ตลอดทางที่ผ่านมาร่างบางยังคงเอาแต่นิ่งเงียบ
นัยน์ตากลมโตเหม่อลอยออกไปนอกกระจกรถอย่างไร้จุดหมาย ชายหนุ่มทอดสายตามองคนร่างบางแล้วเอ่ยถามเสียงเข้ม
“กินอะไรบ้างหรือยัง” คนถูกถามละสายตาจากหน้าต่างหันมาสายหน้าช้าๆ
“เบลทรูท กลับไปแล้วหาอะไรให้เขากินด้วยนะ” หันไปสั่งมือขวาคนสนิทก่อนจะเปิดแท็บเล็ทในมือเช็คข้อมูลข่าวสารการตลาดประจำวัน
“ครับ”
“คุณรีไวรับ
เรื่องแจนล่ะครับ จะให้ผมทำยังไงต่อ”
“จัดการตามที่ฉันสั่งก็พอ” ชายหนุ่มตอบเสียงเข้มทั้งที่ตายังไม่ละไปจากแท็บเล็ทในมือ เบลทรูทจึงพยักหน้ารับเงียบๆ
“ส่งฉันที่โรงพยาบาล
แล้วพาเขากลับไปจัดการตัวใหม่ให้เรียบร้อยก่อนที่ฉันจะกลับ”
“ครับ”
เมื่อรถจอดลงที่หน้าโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ชายหนุ่มก็รีบสาวเท้าลงจากรถไปโดยไม่รั้งรอ
“รุสโซ่ อัลปาชิโน่ ตามอารักขาคุณรีไวด้วย” เบลทรูทออกคำสั่งผ่านวิทยุสื่อสารตัวจิ๋วแล้วจึงหันไปสั่งให้คนขับออกรถ
พลางหันไปส่งยิ้มให้ร่างบางที่ดูมีท่าทีสงสัยแต่กลับไม่ได้เอ่ยปากถามอะไร
“กลับบ้านกันนะครับ”
ชายหนุ่มก้าวย่างผ่านเส้นทางต่างๆราวกับรู้จักโรงพยาบาลแห่งนี้เป็นอย่างดี
ห้องผู้ป่วยหนักวีไอพี ซึ่งเป็นเป้าหมายปรากฏขึ้นตรงหน้า
“รออยู่ตรงนี้” หันไปสั่งผู้ติดตามก่อนจะเข้าไปในห้อง
เมื่อประตูเปิดออก เสียงมอนิเตอร์สัญญาณชีพ เสียงเครื่องช่วยหายใจก็ดังเข้าสู่โสตประสาทเป็นจังหวะที่สม่ำเสมอ
ชายหนุ่มก้มศีรษะแสดงความเคารพแก่ผู้ที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยอย่างนอบน้อม
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณพ่อ เมื่อคืนคงจะหลับฝันดีนะครับ” มือใหญ่วางลงบนเท้าที่เย็นชืดของบิดาแล้วกระชับผ้าห่มคลุมไว้เพื่อให้ความอบอุ่น
“แต่เมื่อคืน ทั้งผม
ทั้งคนของเรายังไม่ได้นอนกันเลยล่ะครับ
มัวแต่วิ่งวุ่นวายกันทั้งคืนกว่าจะตามตัวเจอ”เก้าอี้เฝ้าไข้ถูกลากมาวางข้างเตียงผู้ป่วยแล้วจึงนั่งลง
“แต่ก็นับว่าไม่เสียแรงเปล่าหรอกครับ” ยิ้มอย่างดีใจขณะค่อยๆแนบแก้มของตนลงบนมือแห้งกร้านของบิดาช้าๆ
“แสงสว่างของผม ในที่สุด ผมก็เจอสักที”
เมื่อรถหยุดนิ่งลงที่หน้าคฤหาสน์สีขาวหลังใหญ่ที่ไม่คุ้นตา นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ร่างบางเริ่มมีท่าทีลังเล
“นี่คือบ้านของคุณรีไวรับ คุณรีไวให้คุณอยู่ที่นี่
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป”
หนุ่มร่างบางพยักหน้ารับเงียบๆ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเจ้านายคนใหม่ของเขาคือชายผู้มีนามว่า
รีไว ในเมื่อมันเป็นคำสั่งของเจ้านาย ตุ๊กตาอย่างเขาก็ไม่อาจขัดขืน
“เชิญครับ ผมจะพาคุณไปพักผ่อน”
คฤหาสน์หลังนี้แลดูโอ่อ่า สภาพแวดล้อมรอบบ้านแลดูร่มรื่น
สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ขนาบด้านข้าง
ในขณะที่พื้นที่ด้านหลังคฤหาสน์ถูกเปลี่ยนให้เป็นสนามขี่ม้าขนาดใหญ่
ดูท่าบ้านหลังนี้คงจะกินพื้นที่กว้างขวางน่าดู
“เชิญทางนี้ครับ”
ร่างบางถูกเบลทรูทนำตัวขึ้นมายังชั้นบน
ห้องนอนขนาดใหญ่จัดตกแต่งด้วยโทนสีอ่อนสบายตาถูกจัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว
“ผมจะเตรียมน้ำอุ่นเอาไว้ให้
แล้วคุณค่อยเข้าไปอาบน้ำนะครับ”เบลทรูทจัดหาเสื้อผ้าที่พร้อมเปลี่ยนออกมาวางไว้บนเตียงแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
สักพักจึงโผล่ออกมา
“น้ำอุ่นได้แล้วครับ เชิญคุณตาม.........” เมื่อเห็นร่างบางเปลือยกายเดินผ่านประตูห้องน้ำเข้าไปด้วยท่าทีเฉยเมย เบลทรูทก็รู้สึกตกใจไม่น้อย
แต่พอเห็นว่าร่างบางยังคงยืนนิ่งอยู่กลางห้องน้ำไม่ขยับตัวไปไหนสักทีนั่นยิ่งทำให้เขาหนักใจมากขึ้น
“ลงไปแช่ในอ่างสิครับ ตัวจะได้อุ่น” เรือนร่างขาวบางขยับลงไปแช่ในอ่างน้ำอย่างว่าง่าย
พอลงไปนั่งในอ่างแล้วก็กลับนิ่งเฉยอยู่แบบนั้น เบลทรูทลอบถอนหายใจ.....นี่ต้องให้เขาคอยบอกทุกอย่างเลยรึไงกัน!!!!
คนๆนี้งดงามราวกับตุ๊กตาที่มีชีวิต
แต่ไร้ความรู้สึกนึกคิดและจิตใจเป็นของตนเองราวกับหุ่นยนต์
เบลทรูทจัดแจงถอดเสื้อสูทวางทิ้งไว้ แล้วบรรจงม้วนแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นเพื่อให้สะดวกแก่การเคลื่อนไหว
พลางหยิบสบู่และแชมพูติดมือไปด้วย
“ผมช่วยนะครับ” ฝักบัวอุ่นๆฉีดน้ำราดลงไปบนกลุ่มผมนุ่ม
เบลทรูทเอ่ยถามขณะที่ช่วยสระผมให้
“จะให้ผมเรียกคุณว่าอะไรดีครับ”
“เอเลน.......”
“ครับ คุณเอเลน” ร่างสูงยิ้มรับขณะเปิดน้ำล้างแชมพูออกแล้วนวดศีรษะให้ร่างบางอีกครั้ง เอเลนหลับตา ท่าทีดูผ่อนคลายลง ยามเมื่อเบลทรูทเริ่มลงสบู่บนตัวร่างบางจึงเพิ่งจะสังเกตเห็น
ตามเนื้อตัวที่ซ่อนอยู่ภายใต้โค้ทตัวใหญ่เต็มไปด้วยร่องรอยเขียวช้ำมากมาย
รอยแผลเป็นเล็กๆน้อยๆจากการถูกฟาดด้วยแส้ยังคงมีอยู่ แต่ที่แผ่นหลังนี่สิ
ที่ไม่เห็นเมื่อครู่เป็นเพราะไม่ได้สนใจจะมอง
แต่สัมผัสขรุขระบนแผ่นหลังรวมทั้งรอยนูนเป็นปื้นขนาดใหญ่ที่หลงเหลือจากการถูกไฟไหม้กลับปรากฏให้เห็นเด่นชัดกลางแผ่นหลังเนียน
แผลไฟไหม้ที่ใหญ่ขนาดนี้คงจะทรมานน่าดู ทั้งยังทิ้งร่องรอยน่าเกลียดขนาดนี้เอาไว้แสดงว่า
คงไม่ได้รับการเยียวยาบาดแผลที่ถูกวิธี
เบลทรูทบรรจงไล้สบู่ผ่านแผ่นหลังขรุขระเบาๆ
“ไม่เจ็บแล้วล่ะ ไม่ต้องสนใจหรอก
ถึงยังไงก็ไม่มีทางเจ็บไปมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้แล้วล่ะ”
เสียงหวานจากเจ้าตัวดังมาเบาๆ
ตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณต้องทนทุกข์ทรมานแค่ไหน
ผ่านเรื่องเลวร้ายอะไรมาบ้าง....คุณเอเลน
เสื้อผ้าชุดลำลองถูกสวมใส่บนเรือนกายบางด้วยความช่วยเหลือของร่างสูงจนเรียบร้อย
“อยากลงไปเดินดูรอบๆบ้านหน่อยมั้ยครับ” เอเลนส่ายหน้าก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ
“เจ้านาย?......”
“งั้นลงไปรอคุณรีไวข้างล่างด้วยกันนะครับ” เมื่อเสียงรถยนต์คุ้นหูจอดลงที่หน้าบ้าน เบลทรูทก็รีบผละจากการดูแลเอเลนออกไปต้อนรับทันที
“เป็นยังไงบ้าง”
“อาบน้ำแล้วครับ
แต่ยังไม่ยอมทานอาหารบอกว่าจะรอคุณก่อน ตอนนี้กำลังดูโทรทัศน์อยู่เลยครับ”
รีไวตวัดตามองร่างบางซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาห้องนั่งเล่น
ถึงแม้สายตาจะจับจ้องอยู่ที่จอโทรทัศน์
แต่มือบางกลับกดปุ่มรีโมทเปลี่ยนช่องทุกสามวินาที
ราวกับว่ารายการพวกนี้ไม่มีอะไรที่น่าดูเลยสักอย่าง
“เป็นอย่างนั้นนานแล้วเหรอ” เสียงทุ้มเอ่ยถาม เบลทรูทถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ครับ เป็นแบบนั้นตลอด”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ
“แล้วเรื่องที่ให้จัดการว่ายังไง”
“ตอนนี้อยู่ที่โรงเลี้ยงม้าครับ”
รีไวรีบร้อนเดินออกจากบ้านไปโดยมีเบลทรูทตามประกบมาติดๆ
โรงเลี้ยงม้า มีชายชุดดำติดอาวุธครบมือคอยเฝ้าทางเข้า ออก อยู่ประมาณสาม สี่คน เบลทรูทเดินนำชายหนุ่มไปยังคอกที่ว่าง
หน้าคอกแห่งนั้นยังมีคนของพวกเขาเฝ้าอยู่อีกชั้น เมื่อเห็นเจ้านายพร้อมทั้งมือขวาคนสนิทมาถึง
หนึ่งในคนนั้นก็รีบรายงานทันที
“ยังไม่ฟื้นครับ”
“ปลุกมันขึ้นมา!!!” รีไวออกคำสั่งเสียงเฉียบ
ถังน้ำใบใหญ่ถูกสาดใส่คนเจ็บที่นอนแผ่อยู่บนพื้นฟางถังแล้วถังเล่า
คนที่หลับใหลเริ่มจะได้สติขึ้นมา
“ลุกขึ้นมา แจน กิลชูไตน์......ฉันรู้ว่าแกตื่นแล้ว” คนเจ็บค่อยๆขยับกายหยัดตัวขึ้นอย่างเชื่องช้า
“แกเป็นใคร”
น้ำเสียงแหบแห้งเปล่งออกมาอย่างยากลำบาก
“ไม่ต้องรู้หรอกว่าฉันเป็นใคร
รู้แค่ว่าฉันรู้จักแกกับคุณชายของแกก็พอ”
“ปล่อยคุณชายของฉัน”
“มีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องทำตามลมปากของแก” รีไวยกปลายเท้าเชยคางคนเจ็บให้มองสบตากับตัวเขาชัดๆ
“ก็บอกแล้วไง
ว่าให้ฆ่าฉัน....แล้วปล่อยคุณชายของฉันไป”
“คิดว่าชีวิตแกมีค่ามากพอที่จะแลกกับคุณชายของแกเชียวเหรอ” รีไวยิ้มเหยียดกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเรื่อยเฉื่อย
“ปล่อยไปแล้วไง ให้คุณชายแกไปนอนข้างถนน
กินดินกินทรายเหมือนพวกหมาจรจัดอย่างนั้นเหรอ”
“อย่าทำร้ายเขาแค่นี้เขาก็ทุกข์ทรมานมามากพอแล้ว
แกจะเอายังก็ได้ ขอแค่อย่าทำร้ายคุณชายอีกก็เป็นพอ”
“แกก็เห็นไม่ใช่เหรอคุณชายของแกแทบจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ถ้าขาดเจ้าของ
ตอนนี้ฉันก็ช่วยสงเคราะห์รับหน้าที่เป็นเจ้าของคนใหม่ให้ไงล่ะ”
“อย่าทรมานเขา ฉันขอร้อง
ฉันไม่รู้ว่าแกเป็นใครมีจุดประสงค์อะไร แต่ขอร้อง อย่ารังแกเขาเป็นพอ”
“ฉันจะให้คุณชายของแกอยู่ที่นี่
และฉันก็มีข้อเสนอให้แก......แจน กิลชูไตน์ ฉันรู้ว่าแกรักคุณชายของแกมาก
เพราะฉะนั้นในระหว่างที่คุณชายของแกอยู่ในความดูแลของฉัน ฉันจะให้แกอยู่ที่นี่ด้วย
แต่ไม่ใช่ในฐานะผู้ดูแล......แกต้องอยู่ที่นี่ ในฐานะมือสังหารของฉัน”
“ไม่ได้......ทำแบบนั้นไม่ได้
คุณชายต้องมีคนดูแล”
“เบลทรูทจะดูแลทุกอย่างให้คุณชายของแก
ส่วนแกมีหน้าที่ทำตามคำสั่งของฉันก็พอ ถ้าอยู่ที่นี่ในฐานะคนของฉันแกก็ยังพอจะมีโอกาสได้เจอกับคุณชายของแกอยู่บ้าง
แต่ถ้าไม่.....เส้นทางสุดท้ายของแกก็คือ......ตาย!!!”รีไวกล่าวขณะที่คว้าปืนจากลูกสมุนที่อยู่ใกล้ที่สุดมาจ่อหน้าผากแจน
“ว่ายังไงจะยอมเป็นทาสฉันเพื่อคุณชายของแก
หรือจะยอมตายอย่างหมาข้างถนนไร้ทางสู้”
แจนเงียบ เหงื่อบนหน้าผากไหลซึมลงมาตามใบหน้าเรียวได้รูป รีไวเองก็ไม่ได้รีบร้อน
ยังคงรอฟังคำตอบอย่างใจเย็น รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมยังคงประดับอยู่บนใบหน้า
“ฉันยอม.......ยอมแล้วทุกอย่าง” ไม่อาจขัดขืนได้แต่หลับตาลง ยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี
ปัง!!!!!
กระสุนปืนแผดเสียงดังลั่นเสียจนหมู่นกแตกฮือออกจากรัง
เลือดสีแดงข้นสาดกระจายเต็มกองฟาง ร่างที่อ่อนแรงแผ่หลาลงคลุกฝุ่นอยู่บนพื้น
นอนหอบหายใจรวยริน
“แจน กิลชูไตน์ตายไปแล้ว
ตอนนี้แกเป็นคนของฉันจำไว้ เอิร์ด...... อย่าได้คิดหนี
เพราะถึงจะหนีแกก็ไม่มีทางหลุดพ้นเงื้อมมือฉันได้” รีไวจิกผมที่ชื้นเหงื่อและเลือดของแจนขึ้นมากระซิบเบาๆ
“ฉันจะทำให้แกรู้ว่าการเลือกที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อคุณชายของแกมันทรมานยิ่งกว่าตาย
แล้ววันหนึ่งแกจะนึกเสียดายความตายที่ฉันเคยหยิบยื่นให้ ไม่เชื่อก็คอยดู.......เอิร์ด”
“จัดการปิดฉากแจน กิลชูไตน์เสียให้เรียบร้อย
แล้วสร้างฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ เอิร์ด จินขึ้นมาใหม่.......ต่อจากนี้ไปจะไม่มีแจน
กิลชูไตน์อยู่บนโลกนี้อีก”
“ครับ.....” เบลทรูทรับคำในขณะที่รีไวเดินออกจากโรงเลี้ยงม้าไป
แจนที่อ่อนระโหยโรยแรงจ้องมองแผ่นหลังกำยำที่กำลังเดินห่างออกไปด้วยความเคียดแค้น เบลทรูทนั่งลงพูดกับเขาเบาๆพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน
“ผมจะให้คนส่งคุณไปโรงพยาบาล......รีบหายแล้วคุณจะได้กลับมาพบกับคุณเอเลนอีกนะครับ”
เมื่อรีไวกลับเข้ามาในบ้านก็ยังพบว่าเอเลนยังคงเอาแต่นั่งเปลี่ยนช่องโทรทัศน์อยู่ที่เดิม
“ทำไมไม่กินข้าว” เสียงทุ้มเอ่ยถาม
เอเลนรีบวางรีโมทแล้วลุกขึ้นมาหาทันที
“ผมรอเจ้านาย......ถ้าเจ้านายไม่บอกให้กิน
ก็กินไม่ได้” รีไวจ้องมองดวงตากลมโตที่มองสบกับเขาตรงๆ
มันช่างว่างเปล่าและใสซื่อเสียเหลือเกิน
“ไปกินข้าวเถอะ.....ฉันหิวแล้ว” จัดแจงหิ้วร่างบางติดมือเดินเข้าห้องอาหารไปด้วยกัน ข้าวต้มร้อนๆถูกตั้งสำรับไว้สองที่
เอเลนยังคงนั่งนิ่งในขณะที่รีไวเริ่มจัดการข้าวต้มในชามไปแล้ว
“ทำไมไม่กิน”
“เอ่อ....คุณเอเลนค่อนข้างจะมีปัญหาเรื่องการดูแลตนเองอยู่น่ะครับ” เบลทรูทกระซิบเบาๆ
“ต้องให้ป้อนรึไง” รีไวหันไปถามคนข้างๆ
เอเลนส่ายหน้าก่อนจะค่อยๆตักข้าวต้มเข้าปากตัวเองช้าๆ รีไวจ้องมองท่าทีนั้นอยู่สักพักจึงหันไปพูดกับคนสนิทข้างกาย
“เราคงมีเรื่องต้องคุยกันแล้วล่ะเบลทรูท”
“ครับ ผมก็มีเรื่องจะเรียนนายท่านเช่นกัน”
รีไวเหลือบมองร่างบางที่เอาแต่นั่งเล่นรีโมทโทรทัศน์แล้วก็กุมขมับ
“ไม่ยอมทำอะไรเลยเหรอ”
“ครับ ดูเหมือนว่าถ้าไม่มีคำสั่งจากคุณ คุณเอเลนจะไม่ยอมทำอะไรเลย
แม้แต่ตอนที่อาบน้ำ ผมก็ยังต้องจัดการให้ทั้งหมด”
“เฟอร์นันโด มันทำอะไรลงไปบ้าง” ชายหนุ่มรำพึงกับตนเบาๆ
“อีกอย่างนะครับ ถึงภายนอกจะดูไม่มีอะไรแต่ตามเนื้อตัวด้านในใต้ร่มผ้ากลับเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำและรอยแผลเป็น
ที่กลางแผ่นหลังก็มีรอยแผลเป็นที่เกิดจากการถูกไฟลวกค่อนข้างจะใหญ่อยู่ด้วย”
“รอยแผลเหรอ”
“ครับ”
รีไวทอดสายตามองเอเลนอีกครั้งแล้วเอ่ยปากเรียก
“เอเลน......มานี่สิ” ร่างบางรีบวางรีโมทในมือแล้วเดินมาหา
นัยน์ตากลมโตจ้องมองผู้เป็นนายนิ่ง รีไวมองสบดวงตาใสแจ๋วนั้นแล้ววางมือลงบนตักของตน
“นั่งลง”
ร่างบางทรุดกายนั่งลงบนตักของชายหนุ่มแต่โดยดี
ดวงตาคู่นั้นยังคงจ้องมองเขาไม่วางตา
“ออกไปก่อน” เบลทรูทเร้นกายออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ
มือใหญ่ยกแตะแก้มใสเบาๆ เอเลนเองก็ไม่ได้มีท่าทีขัดขืนยังคงนิ่งยินยอมให้เขาสัมผัสได้ตามใจชอบ
มือใหญ่เลื่อนปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีอ่อน แล้วรูดให้เสื้อหลุดออกจากกายบาง
เรือนกายขาวนวนถูกแต่งแต้มด้วยรอยฟกช้ำและรอยแผลเป็นดังที่เบลทรูทว่าจริงๆ
มือใหญ่ลูบไล้ไปตามรอยแผลเป็นแผ่วเบา ร่างกายที่ไวต่อการสัมผัสสั่นสะท้านน้อยๆ
เมื่อเอื้อมไปสัมผัสที่แผ่นหลังแทนที่จะได้พบกับสัมผัสเนียนนุ่มกลับเจอกับผิวสัมผัสขรุขระของผิวหนังที่ถูกไฟลวกแทน
รีไวขมวดคิ้วมุ่น
“เฟอร์นันโด
มันน่าเอาศพมาสับไปโยนให้ปลากินจริงๆ” มือบางยกขึ้นเคาะเบาๆตรงกลางหว่างคิ้วของร่างสูง
“เจ้านายโกรธ..........ไม่พอใจผมเหรอครับ”
“เปล่านี่....ไม่มีอะไร” รีไวปั้นยิ้มตอบกลับไป เอเลนเอียงคอมองด้วยความฉงน ชายหนุ่มจุมพิตแก้มนิ่มเบาๆอย่างอ่อนโยน
“ไปดูโทรทัศน์ต่อเถอะ” จัดแจงสวมเสื้อให้เรียบร้อยแล้วปล่อยให้ร่างบางหลุดเข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัวอีกครั้ง
รีไวทอดสายตามองเอเลนนั่งเล่นรีโมทแล้วนวดขมับตัวเองไปด้วย
“คงต้องหาทางทำอะไรสักอย่างแล้ว......”
โทรทัศน์ที่ค่อยๆเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆปรากฏข่าวการฆ่าล้างงานประมูลขึ้นชั่วครู่ก่อนจะถูกเปลี่ยนไปช่องอื่น
มือใหญ่ยึดรีโมทเอาไว้แล้วกดกลับไปที่ช่องข่าวอีกครั้ง
“เบื้องต้นทางตำรวจได้สันนิษฐานว่า
สาเหตุการสังหารครั้งนี้สืบเนื่องมาจากการขัดแย้งผลประโยชน์ทางธุรกิจ
ซึ่งในระหว่างนี้ยังคงต้องรอการรวบรวมหลักฐานและผลสรุปที่แน่ชัดอีกทีค่ะ
และนี่คือภาพสดจากที่เกิดเหตุค่ะ”
สิ้นเสียงบรรยายของนักข่าวสาว
ก็ปรากฏร่างของชายหนุ่มร่างสูงที่กำลังถูกเหยี่ยวข่าวรุมทึ้งขึ้นมาแทนที่
“ผู้กองสมิธคะ
ไม่ทราบว่าตอนนี้ทางตำรวจได้ร่องรอยเบาะแสอะไรบ้างคะ”
“ผมยังไม่สามารถให้ข้อมูลอะไรได้มาก
เพราะตอนนี้ทางตำรวจกำลังอยู่ในช่วงกระบวนการสืบหาเบาะแสและรวบรวมหลักฐานอยู่ครับ”
“คาดกันว่าเป็นเรื่องความขัดแย้งกันทางธุรกิจผิดกฎหมาย
ผู้กองคิดว่าเหตุจูงใจในครั้งนี้เป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนคะ”
“นั่นก็เป็นหนึ่งในข้อสันนิษฐานที่เราตั้งไว้
แต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อได้ทั้งหมดหรอกครับ
ต้องรอการตรวจสอบพิสูจน์หลักฐานอื่นๆอีกอยู่ดี ผมยังฟันธงอะไรไม่ได้ครับ”
“เห็นว่ากล้องวงจรปิดสามารถบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้
น่าจะได้เบาะแสมือสังหารเร็วๆนี้ใช่มั้ยครับ ผู้กอง”
“ต้องรอตรวจสอบก่อนครับ”
“ได้ยินว่ามีสินค้าที่หายออกไปจากงานประมูลด้วย
ผู้กองคิดว่ามูลเหตุครั้งนี้น่าจะมากจากการปล้นชิงของประมูลหรือเปล่าคะ”
“ทางเรากำลังตรวจสอบอยู่ครับ.......เสียเวลามามากแล้ว
ผมขอตัวกลับไปปฏิบัติหน้าที่ก่อนนะครับ”
“ผู้กองครับ......ผู้กองเดี๋ยวค่ะ.......” ภาพจากโทรทัศน์ถูกตัดไปเมื่อนายตำรวจหนุ่มเดินออกจากหน้ากล้อง
กลับมาสู่ห้องถ่ายทอดข่าว
“ค่ะและนี่ก็เป็นสถานการณ์ล่าสุดในขณะนี้
หากมีรายงานข่าวคืบหน้าเช่นใด ทางเราจะนำมารายงานให้ทราบในทันทีค่ะ”
รีไวยิ้มเย็นขณะที่ส่งรีโมทกลับคืนให้เอเลนกดเล่นอีกครั้ง
“จะตายรอยฆาตกรเหรอ.........มีปัญญาก็หาให้เจอสิ”
ร่างสูงที่เดินสลัดนักข่าวจนหลุดหันมาสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาที่เฝ้าอยู่หน้าทางเข้า
“อย่าปล่อยให้พวกนักข่าวเข้ามาอีกนะ”
“ครับ.....ผู้กอง” ผู้กองหนุ่มเดินผ่านแถบเทปกั้นสีเหลืองเข้าไปหากลุ่มคนที่กำลังง่วนอยู่กับการตรวจพิสูจน์ค้นหาหลักฐานภายในห้องประชุมใหญ่ที่กลายสภาพเป็นลานประหาร
“ได้อะไรกันบ้างรึยัง”
“อ้าว......ผู้กอง
หนีนักข่าวมาได้แล้วเหรอครับ” หนุ่มร่างเล็กผมเกรียนที่ถือกล้องถ่ายรูปอยู่ในมือหันมาทักพร้อมทั้งถ่ายรูปเขาไปหนึ่งแชะ
“นายควรจะเก็บภาพศพกับสภาพที่เกิดเหตุ
ไม่ใช่มาถ่ายรูปฉันนะโคนี่”
“ก็แหม.....ผู้กองเซเล็บของเราออกจะหล่อสูสีกับกัปตันนมโตที่กำลังเข้าโรงฉายอยู่เลยนี่นา
ขนาดหน้าบูดเป็นตูดลิงแบบนี้ก็ยังหล่อเลยนี่คร้าบบบบ” โคนี่กระเซ้าผู้บังคับบัญชาขณะที่หญิงสาวที่กำลังเก็บหลักฐานอยู่ข้างๆกันตีหน้ามึนเอ่ยรัวเร็ว
“ฉันไม่เกี่ยวนะคะ ฉันไม่เกี่ยว” หญิงสาวมัดผมหางม้าตอบยิ้มๆ พร้อมกับส่งถุงมือให้ผู้กองหนุ่มไปด้วย
“ขอบใจซาช่า.........โคนี่เล่นมากๆ
ระวังฉันจะจับแกโยนเข้าไปเล่นในคุกเสียเลยเป็นไง”นายตำรวจหัวเกรียนทำหน้าตาโอเวอร์ร้องเสียงดัง
“โอ๊ย!!!ผมกลัวจนฉี่จะราดแล้วเนี่ย”
“ถ้าฉี่จะราดก็รีบไสหัวออกไปเลย ฉี่ของนายมันจะทำลายที่เกิดเหตุ
เดี๋ยวรูปคดีจะเสียไปเปล่าๆ”
“พูดได้ดีนี่ซาช่า
สอบปากคำผู้รอดชีวิตที่อยู่ในเหตุการณ์ ได้อะไรมาบ้าง”
“พยานผู้รอดชีวิตให้การว่า
ตั้งแต่เริ่มงานประมูลทุกอย่างยังคงเป็นไปด้วยดีเหมือนกับการประมูลทุกครั้งที่ผ่านมา
แต่เหตุการณ์โกลาหลเริ่มขึ้นเมื่อถึงการประมูลสินค้าล็อตสุดท้ายค่ะ”
“สินค้าล็อตสุดท้ายเหรอ”
“ค่ะ.....ตุ๊กตามนุษย์”
“ตุ๊กตายางน่ะเหรอ” โคนี่โพล่งขึ้นมา
“ในหัวนายมีแต่เรื่องนั้นรึไงโคนี่
ถ้าเป็นตุ๊กตายางจริง สั่งซื้อตามร้านเซ็กซ์ทอยในเน็ทไม่ง่ายกว่ารึไง”
“ตุ๊กตามนุษย์ที่ว่า.....คงไม่ได้หมายถึงคนจริงๆใช่มั้ย”
“เป๊ะเลยแหละ......”ซาช่าตอบพร้อมกับดีดนิ้วด้วยความถูกใจ
“ตุ๊กตามนุษย์คือกลุ่มคนที่ถูกขายเพื่อเป็นของเล่นและสัตว์เลี้ยงให้กับเหล่าผู้ร่วมงานประมูลค่ะ
ผู้รอดชีวิตว่ามาอย่างนั้น”
“นี่มันเป็นการค้ามนุษย์ชัดๆ
ไอ้สมาคมใต้ดินพวกนี้ โดนถล่มยับได้เสียก็ดี ลองเอาลูกเอาเมียพวกมันมาขายดูบ้าง
จะรู้สึกยังไง”
“โคนี่ อย่าหลงประเด็น
เรากำลังสืบหาข้อเท็จจริงอยู่ อย่าเอาความรู้สึกส่วนตัวใส่ลงไปในงานด้วย.......ว่าต่อไปเถอะ
ซาช่า”
“ค่ะ พยานให้การว่าเหตุเกิดขึ้นเมื่อเริ่มประมูลตุ๊กตามนุษย์ของเฟอร์นันโด
เดรุส ในขณะที่เขากำลังกล่าวอ้างสรรพคุณตุ๊กตาของตนอยู่เสียงปืนก็ดังขึ้น ร่างของเฟอร์นันโด
เดรุสล้มลงกับพื้นพร้อมเลือดและมันสมองที่สาดกระจาย
หลังจากนั้นเรื่องก็ลุกลามไปใหญ่
ต่างฝ่ายต่างเปิดฉากกราดยิงใส่กันโดยไม่สนว่าใครเป็นใคร ผู้เสียชีวิตมีมากกว่าครึ่ง
และบาดเจ็บอีกนับไม่ถ้วน จึงยังไม่สามารถระบุได้ว่ามือปืนที่สังหารเฟอร์นันโด
เดรุสคือคนของฝ่ายไหนกันแน่ค่ะ”
“ยิ่งต่างฝ่ายต่างกราดยิงใส่กันแบบนั้น
จะจับมือใครดมก็ไม่ได้สินะ” ผู้กองสมิธเกาคางครุ่นคิด
“แต่มีอีกข้อมูลหนึ่งที่ฉันได้รับจากฝ่ายจัดงานประมูลหลังจากตรวจสอบสินค้าทั้งหมดดูแล้วค่ะ
ผู้กอง”
“ว่ายังไง”
“สินค้าที่หายไปจากงานประมูลมีเพียงอย่างเดียวค่ะ
ตุ๊กตามนุษย์ของเฟอร์นันโด หายไปอย่างไร้ร่องรอย!!!”
มือบางที่กำลังกดแป้นรีโมทจำต้องหยุดลงเมื่อถูกมือนุ่มๆของใครบางคนกุมเอาไว้
เอเลนหันไปมองใบหน้าแย้มยิ้มของเบลทรูทที่อยู่ใกล้ๆ
“อาหารเที่ยงพร้อมแล้วนะครับ”
“เจ้านาย?”
“คุณรีไวสั่งไว้ว่าให้คุณทานข้าวเที่ยงได้เลย ท่านติดธุระอยู่น่ะครับ” เอเลนพยักหน้ารับ เดินตามหนุ่มร่างสูงที่จูงมือไปยังห้องอาหารแต่โดยดี
ตอนนี้เบลทรูทเรียนรู้วิธีที่จะจัดการกับเอเลนแล้ว
ไม่ว่าจะให้ทำอะไรเพียงแค่บอกว่าเป็นคำสั่งของเจ้านาย เอเลนก็จะทำตามในทันที
“คุณรีไวบอกให้คุณทานมากๆ.......ถ้าอยากได้อะไร ก็บอกผมได้นะครับ” เบลทรูทบอกกับร่างบางขณะที่ช่วยหั่นชิ้นเนื้อในจานให้เป็นชิ้นเล็กๆให้
ซึ่งเอเลนก็พึมพำขึ้นมาทันที
“แจน?......”
“ว่ายังไงนะ!!! เอเลนถามหาแจนเหรอ” เสียงทุ้มกรอกลงไปบนโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงที่ไม่เบานัก
“ครับ พอผมพูดว่าอยากได้อะไรให้บอก คุณเอเลนก็พูดถึงแจนขึ้นมาทันทีเลยครับ” เบลทรูทที่ปลีกตัวออกมาโทรศัพท์รายงานความเคลื่อนไหวตอบกลับไปเบาๆ
“คุณ จะให้ผมตอบคุณเอเลนว่ายังไงดีครับ”
“ไม่ต้องไปสนใจ เอาไว้ฉันจัดการเอง” ร่างสูงกดตัดสายทิ้งไป
แล้วเดินกลับเข้าห้องผู้ป่วยหนัก นั่งลงเคียงข้างเตียงผู้ป่วยของชายชราผู้ซึ่งนอนเหยียดกายนิ่งไม่ขยับเขยื้อนเช่นเคย
“สิ่งที่ผมทำมันถูกต้องแล้วใช่มั้ยครับคุณพ่อ ผมทำดีแล้ว ตอนนี้เขาอยู่กับผมแต่ก็เหมือนเป็นคนละคน
แสงสว่างดวงน้อยริบหรี่ลางเลือนจนน่าใจหาย
ทำยังไงผมถึงจะได้เขาคืนกลับมา....คุณพ่อช่วยบอกผมทีสิครับ ผมอยากได้เอเลนคนเดิมของผมกลับมาเหลือเกิน”
ไม่มีคำตอบใดๆตอบกลับมาจากผู้เป็นพ่อ
มีเพียงเสียงเครื่องช่วยหายใจและเสียงเครื่องตรวจจับสัญญาณชีพที่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอเพียงเท่านั้น
“ได้โปรด......ลุกขึ้นมาบอกผมทีสิครับ ทำยังไง
เอเลนของผมถึงจะกลับมา.........”
หลังจากใช้เวลาอยู่ในห้องผู้ป่วยร่วมชั่วโมง
ร่างสูงก็กลับออกมา
“กลับเลยมั้ยครับนายท่าน”
หนึ่งในผู้ติดตามเอ่ยถามขึ้น
“ยัง ไปแผนกผู้ป่วยศัลยกรรมก่อน”
แผนกผู้ป่วยศัลยกรรมค่อนข้างจะอยู่ห่างจากแผนกผู้ป่วยหนักพอสมควร
แต่ตลอดสองข้างทางที่ผ่านมาก็มีเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลแสดงอาการทักทายชายหนุ่มอยู่เป็นระยะ.......ก็ในเมื่อเขาเป็นผู้มีอุปการคุณต่อโรงพยาบาลรายใหญ่
ยังไงก็ต้องประจบเอาใจไว้ก่อน
ประตูห้องผู้ป่วยพิเศษเปิดกว้างทิ้งไว้
ด้านในยังมีหมอสาวตรวจเยี่ยมอาการผู้ป่วยอยู่พอดี
“ถ้ารู้สึกปวดแผลขึ้นมาก็แจ้งพยาบาลได้นะ หมอสั่งยาแก้ปวดเอาไว้ให้แล้ว
ช่วงนี้คุณก็อย่าเพิ่งเคลื่อนไหวร่างกายมากนัก พักฟื้นให้เต็มที่เสียก่อน
แล้วหลังจากนั้นค่อยเริ่มฝึกกายภาพบำบัดกัน”
“อาการดีขึ้นบ้างมั้ย” รีไวที่ยืนกอดอกรออยู่หน้าประตูเงียบๆเอ่ยถามขึ้น
“อ้าว!!! มาแล้วเหรอคุณชาย
เล่นเขาหนักซะขนาดนี้ยังมีหน้ามาถามนะ” แพทย์สาวเอ่ยกระเซ้าชายหนุ่มอย่างคุ้นเคย
ในขณะที่อีกฝ่ายดูจะไม่อยากมีส่วนร่วมกับอารมณ์ขันนี้เลย
“โดยรวมแล้วบาดแผลถูกยิงตามร่างกายไม่มีการอักเสบติดเชื้ออะไรแต่ก็ยังต้องให้ยาฆ่าเชื้อต่อไปก่อน
ส่วนแผลผ่าตัดใบหน้าต้องใช้เวลาราวๆหนึ่งเดือนจึงจะเปิดแผลได้”
รีไวปรายตามองร่างสูงโปร่งที่ถูกพันด้วยผ้าพันแผลทั้งตัวไม่ต่างจากมัมมี่ที่นั่งอยู่บนเตียงผู้ป่วย
“เปลี่ยนไปมากแค่ไหน”
“ก็....ตามที่นายสั่งนั่นแหละ ฉันพยายามทำเท่าที่ทำได้
ถึงจะผ่าเปลี่ยนทั้งหน้าแต่ก็ยังพอมีเค้าเดิมอยู่ การผ่าตัดสำเร็จราบลื่นดี
ส่วนผลที่ได้คงต้องรอดูกันอีกทีวันเปิดแผล” ตัวคนป่วยแม้จะได้ยินทุกคำสนทนา
แต่เขาเองกลับไม่ใคร่จะสนใจนัก สิ่งเดียวที่เขากำลังคิดถึงตอนนี้มีเพียง
‘อีกหนึ่งเดือนเท่านั้น ผมจะได้กลับไปพบคุณชายแล้วนะครับ’
“ก็ดี ยังไงก็ฝากเธอด้วยละกัน ฮันซี่”
“โอเค ยังไงนี่ก็เป็นหน้าที่ฉัน และถ้านายไม่ว่าอะไรนะไอ้คุณชาย
ฉันขอตัวไปปฏิบัติหน้าที่ตรวจคนไข้คนอื่นก่อนก็แล้วกัน” เมื่อหมอสาวออกไปจากห้อง
รีไวจึงหันไปพูดกับคนที่นั่งเงียบอยู่บนเตียง
“ฟื้นตัวเร็วดีนี่ อึดแบบนี้ ค่อยทนมือทนเท้าหน่อย”
“..............” แจนนิ่งเฉยต่อถ้อยคำเหล่านั้น
“คิดว่าจะได้มาเห็นสภาพน่าสมเพชกว่านี้ด้วยซ้ำ ผิดคาดจริงๆ”
“......................”
“ที่มาวันนี้ก็ไม่ได้มีอะไรมาก แค่มาบอกว่า เอเลนน่ะ เขาอยากจะเห็นหน้าแจนของเขาจะแย่อยู่แล้ว” แจนตวัดตามองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความกราดเกรี้ยว รีไวหัวเราะเบาๆ
มือใหญ่บีบลงบนไหล่ตรงตำแหน่งที่ตนเคยฝากลูกกระสุนปืนเอาไว้อย่างแรง
“ฉันแทบจะทนรอดูสีหน้าแกตอนที่เจอกับคุณชายอีกครั้งไม่ไหวเชียวล่ะ......แจน
อ๊ะ.....ไม่ใช่สิ ต้องเป็น เอิร์ด จิน สินะ”
ร่างโปร่งหอบสะท้านเพราะความเจ็บปวดและเจ็บแค้นที่ฝังในใจ
ถ้าหากสามารถฆ่าไอ้ผู้ชายโรคจิตคนนี้ได้ เขาจะทำมันทันทีอย่างไม่ลังเล ส่วนรีไวก้มมองผ้าพันแผลชุ่มเลือดแล้วยิ้มเย็น
“อ้าว!!!
เลือดออกเสียแล้วนี่ สกปรกชะมัด”
มือใหญ่ป้ายเช็ดลงบนผ้าปูที่นอนสีขาวด้วยความรังเกียจแล้วหันไปพูดกับคนป่วยด้วยท่าทีเย้ยหยัน
“ปากแผลเปิดแบบนี้คงหายช้าหน่อยนะ
กว่าจะได้เจอคุณชายของแกก็คงอีกนาน......รีบๆหน่อยล่ะ ลูกกวางน้อยที่อยู่ในถ้ำเสือจะถูกขย้ำกินเมื่อไหร่ก็ไม่รู้นะ.....แล้วอย่าหาว่าฉันไม่เตือน”
ชายหนุ่มส่งยิ้มร้ายก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างอารมณ์ดี
แจนได้แต่มองตามไปอย่างอาฆาตแค้น
ลำพังบาดแผลตามร่างกายตอนนี้แค่คิดจะขยับก็ยังยากแล้ว ผู้ชายคนนั้นยังตามมาซ้ำเติมเขาไม่เลิก
แต่ไม่ว่าชายคนนั้นจะเป็นใครและมีเป้าหมายอะไรแจนก็ได้ให้สัตย์สาบานแก่ตัวเองไว้แล้ว
สักวัน จะต้องฆ่ามันให้ได้!!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น