Attack On
Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์
Pairing: (LevixEren)
Rate: NC-17
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง
ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน
แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
Story By: AkeRah , Trendy Blood
………………………………………………………………………………………………..
Chapter
3:
“นามข้าคือรีไว
ราเมสที่สองฟาโรห์แห่งอียิปต์แห่งนี้..........”
เอเลนรู้สึกหัวหมุนติ้ว
พยายามระลึกถึงความรู้เกี่ยวกับราชวงศ์อียิปต์โบราณที่มีอยู่น้อยนิดแต่ก็นึกไม่ออก
เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้วเพราะเขาไม่ได้สนใจศึกษาทางด้านนี้
ไอ้สิ่งที่พ่อบ้าชอบพล่ามให้ฟังอยู่บ่อยๆก็ไม่เคยจะสนใจสักที
พูดง่ายๆเลยว่าตอนนี้เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฟาโรห์รีไว ราเมสที่สององค์นี้เลย
กษัตริย์หนุ่มนั้นถึงกับฉงน
ทั่วทั้งเขตแดนผืนทรายจรดลุ่มน้ำไนล์ไม่ว่ามันผู้ใดที่ได้ยินนามแห่งราเมสบุตรชายแห่งพระอาทิตย์นั้นมีอันต้องยอมศิโรราบ
แต่เด็กหนุ่มผู้นี้กลับไม่สะดุ้งสะเทือนต่อนามประกาศิตนี้แม้แต่น้อยหรือที่เจ้าหนูนี่มันอ้างว่าเดินทางมาจากที่ไกลแสนไกลจะเป็นเรื่องจริง
“แล้วคุณจะให้ผมทำอย่างไรต่อ”
แทนที่จะตอบให้กระจ่างแจ้ง
ฟาโรห์หนุ่มกลับคว้าผ้าม่านผืนบางห่มตัวเอเลนขณะตะโกนเสียงกร้าว
“พวกเจ้า!!! เข้ามาได้”
นักรบหนุ่มสองนายเปิดประตูห้องอาบน้ำเดินเข้ามาแล้วคุกเข่าแสดงความเคารพ
“เอาไปเก็บไว้ที่ห้องข้า
เฝ้าให้ดีอย่าปล่อยให้หนี และอย่าให้ใครได้เจอ”
ฟาโรห์หนุ่มกล่าวพร้อมกับผลักเด็กหนุ่มร่างบางที่ถูกพันเป็นมัมมี่ไปให้นักรบร่างสูง
ที่รับคำแล้วแบกร่างปริศนาเดินออกไปเงียบๆ
“ไรเนอร์
ส่งคนไปเรียกฮันจ์มาพบข้า เดี๋ยวนี้”
“รับบัญชา”
ใช้เวลาเพียงชั่วอึดใจ นักรบหนุ่มร่างใหญ่ก็ได้นำทางนักบวชหนุ่มร่างสูงหัวโล้นเลี่ยนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าทุกอณูในร่างกายนั่นแต่งแต้มอักขระลงลายคาถาศักดิ์สิทธิ์ชนิดที่ไม่มีว่างเว้น
เดินเข้ามาสู่ท้องพระโรงที่มีองค์ฟาโรห์ราเมสประทับนั่งรออยู่นานแล้ว
รอยยิ้มกรุ้มกริ่มที่อ่านออกได้ยากตราประทับอยู่บนใบหน้าของนักบวชหนุ่มชวนให้หมั่นไส้
“ไม่รบกวนมากเกินไปหรือฝ่าบาทที่ต้องลากกันออกมากลางดึกสงัด”
“เตรียมให้พร้อมสำหรับพิธีบวงสรวงสุริยะเทพ”
คำบอกเล่านิ่งๆนั้นถึงกับทำให้นักบวชหนุ่มต้องหุบยิ้มเป็นฉับพลัน
“ฝ่าบาทจะทรงรื้อฟื้นพิธีโบราณที่แทบจะถูกลืมเลือนไปเป็นร้อยปีขึ้นมาใหม่หรือพะยะค่ะ
ด้วยเหตุใดกัน”
“ภาชนะแห่งเทพรา ร่างอวตารแห่งสุริยะเทพปรากฏแล้ว”
“ขอโทษนะ
จะเป็นเรื่องดีมากกว่าการมายืนจ้องหน้ากันแบบนี้
คุณบอกผมได้มั้ยว่าไอ้ร่างอวตารที่เขาคนนั้นพูดถึงน่ะมันเป็นยังไง” เอเลนเอ่ยถามนักรบหนุ่มร่างสูงที่ตั้งแต่ลากเขาเข้ามาขังในห้องนอนสุดหรูหราอลังการแห่งนี้แล้วก็ไม่ยอมปริปากอะไรอีก
“พูดบ้างก็ได้นะ
เงียบปากนานๆเดี๋ยวปากง่อยเอา” พูดดีก็แล้ว ประชดก็แล้ว
ไอ้เจ้านักรบคนนี้มันเป็นหุ่นหรือยังไงกัน
หลังจากเดินวนไปวนมารอบห้องจนเหนื่อย
เอเลนทิ้งตัวนั่งลงบนที่นอนนุ่มอย่างเหนื่อยหน่าย นอกจากจะกำลังสับสนสุดๆแล้ว
เขายังเบื่อมากๆด้วย เบื่อที่จะพูดอยู่คนเดียว ฉับพลันประตูห้องนอนเปิดออก
เอเลนเห็นชายหนุ่มหัวโล้นเลี่ยนลายสักเต็มตัวแต่งตัวประหลาดเดินเข้ามาในห้อง
เด็กหนุ่มตกใจดีดตัวลุกขึ้นเดินอ้อมไปหลบอยู่หลังนักรบหนุ่มร่างสูงทันที
“ไหนว่าไม่ให้ใครเจอผมไง”
เอเลนตะโกนถามราชันย์หนุ่มที่เดินตามเข้ามาสมทบพร้อมนักรบร่างใหญ่
“มันจำเป็น.....ออกมานี่เอเลน”
รีไว ราเมสตวัดเสียงเรียกเด็กหนุ่มร่างโปร่งเสียงเข้ม
เอเลนจำต้องเดินออกจากหลังเบลทรูทไปอย่างไม่เต็มใจ
ทันทีที่ได้เห็นเด็กหนุ่มร่างบางเต็มตาฮันจ์ถึงกับต้องคุกเข่าลงกับพื้น
“โอ สุริยะเทพ
พระองค์ช่างเมตตาต่อธีบส์ยิ่งนัก”
นักบวชหนุ่มกล่าวพร้อมกับคว้าเอามือเรียวของเอเลนวางลงบนหน้าผากของตนแล้วพร่ำบทสวดยาวยืดอย่างไม่สนใจใครอีก
“ฮันจ์”
กษัตริย์หนุ่มทอดสายตาเจ้านักบวชจอมพล่ามที่กำลังสวดอ้อนวอนขอพรต่อภาชนะแห่งเทพราปลอมๆที่เขาอุปโลกน์ขึ้นอย่างตั้งใจพลางส่งเสียงเรียก
แต่ฝ่ายนั้นยังคงตั้งมั่นกับการสวดสรรเสริญ
“ฮันจ์!!!”
น้ำเสียงทุ้มตวาดดังขึ้นพร้อมกับเท้าที่วางประทับเข้ากับแผ่นหลังของนักบวชเต็มๆ
ฮันจ์ล้มกลิ้งไปกับพื้นขณะตะกายตัวยืนขึ้น
“รีไว
บัดนี้เจ้าเป็นถึงกษัตริย์ และข้าเองก็เป็นถึงหัวหน้านักบวช
ต่อให้เป็นสหายที่เล่นหัวกันมาแต่เล็กแต่น้อยเพียงใดก็จงอย่าได้ทำกิริยาน่าอับอายเช่นนี้อีก
โดยเฉพาะต่อหน้าร่างอวตารผู้นี้” ฮันจ์กล่าวพร้อมกับคุกเข่าลงต่อหน้าเอเลน มือใหญ่กุมมือเรียวแผ่วเบาทะนุถนอมแนบหน้าของตนลงสัมผัสกับมือนุ่มแล้วจึงเริ่มถูไถ
เริ่มแรกเอเลนก็คิดเพียงว่าเป็นแค่การแสดงความเคารพแต่หลังๆนี้เริ่มไม่มั่นใจ
จวบจนเมื่อรีไว ราเมสดึงมือเขาออกแล้วรั้งร่างเด็กหนุ่มออกจากฮันจ์นั่นเอง
“อย่าได้แสดงกิริยาจาบจ้วงต่อหน้าข้า
ฮันจ์ จากหัวหน้านักบวช ข้าสามารถลดตำแหน่งเจ้าให้กลายเป็นเพียงข้ารับใช้ได้”
ฮันจ์หัวเราะเบาๆยิ้มกรุ้มกริ่ม
“ไม่บอกก็รู้ว่าฝ่าบาททรงหวนแหนอัญมณีนำโชคแห่งไนล์ผู้นี้เพียงไหน”
“รีบเตรียมการตามที่ข้าสั่งเสียเถอะ”
รีไวกล่าวตัดบทขณะที่ฮันจ์ได้เปลี่ยนท่าทีจากเล่นหัวเป็นจริง
“ฝ่าบาท ข้าขอทูลตามตรง
พิธีบวงสรวงสุริยะเทพแม้จะไม่ได้ถูกจัดขึ้นมานับร้อยปี
แต่ก็ยังมีพวกคนเก่าคนแก่ที่พอจะรู้จักพิธีนี้อยู่บ้าง
เมื่อถึงคราที่ร่างอวตารต้องสำแดงอิทธิฤทธิ์แล้วเด็กหนุ่มแปลกหน้าธรรมดาๆผู้นี้จะสำแดงเดชได้อย่างไรกัน”
เอเลนสะดุ้ง
เด็กหนุ่มธรรมดา!!!
แสดงว่าเจ้านักบวชโล้นนั่นมันรู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นตัวปลอม
แล้วไอ้ที่ทั้งจับทั้งลูบทั้งคลำมือเขาเมื่อครู่นี้มันหมายความว่ายังไงกัน
ฮันจ์เหลือบตามองเด็กหนุ่มอีกครั้งก่อนกล่าวต่อ
“ดวงตาสีทองเหลือบเขียวสุกสกาว
รูปกายงดงามดุจดังเทพแห่งแสงตะวัน
หากเป็นความประสงค์ของท่านเด็กหนุ่มผู้นี้ย่อมเป็นรุ่งอรุณแห่งอียิปต์ที่นำมาซึ่งความน่าเกรงขามของธีบส์ได้เป็นแน่
แต่ถ้าหากเขาไม่สามารถทำให้ไพร่ฟ้ารากหญ้าศรัทธาและเชื่อถือได้มันย่อมเปล่าประโยชน์”
“นั่นจึงต้องเป็นหน้าที่ของเจ้า
ฮันจ์ ในพิธีบวงสรวงสุริยะเทพทำอย่างไรก็ได้ให้เด็กหนุ่มผู้นี้กลายเป็นร่างอวตารของเทพราจริงๆ”
นักบวชหนุ่มเงียบไปพลางเกาคางใช้ความคิดชั่วครู่
“จะทำเมื่อไหร่”
“พรุ่งนี้.....เที่ยงตรง”
“ห๊า!!!!”
มหาวิหารกำลังอยู่ในช่วงวุ่นวายวิกฤต
เหล่านักบวชทั้งน้อยใหญ่ต่างกำลังวิ่งวุ่นกับพิธีโบราณศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกจัดขึ้นอย่างฉุกละหุก
เอเลนที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนได้แต่ยืนตาปรืออ้าปากหาวหวอดๆ
เมื่อคืนหลังจากตกลงกันเสร็จสรรพเขาก็ถูกฮันจ์พาออกจากวังกลับมาที่มหาวิหารด้วยกัน
แล้วตั้งแต่ตอนนั้นก็ถือว่าเป็นเคราะห์กรรมโดยแท้จริง เขาถูกพวกนักบวชเด็กๆจับแก้ผ้าลากตัวมาขัดสีฉวีวันโต้ลมหนาวทะเลทรายกลางดึก
ชุดนอนชุดเดิมถูกโยนทิ้งไปเขาถูกพาตัวมายังห้องนอนของหัวหน้านักบวชพร้อมกับผ้าเช็ดตัวพันกายผืนเดียว
พวกนักบวชเด็กดูจะสนุกสนานกับการผัดผงทองคำลงบนกายของเขา ผิวกายที่ขาวผ่องอยู่แล้วพลันส่องประกายเปล่งปลั่งมากยิ่งขึ้น
ขณะนั้นเองฮันจ์ก็เดินเข้ามาพร้อมกับถือถ้วยที่มีน้ำสีดำเข้มอยู่ในมือ
“เปลื้องผ้าร่างอวตารออกซะ”
แม้ไม่อยากจะยินยอมแต่ก็ไม่อาจขัดขืนได้จริง
“ขอร้องล่ะ
แค่ผ้าพันเอวไว้ก็ได้” ฮันจ์หัวเราะหึๆแล้วกล่าวกับเหล่านักบวชวัยกระเตาะ
“กั้นผ้าปิดไว้ซะ” ยิ่งเห็นว่าเขินก็ยิ่งอยากแกล้ง
ต่อให้เป็นถึงหัวหน้านักบวชแล้วแต่นิสัยนี้มันก็แก้ไม่หายจริงๆ
กลายเป็นว่านี่เป็นส่วนที่เสียเวลามากที่สุด
ฮันจ์ใช้เวลาลงพู่กันวาดน้ำสีดำเข้มประหลาดแต่กลิ่นหอมกรุ่นแปลกๆลงบนร่างเอเลนนานนับชั่วโมง
สีนี้แห้งช้ามากจนเอเลนรู้สึกเหนอะหนะจนเมื่อนักบวชเด็กพากันโปรยผงทองทับจึงได้รู้สึกดีขึ้นบ้าง
แต่เมื่อเกล็ดผงทองติดลงบนลายเส้นสีเหล่านั้นก็ยิ่งดูเรื่อเรืองและงดงามยิ่งขึ้น
“ยังไม่เสร็จอีกหรืออย่างไร”
เสียงทุ้มเอ่ยทักขึ้นมาทันทีที่ประตูห้องนอนเปิดออก
“ช้าก่อน!!! ออกไปนะ ผมโป๊อยู่” เอเลนร้องโวยวายพร้อมกับขยุ้มผ้าเช็ดตัวผืนเล็กมาพันตัวอย่างรีบร้อน
รีไว
ราเมสไม่เพียงไม่รับฟังกลับสาวเท้าเข้ามาประชิดใกล้ยิ่งกว่าเดิม นัยน์ตาคมมองสำรวจร่างบางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“เหลืออะไรอีก”
“ลงที่หน้าก็เสร็จแล้ว”
ฮันจ์เอ่ยตอบขณะที่รีไว ราเมสแย่งถ้วยน้ำสีดำมาถือเอง
“ก้มหน้าลงมา”
ฟาโรห์หนุ่มสั่งเสียงเรียบ
“หา!!!”
“ข้าสั่งให้เจ้าก้มหน้าลงมา!!!”
เด็กหนุ่มร่างสูงค่อยๆโน้มคอลงต่ำอย่างเก้ๆกังๆ
ด้วยความรำคาญ มือใหญ่กดท้ายทอยเอเลนโน้มลงมาใกล้อย่างเร็ว
ใกล้เสียจนปลายจมูกแทบจะชนกัน
“อย่าขยับ” กษัตริย์หนุ่มกำชับเสียงเรียบ
เอเลนหลับตาแน่นเตือนตนเองในใจ ดวงตาของคนผู้นี้มีมนต์ประหลาดชวนสะกดเมื่อได้จ้องมองแล้วไม่อาจละสายตาได้
ห้ามมองเด็ดขาด!!!
สัมผัสอ่อนนุ่มเย็นๆที่หน้าผากทำให้เอเลนอยากจะลืมตาขึ้นใจจะขาดแต่ก็ไม่อาจกล้า
ฟาโรห์รีไวตวัดวาดสัญลักษณ์ทรงกลมรูปดวงอาทิตย์ที่มีดวงตาโตสถิตอยู่ตรงกลางวงลงกับหน้าผากของเอเลน
“ลืมตาขึ้น”
เขากล่าวเมื่อละมือออก เอเลนลืมตาหมายจะจับหน้าผากแต่กลับถูกยึดมือไว้แน่น
“ช้าก่อน มันยังไม่แห้ง”
ฟาโรห์รีไวกล่าวพร้อมกับยิ้มกริ่ม
มือใหญ่กำผงทองกรุ่นกลิ่นหอมเต็มกำมือแล้วเป่าใส่หน้าเอเลนเต็มๆ
เอเลนกระพริบตาปริบๆจ้องมองฟาโรห์หนุ่มร่างสันทัดที่ยืนอยู่ท่ามกลางประกายผงทองที่กำลังปลิวว่อนนิ่งงัน
ราเมสผู้นี้นี้ช่างเปล่งประกายจนเขาไม่กล้ามองตรงๆจริงๆ
มือใหญ่ลูบผ่านแก้มใสเบาๆเอ่ยเสียงแผ่ว
“เหมาะกับเจ้ามาก
รุ่งอรุณแห่งอียิปต์”
ก็พอจะเคยรู้มาบ้างว่าอียิปต์เป็นชนชาติแรกๆที่ต่อเรือได้สำเร็จ
แต่เอเลนก็ไม่เคยนึกจริงๆว่าตนจะได้นั่งเรือลำใหญ่ขนาดนี้
แถมยังเป็นเรือพระที่นั่งสุริยะเทพอีกด้วย
และที่สำคัญที่นั่งของเขาดันเคียงคู่กับเจ้าราเมสนี่ด้วยสิ
สองข้างแม่น้ำไนล์เต็มไปด้วยประชาชนชาวธีบส์ที่มารอรับเสด็จก่อนที่พวกเขาจะล่องเรือกันไปถึงลานบวงสรวง
“นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้วนะ
ผมต้องทำยังไงบ้าง” เอเลนกระซิบถามคนข้างๆเสียงเขียว
“แค่นั่งนิ่งๆก็พอ”
อีกฝ่ายกลับตอบเรียบๆ
ถึงจะได้รับคำตอบแบบนั้นแต่เด็กหนุ่มก็ยังคงออกอาการยุกยิก
“นั่งนิ่งๆไม่ได้เชียวหรือ
รึต้องให้ข้ามัดเจ้าติดกับเรือ”
เอเลนปรายตามองค้อนคนข้างตัวอย่างเคืองๆ
“ใจเย็นๆ
เจ้าไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เดินขึ้นไปบนลานพิธียืนนิ่งๆ
หลังจากนั้นเป็นหน้าที่ของพวกข้า เมื่อเริ่มจุดไฟจึงเป็นหน้าที่ของเจ้า” ฮันจ์ที่ยืนนิ่งทำตัวเหมือนรูปปั้นอยู่ข้างๆกระซิบบอกเบาๆ
“จุดไฟอะไร”
“ช่วงเวลาแห่งการสำแดงอิทธิฤทธิ์”
ฮันจ์ตอบก่อนจะแสร้งกระแอมหนึ่งครั้งแล้วจึงกล่าวตาม
“เมื่อเปลวไฟสูงมากพอที่จะบดบังร่างเจ้าจากสายตาผู้คน
จงจำไว้ให้ดีพื้นใต้ฝ่าเท้ามีประตูบานหินลับซ่อนอยู่
ออกแรงเหยียบให้แรงเจ้าจะหล่นลงไปที่ห้องใต้ดินนั้น และเมื่อข้าประกาศว่าเจ้าได้หลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของเปลวเพลิงแห่งความรุ่งโรจน์ของธีบส์แล้วเป็นอันเรียบร้อย”
“คุณแน่ใจนะว่าไม่อันตราย”
เอเลนถามย้ำ
“ข้าและฝ่าบาทอยู่บนบัลลังก์สูงสุด
เห็นเจ้าอยู่ในสายตาเสมอ”
“หากเกิดเหตุฉุกเฉินจริง
ข้าจะให้เบลทรูทและไรเนอร์ไปจัดการ เจ้าอย่าได้กังวล” ฟาโรห์รีไว
ราเมสรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะถึงเพียงนั้น
แต่ถึงกระนั้นเอเลนก็ยังคงรู้สึกไม่วางใจอยู่ดี
เรือสุริยะเทพเข้าเทียบท่า
เอเลนเดินตามองค์ฟาโรห์ไปติดๆ เกิดมาตลอดชีวิตสิบแปดปี
นี่เพิ่งจะเป็นครั้งแรกที่มีคนนับพันมาคุกเข่าให้ตนแบบนี้ รีไวราเมสเดินตรงดิ่งขึ้นสู่บัลลังก์ทองคำยกสูงโดยมีฮันจ์คอยตามหลังและ
เบลทรูท ไรเนอร์รวมทั้งทหารชุดใหญ่อารักขา เอเลนเดินขึ้นแท่นพิธีอย่างเก้ๆกังๆ
มาถึงขั้นนี้อยากจะถอยก็หมดสิทธิ์แล้ว
เหล่านักบวชเดินเรียงแถวล้อมกรอบเข้าประจำที่แล้วเริ่มร่ายบทสวด
ท่ามกลางความเงียบสนิท เสียงสวดอ้อนวอนขอพรดังกังวาลออกไปเป็นวงกว้าง
เอเลนได้แต่ยืนนิ่งจากที่เครียดๆยู่แล้ว
ดวงอาทิตย์เที่ยงวันทำเอาเขาเหงื่อแตกพลั่กๆ
เมื่อไหร่จะเสร็จสักที...........
เด็กหนุ่มลอบมองไปทางผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เหนือสุดบ่อยครั้งก็เห็นว่ารีไว
ราเมสนั้นจ้องมองตนอยู่ไม่วางตาตามที่รับปากจริงๆก็เริ่มจะใจชื้นหน่อย
แต่จู่ๆเอเลนก็พลัยรู้สึกว่าพื้นใต้เท้าสั่นสะเทือนอย่างแรง
ลานหินสกัดชั้นนอกแยกตัวออกในขณะที่พื้นชั้นในยกตัวสูงขึ้นเกิดเป็นร่องกว้าง น้ำมันที่ติดไฟลุกพึ่บพั่บถูกเทลงบนร่องนั้น
น้ำมันร้อนไหลล้อมรอบเอเลนอย่างรวดเร็วจนเด็กหนุ่มตกใจ
ยิ่งเทน้ำมันมากขึ้นเท่าใดไฟก็ยิ่งลุกสูงขึ้น
เสียงบทสวดเร่งเร้าแข่งกับเปลวเพลิงที่ลุกโชน
ขณะนั้นเองจู่ๆลูกกรงเหล็กสี่เหลี่ยมที่มีลักษณะเหมือนกรงขังผุดลอยขึ้นจากพื้นล้อมเอเลนไว้
เด็กหนุ่มถูกขังอยู่ภายในวงล้อมของเปลวเพลิงพร้อมกรงเหล็ก เอเลนไม่แม้แต่จะแตะต้องซี่กรงได้เพราะร้อนเกิน
เด็กหนุ่มหันไปมองสบตากับรีไว ราเมสด้วยความอ้อนวอน
ช่วยด้วย!!!!
รีไวหันไปมองฮันจ์ช้าๆด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม
ฮันจ์เองก็มองสบตาอีกฝ่ายนิ่งก่อนจะส่ายหน้าช้าๆบอกเขาว่า
“ไม่อยู่ในแผน
คาดว่าคงสับสนกันเล็กน้อย”
รีไว ราเมสกำหมัดแน่นด้วยความโมโห
ตะโกนเสียงดังก้องจนทุกคนที่อยู่ ณ ลานบวงสรวงถึงกับสั่นสะท้าน
“ไปเอาออกมา!!!”
ไรเนอร์และเบลทรูทเร่งฝีเท้าออกวิ่งในทันที
เอเลนที่อยู่ในวงล้อมของเปลวเพลิงหอบสำลักควันไฟจนตัวโยน
ทำไงดี....ทำไงดี......ลูกกรงเล็กนี่ถูกล็อคไว้มีอะไรที่พอจะไขได้บ้าง.....
เด็กหนุ่มทรุดนั่งลงกับพื้นควันโขมงทำเขาแสบตาแสบจมูกไปหมด
ณ ตอนนั้นเองลูกกุญแจทองคำที่ได้รับมาจากอนูบิสพลันส่องแสงเรื่อเรืองขึ้นมา
เอเลนกำมันไว้แน่น
“ช.....ช่วย.....ช่วยหน่อย.....เถอะ”
เด็กหนุ่มเสี่ยงดวงเสียบลูกกุญแจเข้าไปในสลักกรงเหล็กแล้วออกแรงไข
คลิ๊ก!!!!
แสงสีทองเจิดจ้าเสียดแทงออกมาจากช่องแม่กุญแจอาบไล้ไปทั่วทั้งบริเวณพร้อมกับเสียงระเบิดดังสนั่นที่ทำเอากรงขังเหล็กปลิดปลิวว่อนลอยขึ้นจากพื้น
กระแสลมรุนแรงพัดเปลวไฟจนดับวูบฝุ่นทรายฟุ้งตลบ
เมื่อลมพัดกลุ่มควันดำลอยพ้นไปปรากฏว่า ณ ที่แห่งนั้นไม่มีร่างเอเลนยืนอยู่อีกแล้ว
รัไว ราเมสถึงกับลุกขึ้นยืนด้วยความตกตะลึง
ฮันจ์ที่ดูจะตั้งสติได้ก่อนใครตะโกนขึ้น
“ร่างอวตารแห่งเทพราห์หลอมรวมกับเปลวเพลิงแห่งความรุ่งโรจน์ของธีบส์แล้ว.....มหาเทพโปรดประทานพรแก่หมู่เรา....มหาเทพโปรดประทานพรแก่หมู่เรา”
เหล่าพลเมืองต่างสรรเสริญเชิดชูร่างอวตารองค์นี้อย่างแรงกล้าด้วยไม่มีผู้ใดได้เห็นว่าก่อนที่ร่างอวตารจะรวมร่างกับเปลวเพลิงนั้นมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง
แต่แน่นอนว่าเขาที่นั่งอยู่ที่จุดสูงสุดนี้อยู่ตลอดนั้นเห็นอย่างชัดเจน
แสงสีทองเจิดจ้านั้นพาร่างเด็กหนุ่มหายไปต่อหน้าต่อตา รีไว
ราเมสกวาดตามองไปทั่วลานพิธีท่ามกลางประชาชนของเขาที่คุกเข่าหมอบกราบอยู่เบื้องล่าง
“เจ้าหนู.........เจ้าหายไปที่ใดกัน”
ลุ้นมากกุญแจทำดีพามาต้องพารอดศักสิทธิ์สมกับเป็นของที่เทพยัดเยียดให้น้อง
ตอบลบ