วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2557

{Attack On Titan:Levi x Eren } Kill me - Kiss me.-9:

{Attack On Titan:Levi x Eren } Kill me - Kiss me.-9:
Chapter 9


“ดูจากฟิล์มแล้วเลือดที่ออกในสมองมันไม่ได้ใหญ่มาก ไม่จำเป็นต้องผ่าหรอกนะ แต่สมองก็ค่อนข้างบวมฉันต้องให้ยาลดบวมคู่กับการสังเกตอาการทางสมองไปก่อน”
“เอเลนจะฟื้นเมื่อไหร่”
ฮันซี่ถึงกับกลอกตาด้วยความเอือมระอา สรุปที่พูดให้ฟังนี่ไม่ได้เข้าใจเลยสินะ
“เหมือนจะบอกไปแล้วนะว่าฉันเองก็ไม่รู้”
“เป็นหมอภาษาอะไร”
ถ้อยคำตอกกลับเรียบๆเล่นเอาคนฟังถึงกับของขึ้น
“คนไข้สมองนะเว่ย ไม่ใช่ผ่าไส้ติ่ง ถ้ารอยโรคมันเกิดที่สมองแล้วก็ต้องทำใจ เอเลนอาจจะตื่นขึ้นมาเป็นผู้พิการทางสมองหรือจะเป็นเจ้าชายนิทราไปตลอดฉันก็บอกไม่ได้ แกจะไปถามหมออีกกี่คนก็บอกได้เลยว่าได้คำตอบเดียวกัน แต่ตอนนี้ในฐานะหมอ ฉันพยายามทำทุกอย่างเพื่อช่วยชีวิตคนไข้ของฉัน แกอย่ามาพูดดูถูกให้ฉันได้ยินอีกเด็ดขาด ไม่ให้เกียรติกันเลยว่ะ!!!
หญิงสาวสบถยืดยาวด้วยอารมณ์ขุ่นมัวซึ่งรีไวก็เข้าใจดี ไม่ใช่ไม่รู้ แค่ยังไม่พร้อมจะยอมรับต่างหาก อย่างน้อยๆเขาก็อยากจะได้ถ้อยคำยืนยันที่เชื่อถือได้ให้ใจชื้นขึ้นมาบ้าง
“ฉันขอโทษ.......ฉัน.......เป็นห่วงเอเลน”
“เออ!!! รู้ว่าแกทั้งห่วงทั้งหวง แต่ใจเย็นลงบ้าง เร่งรัดมากๆ แทนที่จะเป็นผลดีกลับเป็นผลเสียกับคนไข้มากกว่า”
“แล้วเมื่อไหร่เอเลน.........”
“หยุด!!! ห้ามถามอะไรอีก ยกเอเลนให้เป็นหน้าที่ของฉัน ถ้ามีอะไรฉันจะบอกนายเอง”
ระหว่างที่รีไวฮันซี่กำลังถกเถียงกันอยู่ มิคาสะก็ถือโอกาสปลีกตัวออกมาจากห้องที่ส่งเสียงดังโวยวาย ชายหนุ่มร่างสูงเชื้อสายลูกครึ่งเอเชียสาวเท้าก้าวยาวๆไปตามทางเดินเงียบๆโดยที่มียูมิลคอยคุ้มกันไม่ห่าง
ห้องผู้ป่วยหนักพิเศษปรากฏอยู่เบื้องหน้า ยามเมื่อร่างสูงของชายหนุ่มเดินผ่านเหล่าชายชุดดำที่เฝ้าอยู่หน้าประตูต่างก็พากันก้มศีรษะให้ด้วยความเคารพ
บนเตียงนอนผู้ป่วยสีขาวสะอาดตามีร่างของชายชราที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับตนทอดกายอยู่ ร่างสูงสง่าของผู้เป็นบิดาทอดกายนิ่งสนิท มีเพียงแผ่นอกที่สะท้อนขึ้นลงตามาจังหวะเครื่องช่วยหายใจเท่านั้นที่บอกให้รู้ว่าคนผู้นี้ยังคงมีชีวิต มิคาสะกุมมือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของบิดาไว้แน่นแล้วกล่าวเสียงเบา
“สวัสดีครับพ่อ ผมกลับมาแล้วครับ”
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีท่าทีตอบสนองใดๆตอบกลับมา มือเรียวบีบกุมฝ่ามือหยาบกร้านของผู้เป็นบิดาแน่นยิ่งขึ้น ฝ่ามืออบอุ่นที่เคยจับจูงเมื่อครั้งยังเยาว์ บัดนี้กลับเย็นเยียบได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ
“นอนมากไปแล้วนะครับ  รู้รึเปล่าว่ารีไวมันเที่ยวสร้างศัตรูไปทั่ว พ่อรีบตื่นขึ้นมาปรามเขาหน่อยก็ดีนะครับ รายนั้นใครพูดก็คงไม่ฟัง มีแต่พ่อที่จัดการได้คนเดียว”
นัยน์ตาสีเข้มทอดมองใบหน้าเผือดสีของบิดาแล้วได้แต่ถอนใจยาว ได้ยินมาว่าตอนนี้ที่พ่อยังอยู่ได้ก็เพราะเครื่องช่วยหายใจ ถ้าถอดออกก็คงไม่ไหว แล้วการที่พวกเขาดันทุรังยื้อชีวิตพ่อไว้แบบนี้มันเป็นสิ่งที่พ่อต้องการที่สุดแล้วหรือไงกันนะ ไม่แน่บางทีการที่ต้องอยู่ในสภาพนี้พ่ออาจจะทรมานยิ่งกว่า..........
มิคาสะถอนหายใจยาว ถึงอย่างนั้นเขาคนเดียวก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจอะไรอยู่ดี รีไวเองก็นับว่าเป็นลูกชายอีกคน แม้จะไม่ได้มีความเกี่ยวพันใดๆกันทางสายเลือดเลยก็เถอะ แต่สำหรับรีไวแล้วพ่อคือทุกสิ่งทุกอย่างหากเกิดอะไรขึ้นกับพ่อ เจ้านั่นเองก็คงจะรับไม่ได้
ร่างสูงเอนกายพิงโซฟาพลางหลับตาแน่น
ว่าถึงคนสำคัญแล้ว เจ้านั่นเหมือนจะมีอีกคนไม่ใช่เหรอ..............
มิคาสะลืมตาขึ้นช้าๆขณะหันไปพูดกับชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“ยูมิล  คนที่ชื่อเอเลนน่ะอยู่ที่ไหน พาฉันไปดูหน่อยสิ!!!

ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจนักที่รีไวดูจะยึดติดกับคนที่ชื่อเอเลนมากถึงขนาดนี้ มิคาสะยังคงจำวันแรกที่รีไวถูกพาตัวเข้ามาบ้านได้ดี
คืนวันที่หนาวเหน็บในช่วงฤดูหนาว ในคืนที่ดึกสงัดหิมะโปรยปรายอย่างหนัก พ่อผู้แสนใจดีกลับเข้าบ้านพร้อมกับกลุ่มก้อนขยะเดินได้ก้อนหนึ่ง ยามเมื่อแรกพบมิคาสะแทบไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำว่ากลุ่มก้อนสกปรกนั้นเป็นมนุษย์ เด็กชายผอมกะหร่องในเสื้อผ้าตัวบางขาดวิ่น ร่างเล็กหนาวสั่นสะท้านจนซีดไปทั้งตัว แต่ใบหน้ามอมแมมสกปรกนั้นกลับนิ่งสนิทราวกับหุ่นยนต์ ไม่มีการอ้อนวอนร้องขอซึ่งความเห็นใจใดๆ มีเพียงนัยน์ตาสีรัตติกาลที่จับจ้องมาอย่างแน่นิ่ง
แววตาของหมาป่าเดียวดายที่เกลียดชังผู้คนทั้งโลกและไม่เคยไว้ใจใคร
“รีไว.....พี่ชายของลูกจะมาอยู่กับเราตั้งแต่วันนี้”
ถ้อยคำบอกเล่าสั้นๆจากพ่อราวกับสายฟ้าที่ฟาดลงกลางหัวใจ เขาที่เป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลแอคเคอร์แมน เขาที่ไม่เคยต้องแบ่งปันความรักของพ่อไปให้ใคร จู่ๆจะมีคนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าที่ไหนโผล่มาแล้วบอกว่าเป็นพี่ชายที่ไม่เคยมีมาก่อนจะยอมได้อย่างไร ความรู้สึกเกลียดชังตั้งแต่แรกพบกัดกินหัวใจดวงน้อยให้เกิดความริษยา และหลังจากนั้นแม้จะมีการกลั่นแกล้งอย่างตั้งใจเกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่รีไวก็ยังคงเป็นรีไวเขาไม่เคยที่จะตอบโต้ และเรื่องการกระทำแย่ๆที่มิคาสะปฏิบัติต่อเขาก็ไม่เคยไปถึงหูพ่อเลยสักครั้ง
ตระกูลแอคเคอร์แมนถือว่าเป็นสายตระกูลใหญ่ มีธุรกิจการค้าทั้งถูกกฏหมายและผิดกฏหมายหลายอย่างอยู่ในกรรมสิทธิ์มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะถูกศัตรูเพ่งเล็งบ่อนทำลายอยู่บ่อยครั้ง ในสมัยเด็กพวกเขาทั้งสองจึงมักจะถูกลักพาตัวอยู่เสมอ ครั้งหนึ่งเด็กทั้งสองถูกจับไปขังอยู่ที่บ้างร้างในป่าลึก โดยปกติคนของพ่อมักจะติดตามหาพวกเขาจนเจออยู่เสมอ แต่สำหรับครั้งนี้แม้จะผ่านไปถึงหนึ่งวันเต็มๆแล้วก็ยังไม่มีวี่แววของคนมาช่วยเลยแม้แต่น้อย
“นายจะทำอะไร” มิคาสะที่นั่งคุดคู้ซุกร่างอยู่ในมุมห้องเก็บของเล็กๆเอ่ยถามเด็กน้อยร่างจ้อยที่กำลังปีนป่ายกองฟืนที่สูงแทบจะท่วมหัว
“ออกไปจากที่นี่” รีไวตอบเสียงเรียบขณะที่ตั้งหน้าตั้งตาปีนกองเศษเชื้อไฟอย่างขะมักเขม้น แม้จะร่วงลงมาเขาก็ยังคงพยายามตะกายขึ้นไปอีกครั้งและอีกครั้ง ตามแขนขาเนื้อตัวจึงเต็มไปด้วยรอยถลอกปอกเปิกมากมาย
“ไม่เจ็บหรือไง” มิคาสะเอ่ยถาม
“ไม่เลยสักนิด”  แม้ที่เข่าจะมีรอยแผลแตกจนเลือดไหลแต่เจ้าตัวก็ยังไม่สนใจ
“อีกเดี๋ยวพวกพี่ชายชุดดำก็จะหาเราเจอ......”
“ฉันจะไม่นั่งรออยู่เฉยๆให้เวลามันเดินทิ้งไปอย่างเปล่าประโยชน์ ถ้านายอยากจะนั่งรออยู่ที่นี่ก็ตามใจแต่ฉันจะไป”
“ทำไม นายถึงได้เป็นคนดันทุรังแบบนี้”
“เอเลน เอเลนรออยู่ ตอนนี้จะอยู่ที่ไหน จะเป็นยังไงก็ยังไม่รู้ฉันไม่อยากจะเสียเวลาไปเรื่อยเปื่อย คุณพ่อบอกว่าถ้าฉันโตขึ้นแล้วรับช่วงต่อเมื่อไหร่ การจะตามหาเอเลนก็เป็นแค่เรื่องง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ ฉันจะไม่ยอมเสียเวลาหายใจทิ้งอยู่เฉยๆที่นี่แน่”
“นายจะรับช่วงต่อจากคุณพ่อเหรอ......แล้วฉันล่ะ ฉันที่เป็นลูกแท้ๆล่ะ” มิคาสะโวยวายเสียงดัง รีไวละสายตาจากกองฟืนตรงหน้าหันไปมองน้องชายในนามที่เริ่มสติแตกแล้วตอบเสียงเรียบ
“คำสั่งของคุณพ่อ ถือเป็นเด็ดขาดทุกอย่าง ถ้าคุณพ่อพูดแบบนั้นมันก็ต้องเป็นแบบนั้น ฉันต้องรีบออกไป ต้องรีบกลับไป ต้องรีบโตขึ้นให้เร็วกว่านี้ แข็งแรงให้มากกว่านี้ ต้องแข็งแกร่งมากพอที่จะปกป้องเอเลนได้ ฉันจะไม่ยอมเสียเวลาหายใจทิ้งอยู่ที่นี่เด็ดขาด นายอยากจะอยู่ก็อยู่ไป” รีไวตอบเสียงเรียบขณะที่ตะกายร่างปีนขึ้นไปยังยอดสุดของกองฟืน อาศัยความที่ตัวเล็กเป็นทุนเดิมลอดผ่านตะแกรงปล่องระบายอากาศออกไปภายนอก
“เดี๋ยวสิ รอฉันด้วย ฉันไปด้วย อย่าทิ้งกันไว้นะ” ด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัว มิคาสะลนลานปีนป่ายขึ้นไปยังกองฟืนตามหลังรีไวไปแต่ก็ร่วงลงมาในที่สุด
“อย่าทิ้งกันนะ!!! อย่าทิ้งกัน!!!!” มิคาสะตะโกนลั่นน้ำตานองหน้า.........นี่เขาถูกทิ้งเอาไว้ที่นี่จริงๆหรือ
และก่อนที่เด็กน้อยจะรู้สึกสิ้นหวังอย่างถึงขีดสุด ผ้าปูที่นอนผืนเก่าที่ถูกบิดเป็นเกลียวแล้วผูกเป็นปมก็ถูกโยนผ่านช่องระบายอากาศลงมา
“ผูกเอวไว้ แล้วปีนขึ้นมา ฉันจะช่วยดึงจะได้ไม่ตก” รีไวลอดหน้าผ่านช่องตะแกรงลงมาพูดกับเขา มิคาสะรีบทำตามในทันที แม้จะปีนขึ้นมายังยอดกองฟืนได้แต่ก็ต้องใช้เวลามากพอควรกว่าที่รีไวจะดึงมิคาสะที่ตัวโตกว่าเขาหลุดออกจากตะแกรงได้ เด็กน้อยยังคงส่งเสียงสะอื้นไม่หยุด
“ถ้านายยังเสียงดัง พวกนั้นจะรู้ว่าเราหนีออกมาแล้วจะจับเรากลับเข้าไปอีก” รีไวเงยหน้าพูดกับเด็กชายรุ่นน้องขณะที่มองฝ่าความมืดของป่ารกชัดออกไปไกล
“อื้ม!!!
มิคาสะสูดหายใจลึกกัดปากไว้แน่น ออกเดินตามแรงดึงของพี่ชายร่างเล็กไปเงียบๆ แม้จะเสียเวลาเดินอยู่นานแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะออกพ้นจากป่านี้กันได้เลย
“ฉันเดินไม่ไหวแล้ว” มิคาสะที่เดินตามหลังส่งเสียงทักท้วงเบาๆตอนที่ถูกจับมาพวกเขาไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำจึงไม่มีอะไรติดตัวมาสักอย่างแม้แต่รองเท้า รีไวก้มมองเท้าเปล่าที่เขรอะดินของตนก่อนจะหันไปมองมิคาสะจึงพอจะเข้าใจ อย่างมิคาสะคงจะไม่เคยถอดรองเท้าเดินบนกรวดบนหินมาก่อนแน่ๆ
“ขี่หลังฉัน” เด็กน้อยกล่าวเสียงเบาขณะที่ทรุดนั่งลงกับพื้น
“เรื่องอะไรกันเล่า!!!” ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกไม่สะดวกใจที่จะต้องรับความช่วยเหลือจากคนๆนี้
“ถ้าจะไปด้วย ก็ขึ้นมาขี่หลังฉัน ถ้าไม่ก็อยู่ที่นี่ ฉันไม่ต้องการตัวถ่วง”
แม้จะไม่ชอบใจแต่ก็ไม่มีทางเลือก มิคาสะตะกายตัวขึ้นไปขี่บนหลังของพี่ชายที่ตัวเล็กกว่าเขาอยู่เกือบครึ่ง ใช้เวลาเดินกันเกือบครึ่งค่อนคืนกว่าที่ชาวบ้านแถวนั้นจะมาเจอตัวแล้วช่วยส่งตัวพวกเขากลับบ้าน
แล้วหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นก็เป็นอีกหลายปีต่อมา มีคนต่างชาติที่ดูจะเป็นพวกคนญี่ปุ่นมาถึงที่บ้าน หญิงสาวหน้าตาสวยคมในชุดกิโมโนสีครีมคุยอะไรกับพ่ออยู่เป็นเวลานาน ก่อนที่พ่อจะพาเธอมาแนะนำว่าผู้หญิงคนนั้นคือแม่แท้ๆของเขาเอง และที่เธอมาครั้งนี้ก็เพื่อขอสิทธิ์ในการนำตัวเขากลับไปเลี้ยงดูที่ญี่ปุ่น ซึ่งพ่อก็ตกลงด้วยในที่สุด นั่นยิ่งเป็นการตอกย้ำความจริงที่ว่าเขาไม่เป็นที่ต้องการของพ่อมากขึ้นไปอีก มิคาสะจึงตอบตกลงที่จะไปอยู่ญี่ปุ่นกับมารดาทันที แม้แต่ช่วงเวลาที่จะเดินทาง พ่อก็ยังไม่มาส่งเขาที่จะออกเดินทางไกลเลยด้วยซ้ำ มีเพียงพี่ชายที่ไม่ได้มีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือดที่ตามมาส่งถึงสนามบิน
“ดีใจล่ะสิ ที่ตัววุ่นวายอย่างฉันจะไม่อยู่แล้ว คราวนี้ทุกอย่างของพ่อก็จะเป็นของนายจริงๆ” มิคาสะตัดพ้อเสียงสะบัด เขาที่สิ้นหวังในตัวบิดาของตนเองก็แค่กำลังหาที่ระบายอารมณ์ก็เท่านั้น
“นายก็คือนาย ถึงจะอยู่ที่นี่หรืออยู่ที่ไหน ความเป็นแอคเคอร์แมนก็ยังคงอยู่ในตัวนาย ไม่มีใครลบล้างหรือแทนที่ได้ ตอนนี้นายอาจกำลังโกรธถึงไม่เข้าใจสิ่งที่พ่อทำ แล้วในวันหนึ่งนายจะคิดได้ คนเราทุกคนต่างก็มีหลายด้านอยู่ในตัว แอคเคอร์แมนก็เช่นกัน สิ่งที่พ่อหวังไว้คือให้นายเป็นแอคเคอร์แมนที่สง่างามอย่างถึงที่สุด อย่าปล่อยให้มือคู่นั้นต้องแปดเปื้อนไปด้วยสิ่งใดเป็นแอคเคอร์แมนที่สมบูรณ์พร้อม อย่าได้กังวลถึงความโหดร้ายของฉากหลังที่ดำมืดเพราะที่ตรงนั้นจะมีฉันอยู่ ฉันคนนี้คือเงามืดอีกด้านของแอคเคอน์แมน ฉันจะเป็นฉากหลังที่คอยค้ำจุนให้นายเอง”
นั่นคงเป็นถ้อยสัญญาที่ชายคนนั้นมีไว้ให้ คนอย่างรีไว แอคเคอร์แมนเป็นคนที่ดันทุรังถึงขีดสุด หากมีสิ่งใดที่เขาคิดจะทำแล้วไม่มีใครหยุดเขาได้ ทันทีที่รับช่วงต่อ เขาก็เริ่มทำตามที่พูดไว้ไต่อันดับชักนำแอคเคอร์แมนขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดของเส้นทางมืด วงการใต้ดินต่างก็ร่ำลือถึงความเหี้ยมและเฉียบคมของผู้สืบทอดคนใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าให้เขารับหน้าที่นี้ต่อจากพ่อคงไม่อาจทำได้ขนาดนี้ คิดๆแล้วก็รู้สึกโล่งใจอยู่ไม่น้อยที่ภาระอันหนักหน่วงนี้ตกไปอยู่กับรีไว
มิคาสะถอนหายใจยาว..........
สำหรับเขาแค่สืบทอดแก๊งยากูซ่าต่อจากมารดาก็หนักเกินพอแล้ว ถ้าต้องมาแบกรับภาระของตระกูลอย่างที่รีไวกำลังทำอยู่ก็คงไม่ไหว
ประตูหอผู้ป่วยหนักระบบประสาทถูกคนของพวกเขาคุ้มกันอย่างแน่นหนา หน้าห้องมีชื่อผู้ป่วยที่เขียนว่า เอเลน เยเกอร์ แปะติดไว้ ภายในห้องผู้ป่วยมีร่างของชายหนุ่มร่างสูงโปร่งนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงสีขาวสะอาด มิคาสะเดินเลียบเข้าไปใกล้ๆขณะที่เพ่งมองชายหนุ่มผู้นั้นชัดๆ
เรือนกายบอบบางมีแผลถลอกปอกเปิกปะปราย ศีรษะที่เคยมีเลือดไหลอาบได้รับการทำความสะอาดบาดแผลและพันผ้าไว้อย่างเรียบร้อย เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มถูกชำระล้างคราบเลือดจนเกลี้ยงสนิท แขนทั้งสองข้างถูกพันธนาการยึดติดไว้กับเตียงเพื่อความปลอดภัย ใบหน้าเผือดสีของคนป่วยนั้นนิ่งสนิท พวงแก้มเนียนแลดูซีดเซียวเสียจนคนมองอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสว่าร่างที่นอนอยู่นี้เป็นมนุษย์หรือรูปสลักจากหินอ่อน ผิวสัมผัสอ่อนนุ่มและอุณหภูมิกายที่ไม่แตกต่างกันนั้นเป็นสิ่งยืนยันชัดเจน
ผู้ชายคนนี้น่ะเหรอ........เอเลน เยเกอร์
ด้วยรูปลักษณ์เช่นนี้มิคาสะจำต้องยอมรับว่าชายผู้นี้มีเสน่ห์ดึงดูดมากทีเดียว.......
มิอเรียวละออกจากพวงแก้มใส แล้วรีบร้อนออกจากห้องผู้ป่วยหนักไปด้วยความว้าวุ่น รู้สึกตกใจกับความคิดของตนเองมากพอดู
มีเสน่ห์ดึงดูด?......ผู้ชายด้วยกันเนี่ยนะ!!! นี่เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ



“เรารับตัวแจนกลับมาที่โรงพยาบาลแล้วนะ ไม่เจ็บมากอย่างที่คิด ศีรษะกระแทกจนสลบ ซี่โครงหักอีกสองสามซี่ ให้พักดูอาการที่โรงพยาบาลสักอาทิตย์เพื่อความแน่ใจดีกว่า”
“ขอเป็นห้องที่อยู่ห่างจากเอเลนได้มั้ย” รีไวกล่าวเสียงเบา รู้สึกปวดหัวขึ้นมาตุ้บๆ
“หึงเหรอ?”ฮันซี่เอ่ยกลั้วหัวเราะในขณะที่รีไวรีบตัดบท
“ฉันไม่อยากให้เอเลนถูกรบกวนต่างหาก อีกไม่นานฉันจะมีแขกจากฝรั่งเศสมาที่นี่ เมื่อถึงตอนนั้น ฉันคงไม่มีเวลาอยู่กับเอเลนตลอด ฉันอยากจะให้เอเลนได้พักผ่อนและหายดีให้เร็วที่สุด”
“เดี๋ยวนะ!!! จะจับมือกับพวกฝรั่งเศสเนี่ยนะ พวกนั้นมันไว้ใจไม่ค่อยได้นา”
“ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร ปรปักษ์ของพวกบราวน์ก็คือพันธมิตรของเรา ถึงจะไว้ใจไม่ได้แต่งานนี้ก็จำเป็น ฉันต้องจับมือกับพวกฝรั่งเศสไว้ก่อน”
“สร้างมิตร ดีกว่าสร้างศัตรูสินะ ว่าแต่ว่าพวกที่นายตกลงเจรจาด้วยเนี่ย เป็นใครกัน”
“เลออนฮาร์ท!!!


ความรู้สึกที่ดำดิ่งราวกับจมลงไปในห้วงน้ำลึก ทำให้ร่างที่ถูกพันธนาการไว้เริ่มกระสับกระส่าย เปลือกตาบางกระพริบถี่ราวกับเจ้าของร่างกำลังพยายามต่อสู้อย่างหนักเพื่อที่จะลืมตาขึ้น เรือนกายบางหอบหายใจลึกเพิ่มแรงต้านเครื่องช่วยหายใจที่ใส่อยู่ มือเล็กบิดกระชากผ้าผูกข้อมือที่ผูกตรึงไว้อย่างแรง เอเลนออกแรงดิ้นจนเตียงทั้งหลังสั่นกึกๆ มือเรียวที่สะบัดหลุดออกจากการถูกผูกมัดคว้าจับเอาท่อช่วยหายใจที่ใส่ผ่านช่องปากแล้วออกแรงดึงด้วยความอึดอัด ทันทีที่ท่อหลุดพ้นออกจากทางเดินหายใจเครื่องก็ส่งเสียงร้องเตือนจนดังก้องไปทั้งห้อง ร่างบางไอโขลกขับเสมหะและน้ำลายที่สำลักลงไปเมื่อครู่จนน้ำตาเล็ด พยาบาลและหมอประจำเวรวิ่งเข้ามาในห้องด้วยความตื่นตระหนก หลังจากทำการตรวจร่างกายเบื้องต้นและให้ออกซิเจนแล้วเอเลนก็หลับไปอีกครั้ง
ฮันซี่ถึงกับกุมขมับเมื่อได้รับรายงาน หญิงสาวถอนหายใจก่อนจะหันไปพูดกับเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยเสียงอ่อย
“ก็นะ.....เอเลนตื่นแล้ว ก็เลยดึงท่อ มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ”
“แล้วแบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอ” รีไวเอ่ยถามเสียงเบา ใบหน้าคมคายบ่งบอกถึงความกังวลอย่างชัดเจน
“ก็นะเรื่องหายใจน่ะไม่มีปัญหาแล้ว แต่อาจจะมีเสียงแหบนิดหน่อย มันเป็นผลข้างเคียงจากการใส่ท่อช่วยหายใจ แต่เดี๋ยวก็จะดีขึ้นเอง”
“แล้วเรื่องสมองล่ะ กระทบกระเทือนแบบนั้น จะมีปัญหาเรื่องความจำรึเปล่า” เอ่ยถามเสียงเบาขณะที่ลูบแก้มใสของชายหนุ่มที่กำลังหลับใหล ถ้าหากว่าเอเลนตื่นขึ้นมาแล้วจำไม่ได้ว่าเขาเป็นใครก็คงแย่
“ใจเย็นเพื่อน!!! นี่ไม่ใช่ละครหลังข่าวนะ อาการแบบนั้นมันค่อนข้างจะพบน้อย ถ้าไม่ใช่ว่าโชคร้ายจริงๆ แต่เพื่อความสบายใจของนายฉันจะส่งเอ็กซเรย์สมองดูอีกทีก็แล้วกัน”
“ฮันซี่....ฉันปลุกเอเลนได้หรือเปล่า”
“อย่าพึ่งเลยนะ ให้เอเลนได้พักก่อน นายเองก็กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะน่า ขอร้องล่ะ เกิดนายล้มไปอีกคนงานหนักมันก็จะมาตกที่ฉันนะ แค่ดูแลแจนกับเอเลนก็เยอะแล้ว ถ้าพ่วงนายมาอีกคน ฉันขอลาตายเลย เอาเป็นว่าพรุ่งนี้นายค่อยมาเยี่ยมเอเลนอีกทีเถอะนะ วันนี้ฉันจะคอยดูให้เอง เพื่อความสบายใจของทุกๆคนด้วย อีกอย่างมิคาสะก็คงอยากจะกลับบ้านแล้วเหมือนกัน” แม้จะพยายามตะล่อมแต่ท่าทีไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธนั้นก็ทำให้ฮันซี่เป็นกังวล แต่สุดท้ายคนหัวรั้นก็ต้องยอมจำนน
“ก็ได้ ฉันจะกลับ แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเอเลน เธอจะโทรหาฉันทันทีใช่มั้ย”
“แน่นอนวางใจได้เลย” ฮันซี่ตอบรับพลางยิ้มกว้าง แต่แล้วรอยยิ้มนั้นก็ค่อยๆเจื่อนลงเมื่อรีไวก้มหน้าลงประทับริมฝีปากบนหน้าผากที่พันผ้าพันแผลของเอเลนเบาๆ
พยาบาลก็อยู่กันออกเต็มห้อง หัดอายสักนิดก็ไม่เสียหายอะไรหรอกนะ
“เจอกันพรุ่งนี้นะเอเลน”
“น่าๆ กลับไปได้แล้ว” ฮันซี่เอ่ยส่งท้ายขณะที่รุนหลังเพื่อนร่างสันทัดออกจากห้องไป
ทันทีที่คล้อยหลังรีไวออกไปไม่นาน ก็มีร่างของชายหนุ่มร่างสูงอีกคนปรากฏขึ้นที่หน้าประตู ฮันซี่ถึงกับถอนหายใจออกมาอีกเฮือก
“วันนี้ถอนหายใจบ่อยจังแฮะ สงสัยอายุจะสั้น แล้วนี่มาแอบอยู่นานแล้วใช่มั้ย”
“ขอให้ผมได้เยี่ยมคุณชายสักครู่ได้มั้ยครับ” แจนกล่าวเสียงเบา รู้สึกเจ็บแปลบทุกครั้งที่เคลื่อนไหวร่างกายหรือแม้แต่หายใจ
“สภาพคนที่นอนอยู่ข้างในก็ไม่ได้ต่างอะไรกับนายมากนักหรอก อีกอย่างนะเอิร์ด คนที่กระดูกซี่โครงหักมันต้องนอนนิ่งๆให้กระดูกเกิดการสมาน เดินไปโน่นมานี่มากๆเดี๋ยวกระดูกก็ทิ่มปอดตายหรอก”
“ครับ แล้วผมจะกลับไปที่ห้องทันที”
“เอาเถอะๆ ทำไมรอบๆตัวฉันมันถึงได้มีแต่พวกพูดไม่รู้ฟังแบบนี้กันนะ จะทำอะไรก็ตามใจเถอะ” หมอสาวบ่นเสียงดังขณะที่เดินผละจากไปทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยห้องอื่นต่อ

แจนค่อยๆก้าวเท้าเข้าไปในห้องผู้ป่วยที่ถูกจัดแยกไว้เป็นพิเศษ ร่างของชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงยังคงนิ่งสนิท ร่างสูงลากเก้าอี้มาทรุดนั่งลงที่ข้างเตียงกุมมือเรียวของเจ้านายสุดรักเอาไว้
“ขอโทษครับคุณชาย ถ้าผมปกป้องคุณให้ดีกว่านี้ คุณก็คงไม่ต้องเป็นแบบนี้ ผมขอโทษ”
ถ้าเพียงแต่เขาจะประคองรถให้ดีกว่านี้ เอเลนก็คงไม่ต้องเจ็บหนัก มันน่าโมโหยิ่งนัก!!!
รู้สึกโกรธตัวเองอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะความสะเพร่าของเขาล้วนๆ
มือใหญ่ออกแรงบีบมือของคนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงแน่นขึ้น ก่อนจะรู้สึกว่ามีปฏิกิริยาตอบกลับมา มือเรียวของเจ้านายหนุ่มขยับน้อยๆแล้วบีบกระชับมือเขาเอาไว้ เอเลนส่งเสียงครางเบาๆก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างกะทันหัน ด้วยความตกใจแจนรีบผละออกห่างจากร่างที่เพิ่งตื่นขึ้น
รู้ดีว่าคุณชายหวาดกลัวใบหน้าใหม่นี้แค่ไหน ถ้าต้องมาเจอกันในระยะประชิด อาจจะตกใจจนโวยวายขึ้นมาก็เป็นได้
แต่เอเลนที่ตื่นขึ้นมาแล้วก็เริ่มยันกายลุกขึ้นนั่ง ดวงตากลมโตสีเขียวมรกตกวาดมองรอบๆห้องด้วยความฉงนก่อนที่จะมาหยุดนิ่งอยู่ที่แจน
“เอ่อ......ถ้าคุณตื่นแล้ว ผมจะไปตามหมอมาให้นะครับ” แจนตัดสินใจผละถอยออกห่างแต่น้ำเสียงแหบแห้งที่รั้งเขาเอาไว้ก็ทำให้ขาที่คิดจะออกเดินเกิดหยุดชะงัก
“เดี๋ยว......ที่นี่ โรงพยาบาลเหรอ”
“ครับ รถของเราพลิกคว่ำขากลับจากสนามบิน คุณรีไวเลยพาคุณมาที่นี่” แจนก้มหน้าตอบเสียงเบา ไม่กล้ามองสบตาเจ้านายร่างบางตรงๆ ทุกครั้งที่ถูกเอเลนมองด้วยสายตาที่เหมือนกับมองคนแปลกหน้ามันทำให้หัวใจของเขาชาหนึบ
“ผม.......รู้สึกปวดหัว” เอเลนกล่าวเสียงเบาขณะที่ทึ้งผมตัวเองแรงๆ
“ผมจะไปตามคุณฮันซี่มาครับ” แจนกำลังจะวิ่งพรวดออกจากห้อง แต่เอเลนก็ขัดขึ้นอีกครั้ง
“อย่าไปนะ......อย่าไป......อยู่ตรงนี้แหละ ผมไม่อยากอยู่คนเดียว......อา......ปวดชะมัดอย่างกับมีใครเอาเข็มมาจิ้มสมองเลย” ร่างบางบ่นเบาๆขณะที่ก้มหน้าซุกกับฝ่ามือของตนเอง แจนค่อยๆขยับเคลื่อนกายเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง
“คุณไม่กลัวผมเหรอครับ คุณเอเลน”
“หึ อย่าไร้สาระน่า มีเหตุผลอะไรที่จะต้องกลัว ถึงใบหน้าจะเปลี่ยนไป แต่สิ่งที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อยก็คือแววตาและน้ำเสียง ถึงผมจะไม่คุ้นเคยกับใบหน้าแบบนั้นมาก่อน แต่แววตาที่พี่มองผม มันเป็นแววตาของคนที่เฝ้าดูแลและอยู่เคียงข้างกับผมตลอด แล้วผมจะไม่รู้ได้ยังไงว่าพี่คือแจน” เอเลนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะเผยรอยยิ้มน้อยๆออกมา
“พี่คือแจนของผมใช่มั้ยล่ะ แจนน่ะไม่เคยอยู่ห่างจากผมเกินสามก้าวเลยนะ แล้วทำไมพี่ต้องออกไปยืนห่างขนาดนั้นด้วย มาใกล้ๆผมสิ แจน”
ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกชื่อของตน ความอดทนอดกลั้นทั้งหมดก็ถูกพังทลายสิ้น แจนพุ่งร่างเข้าไปสวมกอดคนป่วยที่นั่งอยู่บนเตียงเอาไว้แน่น
“คุณชาย!!! คุณชายของผม ในที่สุดคุณก็ตื่นแล้วจริงๆ”
“เบาหน่อยแจน พี่กอดแน่นแบบนี้ผมหายใจไม่ออกนะ” เอเลนส่งเสียงหัวเราะเบาๆขณะที่ลูบหลังของแจนไปด้วย
“ใช่ ผมตื่นแล้ว รู้สึกเหมือนกับหลับไปนานเลยล่ะ เหมือนกับช่วงชีวิตมันขาดหายไปช่วงหนึ่ง แต่ว่านะแจน มันเกิดอะไรขึ้นกับพี่ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้ แล้วรีไว ฮันซี่ เป็นใคร แล้วที่บ้านเราเป็นยังไงกันบ้างช่วยอธิบายให้ผมฟังได้มั้ย ว่าช่วงที่ผมหลับไปมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
แจนได้แต่เงียบ นี่เขาควรจะเริ่มจากตรงไหนดี ดูเหมือนคุณชายจะไม่มีความทรงจำของช่วงเวลาที่ผ่านมาหลงเหลือเลยแม้แต่น้อย
แต่เดี๋ยวนะ นี่ก็เป็นโอกาสดีไม่ใช่เหรอ ในเมื่อไม่มีความทรงจำช่วงเวลาที่อยู่บ้านแอคเคอร์แมนเหลืออยู่เลย แบบนี้มันก็ยิ่งดีน่ะสิ เขาสามารถปั้นแต่งเรื่องราวทั้งหมดขึ้นมาใหม่ได้โดยที่เอเลนจะไม่มีทางสงสัยอย่างเด็ดขาด
ความคิดที่แล่นเข้ามาชั่ววูบทำให้เผลหลุดรอยยิ้มออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

“ได้ครับคุณชาย กรุณาตั้งใจฟังให้ดีนะครับ ผมจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้คุณฟังเองครับ”




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น