอลวินถึงกับสะดุ้ง
“มาหาใคร”
น้ำเสียงทุ้มหงุดหงิดดังแว่วมาจากเงาดำนั้น
“ผมมาขอข้อมูลการตรวจชันสูตรศพปริศนาที่ท่าเรือเพิ่มเติมครับ
ไม่ทาบว่าเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบที่นี่อยู่หรือเปล่า”
“ไม่อยู่......และก็ไม่มี”
น้ำเสียงห้วนตัดบทขณะที่หลอดไฟกระพริบถี่ก่อนที่ทั่วทั้งห้องจะสว่างขึ้น
“หืม.....ผู้กองสมิธ?”
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผมบลอนด์ยาวกระเซอะกระเซิงที่ปิดบังดวงตาทั้งคู่ไว้อุทานด้วยความแปลกใจ
ก่อนจะยิ้มกริ่ม สาวเท้าเข้าไปใกล้ผู้กองหนุ่มอย่างถือวิสาสะ
“ปกติเห็นส่งแต่ลูกน้องมานี่นา.....เจ้าเด็กหัวโล้นกวนโอ๊ย
ปากมากนั่นไปไหนซะล่ะ ทำไมถึงได้ปล่อยให้ผู้กองเซเล็บต้องลงมาถึงนี่เอง”
ชายแปลกหน้าร่างใหญ่รุกคืบเข้าไปใกล้ เบียดกายเข้าหาผู้กองหนุ่มอย่างจงใจ
เอลวินได้แต่ถอยจนกระทั่งแผ่นหลังประชิดกับผนังห้อง ไม่อาจถอยหนีไปได้อีกแล้ว ชายแปลกหน้ายืดแขนใหญ่เหยียดท้าวกับผนังห้องกักตัวเขาไว้ในอ้อมแขน
“สองคนนั้นออกตรวจพื้นที่อุบัติเหตุหมู่บนเส้นไฮเวย์
ผมถึงต้องมาเอง” เอลวินตอบขณะเบี่ยงหน้าหนีกลุ่มควันบุหรี่ที่อีกฝ่ายจงใจพ่นใส่หน้าเขาเต็มๆ
จะเบียดไปไหนวะ............
ได้แต่แอบสบถในใจ
ชายร่างใหญ่ผมเผ้ายุ่งเหยิง หนวดเครารุงรัง ท่าทางสกปรกมอมแมมคนนี้มันเป็นใครกัน
ถ้าเกิดแตะต้องเขามากกว่านี้คงต้องใช้เทควันโดซัดให้หมอบ........
แต่จู่ๆชายแปลกหน้าผู้นั้นก็หัวเราะขึ้นเสียงดัง
แล้วผละห่างออกไป
“ขอโทษที
ไม่ต้องทำสีหน้ารังเกียจขนาดนั้นก็ได้ ผมแค่ไม่ได้อาบน้ำมาสามวันเอง.......คือ
ทำงานจนเพลินน่ะ คุณบอกว่าอยากได้ผลการตรวจชันสูตรศพที่ว่ากันว่าเป็นร่างของ แจน
กิลชูไตน์ใช่มั้ย” ชายผู้นั้นเอ่ยถามขณะที่รื้อค้นเอกสารที่กองเกลื่อนอยู่บนโต๊ะทำงาน
“ใช่”
“ได้สิ......แต่ต้องมีค่าตอบแทนนะ”
ชายผู้นั้นกล่าวขณะที่โบกเอกสารในมือหยอยๆ เป็นเชิงหยอกเย้า
“ค่าตอบแทนอะไร
รัฐก็จ่ายเงินเดือนให้คุณอยู่แล้ว” เอลวินตอบหน้าเครียด แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มระรื่น
“ค่าตอบแทนพิเศษน่ะ
ผู้กองสมิธอุตส่าห์ให้เกียรติมาเยือนทั้งที..........เย็นนี้ไปดื่มกับผมสิ
แล้วผมจะเอานี่ให้คุณ”
เอลวินมองปึกเอกสารที่อีกฝ่ายหยิบไปพัดเล่นก่อนจะตอบหน้ายุ่ง
“เย็นนี้ผมไม่ว่าง......เลิกล้อเล่นแล้วรีบส่งมาเถอะ”
อย่าให้เขาต้องรู้สึกโมโหมากยิ่งกว่านี้อีกเลย.....ใช่เพื่อนเล่นกันรึไง
“ใครบอกว่าผมล้อเล่น!!!! ผมพูดจริงนะ” ชายร่างใหญ่ตอบเสียงเอื่อย
ขณะที่ยกขาขึ้นเหยียดพาดโต๊ะอย่างสบายใจ
“ผมกำลังรีบ.....เลิกกวนประสาท......”
ขณะที่เอลวินกำลังบ่น ชายผู้นั้นก็ยกมือส่งสัญญาณให้เขาเงียบ
ก่อนจะหยิบมือถือของตนขึ้นมา
“ว่าไง”
“อยู่เวรรึเปล่า”
“ไม่!!! วันนี้จ๊อบพิเศษ”
“งั้นก็พอจะมีเวลาอ่ะดิ”
“ก็ตอนนี้ยังไม่มีเคส
อิตาลีกำลังสงบสุข” เสียงทุ้มเอ่ยกลั้วหัวเราะ
“เออๆ
จำเคสที่เคยคุยกันก่อนหน้านี้ได้มั้ย ที่ว่าเป็นฮิสทีเรียน่ะ”
“อืม.....ทำไม”
“ตอนนี้แอดมิทอยู่ที่แผนกฉัน
พอจะมีเวลาแวะมาดูให้มั้ย”
“โอเค.....วันนี้ว่าง”
“ขอบใจมาก
ฉันจะบอกพยาบาลที่แผนกไว้ก็แล้วกัน”
“อืม........”
ตัดวางสายก่อนจะหันมาสนใจแขกผู้ที่กำลังยืนหน้ามุ่ยอีกครั้ง
“เสียดายจริงๆผมคงไม่มีเวลาเล่นกับคุณแล้ว
มีคนไข้วีไอพีที่ผมต้องรีบไปดู.......พวกแอคเคอร์แมนเสียด้วยสิ
ถ้าไม่พอใจเดี๋ยวจะเป็นเรื่อง” เสียงทุ้มพูดเอื่อยๆแต่จงใจวางระเบิดให้คนฟังเต็มที่
“ไว้วันหลังถ้ามีโอกาสค่อยไปดื่มด้วยกันก็แล้วกัน”
มือใหญ่ยื่นเอกสารสรุปผลการตรวจชันสูตรส่งให้
แต่เอลวินกลับรวบข้อมือนั้นไว้แล้วพลิกตัวเบียดชายหนุ่มผู้นั้นเข้าติดกับกำแพง
“เย็นนี้ผมว่างแล้วสิ
ไปดื่มกันก็ได้นะ” เอลวินกล่าวเสียงเบา
เบียดต้นขาบดคลึงเป้ากางเกงของชายร่างสูงอย่างจงใจ อีกฝ่ายกลับยิ้มกรุ้มกริ่ม
“แต่ผมไม่ว่างแล้วสิ
ไว้วันหลังไม่ดีกว่ารึไง” เอ่ยตอบอย่างยั่วเย้าขณะที่ถือโอกาสเนียน
ยื่นมือไปคลึงสะโพกแน่นเนื้อของผู้กองหนุ่มอย่างจงใจ
ใจกล้าไม่เบานี่........เอลวิน
สมิธ
“ให้ผมไปด้วยสิ.....ผมไปรอคุณก็ได้
แล้วหลังจากนั้นเราค่อยไปต่อกัน”
มือใหญ่รีบตะปบมือปลาหมึกที่เริ่มจะไต่ยุบยับคลานต่ำลงไปหาส่วนที่ไม่ควรแตะต้องเอาไว้
เห็นเขาเล่นด้วยหน่อยก็ได้ใจใหญ่เชียวนะ
“งั้นก็ตกลงก็แล้วกัน”
ยี่สิบนาทีผ่านไป
ผู้กองหนุ่มก้มมองนาฬิกาข้อมือเป็นครั้งที่สามขณะที่ติดเครื่องรถนั่งรอผู้ชายโรคจิตแปลกหน้าที่บอกว่ามีงานด่วนต้องรีบไป
แต่ต้องขอจัดการสภาพโสโครกของตัวเองเสียก่อน
“มันมัวแต่ขัดขี้ไคลอยู่รึไง
หนังหน้าแบบนั้นขัดยังไงก็คงไม่ดูดีขึ้นมาหรอก” บ่นออกมาเป็นรอบที่รอย
ถึงรู้ว่าบ่นไปก็เท่านั้น แต่มันก็ถือว่าเป็นการระบายความเครียดอย่างหนึ่ง
เสียเวลาชะมัด!!!!!
ขณะที่กำลังหงุดหงิดสุดขีด
เสียงเคาะกระจกฝั่งประตูที่นั่งข้างคนขับก็ดังขึ้น
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ใบหน้าคมเข้มในเสื้อเชิ้ตสีขาว
เส้นผมสีบลอนด์ทองยาวมัดรวบหลวมๆไว้เป็นหางม้าด้านหลังกับนัยน์ตาสีฟ้าทอประกายสีน้ำทะเลกำลังส่งยิ้มมาให้เขา
“มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ”
เอลวินเอ่ยถามขณะที่ลดกระจกลง
“พอดีเลยครับ.....คุณจะช่วยปลดล็อคประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับให้ผมได้รึเปล่าครับผู้กอง
ผมไม่อยากพังกระจกหน้าต่างรถคุณเปิดเข้าไปหรอกนะครับ” ชายหนุ่มตอบพร้อมรอยยิ้มกริ่ม
น้ำเสียงแน่นทุ้มกับถ้อยคำกวนโอ๊ยแบบนี้นี่มัน....
ผู้ชายร่างใหญ่ที่ดูดีระดับซุปเปอร์โมเดลคนนี้นี่
ใช่คนเดียวกันกับอีตาโรคจิตในห้องชันสูตรนั่นจริงๆเหรอ
“ขอโทษที....เชิญ”
เอลวินกล่าวตอบหน้าเรียบ ขณะที่ชายหนุ่มร่างสูงยัดตัวเข้ามานั่งในรถ
“จะว่าไปเราก็ยังไม่ได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการเลยนี่นา
ผม มิเกะ ซาคาเรียส”
“ผมคงไม่ต้องแนะนำตัวหรอกมั้ง”
เอลวินกล่าวขณะที่เริ่มออกรถมุ่งหน้าไปสู่โรงพยาบาลกลาง
“คุณน่ะ....เด็กห้าขวบยังรู้จักเลย
ไม่ต้องแนะนำตัวก็ได้” มิเกะเอ่ยกลั้วหัวเราะ
“คุณเป็นหมอเหรอ”
“ผมเป็นจิตแพทย์
ถ้าคุณมีปัญหาอะไรปรึกษาผมได้ตลอดเวลานะผู้กอง ผมจะช่วยเยียวยาหัวใจคุณให้เอง”
“มีแต่จะสร้างปัญหาให้กันล่ะสิไม่ว่า”
แม้จะพยายามลดเสียงลงมากขนาดไหน แต่ระยะแค่นี้คนที่นั่งอยู่ข้างๆก็ยังได้ยินอยู่ดี
มิเกะหัวเราะลั่นอย่างชอบใจ
“คุณนี่เป็นคนตรงดีนะผู้กอง”
“แล้วคุณมาทำงานแผนกชันสูตรได้ยังไง”
“ก็แค่พาร์ทไทม์
บังเอิญว่าผมสนใจเรื่องร่างกายมนุษย์เป็นพิเศษก็เลยเรียนเฉพาะทางด้านนี้มา
งานชันสูตรก็เหมือนทำเล่นฆ่าเวลา
การที่ต้องรับฟังปัญหาจิตใจของคนอื่นอยู่ตลอดเป็นเรื่องหนัก ช่วงเวลาที่ผมลงมีดชำแหละร่างกายมนุษย์นี่แหละเป็นช่วงเวลาปลดปล่อยของผม”
“โรคจิต!!!”
“ขอบคุณที่ชม......อาจารย์ของผมก็ชมผมแบบนี้เหมือนกัน
แต่ตอนนี้ผมกำลังสนใจว่าโครงร่างใหญ่ๆกล้ามเนื้อแน่นๆแบบนี้ถ้าเปิดเปลือยออกมาแล้วมันจะสวยงามแค่ไหนกัน”
มิเกะกล่าวขณะที่เอื้อมมือไปลูบต้นขาผู้กองหนุ่มเบาๆ
เอลวินตกใจถึงกับเหยียบเบรกกะทันหัน รถที่วิ่งไล่หลังมาต่างพากันเบรกจนตัวโก่ง
เสียงแตรรถจากด้านหลังบีบไล่ระงม ภายในรถเกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่
มิเกะมองใบหน้าเผือดสีบึ้งตึงของผู้กองหนุ่มแล้วรีบละมือออก
“ขอโทษ
ผมไม่กวนคุณอีกก็แล้วกัน” มิเกะกล่าวขณี่นั่งเงียบแล้วหันหน้าออกมองนอกหน้าต่าง
“เป็นความกรุณาอย่างสูง”
เอลวินที่เหมือนจะได้สติกลับมาตอบเสียงดังด้วยความหงุดหงิดแล้วตีโค้งหักเลี้ยงอย่างแรง
“สถานที่ราชการเขาไม่ให้สวมหมวกกับแว่นดำนะครับคุณ” มิเกะหันไปพูดกับชายหนุ่มร่างสูงผู้สวมแว่นกันแดดสีเข้มปิดบังใบหน้าไปมากกว่าครึ่งที่เดินตามหลังมา
“คุณบอกเองนี่ ว่าเด็กห้าขวบยังรู้จักผม จะให้ผมเดินโทงๆเข้ามาเฉยๆได้ยังไง”
“เป็นคนดังนี่มันก็ลำบากจังนะ” มิเกะเอ่ยขำๆขณะที่เดินไปถึงเคาน์เตอร์พยาบาล
“อ้าว คุณหมอไม่เจอกันนานเลยนะคะ” พยาบาลประจำเวรเอ่ยทักทายกับชายหนุ่มอย่างคุ้นเคย
“อยากเจอผมบ่อยๆก็ย้ายไปอยู่แผนกผมสิครับ”
“แหม แผนกจิตเวช?.....เกรงใจจังค่ะ” ผู้ป่วยจิตเวชใช่ว่าจะดูแลกันง่ายๆที่ไหน
“ขอผมดูชาร์ตคนไข้ที่ฮันซี่ฝากไว้หน่อยครับ”
“ต้องตามราวด์มั้ยคะ” พยาบาลสาวเอ่ยถามขณะที่ยื่นชาร์ตส่งให้
“คงต้องคุยกันยาว ไม่รบกวนดีกว่าครับ”
มิเกะเปิดดูข้อมูลผู้ป่วยคร่าวๆขณะที่พาเอลวินเดินไปยังห้องผู้ป่วยพิเศษ
“เอเลน เยเกอร์ ยี่สิบสี่ปี.......หืม อายุแค่นี้เป็นฮิสทีเรีย
ท่าทางจะผ่านเรื่องแย่ๆมาเยอะน่าดู”
“คุณบอกว่าคนไข้ของคุณเป็นพวกแอคเคอร์แมนไม่ใช่เหรอ
แต่ดูจากนามสกุลแล้วนี่......เหมือนจะเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน”
“ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่ฮันซี่บอกว่าเขาเป็นคนที่อยู่ในความดูแลของรีไว
แอคเคอร์แมน ก็คงต้องตามนั้น”มิเกะตอบก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้องผู้ป่วย
“คุณไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นนะ” เขาหันมาสำทับกับเอลวินก่อนจะปล่อยให้ผู้กองหนุ่มตามเข้าไป
บนเตียงนอนสีขาวมีชายหนุ่มร่างบางนั่งมองหน้าต่างอย่างเหม่อเลยอยู่เพียงผู้เดียว
เอลวินรีบสำรวจเก็บรายละเอียด เอเลน เยเกอร์ในทันที
“สวัสดีครับ คุณเอเลน ผมขอนั่งตรงนี้นะครับ” มิเกะกล่าวขณะที่ลากเก้าอี้และโต๊ะมานั่งข้างเตียงโดยเว้นระยะห่างไว้พอสมควร
“ผมชื่อ มิเกะ ซาคาเรียส เป็นหมอที่จะมาดูแลด้านจิตใจของคุณ”
จิตแพทย์เหรอ......
เอเลนปรายตามองชายหนุ่มร่างสูงเพียงชั่วครู่ก่อนจะเหม่อออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่สนใจ
“อากาศข้างนอกกำลังดีเลยนะครับ เหมาะแก่การออกไปนั่งรับลมเย็นมากๆ”
“..........”
“อยากจะออกไปหรือเปล่าครับ”
“.........”
แม้จะไม่มีคำตอบใดๆ แต่มิเกะก็พอจะสังเกตเห็นว่าร่างบางตรงหน้า
ค่อนข้างจะสนใจการออกไปข้างนอกมากทีเดียว
“จำชื่อตัวเองได้หรือเปล่าครับ”
“เอเลน” เสียงหวานตอบกลับมาเบาๆ
“รู้หรือเปล่าครับ ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน”
“.........บ้าน”
“ที่นี่คือโรงพยาบาลครับ เสียใจจริงๆที่ผมต้องบอกว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของคุณ”
มิเกะกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มหู
“...........”
“อยากจะกลับบ้านใช่มั้ยครับ”
“อืม.....”
“คุณจะได้กลับก็ต่อเมื่ออาการป่วยดีขึ้น ระหว่างนี้ ผมจะมาคุยกับคุณทุกวันนะครับ”
“ไม่เอา.....ไม่จำเป็น” ท่าทางปฏิเสธอย่างก้าวร้าวทำให้มิเกะต้องเพิ่มระยะห่างระหว่างตัวเองกับเอเลนมากขึ้น
ชายหนุ่มเริ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างแต่ยังคงเก็บไว้ในใจเงียบๆ
“คุณคงต้องการความเป็นส่วนตัว ถ้าเช่นนั้นผมจะมาใหม่วันหลัง”
มิเกะกล่าวขณะที่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
มือใหญ่เผลอปัดปากกาที่จดบทสนทนาระหว่างเขากับเอเลนกลิ้งตกลงจากโต๊ะ
แต่ก่อนที่มันจะหล่นลงกับพื้นเอเลนกลับคว้ามันไว้ได้ก่อน แล้วจึงวางลงบนโต๊ะเงียบๆ
มิเกะเก็บปากกาด้ามนั้นลงกระเป๋าก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ
“ดูเหมือนคุณคงจะไม่ต้องพึ่งจิตแพทย์จริงๆ
ในเมื่อคุณไม่ได้มีปัญหาทางจิตอะไรอย่างที่ฮันซี่พูด” มิเกะพูดเสียงเรียบขณะที่คอยสังเกตท่าทีของเอเลนไปด้วย
“ผมคงต้องบอกเรื่องนี้กับแพทย์เจ้าของไข้ของคุณ” ขณะที่จิตแพทย์หนุ่มกำลังจะเดินผละห่างออกไป
เอเลนกลับคว้าข้อมือของเขาเอาไว้เสียก่อน
“อย่า......อย่าบอกพวกเขาว่าผมไม่ได้เป็นบ้า......ได้โปรดเถอะคุณหมอ”
ร่างบางเอ่ยเสียงสั่น มือเรียวกุมข้อมือใหญ่ของจิตแพทย์หนุ่มไว้แน่น
“คุณกำลังมีปัญหาอะไร คุณเอเลน”
“ผมไม่รู้จักพวกเขา ผมไม่รู้ว่าพวกเขาต้องการอะไรจากผม และผมก็ไม่รู้ว่าพวกเขากักตัวผมไว้ทำไม
ผมกลัวว่าถ้าหากพวกเขารู้ว่าผมหายดีแล้ว พวกเขาจะเล่นงานผม”
“คุณแน่ใจเหรอ”
“ผมไม่รู้.....แต่ผมไม่ไว้ใจพวกเขาจริงๆ”
จิตแพทย์หนุ่มหันไปมองหน้าผู้กองเซเล็บที่เอาแต่ยืนเงียบอยู่ตลอด
ถ้าเอเลน เยเกอร์ให้การยืนยันว่าไม่รู้จักพวกแอคเคอร์แมนจริงๆแล้วล่ะก็.....มีสิทธิ์เป็นไปได้อย่างยิ่งที่ผู้ชายคนนี้จะเป็นเหยื่อของคดีอาชญากรรมลักพาตัว
แต่ก็อย่างว่า
เรื่องแบบนี้ไม่อาจตัดสินด้วยการฟังความข้างเดียวได้
เอลวินสาวเท้าเข้าไปใกล้ก่อนจะวางมือลงบนไหล่ของชายหนุ่มร่างบาง
“ใจเย็นๆก่อน คุณไม่ต้องกลัว ผมเป็นตำรวจ ผมสามารถช่วยคุ้มครองคุณได้”
“คุณจะพาผมกับพี่ชายออกไปจากที่นี่ได้มั้ยครับ”
“เรื่องนั้น..........” คงเป็นไปได้ยาก
“ไม่ได้สินะครับ”
“คือ.....ถ้าไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด ผมก็ไม่สามารถจับกุมความผิดอะไรของรีไว
แอคเคอร์แมนได้”
เอลวินกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ไม่ใช่ไม่รู้ว่ามือของรีไว แอคเคอร์แมนนั้นแปดเปื้อนมากแค่ไหน
เพียงแค่ไม่เคยหาหลักฐานที่มัดตัวฝ่ายนั้นได้อย่างจังๆเลยสักครั้ง.........
และแล้ว
ความคิดหนึ่งก็วูบเข้ามาในสมองของเอเลน
“ถ้าหากว่าผม......ช่วยหาหลักฐานเอาความผิดกับรีไว แอคเคอร์แมนมาได้
คุณจะช่วยรับรองความปลอดภัยให้ผมกับพี่ชายได้หรือเปล่า”
“ขอแค่มีหลักฐาน การจะจับกุมคนผิดย่อมไม่ใช่เรื่องยาก” เอลวินยิ้มรับ หากมีคนใกล้ชิดคอยเป็นหูเป็นตาให้มันย่อมดียิ่งกว่า
“ถ้าอย่างนั้น เรื่องหลักฐานความผิดของรีไว แอคเคอร์แมน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ผมเอง”
นัยน์ตาสีเขียวมรกตทอประกายวาวโรจน์ด้วยความชิงชัง
ในเมื่อคุณเป็นคนทำลายชีวิตและครอบครัวของผมทั้งชีวิต.......คราวนี้ถึงทีผมบ้าง
จะตอบแทนทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกคุณทำให้อย่างสาสม!!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น