วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2558

Attack on Titan Fic : LevixEren ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์ -3


Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์

Pairing: (LevixEren)

Rate: NC-17

Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*

Story By: AkeRah , Trendy Blood

………………………………………………………………………………………………..

Chapter 3:




“นามข้าคือรีไว ราเมสที่สองฟาโรห์แห่งอียิปต์แห่งนี้..........”

เอเลนรู้สึกหัวหมุนติ้ว พยายามระลึกถึงความรู้เกี่ยวกับราชวงศ์อียิปต์โบราณที่มีอยู่น้อยนิดแต่ก็นึกไม่ออก เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้วเพราะเขาไม่ได้สนใจศึกษาทางด้านนี้ ไอ้สิ่งที่พ่อบ้าชอบพล่ามให้ฟังอยู่บ่อยๆก็ไม่เคยจะสนใจสักที พูดง่ายๆเลยว่าตอนนี้เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฟาโรห์รีไว ราเมสที่สององค์นี้เลย

กษัตริย์หนุ่มนั้นถึงกับฉงน ทั่วทั้งเขตแดนผืนทรายจรดลุ่มน้ำไนล์ไม่ว่ามันผู้ใดที่ได้ยินนามแห่งราเมสบุตรชายแห่งพระอาทิตย์นั้นมีอันต้องยอมศิโรราบ แต่เด็กหนุ่มผู้นี้กลับไม่สะดุ้งสะเทือนต่อนามประกาศิตนี้แม้แต่น้อยหรือที่เจ้าหนูนี่มันอ้างว่าเดินทางมาจากที่ไกลแสนไกลจะเป็นเรื่องจริง

“แล้วคุณจะให้ผมทำอย่างไรต่อ”

แทนที่จะตอบให้กระจ่างแจ้ง ฟาโรห์หนุ่มกลับคว้าผ้าม่านผืนบางห่มตัวเอเลนขณะตะโกนเสียงกร้าว

“พวกเจ้า!!! เข้ามาได้”

นักรบหนุ่มสองนายเปิดประตูห้องอาบน้ำเดินเข้ามาแล้วคุกเข่าแสดงความเคารพ

“เอาไปเก็บไว้ที่ห้องข้า เฝ้าให้ดีอย่าปล่อยให้หนี และอย่าให้ใครได้เจอ”

ฟาโรห์หนุ่มกล่าวพร้อมกับผลักเด็กหนุ่มร่างบางที่ถูกพันเป็นมัมมี่ไปให้นักรบร่างสูง ที่รับคำแล้วแบกร่างปริศนาเดินออกไปเงียบๆ

“ไรเนอร์ ส่งคนไปเรียกฮันจ์มาพบข้า เดี๋ยวนี้”

“รับบัญชา”

ใช้เวลาเพียงชั่วอึดใจ นักรบหนุ่มร่างใหญ่ก็ได้นำทางนักบวชหนุ่มร่างสูงหัวโล้นเลี่ยนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าทุกอณูในร่างกายนั่นแต่งแต้มอักขระลงลายคาถาศักดิ์สิทธิ์ชนิดที่ไม่มีว่างเว้น เดินเข้ามาสู่ท้องพระโรงที่มีองค์ฟาโรห์ราเมสประทับนั่งรออยู่นานแล้ว รอยยิ้มกรุ้มกริ่มที่อ่านออกได้ยากตราประทับอยู่บนใบหน้าของนักบวชหนุ่มชวนให้หมั่นไส้

“ไม่รบกวนมากเกินไปหรือฝ่าบาทที่ต้องลากกันออกมากลางดึกสงัด”

“เตรียมให้พร้อมสำหรับพิธีบวงสรวงสุริยะเทพ” คำบอกเล่านิ่งๆนั้นถึงกับทำให้นักบวชหนุ่มต้องหุบยิ้มเป็นฉับพลัน

“ฝ่าบาทจะทรงรื้อฟื้นพิธีโบราณที่แทบจะถูกลืมเลือนไปเป็นร้อยปีขึ้นมาใหม่หรือพะยะค่ะ ด้วยเหตุใดกัน”

“ภาชนะแห่งเทพรา ร่างอวตารแห่งสุริยะเทพปรากฏแล้ว”


“ขอโทษนะ จะเป็นเรื่องดีมากกว่าการมายืนจ้องหน้ากันแบบนี้ คุณบอกผมได้มั้ยว่าไอ้ร่างอวตารที่เขาคนนั้นพูดถึงน่ะมันเป็นยังไง” เอเลนเอ่ยถามนักรบหนุ่มร่างสูงที่ตั้งแต่ลากเขาเข้ามาขังในห้องนอนสุดหรูหราอลังการแห่งนี้แล้วก็ไม่ยอมปริปากอะไรอีก

“พูดบ้างก็ได้นะ เงียบปากนานๆเดี๋ยวปากง่อยเอา” พูดดีก็แล้ว ประชดก็แล้ว ไอ้เจ้านักรบคนนี้มันเป็นหุ่นหรือยังไงกัน

หลังจากเดินวนไปวนมารอบห้องจนเหนื่อย เอเลนทิ้งตัวนั่งลงบนที่นอนนุ่มอย่างเหนื่อยหน่าย นอกจากจะกำลังสับสนสุดๆแล้ว เขายังเบื่อมากๆด้วย เบื่อที่จะพูดอยู่คนเดียว ฉับพลันประตูห้องนอนเปิดออก เอเลนเห็นชายหนุ่มหัวโล้นเลี่ยนลายสักเต็มตัวแต่งตัวประหลาดเดินเข้ามาในห้อง เด็กหนุ่มตกใจดีดตัวลุกขึ้นเดินอ้อมไปหลบอยู่หลังนักรบหนุ่มร่างสูงทันที

“ไหนว่าไม่ให้ใครเจอผมไง” เอเลนตะโกนถามราชันย์หนุ่มที่เดินตามเข้ามาสมทบพร้อมนักรบร่างใหญ่

“มันจำเป็น.....ออกมานี่เอเลน” รีไว ราเมสตวัดเสียงเรียกเด็กหนุ่มร่างโปร่งเสียงเข้ม เอเลนจำต้องเดินออกจากหลังเบลทรูทไปอย่างไม่เต็มใจ ทันทีที่ได้เห็นเด็กหนุ่มร่างบางเต็มตาฮันจ์ถึงกับต้องคุกเข่าลงกับพื้น

“โอ สุริยะเทพ พระองค์ช่างเมตตาต่อธีบส์ยิ่งนัก”

นักบวชหนุ่มกล่าวพร้อมกับคว้าเอามือเรียวของเอเลนวางลงบนหน้าผากของตนแล้วพร่ำบทสวดยาวยืดอย่างไม่สนใจใครอีก

“ฮันจ์” กษัตริย์หนุ่มทอดสายตาเจ้านักบวชจอมพล่ามที่กำลังสวดอ้อนวอนขอพรต่อภาชนะแห่งเทพราปลอมๆที่เขาอุปโลกน์ขึ้นอย่างตั้งใจพลางส่งเสียงเรียก แต่ฝ่ายนั้นยังคงตั้งมั่นกับการสวดสรรเสริญ

“ฮันจ์!!!” น้ำเสียงทุ้มตวาดดังขึ้นพร้อมกับเท้าที่วางประทับเข้ากับแผ่นหลังของนักบวชเต็มๆ ฮันจ์ล้มกลิ้งไปกับพื้นขณะตะกายตัวยืนขึ้น

“รีไว บัดนี้เจ้าเป็นถึงกษัตริย์ และข้าเองก็เป็นถึงหัวหน้านักบวช ต่อให้เป็นสหายที่เล่นหัวกันมาแต่เล็กแต่น้อยเพียงใดก็จงอย่าได้ทำกิริยาน่าอับอายเช่นนี้อีก โดยเฉพาะต่อหน้าร่างอวตารผู้นี้” ฮันจ์กล่าวพร้อมกับคุกเข่าลงต่อหน้าเอเลน มือใหญ่กุมมือเรียวแผ่วเบาทะนุถนอมแนบหน้าของตนลงสัมผัสกับมือนุ่มแล้วจึงเริ่มถูไถ เริ่มแรกเอเลนก็คิดเพียงว่าเป็นแค่การแสดงความเคารพแต่หลังๆนี้เริ่มไม่มั่นใจ จวบจนเมื่อรีไว ราเมสดึงมือเขาออกแล้วรั้งร่างเด็กหนุ่มออกจากฮันจ์นั่นเอง

“อย่าได้แสดงกิริยาจาบจ้วงต่อหน้าข้า ฮันจ์ จากหัวหน้านักบวช ข้าสามารถลดตำแหน่งเจ้าให้กลายเป็นเพียงข้ารับใช้ได้”

ฮันจ์หัวเราะเบาๆยิ้มกรุ้มกริ่ม

“ไม่บอกก็รู้ว่าฝ่าบาททรงหวนแหนอัญมณีนำโชคแห่งไนล์ผู้นี้เพียงไหน”

“รีบเตรียมการตามที่ข้าสั่งเสียเถอะ” รีไวกล่าวตัดบทขณะที่ฮันจ์ได้เปลี่ยนท่าทีจากเล่นหัวเป็นจริง

“ฝ่าบาท ข้าขอทูลตามตรง พิธีบวงสรวงสุริยะเทพแม้จะไม่ได้ถูกจัดขึ้นมานับร้อยปี แต่ก็ยังมีพวกคนเก่าคนแก่ที่พอจะรู้จักพิธีนี้อยู่บ้าง เมื่อถึงคราที่ร่างอวตารต้องสำแดงอิทธิฤทธิ์แล้วเด็กหนุ่มแปลกหน้าธรรมดาๆผู้นี้จะสำแดงเดชได้อย่างไรกัน”

เอเลนสะดุ้ง เด็กหนุ่มธรรมดา!!! แสดงว่าเจ้านักบวชโล้นนั่นมันรู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นตัวปลอม แล้วไอ้ที่ทั้งจับทั้งลูบทั้งคลำมือเขาเมื่อครู่นี้มันหมายความว่ายังไงกัน ฮันจ์เหลือบตามองเด็กหนุ่มอีกครั้งก่อนกล่าวต่อ

“ดวงตาสีทองเหลือบเขียวสุกสกาว รูปกายงดงามดุจดังเทพแห่งแสงตะวัน หากเป็นความประสงค์ของท่านเด็กหนุ่มผู้นี้ย่อมเป็นรุ่งอรุณแห่งอียิปต์ที่นำมาซึ่งความน่าเกรงขามของธีบส์ได้เป็นแน่ แต่ถ้าหากเขาไม่สามารถทำให้ไพร่ฟ้ารากหญ้าศรัทธาและเชื่อถือได้มันย่อมเปล่าประโยชน์”

“นั่นจึงต้องเป็นหน้าที่ของเจ้า ฮันจ์ ในพิธีบวงสรวงสุริยะเทพทำอย่างไรก็ได้ให้เด็กหนุ่มผู้นี้กลายเป็นร่างอวตารของเทพราจริงๆ”

นักบวชหนุ่มเงียบไปพลางเกาคางใช้ความคิดชั่วครู่

“จะทำเมื่อไหร่”

“พรุ่งนี้.....เที่ยงตรง”

“ห๊า!!!!


มหาวิหารกำลังอยู่ในช่วงวุ่นวายวิกฤต เหล่านักบวชทั้งน้อยใหญ่ต่างกำลังวิ่งวุ่นกับพิธีโบราณศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกจัดขึ้นอย่างฉุกละหุก

เอเลนที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนได้แต่ยืนตาปรืออ้าปากหาวหวอดๆ เมื่อคืนหลังจากตกลงกันเสร็จสรรพเขาก็ถูกฮันจ์พาออกจากวังกลับมาที่มหาวิหารด้วยกัน แล้วตั้งแต่ตอนนั้นก็ถือว่าเป็นเคราะห์กรรมโดยแท้จริง เขาถูกพวกนักบวชเด็กๆจับแก้ผ้าลากตัวมาขัดสีฉวีวันโต้ลมหนาวทะเลทรายกลางดึก ชุดนอนชุดเดิมถูกโยนทิ้งไปเขาถูกพาตัวมายังห้องนอนของหัวหน้านักบวชพร้อมกับผ้าเช็ดตัวพันกายผืนเดียว พวกนักบวชเด็กดูจะสนุกสนานกับการผัดผงทองคำลงบนกายของเขา ผิวกายที่ขาวผ่องอยู่แล้วพลันส่องประกายเปล่งปลั่งมากยิ่งขึ้น ขณะนั้นเองฮันจ์ก็เดินเข้ามาพร้อมกับถือถ้วยที่มีน้ำสีดำเข้มอยู่ในมือ

“เปลื้องผ้าร่างอวตารออกซะ”

แม้ไม่อยากจะยินยอมแต่ก็ไม่อาจขัดขืนได้จริง

“ขอร้องล่ะ แค่ผ้าพันเอวไว้ก็ได้” ฮันจ์หัวเราะหึๆแล้วกล่าวกับเหล่านักบวชวัยกระเตาะ

“กั้นผ้าปิดไว้ซะ” ยิ่งเห็นว่าเขินก็ยิ่งอยากแกล้ง ต่อให้เป็นถึงหัวหน้านักบวชแล้วแต่นิสัยนี้มันก็แก้ไม่หายจริงๆ

กลายเป็นว่านี่เป็นส่วนที่เสียเวลามากที่สุด ฮันจ์ใช้เวลาลงพู่กันวาดน้ำสีดำเข้มประหลาดแต่กลิ่นหอมกรุ่นแปลกๆลงบนร่างเอเลนนานนับชั่วโมง สีนี้แห้งช้ามากจนเอเลนรู้สึกเหนอะหนะจนเมื่อนักบวชเด็กพากันโปรยผงทองทับจึงได้รู้สึกดีขึ้นบ้าง แต่เมื่อเกล็ดผงทองติดลงบนลายเส้นสีเหล่านั้นก็ยิ่งดูเรื่อเรืองและงดงามยิ่งขึ้น

“ยังไม่เสร็จอีกหรืออย่างไร” เสียงทุ้มเอ่ยทักขึ้นมาทันทีที่ประตูห้องนอนเปิดออก

“ช้าก่อน!!! ออกไปนะ ผมโป๊อยู่” เอเลนร้องโวยวายพร้อมกับขยุ้มผ้าเช็ดตัวผืนเล็กมาพันตัวอย่างรีบร้อน

รีไว ราเมสไม่เพียงไม่รับฟังกลับสาวเท้าเข้ามาประชิดใกล้ยิ่งกว่าเดิม นัยน์ตาคมมองสำรวจร่างบางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

“เหลืออะไรอีก”

“ลงที่หน้าก็เสร็จแล้ว” ฮันจ์เอ่ยตอบขณะที่รีไว ราเมสแย่งถ้วยน้ำสีดำมาถือเอง

“ก้มหน้าลงมา” ฟาโรห์หนุ่มสั่งเสียงเรียบ

“หา!!!

“ข้าสั่งให้เจ้าก้มหน้าลงมา!!!

เด็กหนุ่มร่างสูงค่อยๆโน้มคอลงต่ำอย่างเก้ๆกังๆ ด้วยความรำคาญ มือใหญ่กดท้ายทอยเอเลนโน้มลงมาใกล้อย่างเร็ว ใกล้เสียจนปลายจมูกแทบจะชนกัน

“อย่าขยับ” กษัตริย์หนุ่มกำชับเสียงเรียบ เอเลนหลับตาแน่นเตือนตนเองในใจ ดวงตาของคนผู้นี้มีมนต์ประหลาดชวนสะกดเมื่อได้จ้องมองแล้วไม่อาจละสายตาได้ ห้ามมองเด็ดขาด!!!

สัมผัสอ่อนนุ่มเย็นๆที่หน้าผากทำให้เอเลนอยากจะลืมตาขึ้นใจจะขาดแต่ก็ไม่อาจกล้า ฟาโรห์รีไวตวัดวาดสัญลักษณ์ทรงกลมรูปดวงอาทิตย์ที่มีดวงตาโตสถิตอยู่ตรงกลางวงลงกับหน้าผากของเอเลน

“ลืมตาขึ้น” เขากล่าวเมื่อละมือออก เอเลนลืมตาหมายจะจับหน้าผากแต่กลับถูกยึดมือไว้แน่น

“ช้าก่อน มันยังไม่แห้ง” ฟาโรห์รีไวกล่าวพร้อมกับยิ้มกริ่ม มือใหญ่กำผงทองกรุ่นกลิ่นหอมเต็มกำมือแล้วเป่าใส่หน้าเอเลนเต็มๆ เอเลนกระพริบตาปริบๆจ้องมองฟาโรห์หนุ่มร่างสันทัดที่ยืนอยู่ท่ามกลางประกายผงทองที่กำลังปลิวว่อนนิ่งงัน

ราเมสผู้นี้นี้ช่างเปล่งประกายจนเขาไม่กล้ามองตรงๆจริงๆ

มือใหญ่ลูบผ่านแก้มใสเบาๆเอ่ยเสียงแผ่ว

“เหมาะกับเจ้ามาก รุ่งอรุณแห่งอียิปต์”

ก็พอจะเคยรู้มาบ้างว่าอียิปต์เป็นชนชาติแรกๆที่ต่อเรือได้สำเร็จ แต่เอเลนก็ไม่เคยนึกจริงๆว่าตนจะได้นั่งเรือลำใหญ่ขนาดนี้ แถมยังเป็นเรือพระที่นั่งสุริยะเทพอีกด้วย และที่สำคัญที่นั่งของเขาดันเคียงคู่กับเจ้าราเมสนี่ด้วยสิ สองข้างแม่น้ำไนล์เต็มไปด้วยประชาชนชาวธีบส์ที่มารอรับเสด็จก่อนที่พวกเขาจะล่องเรือกันไปถึงลานบวงสรวง

“นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้วนะ ผมต้องทำยังไงบ้าง” เอเลนกระซิบถามคนข้างๆเสียงเขียว

“แค่นั่งนิ่งๆก็พอ” อีกฝ่ายกลับตอบเรียบๆ

ถึงจะได้รับคำตอบแบบนั้นแต่เด็กหนุ่มก็ยังคงออกอาการยุกยิก

“นั่งนิ่งๆไม่ได้เชียวหรือ รึต้องให้ข้ามัดเจ้าติดกับเรือ”

เอเลนปรายตามองค้อนคนข้างตัวอย่างเคืองๆ

“ใจเย็นๆ เจ้าไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เดินขึ้นไปบนลานพิธียืนนิ่งๆ หลังจากนั้นเป็นหน้าที่ของพวกข้า เมื่อเริ่มจุดไฟจึงเป็นหน้าที่ของเจ้า” ฮันจ์ที่ยืนนิ่งทำตัวเหมือนรูปปั้นอยู่ข้างๆกระซิบบอกเบาๆ

“จุดไฟอะไร”

“ช่วงเวลาแห่งการสำแดงอิทธิฤทธิ์” ฮันจ์ตอบก่อนจะแสร้งกระแอมหนึ่งครั้งแล้วจึงกล่าวตาม

“เมื่อเปลวไฟสูงมากพอที่จะบดบังร่างเจ้าจากสายตาผู้คน จงจำไว้ให้ดีพื้นใต้ฝ่าเท้ามีประตูบานหินลับซ่อนอยู่ ออกแรงเหยียบให้แรงเจ้าจะหล่นลงไปที่ห้องใต้ดินนั้น และเมื่อข้าประกาศว่าเจ้าได้หลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของเปลวเพลิงแห่งความรุ่งโรจน์ของธีบส์แล้วเป็นอันเรียบร้อย”

“คุณแน่ใจนะว่าไม่อันตราย” เอเลนถามย้ำ

“ข้าและฝ่าบาทอยู่บนบัลลังก์สูงสุด เห็นเจ้าอยู่ในสายตาเสมอ”

“หากเกิดเหตุฉุกเฉินจริง ข้าจะให้เบลทรูทและไรเนอร์ไปจัดการ เจ้าอย่าได้กังวล” ฟาโรห์รีไว ราเมสรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะถึงเพียงนั้น แต่ถึงกระนั้นเอเลนก็ยังคงรู้สึกไม่วางใจอยู่ดี

เรือสุริยะเทพเข้าเทียบท่า เอเลนเดินตามองค์ฟาโรห์ไปติดๆ เกิดมาตลอดชีวิตสิบแปดปี นี่เพิ่งจะเป็นครั้งแรกที่มีคนนับพันมาคุกเข่าให้ตนแบบนี้ รีไวราเมสเดินตรงดิ่งขึ้นสู่บัลลังก์ทองคำยกสูงโดยมีฮันจ์คอยตามหลังและ เบลทรูท ไรเนอร์รวมทั้งทหารชุดใหญ่อารักขา เอเลนเดินขึ้นแท่นพิธีอย่างเก้ๆกังๆ มาถึงขั้นนี้อยากจะถอยก็หมดสิทธิ์แล้ว เหล่านักบวชเดินเรียงแถวล้อมกรอบเข้าประจำที่แล้วเริ่มร่ายบทสวด ท่ามกลางความเงียบสนิท เสียงสวดอ้อนวอนขอพรดังกังวาลออกไปเป็นวงกว้าง เอเลนได้แต่ยืนนิ่งจากที่เครียดๆยู่แล้ว ดวงอาทิตย์เที่ยงวันทำเอาเขาเหงื่อแตกพลั่กๆ

เมื่อไหร่จะเสร็จสักที...........

เด็กหนุ่มลอบมองไปทางผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เหนือสุดบ่อยครั้งก็เห็นว่ารีไว ราเมสนั้นจ้องมองตนอยู่ไม่วางตาตามที่รับปากจริงๆก็เริ่มจะใจชื้นหน่อย แต่จู่ๆเอเลนก็พลัยรู้สึกว่าพื้นใต้เท้าสั่นสะเทือนอย่างแรง ลานหินสกัดชั้นนอกแยกตัวออกในขณะที่พื้นชั้นในยกตัวสูงขึ้นเกิดเป็นร่องกว้าง น้ำมันที่ติดไฟลุกพึ่บพั่บถูกเทลงบนร่องนั้น น้ำมันร้อนไหลล้อมรอบเอเลนอย่างรวดเร็วจนเด็กหนุ่มตกใจ ยิ่งเทน้ำมันมากขึ้นเท่าใดไฟก็ยิ่งลุกสูงขึ้น เสียงบทสวดเร่งเร้าแข่งกับเปลวเพลิงที่ลุกโชน ขณะนั้นเองจู่ๆลูกกรงเหล็กสี่เหลี่ยมที่มีลักษณะเหมือนกรงขังผุดลอยขึ้นจากพื้นล้อมเอเลนไว้ เด็กหนุ่มถูกขังอยู่ภายในวงล้อมของเปลวเพลิงพร้อมกรงเหล็ก เอเลนไม่แม้แต่จะแตะต้องซี่กรงได้เพราะร้อนเกิน เด็กหนุ่มหันไปมองสบตากับรีไว ราเมสด้วยความอ้อนวอน

ช่วยด้วย!!!!

รีไวหันไปมองฮันจ์ช้าๆด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม ฮันจ์เองก็มองสบตาอีกฝ่ายนิ่งก่อนจะส่ายหน้าช้าๆบอกเขาว่า

“ไม่อยู่ในแผน คาดว่าคงสับสนกันเล็กน้อย”

รีไว ราเมสกำหมัดแน่นด้วยความโมโห ตะโกนเสียงดังก้องจนทุกคนที่อยู่ ณ ลานบวงสรวงถึงกับสั่นสะท้าน

“ไปเอาออกมา!!!

ไรเนอร์และเบลทรูทเร่งฝีเท้าออกวิ่งในทันที เอเลนที่อยู่ในวงล้อมของเปลวเพลิงหอบสำลักควันไฟจนตัวโยน

ทำไงดี....ทำไงดี......ลูกกรงเล็กนี่ถูกล็อคไว้มีอะไรที่พอจะไขได้บ้าง.....

เด็กหนุ่มทรุดนั่งลงกับพื้นควันโขมงทำเขาแสบตาแสบจมูกไปหมด ณ ตอนนั้นเองลูกกุญแจทองคำที่ได้รับมาจากอนูบิสพลันส่องแสงเรื่อเรืองขึ้นมา เอเลนกำมันไว้แน่น

“ช.....ช่วย.....ช่วยหน่อย.....เถอะ”

เด็กหนุ่มเสี่ยงดวงเสียบลูกกุญแจเข้าไปในสลักกรงเหล็กแล้วออกแรงไข

คลิ๊ก!!!!

แสงสีทองเจิดจ้าเสียดแทงออกมาจากช่องแม่กุญแจอาบไล้ไปทั่วทั้งบริเวณพร้อมกับเสียงระเบิดดังสนั่นที่ทำเอากรงขังเหล็กปลิดปลิวว่อนลอยขึ้นจากพื้น กระแสลมรุนแรงพัดเปลวไฟจนดับวูบฝุ่นทรายฟุ้งตลบ เมื่อลมพัดกลุ่มควันดำลอยพ้นไปปรากฏว่า ณ ที่แห่งนั้นไม่มีร่างเอเลนยืนอยู่อีกแล้ว รัไว ราเมสถึงกับลุกขึ้นยืนด้วยความตกตะลึง ฮันจ์ที่ดูจะตั้งสติได้ก่อนใครตะโกนขึ้น

“ร่างอวตารแห่งเทพราห์หลอมรวมกับเปลวเพลิงแห่งความรุ่งโรจน์ของธีบส์แล้ว.....มหาเทพโปรดประทานพรแก่หมู่เรา....มหาเทพโปรดประทานพรแก่หมู่เรา”

เหล่าพลเมืองต่างสรรเสริญเชิดชูร่างอวตารองค์นี้อย่างแรงกล้าด้วยไม่มีผู้ใดได้เห็นว่าก่อนที่ร่างอวตารจะรวมร่างกับเปลวเพลิงนั้นมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่แน่นอนว่าเขาที่นั่งอยู่ที่จุดสูงสุดนี้อยู่ตลอดนั้นเห็นอย่างชัดเจน แสงสีทองเจิดจ้านั้นพาร่างเด็กหนุ่มหายไปต่อหน้าต่อตา รีไว ราเมสกวาดตามองไปทั่วลานพิธีท่ามกลางประชาชนของเขาที่คุกเข่าหมอบกราบอยู่เบื้องล่าง

“เจ้าหนู.........เจ้าหายไปที่ใดกัน”

1 ความคิดเห็น:

  1. ลุ้นมากกุญแจทำดีพามาต้องพารอดศักสิทธิ์สมกับเป็นของที่เทพยัดเยียดให้น้อง

    ตอบลบ