Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์
Pairing: (LevixEren)
Rate: NC-17
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
Story By: AkeRah , Trendy Blood
………………………………………………………………………………………………..
Chapter :1
ท่ามกลางช่วงเวลาเที่ยงตรงอันร้อนระอุ
รถฮัมวี่สีขาวขับฝ่าฝุ่นทรายจนฟุ้งตลบไปด้วยความเร็วร่วมร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง
หลังจากใช้เวลานั่งแกร่วอยู่ในรถร่วมครึ่งค่อนวันในที่สุดพวกเขาก็เข้าถึงเขตแดนเมืองลักซอร์
แต่จุดหมายปลายทางที่แท้จริงไม่ใช่การมาเที่ยวชมยังเมืองนี้
ที่ๆพวกเขากำลังจะไปเยือนนั้นคือหุบเขาแห่งกษัตริย์ต่างหาก
เมื่อราวๆแปดชั่วโมงก่อนขณะที่กำลังหลับสนิทในโรงแรมหรูที่เมืองอเล็กซานเดรีย
จู่ๆพ่อของเขาก็โวยวายเข้ามาในห้องนอนกลางดึกปากพร่ำพูดอะไรสักอย่างยืดยาวด้วยความตื่นเต้น
สิ่งที่เขาพอจะจับใจความได้นั้นเหมือนกับว่าคณะสำรวจของพ่อจะขุดพบอะไรบางอย่างซึ่งมันน่าทึ่งมาก
แต่ถ้าจะให้เดาจริงก็คงไม่พ้นขุดพบสุสานแห่งใหม่อีกแห่งนั่นแหละ
“ลูกรู้รึเปล่า ถ้าสิ่งที่คีธเล่าให้พ่อฟังนั้นเป็นเรื่องจริง
การขุดพบสุสานหลุมนี้จะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากเชียวนะ”
เอเลนที่เหนื่อยกับการมองฝุ่นที่นอกหน้าต่างรถจนลายตาละสายตาจากบานหน้าต่างหันมาพูดกับชายคนขับเสียงเนือย
“ผมไม่คิดว่ามันจะแปลกตรงไหนเลยนะครับ
ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าหุบเขากษัตริย์ เป็นที่ฝังพระศพของฟาโรห์และเชื้อพระวงศ์ในยุคราชวงศ์ใหม่ที่สืบทอดกันไม่รู้กี่รุ่นมาแล้ว
จะเจอใหม่อีกสักหลุมก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา”
“ลูกรัก
คีธบอกพ่อเองว่าหลุมนี้ที่เราเจอมันสมบูรณ์ยิ่งกว่าสุสานของตุตันคาเมนเสียอีกนะ”
“ถ้าสมบูรณ์แต่ข้างในกลับไม่มีอะไรหลงเหลือให้ศึกษานอกจากพระศพอย่างที่เจอในสุสานของตุตันคาเมนนี่ผมว่ามันก็คงไม่ใช่การค้นพบอะไรที่น่าตื่นเต้นขนาดนั้นหรอกครับ”
ถ้อยคำโต้เถียงนั้นถึงกับทำให้ผู้สูงวัยกว่าเถียงไม่ออก
“ทำไมถึงชอบขัดพ่อจริง
เจ้าลูกคนนี้”
“ผมก็แค่ทำตามที่พ่อสอน
อย่าเชื่ออะไรง่ายๆจนกว่าจะได้พิสูจน์ด้วยตัวเองไงล่ะครับ”
ผู้เป็นพ่อถึงกับต้องยิ้มแห้ง
แน่นอนว่าที่เด็กหนุ่มพูดมานั้นก็ไม่ผิดด้วยอาชีพและความชื่นชอบทางโบราณคดีเป็นส่วนตัวนั้นทำให้เขายึดอาชีพอาจารย์มหาวิทยาลัยและศึกษางานทางด้านนี้โดยเฉพาะ
ตัวเขานั้นค่อนข้างจะสนใจประวัติศาสตร์ทางอารยธรรมอียิปต์โบราณมากเป็นพิเศษ
งานขุดค้นหาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ก็เป็นสิ่งที่เขาชอบมากเช่นกัน ชีวิตโดยมากมักจะต้องเดินทางอยู่เสมอและไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่เด็กจนถึงเดี๋ยวนี้เจ้าลูกชายตัวดีก็มักจะคอยติดสอยห้อยตามเขาไปด้วยทุกที่
และก็ดูเหมือนว่าเอเลนจะซึมซับและเริ่มสนใจงานด้านนี้ตามเขามากขึ้นเรื่อยๆ
“นั่นสินะ
ถ้าไม่ได้ไปเห็นด้วยตัวเองก็คงยังตัดสินอะไรไม่ได้จริงๆนั่นแหละ”
ออกจากตัวเมืองลักซอร์มุ่งไปสู่ฟากตะวันตกของแม่น้ำไนล์
ผ่านหุบเขาสลับซับซ้อนไปอีกหลายลูกก็มาถึง คณะสำรวจตั้งแคมป์พักแรมอยู่ไม่ห่างจากสถานที่ขุดพบไปไกลนัก
พวกคนงานแรงงานท้องถิ่นกำลังวุ่นวายกับการขุดดินเปิดอุโมงค์ทางเข้าสุสานกันอยู่
ชายวัยกลางคนหัวล้านเลี่ยนขอบตาดำคล้ำเดินยิ้มร่าตรงมารับทันทีที่พวกเขาไปถึง
“คริช่า นายต้องมาดู
นายจะต้องไม่เชื่อแน่ถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง”
เด็กหนุ่มปล่อยให้เพื่อนเก่าทั้งสองที่ไม่ได้พบหน้าค่าตากันมานานได้ทักทายกันจนพอใจ
เขาจึงได้เอ่ยทักทายขึ้น
“สวัสดีครับลุงคีธ”
“อ้าว เอเลนไม่เจอกันนานนะหลานชาย
ได้ข่าวว่าเข้ามหาลัยแล้วนี่นาสาขาโบราณคดีด้วยไม่ใช่เหรอ”
“ก็.......ครับ”
เอเลนส่งยิ้มเจื่อน ลุงคีธยังเป็นพวกบ้าน้ำลายไม่เคยเปลี่ยน
“ที่เรียนกับพ่อมาตั้งแต่เด็กจนโตนี่ยังไม่พอใจอีกรึไง”
“คือ ที่ผมสนใจนั้นเป็นอารยธรรมของกรีกโรมันโบราณมากกว่าครับ
ก็เลยอยากจะศึกษาเพิ่มเติมเป็นพิเศษ”
คำตอบเรียบๆของเด็กหนุ่มทำให้ผู้สูงวัยทั้งสองถึงกับเงียบ
พวกเขาสบตากันแล้วหัวเราะแก้เก้อออกมา”
“เอาน่า
จะกรีกโรมันหรืออียิปต์โบราณต่างก็มีเสน่ห์ของมันทั้งนั้น มาเถอะๆ
เข้าไปดูข้างในกัน” คีธกล่าวพร้อมกับโอบไหล่สองพ่อลูกเดินเข้าไปยังส่วนพื้นที่พีระมิด
ทางเข้าด้านหน้าถูกกะเทาะออกอย่างสวยงามหินทุกชิ้นไม่มีรอยบิ่นหรือแตกหัก
อุโมงค์ทางเข้าเต็มไปด้วยภาพอักษรฮีโรกริฟิกที่ว่ากันว่าเป็นมนต์วิเศษที่เอาไว้นำทางวิญญาณฟาโรห์ไปสู่โลกแห่งความเป็นนิรันดร์ที่เรียกกันว่า
คัมภีร์มรณะ แม้จะบอกว่าไม่สนใจ
แต่ด้วยความที่คลุกคลีอยู่กับศิลปะพวกนี้มาตั้งแต่เด็กถึงแม้จะไม่อยากรับรู้นักแต่มันก็ซึมซับเข้ามาเองโดยไม่ได้ตั้งใจ
ด้านในพีระมิดค่อนข้างมืด คนงานนำทางคนหนึ่งถือคบเพลิงเดินนำหน้าพวกเขา ชายผู้นั้นหันมาใช้ภาษาท้องถิ่นพูดว่า
“ด้านในกำลังวุ่นวายกันใหญ่เพราะยังหาวิธีเปิดไม่ได้”
“เปิดอะไรกันหรือครับ”
“โลงพระศพน่ะสิ
ลองใช้ทุกวิธีแล้วก็ยังหาวิธีเปิดไม่ได้สักที ลุงถึงได้เรียกพ่อของหลานมา”
คีธตอบขณะที่พาเอเลนและคริช่าเดินผ่านประตูเข้าสู่ห้องโถงกลาง
ชั่วแว่บแรกเอเลนนึกว่าตัวเองจะตาบอดไปเสียแล้ว
ผนังสี่ด้านถูกสร้างขึ้นด้วยทองทั้งแผ่น
ตัวอักษรฮีโรกริฟฟิกมากมายถูกสลักไว้จนแน่นเอี้ยดแทบไม่มีพื้นที่ว่าง
ที่พื้นก็ถูกปูด้วยหินผสมทองสัมฤทธิ์
บนแท่นยกพื้นสูงติดผนังด้านในมีโลงทองคำที่แกะสลักเป็นรูปหน้าคนที่สวมเครื่องทรงกษัตริย์มือทั้งสองข้างถือไม้เท้ากอดไขว้กันไว้บนหน้าอกวางตั้งอยู่
ที่ฐานด้านล่างมีรูปปั้นคนสวมหน้ากากอนูบิสวางตั้งอารักขา
รูปปั้นอารักษ์หนึ่งสูงชะลูดร่างกายกำยำแลดูปราดเปรียวคล่องแคล่ว
อีกหนึ่งนั้นล่ำสันมัดกล้ามขึ้นเป็นลอนๆแลดูแข็งแกร่ง รูปปั้นทั้งสองถือง้าวปลายแหลมสามง่ามไขว้กันเป็นรูปกากบาทไม่ยินยอมให้ผู้ใดล่วงล้ำเข้าไปถึงโลงพระศพด้านใน
“นี่มัน สุดยอด!!!!” คริช่าถึงกับอ้าปากค้าง
“นี่มันเลอค่ายิ่งกว่าที่ใครเคยพบเสียอีก
ไม่ว่าผู้ที่นอนอยู่ในนั้นจะเป็นใครดูจากสุสานที่วิจิตรบรรจงขนาดนี้แล้วบอกได้เลยว่าคนผู้นี้ย่อมไม่ใช่ธรรมดา”
ขณะที่คริช่าและคีธกำลังสุมหัวกันวิจัยโลงพระศพทองคำเอเลนก็ถือโอกาสนี้เดินดูรอบๆ
แน่นอนว่าเขาพอจะอ่านอักษรฮีโรกริฟิกได้บ้างแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด
เข้าไล่ดูภาพสลักบนผนังทองคำเรื่อยๆเหมือนมันจะบอกเล่าเรื่องราวบางอย่างเกี่ยวกับเจ้าของสุสานแห่งนี้
“นักรบ........ผู้เป็น.......ยอด......รัก.......บุตรชาย......ของ....เทพ......แห่งดวงอาทิตย์”
“บุตรชายของเทพแห่งดวงอาทิตย์........ราเมส?”
ในภาษาอียิปต์โบราณ ราเมสแปลว่าบุตรชายของเทพแห่งดวงอาทิตย์
นี่อาจจะเป็นพระนามของฟาโรห์องค์นี้ก็เป็นได้ แต่แน่นอนว่าฟาโรห์ที่ทรงพระนามว่าราเมสย่อมไม่ได้มีเพียงหนึ่งเพราะถ้าจะไล่ตั้งแต่ยุคราชวงศ์ใหม่เป็นต้นมาก็ไม่อาจเดาได้จริงๆว่าที่นอนอยู่อย่างสงบภายในสุสานทองคำแห่งนี้จะเป็นราเมสที่เท่าไหร่กัน
ต่อมาเป็นภาพพระราชพิธีศพก่อนที่จะนำมาบรรจุในพีระมิด ในภาพมีคนนับพันคุกเข่าถวายคำนับขบวนพระศพที่ถูกแบกเข้าสู่พีระมิดยักษ์
มีคำบรรยายประกอบภาพนี้สั้นๆ
“โอรสทั้งร้อย
ธิดาทั้งห้าสิบร่วมส่งเสด็จ สิริครองราชย์สมบัติหกสิบเจ็ดปี”
เอเลนถึงกับต้องอ่านทวนอีกครั้งเพื่อให้มั่นใจว่าตนไม่ได้เข้าใจผิด
“ผู้ชายที่มีลูกสาวห้าสิบ
ลูกชายอีกร้อยคนนี่เป็นคนประเภทไหนกัน” แน่นอนว่าไม่ต้องนับว่าจะมีเมียอีกเท่าไหร่
เอเลนเลิกสนใจภาพสลักบนผนังแต่เดินเข้าไปดูโลงพระศพแทน
เด็กหนุ่มลอดผ่านง้าวด้ามยาวที่ไขว้ขวางทางเข้าหน้ายกพื้นเดินเข้าไปสมทบกับคริช่าและคีธ
“เป็นรอยต่อที่แนบสนิทมาก
โลงทำจากทองคำล้วนแบบนี้ใช่ว่าจะยกออกได้ง่ายๆ”
“ฉันลองมาหมดแล้ว
เหลือก็แต่เอาระเบิดมาลองเปิดดูนี่แหละ”
“อย่าแม้แต่จะคิด!!! ห้ามเด็ดขาดเชียว สุสานที่ล้ำค่าสมบูรณ์เช่นนี้ ใช่ว่าจะขุดเจอกันได้ง่ายๆ”
คริช่ารีบทักท้วงเสียงดัง คีธจึงหัวเราะขึ้นดังลั่น
“ก็รู้ไงถึงได้เรียกนายมา”
“ตรงนี้เหมือนจะมีช่องกุญแจอยู่นะครับ”
เอเลนที่เดินดูรอบโลงแบบผ่านๆแต่กลับไปสะดุดตากับสลักเล็กๆเข้า
“จริงด้วย
ลองหากุญแจผีมาไขดูก่อน”
และแล้วก็ล่วงเลยมาจนมืดค่ำ
ทั้งพ่อของเขาและคีธยังคงวุ่นวายกับการพยายามหาทางเปิดโลงพระศพไม่เลิก
เอเลนจึงปลีกตัวกลับกระโจมที่พักที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่ขุดสุสานนัก
ในยามดึกบรรยากาศในทะเลทรายลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว
ทุกคนที่เหนื่อยจากการทำงานต่างก็กลับกระโจมที่พัก
ท่ามกลางบรรยากาศที่มืดสนิทมีเพียงแสงจันทร์และหลอดไฟตะเกียบที่ยังคงส่องแสงเพราะเครื่องปั่นไฟที่ให้แสงสว่างพอมองเห็นได้
ขณะที่กำลังควานหาผ้าห่มขนสัตว์เพราะความหนาว
เอเลนพลันเห็นเงาดำร่างหนึ่งเดินผ่านกระโจมไป จากที่ลังเลอยู่พักใหญ่
เด็กหนุ่มตัดสินใจหยิบมีดพกติดมือแอบตามเงาปริศนาไปเงียบๆ
ดูจากการแต่งกายด้วยชุดผ้าลินินคลุมยาวแบบนั้นต้องเป็นหนึ่งในคนงานท้องถิ่นแน่ๆ
เอเลนแอบเห็นว่าเขากำลังมุ่งหน้าไปสู่พีระมิดไร้นาม
เป็นเรื่องธรรมดาที่ในงานขุดค้นแต่ละครั้งจะเจอสมบัติล้ำค่าและมีบ่อยครั้งที่มันมักจะหายไปโดยไร้ร่องรอยแน่นอนว่าส่วนหนึ่งก็มาจากพวกที่ขุดค้นเองนั่นแหละ
ครั้งนี้ก็เช่นกันห้องสุสานที่เต็มไปด้วยทองทั้งห้องแบบนั้นมันก็ย่อมต้องล่อตาล่อใจอยู่มากแน่ๆเพราะฉะนั้นจะปล่อยให้ใครขโมยไปไม่ได้
เพราะสุดท้ายสมบัติทั้งหมดที่ถูกขุดพบจะต้องถูกขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติของชาติอียิปต์เป็นมรดกเพื่อการศึกษาต่อไป
เอเลนตัดสินใจเดินตามเงาชายผู้นั้นเข้าไปเงียบๆทางเดินช่วงแรกค่อนข้างมืดทึม
ต้องอาศัยการคลำทางเดินไปจนถึงใจกลางสุสานที่เป็นห้องเก็บพระศพ
แสงสีทองวิวับส่องประกายมะรังมะเรืองผ่านช่องประตูหินออกมา
“หยุดนะ!!!” เด็กหนุ่มใช้ภาษาถิ่นตะโกนใส่คนที่กำลังจะเดินผ่านประตูเข้าไป
ชายคนงานชาวอียิปต์ร่างใหญ่สะดุ้งแต่เมื่อหันมาพบว่าเป็นเพียงเด็กหนุ่มร่างบางก็ยิ้มเหี้ยม
เมื่ออีกฝ่ายประชิดเข้ามาใกล้เอเลนก็ตวัดมีดพกในมือใส่ทันที
มีดสั้นถากแขนกรีดเสื้อชายผู้นั้นเป็นทางยาว หยดเลือดกระเซ็นติดมือเรียวมาด้วย
ชายคนงานผู้นั้นส่งเสียงร้องลั่นพุ่งเข้าชาร์ต
เขาใช้ร่างกระแทกเอเลนจนหงายหลังล้มคว่ำเข้าไปในห้องสุสานกลาง
เด็กหนุ่มพลิกตัวหลบฝ่าเท้าที่ไล่เหยียบเป็นพัลวัน
เมื่อลุกขึ้นได้ก็รีบตวัดมีดเข้าใส่อีกฝ่ายกลับคว้ามือเขาไว้ได้ทันแล้วชกสวนเข้าที่มุมปากของเด็กหนุ่มเต็มๆ
ร่างบางถึงกับล้มกลิ้งมีดสั้นหลุดกระเด็นออกจากมือ
ชายคนงานไม่รู้ช้ารีบตามมาซ้ำมือใหญ่บีบรอบลำคอขาวหมายเอาให้ถึงชีวิต
ก็รู้ๆกันอยู่ว่าพวกแขกขาวนั้นตัวใหญ่และแรงเยอะแค่ไหน ถ้าไม้ทำอะไรสักอย่างล่ะก็
ตายแน่ๆ!!!!
มือเรียวพยายามคว้าเอามีดพกสุดแขนเอื้อมก่อนที่จะสิ้นแรงลงไป
“เป็นความผิดของแกเองที่ตามเข้ามา”
ชายคนงามกล่าวเสียงเหี้ยมขณะที่เอเลนกำลังจะหมดสติ ในตอนนั้นเองเหมือนจะได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆเดินใกล้เข้ามา
ชายคนงานส่งเสียงร้องลั่นเหมือนเจออะไรสักอย่างที่น่าหวาดกลัวมากๆ เขาปล่อยมือออกจากเอเลนแล้วรีบวิ่งเตลิดออกทางหน้าประตู
แต่ก่อนที่จะวิ่งออกไปพ้นประตูหินพลันปิดเองอัตโนมัติ ในตอนนั้นเอเลนพลันได้เห็น
หนึ่งในรูปปั้นอารักษ์อนูบิสร่างสูงเดินตรงปรี่เข้าหาผู้ชายคนนั้นพลางควงง้าวในมือเป็นวงจนเกิดเสียงดังขวั่บๆก่อนที่ปลายสามง่ามจะหยุดห่างจากจมูกชายผู้นั้นไม่กี่เซ็น
ร่างอนูบิสเปล่งเสียงคำรามดดังก้อง เสียงสะท้อนซ้ำไปมาไม่หยุดจนเอเลนต้องปิดหูไว้
เหมือนกับมันพูดอะไรบางอย่าง
ผู้บุกรุกจักถูกทำลาย............
หากว่าได้ยินไม่ผิดไปหรอกนะ
ชายคนงานก้มลงกราบแทบเท้าขณะที่เปล่งเสียงภาษาโบราณที่เขาฟังไม่ออก
เอเลนคิดว่ามันคงเป็นบทสวดอะไรบางอย่าง
ผู้บุกรุกจักถูกทำลาย!!!!
รูปปั้นอนูบิสตะโกนขึ้นอีกครั้งแล้วจึงตวัดง้าว
ฟันฉับบั่นคอชายผู้นั้นหลุดจากบ่ากลิ้งหลุนๆไปตามพื้น
เอเลนที่เกือบจะหลุดเสียงหวีดร้องรีบอุดปากตัวเองไว้ไม่อยากให้รูปปั้นตนนั้นรู้ตัวว่าเขายังคงอยู่ที่นี่
เพราะถ้าหากมันมองว่าชายผู้นั้นเป็นผู้บุกรุกแล้วเขาที่แอบตามมาถึงจะมาเพื่อห้ามก็เถอะย่อมต้องตกเป็นผู้บุกรุกเช่นกัน
ทันใดนั้นรูปปั้นอนูบิสร่างสูงพลันหันมาสบตากับเขา
นัยน์ตาสีเหลืองทองภายใต้หน้ากากสุนัขวาวโรจน์ดูน่าเกรงขาม
มันย่างเท้าเข้ามาใกล้ขณะที่เอเลนเริ่มถอยห่างจวบจนชิดผนัง
เมื่อหยุดห่างจากเขาไม่ถึงสองก้าวรูปปั้นอนูบิสตนนั้นพลันคุกเข่าลงแดงท่าทีเคารพนบนอบ
เอเลนสังเกตเห็นว่ามืออีกข้างที่ว่างจากการถือง้าวเหมือนจะกำอะไรบางอย่างเอาไว้
เมื่อรูปปั้นตนนั้นแบมือออกพร้อมกับยื่นมาตรงหน้าเอเลนจึงได้เห็นชัดๆ
มันคือสร้อยทองเส้นเล็กตีเป็นเส้นบางๆมีจี้รูปกุญแจทองห้อยอยู่
รูปปั้นอนูบิสยังคงคุกเข่านิ่งไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน
“คุณ........ให้ผมเหรอ”
เอเลนเอ่ยถามเสียงเบา แต่รูปปั้นยังคงนั่งคุกเข่าก้มหน้านิ่งเฉย
หรือจะคืนสภาพเป็นรูปปั้นไปเสียแล้ว
“ผม ไม่เอาได้มั้ย
ผมไม่อยากได้”
เมื่อจบประโยครูปปั้นอนูบิสพลันเงยหน้าตวัดดวงตาสีทองวาวโรจน์จ้องมองเขาทันที
เอเลนรีบคว้าสร้อยเส้นนั้นไว้ด้วยความตกใจ
“โอเค ผมรับไว้แล้วนะ”
เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงสั่น ถึงจะไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรแต่ก็ขอเก็บไว้ก่อนล่ะ
รูปปั้นอนูบิสพลันหยัดกายยืนขึ้นแล้วเดินเข้าประจำที่หน้ายกพื้นบัลลังก์หีบศพ
แต่บัดนี้รูปปั้นซ้ายขวาไม่ได้อยู่ในท่าทีอารักขาปกป้องเหมือนอย่างที่เห็นเช่นเมื่อกลางวันอีกแล้ว
รูปปั้นทั้งสองกลับคุกเข่าลงกับพื้นด้วยท่าทีนบนอบเปิดช่องว่างให้เอเลนเดินผ่านเข้าไป
“ผมเข้าไปได้จริงๆนะ”
เอเลนเอ่ยถามซ้ำอย่างหวาดๆขณะที่ลองเหยียบขึ้นขั้นบันไดเตี้ยไปทีละขั้นจนกระทั่งถึงโลงพระศพ
เอายังไงดีล่ะ...........
จู่ๆรูปปั้นอารักษ์ก็เปิดทางให้เขาเข้ามา
แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าเพื่ออะไรอยู่ดี มือขวาที่กำสร้อยกุญแจเอาไว้ถึงกับเปียกชุ่ม
กุญแจ?.......เดี๋ยวสิ........กุญแจ
กับโลงพระศพนี่หรือจะมีความเกี่ยวข้องกัน
เอเลนมองสลักกุญแจข้างโลงพระศพสลับกับลูกกุญแจในมืออย่างชั่งใจ
ก่อนจะตัดสินใจเสียบกุญแจดอกนั้นเข้าไปในรูแล้วหมุน
คลิ๊ก!!!
เสียงกลไกกุญแจสะเดาะออกเบาๆเอเลนถึงกับลืมหายใจไปด้วยความลุ้น
มือเรียวยกเปิดฝาโลงทองคำขึ้นด้วยความประหลาดใจ ทำไมถึงได้เบาได้ขนาดนี้
ภายในมีร่างมัมมี่สองร่างสูงยาวต่างกันแต่ถูกจัดวางไว้เคียงข้างกันในโลงเดียว
ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีการฝังศพร่วมโลงกัน......
เอเลนสังเกตเห็นกระดาษปาปิรุสแผ่นหนึ่งที่ถูกศพมัมมี่ศพหนึ่งกำไว้
เด็กหนุ่มพยายามจะดึงมันออกแต่กลับพบว่ามันติดแน่นหากเสี่ยงออกแรงมากกว่านี้ต้องขาดแน่ๆ
“เอาไว้ให้พ่อกับลุงคีธพิจารณาทีหลังก็แล้วกัน”
เอเลนละความสนใจจากม้วนกระดาษปริศนาแล้วเริ่มสนใจภาพสลักอักษรในโลงแทน
เด็กหนุ่มอ่านออกเสียงภาพอักษรที่ถูกสลักไว้บนหัวโลงช้าๆ
ข้าฯ ไม่ได้ทำให้ใครเจ็บปวด
ข้าฯ ไม่ได้ทำให้คนหิวโหย
ข้าฯ ไม่ได้ทำให้ใครหลั่งน้ำตา
ข้าฯ ไม่ได้ทำให้คนตาย
ข้าฯ ไม่ได้ทำให้คนต้องทุกข์ทรมาน........นามข้านั้นคือ ราเมส
ข้าฯ ไม่ได้ทำให้คนหิวโหย
ข้าฯ ไม่ได้ทำให้ใครหลั่งน้ำตา
ข้าฯ ไม่ได้ทำให้คนตาย
ข้าฯ ไม่ได้ทำให้คนต้องทุกข์ทรมาน........นามข้านั้นคือ ราเมส
ฉับพลันแสงสีทองเจิดจ้าส่องสว่างออกมาจากโลงจนเอเลนต้องปิดตาไว้
เมื่อลืมตาขึ้นเด็กหนุ่มพลันต้องแปลกใจ ที่ที่เขาอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่ห้องสุสานทองคำอีกแล้ว
สถานที่แห่งนี้เป็นลานหินเปิดล้อมรอบด้วยผ้าม่านสีขาวบางปิดซ้อนเป็นชั้นๆไว้ทั้งสี่ทิศ
ที่ผนังด้านบนมีรางขนาดใหญ่ที่เอาไว้ใช้รองรับน้ำต่อทอดยาวจากด้านนอกตรงเข้าไปถึงห้องส่วนใน
เอเลนตัดสินใจเดินผ่านม่านสีขาวเข้าไปสู่ห้องภายในชั้นแล้วชั้นเล่า
เสียงน้ำไหลเริ่มดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ก่อนที่จะโผล่พ้นม่านชั้นสุดท้ายออกไปเหมือนจะมองเห็นร่างของใครบางคนอยู่ในสระน้ำขนาดใหญ่นั้นรางๆเอเลนรีบหยุดฝีเท้าทันที
แต่ดูเหมือนจะสายไปเพราะอีกฝ่ายก็รู้สึกตัวแล้วเช่นกัน
“นั่นใคร!!!” เสียงทุ้มส่งภาษาอียิปต์โบราณดังกังวานทรงอำนาจดังสะท้อนไปทั่วทั้งห้องอาบน้ำขนาดใหญ่
เอเลนรีบหดตัวนั่งคุดคู้ลงกับพื้นปิดปากเงียบกริบ
“ข้าถามว่านั่นใคร!!!” เสียงตวาดดังขึ้นอีกรอบดูน่ากลัวมากยิ่งขึ้น เจ้าของเสียงที่ดูจะไม่พอใจเอามากๆปีนขึ้นจากสระน้ำย่างสามขุมเข้ามาใกล้พร้อมกับหยิบดาบเล่มยาวคล้ายกริชติดมือมาด้วย
ทำไงดี!!!!!
เด็กหนุ่มถึงกับหาทางไปไม่ถูก
พอคิดจะวิ่งย้อนกลับไปทางเดิมแต่อีกฝ่ายก็ถึงตัวเขาแล้ว
มือใหญ่คว้าหมับเข้าที่ข้อแขนเรียวแล้วตรึงไว้มือบางอีกข้างที่ว่างรีบคว้าผ่าม่านสีขาวไว้ช่วงที่จะล้มลงก็พลันฉุดผ้าม่านหลุดติดมือมาเป็นยวง
คบไฟที่ตั้งอยู่ใกล้ๆล้มลงระเนระนาด
เอเลนที่ถูกกองผ้าม่านหล่นทับจนแทบจะพันไปทั้งตัวเงยหน้ามองชายหนุ่มร่างใหญ่ผิวกายขาวผ่องเหลือบทองแลดูเปล่งประกายที่ยืนเปลือยอยู่ต่อหน้าเขา
ใบหน้าหล่อเหลาแลดูเฉยชา นัยน์ตาเฉียบคมที่ถูกกรีดด้วยสีดำเข้มยิ่งขับให้ชายหนุ่มผู้นี้ดูคมเข้มดุดันยิ่งขึ้น
ร่างกายเปล่าเปลือยและมัดกล้ามงดงามพราวระยับไปด้วยหยดน้ำ เอเลนไม่กล้าตวัดตามองไปยังส่วนสงวนที่มันดันลอยอยู่เบื้องหน้าเขาเต็มๆ
เด็กหนุ่มเลือกที่จะเชิดหน้ามองสบสายตากับชายหนุ่มปริศนาผู้นี้ตรงๆ
และก็เหมือนจะเพิ่งได้รู้ว่าคิดผิด เขาพลันค้นพบว่ามีมนต์เสน่ห์ดึงดูดบางอย่างฉายชัดออกมาจากดวงตาคมคู่นี้
“ฝ่าบาท!!! เกิดอะไรขึ้นพะยะค่ะ” ด้านนอกเหมือนจะมีเสียงเอะอะใกล้เข้ามา
“ไม่มีอะไร ไม่ต้องเข้ามา
ทุกอย่างปกติดี”
ชายหนุ่มร่างกำยำผู้นี้หันไปเอ่ยกับคนกลุ่มใหญ่ที่กำลังจะกรูกันเข้ามาอยู่รอมร่อ
“ถอยออกไปให้หมด”
“พะยะค่ะ”
เหมือนจะได้ยินเสียงปิดประตูดังแว่วมา
ชายหนุ่มปริศนาเชยคางมนถามเด็กหน้าแปลกหน้าเสียงเบา
“เข้ามาถึงที่นี่ได้อย่างไร”
“ผม....ผมไม่แน่ใจ”
เขามองสบตากับเอเลนนิ่งเหมือนกำลังพยายามจับโกหกให้ได้
เอเลนจึงส่งยิ้มหวานพยายามแสดงความบริสุทธิ์ใจเต็มที่
“รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร”
“ไม่ทราบครับ”
เด็กหนุ่มเอ่ยตอบเสียงสั่น
เมื่อมองสบดวงตาคมคู่นี้นานๆร่างกายมันพาลจะหมดเรี่ยวแรงชอบกล
“เจ้าไม่รู้อะไรเลยอย่างนั้นหรือ”
“ขอโทษจริงๆครับ”
“ถ้าเช่นนั้น
ข้าจะถามคำถามง่ายๆ เจ้าเป็นใคร”
“ผมชื่อ........เอ......เลน”
ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความร้อนจากไอน้ำร้อนหรือความเปล่งประกายของชายหนุ่มผู้นี้กันแน่ที่ทำให้เขารู้สึกตาพร่ามัวเบลอๆแปลกๆ
เอเลนหมดสติลงก่อนที่จะทันได้คุยกันจนรู้เรื่องว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่
TBC.
โปรเจคต์ลับร่วมกันกับน้องสาว Trendy Blood ที่อยู่ดีๆก็ชวนกันเปิดไหร่วม (มีพื้นที่ให้ดองเยอะค่ะงานนี้) คุยกันไปกันมาสรุปว่าธีมมนตราสิเน่หาไอยคุปต์นี่แหละ ไม่ค่อยเห็นฟิคคู่นี้แนวๆนี้เลย พาร์ทนี้เป็นส่วนของพี่ค่ะ และตอนนี้ก็โยนระเบิดไปให้น้อง Trendy Blood แล้วด้วย....ลุ้นม้ากกกกกกก อร๊ายยยยยย ตื่นเต้น ฝากติดตามอีกเรื่องค่ะ โปรเจคต์พลีชีพ ถ้าล่มงานนี้โดนสับเละทั้งคู่ ฮา!!!!!
อือหือออออออออออออ เฮียเปิดตัวได้ใจเต้นมากกกกก ผลสุดท้ายก็ห้องน้ำสินะ สินะ หึหึหึ............ น้องจะรีบไปนั่งเทียนเขียนค่ะ ถ้าล่มนี่ตายอนาถคู่จริงๆนะคะ!!!
ตอบลบ..........ขอน้องร่วมแต่งบทอัศจรรย์ได้มั้ยครับ? //โดนพี่ๆทั้งสองตี
ลบเห็นจำนวนบุตรแล้ว สัมผัสได้ว่าจะต้องมีบทอัศจรรย์ให้ได้ออกลวดลายเยอะเหลือเกิน อยากร่วมครีเอทท่วงท่าง่ะ!!
ไม่มี m-preg นะ แต่ถ้าอยากแต่งพี่ยกฉากนั้นให้เลอ 55555
ลบไม่มี m-preg คำนี้ทำให้น้องปวดใจยิ่งนัก T^T กระซิกๆ
ลบอื้อหือฟิคชั่นแนวไอยคุปย์นี่แรร์มากในหลายๆคู่รีเอมีคนแต่งให้อ่านด้วยขอบคุณมากๆค่ะ
ตอบลบ