วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2557

{Attack On Titan:Levi x Eren } Kill me - Kiss me.-8:

{Attack On Titan:Levi x Eren } Kill me - Kiss me.-8:
Chapter 8


จะทำยังไงถึงจะเข้าถึงตัวคุณชายได้กันนะ..........
แจนได้แต่ครุ่นคิดขณะเฝ้ามองเอเลนที่กำลังแปรงขนให้กับสุนัขตัวผอมกะหร่องอยู่แทบเท้าชายหนุ่มหน้าคมที่กำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่เงียบๆ
ลำพังแค่จะเข้าไปใกล้ก็ยังทำไม่ได้ เรื่องที่จะพาออกไปจากที่นี่ไม่ต้องพูดถึงกันเลยทีเดียว

“ถ้าอยากจะเข้า คุณก็เข้าไปสิครับ ยืนอยู่ตรงนี้ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก” เสียงทักจากด้านหลังทำให้แจนต้องหันกลับไปมองแล้วก็พบกับใบหน้าแย้มยิ้มของเบลทรูทอยู่ใกล้ๆ
“คุณรีไวก็อยู่ด้วย ถ้าคุณจะเข้าไปหาคุณเอเลนผมว่าก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ”
“ไม่จำเป็น ฉันไม่มีธุระอะไรกับคุณชาย” แจนตอบเสียงเบาแล้วเดินเลี่ยงออกมา แต่น้ำเสียงที่สวนกลับมาอย่างเย้ยหยันก็ทำให้ชายหนุ่มอดตวัดตามองด้วยความฉุนเฉียวไม่ได้
“ไม่มีธุระ หรือทนรับท่าทีปฏิเสธอย่างซึ่งหน้าไม่ได้กันแน่ครับ” เบลทรูทยังคงกล่าวด้วยสีหน้าและรอยยิ้มอ่อนโยนเช่นเดิม แจนปิดปากเงียบพยายามข่มความโกรธที่กำลังคุกรุ่นอยู่ในใจก่อนจะเดินจากไปอย่างเงียบๆ เบลทรูทไล่สายตามองตามแผ่นหลังของชายหนุ่มที่เดินจากไป ใบหน้าที่เคยประดับด้วยรอยยิ้มพลันนิ่งสนิท
“หึ.....แทงใจดำเต็มๆเลยสินะ”
เปรยกับตนเองเบาๆก่อนจะปั้นสีหน้าฉาบด้วยรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้งแล้วเคาะประตูตามมารยาท
“ขออนุญาตครับ” ร่างสูงแทรกกายเข้าไปในห้องนั่งเล่น เอเลนที่กำลังง่วนอยู่กับมอมแมมเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ชั่วครู่ก่อนจะกลับเข้าสู่โลกส่วนตัวของตน
“ว่ายังไงบ้าง” รีไวละสายตาจากหนังสือพิมพ์หันมาพูดกับคนสนิท
“นายน้อยให้เรียนว่าจะมาถึงที่นี่ วันพรุ่งนี้ตอนเย็นๆครับ”
“อืม ก็ดี ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้นายก็ไปรับเจ้านั่นก็แล้วกัน”
“นายน้อยให้เรียนว่าขอการคุ้มกันขั้นสูงสุดครับ เพราะถึงจะเป็นที่อิตาลีแต่ก็มีโจทก์เก่าอยู่ไม่น้อย”
ขนคิ้วคนฟังถึงกับกระตุกด้วยความหงุดหงิด
“นี่เจ้านั่นจะให้ฉันไปรับมันเองงั้นสินะ” รีไวเอ่ยตวาดด้วยความหงุดหงิด ซึ่งเบลทรูทก็ได้แต่ยิ้มรับกลั้นขำ
พี่น้องคู่นี้นี่ลูกล่อลูกชนทันกันตลอดสิน่า!!!
“ก็ได้....เอางั้นก็ได้ ฉันจะไปรับมันเองก็ได้”  จำต้องตอบรับอย่างเสียไม่ได้จริงๆ
“ผมไปด้วยนะ” เสียงเอื่อยๆที่แทรกขึ้นมาดึงความสนใจของรีไวเอาไว้พอดี เอเลนแนบหน้าลงกับเรียวขายาวแล้วอ้อนอีกครั้ง
“เจ้านายไปไหน ผมไปด้วย”
“รออยู่ที่บ้านเถอะ” นัยน์ตาคมเข้มที่ทอดมองร่างบางอ่อนแสงลง มือใหญ่ยกลูบกลุ่มผมนุ่มมือเบาๆ
“แต่ผมอยากไปกับเจ้านายด้วย” ใบหน้าหวานตีหน้ายุ่งออดอ้อนอย่างเอาแต่ใจ น้อยครั้งนักที่เอเลนจะแสดงสีหน้าท่าทางออกมาเต็มที่แบบนี้
คงจะอยากไปมากจริงๆ.......
“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้จะพาไปนั่งรถเล่นรอบเมืองสักรอบก็แล้วกัน”
“เอามอมแมมไปด้วยได้มั้ย” นัยน์ตาสีเขียวมรกตทอประกายเจิดจ้าขึ้นมาทันที
“มอมแมมต้องอยู่เฝ้าบ้าน ถ้าเอามอมแมมไป เอเลนจะอยู่เฝ้าบ้านแทนมันได้มั้ย” รีไวก้มหน้าลงพูดกับร่างบางที่นั่งหน้าบึ้งอยู่แทบเท้าช้าๆ ฝ่ายเอเลนส่ายหน้าดิก
“ไม่เอา ผมอยากไปด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องเอามอมแมมไป ตกลงมั้ย”
“อืม” ใบหน้ามุ่ยพยักหน้ารับเบาๆ
อันที่จริงก็ไม่อยากจะขัดใจสักเท่าไหร่ แต่ถ้าจะต้องเอาหมาไปด้วยล่ะก็มันคงจะไม่สะดวกนัก
“พรุ่งนี้จะมีคนมา เดี๋ยวจะพาไปทานข้าวข้างนอก”
“ใครเหรอครับ”
“น้องชายของฉันเอง”
“น้องชายของเจ้านาย.....เจ้านายน้อย?”
“ไม่จำเป็นต้องเรียกมันถึงขนาดนั้นก็ได้ เรียกแค่ชื่อมันก็พอ”
“เรียกแค่ชื่อก็ได้เหรอ เจ้านายจะไม่โกรธผมใช่มั้ย” เอ่ยถามเสียงเบาขณะตะกายตัวขึ้นไปนั่งบนตักอย่างถือวิสาสะ แขนเรียวโอบกอดรอบลำคอแกร่งพลางแนบหน้าลงบนไหล่กว้างอย่างเนียนๆ
“มีเหตุผลอะไรที่จะต้องโกรธกัน”
“ก็เหมือนผมไม่เคารพน้องชายเจ้านายเลย”
“จะไปเคารพมันทำไม เจ้านั่นมันมีอะไรน่าเคารพตรงไหนกัน”
“น้องชายของเจ้านายชื่ออะไรเหรอครับ”
“เรียกมันว่า มิคาสะ ก็แล้วกัน”


ท่าอากาศยานนานาชาติเลโอนาโด ดา วินชี-ฟิวมิชิโน

เรือนร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มลูกครึ่งเอเชีย-ยุโรป ในชุดโค้ทยาวสีเข้มที่เพิ่งก้าวพ้นออกมาจากเกทเรียกความสนใจจากสายตาคนรอบข้างได้ไม่น้อย แม้จะมีแว่นกันแดดสีชาขนาดใหญ่ปิดบังใบหน้าเอาไว้เกือบครึ่ง แต่เพียงแค่มองผ่านๆก็ยังสามารถจับเค้าลางความคมคายของชายหนุ่มผู้นี้ได้ไม่ยาก ยิ่งเห็นขบวนผู้ติดตามในชุดสูทสีดำนั่นยิ่งทำให้คนรอบข้างจ้องมองกลุ่มคนพวกนี้ด้วยความสงสัยมากขึ้นไปอีก
นัยน์ตาสีเข้มในแบบของชาวเอเชียที่ได้มาจากผู้เป็นมารดากวาดมองผ่านผู้คนรอบข้างที่กำลังจ้องมองไปอย่างเฉยชา
“กล้าดียังไงถึงปล่อยให้ฉันรอกัน” ได้แต่บ่นกับตนเองเบาๆ ทั้งๆที่บอกไปแล้วว่าจะมาถึงวันนี้ เจ้านั่นมันยังกล้าให้เขารออีกหรือนี่
“ยูมิล โทรไปสิ มันถึงไหนกันแล้ว”


เสียงโทรศัพท์ส่วนตัวที่ซุกไว้ในปกเสื้อดังขึ้น เบลทรูทที่นั่งอยู่ข้างคนขับจำต้องรีบหยิบขึ้นมารับสายก่อนที่มันจะดังรบกวนผู้โดยสารทั้งสองที่นั่งอยู่เบาะหลังไปมากกว่านี้
“ครับ......อีกราวๆสิบนาทีครับ บังเอิญทางนี้มีปัญหานิดหน่อยครับ”
“เปล่าครับ ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรครับ รบกวนแจ้งนายน้อยให้ด้วยนะครับคุณยูมิล ขอบคุณครับ”
ปัญหาที่ว่ามันก็มาจากสองคนที่อยู่ข้างหลังนี่แหละ
“สวมเอาไว้เถอะเอเลน ฉันขอร้องล่ะ ข้างนอกมันหนาวมากนะ” รีไวกล่าวเสียงอ่อนขณะที่พันผ้าพันคอขนแคชเมียร์รอบลำคอของร่างบางเป็นรอบที่สามสิบแปด
“มอมแมมก็หนาวเหมือนกัน ทำไมเจ้านายไม่ให้มอมแมมมันบ้าง”
“ยังไงมอมแมมก็มีขน และอีกอย่างที่บ้านก็มีฮีทเตอร์ ข้างนอกหิมะกำลังตกที่จะหนาวจริงๆนั่นมันตัวเราเองไม่ใช่รึไง”
“เจ้านายก็ไม่เห็นจะใส่เลย เจ้านายต้องหนาวมากกว่าผมอีกแน่ๆ”
“อากาศแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก ที่หนาวกว่านี้ก็เคยอยู่มาแล้ว ขอร้องล่ะเอเลนสวมไว้เถอะถ้าไม่สบายขึ้นมามันจะแย่ยิ่งกว่าเดิมอีกนะ”
“ถ้าเจ้านายไม่สบายขึ้นมาก็แย่เหมือนกัน ผมไม่อยากให้เจ้านายหนาวหรอกนะ” ร่างบางเคลื่อนเข้าไปใกล้ขณะที่ดึงปลายอีกด้านของผ้าพันคอไปพันโอบรอบคออีกฝ่ายให้ ขยับกายอิงแอบยกแขนเรียวกอดกระชับวงแขนใหญ่เอาไว้แน่น
“ถ้าผมอุ่น เจ้านายก็ต้องอุ่นด้วยนะ ผมไม่ยอมให้เจ้านายหนาวคนเดียวหรอก” กล่าวเบาๆขณะที่แนบศีรษะลงซบกับไหล่หนา กว่าจะตกลงกันได้นี่ก็นะ.........
เพราะมัวแต่ทะเลาะกันเรื่องผ้าพันคอตั้งแต่ก่อนออกจากบ้านถึงได้ทำให้เดินทางเลทกันได้ขนาดนี้
เบลทรูทหันกลับไปมองร่างชายหนุ่มสองคนจากเบาะหลังที่แอบอิงซุกซบกันอยู่ภายใต้ผ้าพันคอผืนเดียวเงียบๆแล้วก็หลุดยิ้ม
ทั้งๆที่ต่างคนต่างยอมให้กันตั้งแต่แรกก็จบแล้วแท้ๆ.........

แจนขับรถจอดเทียบหน้าประตูรับส่งผู้โดยสารขณะที่รีไวและเบลทรูทลงจากรถไปพร้อมกับกลุ่มผู้ติดตามที่ลงมาจากรถคันหลัง
“รออยู่ที่นี่กับเอิร์ดนะ ไม่ต้องลงไปหรอก เดี๋ยวฉันมา”
และก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินผ่านประตูสนามบินเข้าไปเอเลนก็ได้เปิดประตูลงจากรถวิ่งไล่ตามมาพร้อมกับแจนที่ต้องตามมาดูด้วยเพื่อความปลอดภัย
“เจ้านายสวมนี่ไว้” เอเลนกล่าวขณะที่ปลดผ้าพันคอของตนพันให้กับชายหนุ่ม ซึ่งรีไวก็ยินยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี
“พอใจแล้วใช่มั้ย”
“อื้ม!!!
“ถ้าอย่างนั้นก็กลับไปรอที่รถได้แล้ว เดี๋ยวฉันกลับมา” เอเลนยืนรอส่งจนกระทั่งรีไวเดินหายเข้าไปในสนามบินเจ้าตัวถึงยอมกลับขึ้นรถ ในระหว่างนั้นภาพเหตุการณ์ที่พวกเขาอยู่ด้วยกันก็ถูกมือดีบันทึกเอาไว้ได้หมด
จากที่ดักรออยู่เป็นเวลานานเป้าหมายก็ปรากฏตัวขึ้นสักที
“รีไว แอคเคอร์แมนและเบลทรูท ฮูเบอร์ คนสนิทของมันมาถึงแล้วครับ แต่เหมือนจะมีคนแปลกหน้าตามมาด้วย ผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน”
“แล้วน้องชายมันล่ะ” เสียงเข้มจากปลายสายตอบกลับมา
“ลงจากเครื่องมาแล้วครับ”
“ดี ตามประกบพวกมันต่อไป ถ้าสบโอกาส จัดการมันทั้งพี่ทั้งน้องได้เลย!!!

แม้ในสนามบินจะมีผู้คนพุกพล่าน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะมองหาเจ้าตัวดีที่ทำให้เขาต้องถ่อออกมารับถึงสนามบินแบบนี้ รีไวเดินตรงเข้าไปหากลุ่มชายชุดดำที่ยืนเรียงแถวอยู่ฝั่งที่พักผู้โดยขาเข้าโดยไม่ลังเล
“ทำแบบนี้มันไม่เด่นเกินไปหน่อยหรือไง” หยุดยืนตรงหน้าชายหนุ่มร่างสูงเรือนผมสีดำสนิทที่นั่งไขว่ห้างควงปากกาในมือเล่นแก้เบื่อ
“ตัวเองก็น้อยเสียเมื่อไหร่ล่ะ” เอ่ยด้วยรอยยิ้มหยันขณะที่กวาดตามองชายหนุ่มร่างสันทัดตรงหน้า ใบหน้าคมคายนิ่งสนิทที่ถูกบดบังไปด้วยแว่นสีชากับสูทสีเข้มและโค้ทตัวยาวที่ถูกสั่งตัดพิเศษ ทั้งยังมีผ้าพันคอขนแคชเมียร์......เดี๋ยวนะ!!! ผ้าพันคอขนแคชเมียร์เหรอ หมอนี้มันใส่อะไรแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย
“ฉันก็ทำตัวตามปกติ” รีไวตอบหน้านิ่ง
“ฉันก็เหมือนกัน แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่ฉันจะไปเตะตาใครเข้า ก็คนอย่างฉันมันดูดีเกินพิกัด” มิคาสะกล่าวขณะที่ยกมือเสยเส้นผมของตนอย่างไว้ที
“ไม่เจอกันตั้งนาน แกยังหลงตัวเองไม่เปลี่ยนนะ” รีไวแค่นยิ้ม
“ไม่เจอกันตั้งนาน นายเองก็ยังเตี้ยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนนะ ก็มันช่วยไม่ได้น่ะนะ หมดวัยจะสูงแล้วนี่” มิคาสะเอ่ยปากหยอกกลั้วหัวเราะ แต่ถ้อยคำหยอกเอินนั้นกลับทำให้คนหน้าบึ้งเริ่มหน้าตึงหนักขึ้นไปอีก
“ถึงฉันจะเตี้ยก็เตะปากแกได้นะ” รีไวกล่าวเสียงเย็น
“อย่างกับฉันจะยอมยืนนิ่งๆให้นายเตะ เอาน่า หิวจะแย่แล้ว วันนี้จะเลี้ยงใช่มั้ย” หลังจากที่ทักทายกันด้วยความรักพอหอมปากหอมคอก็เป็นอันต้องสงบศึก มิคาสะรุนหลังพี่ชายหน้านิ่งให้ออกเดินไปด้วยกัน เบลทรูททักทายกับยูมิลพอเป็นพิธีก่อนจะสั่งให้คนขนสัมภาระตามหลังไป
“คิดถึงอาหารอิตาเลี่ยนจะแย่ ที่ญี่ปุ่นบอกว่าต้นตำรับทำเองขนาดไหนก็ยังไม่เหมือนกับกินที่นี่อยู่ดี พาไปร้านโปรดได้รึเปล่าเนี่ย”
“ฉันจะส่งแกลงไปหาคุ้ยกินเอาตามถังขยะข้างทางแล้วกัน”
“แรงว่ะ!!! ยังขี้หงุดหงิดเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยเนอะ” มิคาสะเอ่ยกลั้วหัวเราะขณะที่หันไปพยักพเยิดกับเบลทรูทที่เดินตามหลังมา พอเห็นรถสีดำที่จอดรอท่าอยู่เจ้าตัวก็แทบจะพุ่งเข้าไปซุกอยู่ข้างในเพื่อหนีความหนาวแต่กลับถูกมือใหญ่จิกดึงคอเสื้อเอาไว้เสียก่อน
“ไปขึ้นคันอื่น” พี่ชายร่างสันทัดกล่าวนิ่งๆก่อนจะผลักเจ้าน้องชายจอมกวนให้พ้นจากทางแล้วก้าวขึ้นไปนั่งบนรถแทน
“อะไรกันเนี่ย อย่างอนไม่เข้าเรื่องน่ารีไว” เจ้าตัวถึงกับโวยวายด้วยความหัวเสีย กระจกหน้าต่างติดฟิล์มดำลดลงเล็กน้อยพอให้ส่องเห็นเข้าไปข้างในได้
“ฉันไม่โกรธอะไรไร้สาระแบบนั้นหรอก แต่รถเต็มแล้วจริงๆแกไปขึ้นคันอื่น หรือถ้าไม่พอใจก็หาทางกลับเองก็แล้วกัน” กระจกหน้าต่างถูกเลื่อนปิดขึ้นช้าๆ มิคาสะทันได้มองเห็นเพียงชั่วครู่ว่าที่นั่งที่อยู่ข้างกันกับพี่ชายของเขามีใครอีกคนนั่งอยู่จริงๆ
เจ้านั่นมันพาใครมาด้วย.........
ได้แต่มองตามไปด้วยความสงสัย
“ขึ้นรถเถอะครับนายน้อย” ยูมิลที่เปิดประตูรอท่ารถอยู่แล้วเอ่ยทัก มิคาสะจึงตามขึ้นรถไปแต่โดยดี
ขบวนรถคุ้มกันทั้งหมดทยอยเคลื่อนออกจากสนามบินไปตามระเบียบ ท่ามกลางการสอดแนมของชายชุดดำอีกกลุ่มที่สะกดรอยตามไล่หลังไปติดๆด้วยมอเตอร์ไซค์และรถยนต์

“ถามจริง ตอนนี้เจ้านายแกกำลังคั่วใครอยู่หรือไง เห็นพาใครมาด้วยไม่ยอมให้เห็นหน้า ท่าทางหวงออกนอกหน้านอกตาขนาดนั้น” มิคาสะเอ่ยถามกับคนขับรถขณะที่รถเริ่มวิ่งตัดเข้าสู่ไฮเวย์ทางสายหลักซึ่งรถเริ่มหนาตามากขึ้น
“ไม่ทราบครับ” คำตอบสั้นๆที่ไม่ได้ช่วยให้ความกระจ่างแจ้งอะไรได้เลยนั้นมันชวนให้หงุดหงิดไม่น้อย
คนของมันก็ปากหนักพอๆกับเจ้านายของมันนั่นแหละ
รถมอเตอร์ไซค์ปริศนาสองคันตีคู่ขนาบข้างขับแซงขบวนคุ้มกันนำขึ้นไปยังส่วนหน้า ยูมิลที่สังเกตเห็นท่าทีน่าสงสัยของมอเตอร์ไซค์สองคนนั้นออกปากขอให้คนขับเร่งความเร็วขึ้น
“รบกวนช่วยตามติดรถนายใหญ่ให้ใกล้กว่านี้ด้วยนะครับ”
มิคาสะเองก็เริ่มจับเค้าลางความน่าสงสัยได้เช่นกัน ใบหน้าแย้มรอยยิ้มทะเล้นพลันนิ่งสนิทราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน นัยน์ตาสีเข้มจับจ้องมองผ่านกระจกมองหลังไปยังรถที่อยู่ท้ายขบวน
“เรากำลังถูกตาม”
“ผมจะตามไปคุ้มกันนายใหญ่ให้เองครับ”
“ไม่ต้อง!!! ถ้าแค่มอเตอร์ไซค์กระจอกสองคันมันยังจัดการไม่ได้ก็ช่างหัวมัน มีหนูตัวใหญ่กว่านั้นให้เราไปล่า กลับรถ!!!
ด้วยความที่เลี้ยวหักศอกอย่างกะทันหันทำให้รถที่แล่นสวนมาต่างพากันเบรกจนตัวโก่ง รถที่วิ่งสวนกลับมาเกิดเหตุชนกันเป็นขบวนยาว กลุ่มชายชุดดำในรถยนต์ที่แอบสะกดรอยตามมาด้านหลังส่งสัญญาณหามอเตอร์ไซค์ทั้งสองคัน
“พวกมันรู้ตัวแล้ว!!! รีบลงมือ”
มอเตอร์ไซค์ทั้งสองเร่งความเร็วขนาบข้างรถของพวกรีไวที่อยู่คันหน้าสุด แจนที่บังคับพวงมาลัยเหยียบคันเร่งทิ้งช่วงห่างออกไป
“เดี๋ยวผมจัดการเองครับ คุณแค่ขับรถให้ดีก็พอ” เบลทรูทหันไปบอกกับแจนก่อนจะคว้าปืนที่ซุกไว้ใต้สูทออกมา
“กรุณาคาดเข็มขัดให้เรียบร้อยด้วยนะครับ”
“ทำอยู่” รีไวตอบเสียงเรียบขณะที่ช่วยคาดเข็มขัดนิรภัยให้กับเอเลน
“มีอะไรหรือเปล่าครับเจ้านาย” เอเลนเอ่ยถามคนที่ตีหน้าเครียดอยู่ข้างๆ
“เปล่าหรอก ไม่มีอะไร ไม่ต้องตกใจ” ตอบพร้อมกับยิ้มให้เพื่อความอุ่นใจ
แต่ดูเหมือนว่าการพาเอเลนออกมานอกบ้านวันนี้มันจะไม่ราบรื่นเสียแล้ว
โชคไม่ดีเอาเสียเลย......
รถมอเตอร์ไซค์ที่ตามไล่หลังมาสาดกระสุนชุดแรกเข้าใส่แต่ว่ามันไม่ระคายผิวกระจกกันกระสุนของรถที่พวกรีไวนั่งอยู่แม้แต่น้อย เอเลนที่กำลังตื่นตระหนกกับเสียงปืนถูกชายหนุ่มกดร่างให้หมอบลงกับตักไว้แน่น เบลทรูทเปิดกระจกยื่นตัวผ่านหน้าต่างยิงสวนกลับไปโดยเป้าหมายหลักคือเล็งไปที่ล้อรถ มอเตอร์ไซค์คันแรกถูกยิงล้อแตกเสียหลักกลิ้งล้มลงข้างทาง แจนสะบัดพวงมาลัยขับเบียดมอเตอร์ไซค์อีกคันให้ล้ำเส้นไปฟากถนนอีกเลนแล้วชนเข้ากับรถที่ขับสวนมาพอดี
“เช็คความปลอดภัยของรถมิคาสะมันด้วย”
“ครับ”
ขณะที่เบลทรูทกำลังติดต่อกับคนของพวกเขาที่ประจำอยู่ที่รถอีกคัน มือปืนมอเตอร์ไซค์ที่ถูกยิงล้อรถจนตกข้างทางได้ลุกขึ้นคว้าปืนแล้วยิงเจาะเข้าที่ล้อหลังรถยนต์ทั้งสองข้างทำให้รถเริ่มเสียหลัก แจนพยายามบังคับพวงมาลัยประคองรถให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เมื่อรถได้เสียศูนย์จึงพุ่งชนเข้ากับตอม่อสะพานลอยแล้วพลิกคว่ำอีกหลายตลบ รถที่ไล่ตามมาด้านหลังชนกันสนั่นเป็นทางยาว มือปืนมอเตอร์ไซค์ทั้งสองคนอาศัยช่วงชุลมุนหลบหนีไปอย่างไร้ร่องรอย ด้านมิคาสะและยูมิลที่กำลังเปิดฉากปะทะกับชายชุดดำอีกกลุ่มพอได้ยินเสียงอุบัติเหตุที่ดังสนั่นทำให้ทั้งสองจำต้องตีรถย้อนกลับมา อย่างไรเสียชีวิตคนย่อมสำคัญกว่าสิ่งอื่น แต่ก่อนที่จะปล่อยให้ชายชุดดำกลุ่มนั้นหลบหนีไปได้ มิคาสะก็ได้ฝากรอยกระสุนไว้กับหนึ่งในพวกมันเต็มๆ
ตลอดเส้นทางที่ย้อนกลับมาการจราจรติดขัดเป็นสายยาวเพราะรถที่ชนกันเป็นทอด ใต้สะพานลอยมีซากรถสีดำคุ้นตาพลิกคว่ำอยู่ในสภาพยับเยิน ส่วนเครื่องยนต์ด้านหน้าเริ่มมีไฟลุกพร้อมกับควันโขมง ประตูที่นั่งข้างคนขับถูกถีบออกก่อนที่ร่างสะบักสะบอมของเบลทรูทจะมุดออกมา
“คุณรีไวครับ ออกมาก่อนเถอะครับ” เบลทรูทตะโกนเสียงดังลั่นแข่งกับเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจและเสียงครวญครางจากผู้บาดเจ็บที่อยู่รอบข้าง มือใหญ่พยายามงัดประตูด้านผู้โดยสารออกแต่ระบบเซ็นทรัลล็อคกลับขัดข้องขึ้นมา
“ไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นไร” รีไวตอบขณะที่ปัดเศษกระจกที่ร่วงกราวลงมาใส่ออกจากเสื้อโค้ทในขณะที่ก้มมองร่างที่กอดประคองเอาไว้ เอเลนหมดสติฟุบอยู่กับตักของเขา ใบหน้าซีกหนึ่งอาบไปด้วยเลือดศีรษะด้านซ้ายมีแผลเหวอะเลือดซึมออกมาไม่หยุดอาจจะกระแทกกับกระจกหน้าต่างตอนที่รถพลิกคว่ำ มือใหญ่พยายามกระชากเข็มขัดที่คาดอยู่ที่เอวบางออก
“ไปดูแจน!!! พาแจนออกไปก่อน”
“ครับ”
เบลทรูทวิ่งอ้อมไปยังฟากคนขับขณะที่พยายามงัดประตูเปิดเพื่อเอาร่างแจนที่ถูกอัดอยู่กับพวงมาลัยจนหมดสติออกมา เวลาเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ น้ำมันที่รั่วออกจากตัวถังกำลังจะไหลไปรวมกับเปลวเพลิงจากตัวเครื่อง ยูมิลที่เพิ่งจะวิ่งมาถึงลากชะแลงติดมือมาช่วยงัดบานประตูพร้อมกับช่วยเบลทรูทหิ้วปีกคนเจ็บลากออกไปให้ไกลจากรถ
“รีไว!!! นายทำอะไรอยู่ เร็วเข้าออกมา!!!” มิคาสะทุบกระจกรถขณะที่กวักมือเรียกยูมิลให้ส่งชะแลงมาให้ ชะแลงเหล็กกำลังจะถูกหวดเข้ากับกระจกที่แตกร้าวแต่เสียงที่ตะโกนตอบกลับมาทำให้มิคาสะชะงักไปเสียก่อน
“อย่า!!! ฉันไม่อยากให้เศษกระจกถูกเอเลน ถอยไปมิคาสะ”
กระจกกันกระสุนที่ว่าแม้แต่ลูกปืนยังเจาะผ่านไม่ได้ กลับแตกทลายด้วยพลังกำปั้นเพียงหมัดเดียว รีไวส่งร่างที่หมดสติของชายหนุ่มแปลกหน้าผ่านทางหน้าต่างไปให้มิคาสะอุ้มไว้ก่อนที่ตัวเองจะตามออกไป หลังจากนั้นเพียงไม่นานรถที่ติดไฟลุกก็เกิดระเบิดขึ้น เสียงสัญญาณขอทางฉุกเฉินของรถพยาบาล รถดับเพลิงและรถตำรวจเข้ามาใกล้ มิคาสะก้มมองร่างในอ้อมแขนที่ไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆ ใบหน้าที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดข้างหนึ่งทำให้ไม่สามารถมองออกได้ว่าคนผู้นี้มีหน้าตาเป็นอย่างไร
“เอเลน....ตื่นหน่อย.....ได้ยินฉันมั้ย” รีไวหอบหายใจพลางร้องเรียกชายหนุ่มแปลกหน้าเบาๆ มือใหญ่คอยกดศีรษะที่มีเลือดซึมเอาไว้แน่น สีหน้าท่าทางในตอนนี้กำลังวิตกกังวลเป็นอย่างมาก
ว่าแต่ว่า ผู้ชายคนนี้เป็นใครกันเนี่ย!!!!
เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์วิ่งมาถึงกลุ่มพวกเขาแจนถูกหามใส่เปลขึ้นรถพยาบาลอีกคันไปก่อนที่จะมีหน่วยพยาบาลเคลื่อนที่วิ่งเข้ามาปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับเอเลน ศีรษะที่ถูกผ้าพันแผลสีขาวพันไว้แน่นยังคงมีเลือดซึมออกมาไม่หยุด
“รบกวนญาติช่วยตามมาด้วยนะครับ” บุรุษพยาบาลกล่าวทิ้งท้ายก่อนที่จะช่วยกันหามเอเลนใส่เปลนอนออกไป
“โทรหาฮันซี่ บอกยัยนั่นว่าฉันจะย้ายเอเลนกับแจนไปที่โรงพยาบาลของเราให้เร็วที่สุด ให้ยัยนั่นจัดการให้ด้วย” รีไวสั่งทิ้งท้ายก่อนจะตามขึ้นรถพยาบาลไป เบลทรูทเริ่มติดต่อนานาบะในทันที
“ขอโทษที่รบกวนเวลาเลิกงาน ตอนนี้เจ้านายเกิดอุบัติเหตุ คุณเอเลนกับเอิร์ดบาดเจ็บสาหัส ช่วยติดต่อคุณฮันซี่ให้ที เจ้านายอยากจะย้ายคนเจ็บไปที่โรงพยาบาลของเรา แล้วก็ช่วยส่งคนคุ้มกันมารับนายน้อยกลับไปด้วย”
“เดี๋ยวๆมันเกิดอะไรขึ้น นายจะช่วยพูดอะไรให้มันเคลียร์กว่านี้หน่อยไม่ได้รึไง” เสียงจากปลายสายดังแว่วมาอย่างตื่นๆ
“ยังไม่มีเวลาอธิบาย ไว้ค่อยคุยกัน ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไฮเวย์เส้นหลักขาออกจากสนามบินฟิวมิชิโน ด่วนที่สุดนะนานาบะ ผมไม่อยากให้นายน้อยต้องมาเสี่ยงอีกรอบ”
ปลายสายถูกตัดไป เบลทรูทหันไปมองสถานการณ์โดยรอบ มีผู้บาดเจ็บที่ยังรอการช่วยเหลืออยู่อีกไม่น้อย ชายหนุ่มรีบรุดตรงเข้าไปช่วยคนพวกนั้นเท่าที่เขาพอจะทำได้
“เฮ้!!! นายทำอะไรเบลทรูท”
“รบกวนนายน้อยอยู่กับคุณยูมิลไปก่อนจนกว่าที่คนของเราจะมารับด้วยนะครับ” ชายหนุ่มตะโกนตอบกลับมาขณะที่เข้าไปช่วยผู้โดยสารออกมาจากรถประจำทางที่ชนเข้ากับเสาไฟฟ้า มิคาสะนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะเปรยกับคนสนิทของตนเบาๆ
“ก็แล้วใครมันจะไปยืนดูเฉยๆได้เล่า ไปกันเถอะยูมิล นานๆทีทำตัวให้เป็นประโยชน์กับคนอื่นเขาบ้าง!!!

ความโกลาหลบังเกิดขึ้นในรถพยาบาล เอเลนถูกสวมหน้ากากออกซิเจนเอาไว้ขณะที่ทีมแพทย์และพยาบาลเริ่มลงมือให้การช่วยเหลือ
“เตรียมอุปกรณ์ใส่ E.T.Tube” นายแพทย์หนุ่มฝึกหัดหันไปสั่งการกับบุรุษพยาบาลก่อนจะหันมาพูดกับรีไว
“ตอนนี้ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว ผมจำเป็นต้องใส่ท่อช่วยหายใจทางปากเพื่อป้องกันภาวะสมองขาดออกซิเจนไว้ก่อนนะครับ”
นายแพทย์ฝึกหัดกล่าวขณะที่รับเอาเครื่องมือโลหะรูปทรงจันทร์เสี้ยวงัดปากเอเลนเพื่อเปิดทางเดินหายใจ เมื่อถูกกระตุ้นร่างที่แน่นิ่งก็ออกอาการดิ้นขัดขืนอย่างรุนแรง
“ขอ Valium 10 mg.
Valium 10 ครับ”
น้ำยาสีเหลืองเข้มถูกฉีดเข้ากระแสเลือด ร่างที่กำลังดิ้นทุรนทุรายเริ่มสงบลง แพทย์หนุ่มลงมืองัดง้างเปิดปากแล้วใส่ท่อช่วยหายใจพลาสติกผ่านปากเข้าไป แล้วฟังเสียงหายใจซ้ำ เมื่อแน่ใจว่าอยู่ในตำแหน่งดีแล้วจึงปล่อยให้บุรุษพยาบาลจัดการติดตรึงผูกยึดท่อช่วยหายใจให้เรียบร้อย ก่อนที่ตัวเองจะหันไปตั้งโหมดเครื่องช่วยหายใจโมบายประจำรถฉุกเฉินแล้วต่อพ่วงเข้ากับท่อที่เอเลนใส่อยู่
“ตอนนี้เราทำทุกอย่างเท่าที่พอจะทำให้ผู้ป่วยได้ ผมจะรายงานอาจารย์สตาฟและเริ่มการรักษาให้ทันทีที่กลับถึงโรงพยาบาลครับ”
“ผมต้องการจะย้ายคนไข้ไปที่โรงพยาบาลกลาง”
“แต่สภาพผู้ป่วยในตอนนี้เสี่ยงเกินกว่าที่จะเคลื่อนย้ายโดยไม่จำเป็น”
“ผมมีแพทย์ที่ไว้ใจได้อยู่ที่นั่น และก็มั่นใจว่าที่โรงพยาบาลกลางมีเครื่องมือที่พร้อมกว่าที่โรงพยาบาลของพวกคุณมี” ถ้อยคำตอบกลับเรียบๆของชายหนุ่มหน้านิ่งผู้นี้ทำให้นายแพทย์ฝึกหัดถึงกับเครียด
แน่นอนว่าในวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของคนสิ่งที่ต้องเจออยู่เป็นประจำก็คือแรงกดดันจากญาติและผู้คนรอบข้างหรือบางครั้งแรงกดดันเหล่านั้นจะมาจากเพื่อนร่วมวิชาชีพเดียวกันเองก็ตาม แต่ในฐานะทีมผู้ให้การรักษา พวกเขามีหน้าที่ต้องพิทักษ์สิทธิ์ของผู้ป่วยและเสนอทางเลือกที่ดีสุดให้แก่ญาติ
“หากต้องการจะเคลื่อนย้ายผู้ป่วยคุณสามารถทำได้ครับ แต่ควรจะรอให้อาการของผู้ป่วยคงที่ดีกว่านี้เสียก่อน”
“แต่ผมต้องการจะไปตอนนี้ ถ้าหากศักยภาพโรงพยาบาลของคุณไม่ดีพอ โอกาสที่คนของผมจะรอดชีวิตมันก็จะยิ่งน้อยลง”
ทีมผู้รักษามีหน้าที่เสนอทางเลือกที่ดีที่สุดให้ก็จริง แต่สุดท้ายสิทธิ์ในการตัดสินใจทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับญาติและผู้ป่วยเอง
“ผมไม่สามารถรับรองได้ว่าผลกระทบจากการเคลื่อนย้ายจะมีอะไรบ้าง ผู้ป่วยอาจจะเสียชีวิตระหว่างทาง หรือโชคดีก็อาจจะรอดไปถึง หวังว่าคุณคงจะเข้าใจนะครับ”
“ผมเข้าใจดีและขอบคุณในความพยายามทุกอย่างของคุณจริงๆ”
เกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่ภายในรถที่กำลังแล่นด้วยความเร็วสูงบนถนนไฮเวย์ที่รถทุกคันพร้อมใจกันเปิดทางให้ เสียงเฮลิคอปเตอร์บินต่ำใกล้เข้ามาพร้อมกับที่รถพยาบาลหยุดนิ่งลง ประตูท้ายรถถูกกระชากเปิดออกพร้อมกับหญิงสาวผู้สวมแว่นก้าวขึ้นรถมา
“เป็นยังไงบ้าง coma score เท่าไหร่” เธอถามขณะที่เบียดชายหนุ่มหน้านิ่งเจ้าปัญหาออกไปจากรถ แล้วหยิบไฟฉายขนาดเล็กส่องดูม่านตาของผู้ป่วย
E2V2M5 ก่อนใส่tube ครับ”
pupil react to light ดีอยู่ แต่ทำไมเหลือ 2T กันล่ะ”
“ผมเพิ่งให้ Valium ไปครับ” แพทย์หนุ่มกล่าวตอบอีกครั้ง เธอจึงพยักหน้ารับ
“โอเค โดนน็อคนี่เอง ขอบใจมากน้อง ที่เหลือพี่จัดการต่อเอง” ฮันซี่ตบเบาๆบนไหล่ของนายแพทย์ฝึกหัด ขณะที่ส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่เปลเข็นร่างเอเลนออกไปขึ้นเฮลิคอปเตอร์ที่จอดรออยู่กลางถนนหลัก
“ขอบคุณคุณหมออีกครั้ง” รีไวกล่าวทิ้งท้ายแล้วตามขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปอีกคน
คนที่มีพาวเวอร์ขนาดที่จะเรียกแพทย์สตาฟจากโรงพยาบาลกลางพร้อมเฮลิคอปเตอร์มารับตัวผู้ป่วยระหว่างการส่งต่อจะมีสักกี่คนกัน
หมอหนุ่มฝึกหัดมองตามเฮลิคอปเตอร์ที่บินไกลออกไปแล้วได้แต่ครุ่นคิด
“คุณหมอครับ ขึ้นรถเถอะครับ” บุรุษพยาบาลช่วยสะกิดเรียกสติหมอหนุ่มกลับมาอีกครั้ง
“อืม.....ย้อนกลับไปรับผู้บาดเจ็บที่เหลือกันเถอะ”

“เกิดอะไรขึ้น”
“พวกเราถูกดักยิงจนรถเสียหลัก ฉันกับเบลทรูทไม่เป็นอะไรมาก แต่แจนกับเอเลนเจ็บหนัก”
“คิดว่าแจนคงอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว เดี๋ยวฉันจะติดต่อเรื่องขอส่งตัวเปลี่ยนโรงพยาบาลให้ก็แล้วกัน ว่าแต่นายกลับไปแล้วตรวจสักหน่อยก็ดีนะ”
“ดูเอเลนก่อน ไม่ต้องสนใจฉัน” รีไวกล่าวตอบเสียงเบาขณะที่กุมมือบางของคนที่ไร้สติเอาไว้แน่น สีหน้าบ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าอย่างชัดเจน
“ฉันไม่ปล่อยให้เอเลนเป็นอะไรไปแน่ แล้วนายกับเบลทรูทค่อยไปตรวจร่างกายกันอีกทีก็แล้วกัน ว่าแต่.....นายพอจะรู้รึเปล่ารีไว ใครเป็นคนลงมือ” ถ้อยคำถามนั้นทำให้ดวงตาคมเข้มวาวโรจน์ด้วยความเคียดแค้นเดือดดาล
“คนที่มันกล้าเล่นลอบกัดแบบนี้ก็มีอยู่พวกเดียว.....เอาไว้ให้เอเลนดีขึ้นกว่านี้เสียก่อนฉันจะไล่กุดหัวพวกมันไปทีละตัวตั้งแต่ลูกน้องยันนายของมันเอง”


บ้านพักตากอากาศเขตชานเมือง
รถยนต์สีดำที่ผ่านการบุชนมาอย่างสมบุกสมบันวิ่งเข้าจอดเทียบที่หน้าบ้านไม้ชั้นเดียวขนาดกลาง กลุ่มคนชุดดำกรูกันลงจากรถด้วยความรีบร้อน หนึ่งในนั้นมีคนที่บาดเจ็บเพราะถูกยิงที่หัวไหล่มาด้วย
“เกิดอะไรขึ้น” ชายร่างใหญ่ในชุดลำลองสีดำก้าวออกจากบ้านมาด้วยสีหน้าหงุดหงิดเมื่อเห็นหนึ่งในลูกน้องคนสนิทได้รับบาดเจ็บ
“มาร์โค!!! แกโดนยิงงั้นเหรอ ฝีมือใครกัน”
“นายน้อยแห่งแอคเคอร์แมนครับ” ชายหนุ่มที่หน้าซีดเหงื่อซึมเอ่ยตอบเสียงแหบแห้ง
“มิคาสะ!!! แล้วพี่ชายของมันจัดการได้แล้วรึยัง พวกแกพอจะมีใครที่ยังมีสติพอจะรายงานฉันบ้างได้มั้ยว่างานที่ให้ไปทำมันสำเร็จหรือเปล่า” ชายร่างใหญ่ตวาดเสียงดังด้วยความกราดเกรี้ยว ชายหนุ่มผู้ได้รับบาดเจ็บจึงต้องเอ่ยปากอีกครั้ง
“ขออภัยครับคุณไรเนอร์ พวกเรายิงรถของนายใหญ่มันจนพลิกคว่ำไปแต่ไม่แน่ใจจริงๆว่าจัดการพวกมันได้หมดหรือเปล่า” มาร์โคที่แทบจะทรงตัวเองยืนไม่อยู่ตอบเสียงเบา
“สรุปว่าไอ้แผนที่อุตส่าห์วางกันไว้อย่างดีก็ยังเหลวไม่เป็นท่า พวกแกนี่มันไม่ได้เรื่องสักคน สั่งคนของเราให้เตรียมเครื่องบินให้พร้อม ฉันจะออกเดินทางเดี๋ยวนี้”
“เราจะกลับกันเลยอย่างนั้นหรือครับ”
“พวกแกอย่าถามอะไรไม่เข้าท่า งานที่ให้ไปทำยังไม่สำเร็จอย่าริแสดงความโง่ออกมา ถ้ายังกบดานอยู่ที่นี่ต่อ ไม่ช้าหรือเร็วพวกแอคเคอร์แมนต้องควานหาตัวเราจนเจอแน่ ฉวยโอกาสที่พวกมันไม่ทันตั้งตัว กลับไปตั้งหลักกันก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที” ใบหน้าดุดันฉายแวววิตกกังวลชั่วครู่ก่อนจะคลี่ยิ้มน้อยๆ
“แต่จะว่าไปแค่ทำให้รีไว แอคเคอร์แมนมันเสียศูนย์ได้ แค่นี้ก็ถือว่าได้กำไรแล้ว จัดการไม่ได้ก็ช่างมัน ถอยกลับไปตั้งหลักก่อน แล้วค่อยหาทางตลบหลังมันใหม่อีกที”


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น