วันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2560

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์ Chapter 26

ผ่าภิภพบันทึกฟาโรห์ 
Pairing: Levi x Eren 
Rate: NC-17 
Story by: AkeRah + Trendy Blood 
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!* 
……………………………………………………………… 
 
Chapter: 26 
 
เบเซทวิ่งสุดฝีเท้ามาจนถึงห้องพักส่วนในที่ซึ่งเป็นที่พักของเด็กหนุ่งร่างอวตารร่วมกับองค์รามเมส 
"ท่านเอเลน!!" เสียงตะโกนด้วยความดีใจดังกังวานก่อนที่ร่างของเด็กหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งหน้าตาละม้ายคล้ายองค์รามเมสจะปรากฏกาย
ทันทีที่รีบพรวดพราดเข้ามา เบเซทต้องหยุดชะงักฝีเท้าก่อนจะก้มลงคุกเข่าทำความเคารพแด่บิดาที่ยังคงประทับอยู่บนที่บรรทม 
"น่าแปลก นานๆครั้งที่ข้าจะเห็นเจ้ากระตือรือร้นเช่นนี้เบเซท" ผู้เป็นพ่อมองบุตรชายอย่างนึกขัน  
เบเซทถ้าไม่มีรับสั่งหรือเรื่องงานที่รีบเร่งมักไม่มาหาเขาในที่พักส่วนตัวแต่จากท่าทางและใบหน้าที่ดูกระตือรือร้นเช่นนี้อาจเป็นเพราะเป้าหมายที่มายังที่นี้คงไม่พ้นมาหาร่างอวตาร 
"ขออภัยเสด็จพ่อ ลูกแค่อยากมาเจอท่านเอเลนเท่านั้น" เบเซทหัวเราะแก้เขินให้กับตัวเองก่อนจะทูลไปตามตรง  
ตั้งแต่ที่เอเลนมาอยู่เมมฟิสก็สองวันแล้ว แต่เขาที่มัวแต่ยุ่งกับการส่งคนไปเจรจาทางฮิตไทต์ อีกทั้งยังต้องง่วนกับการหาของกำนัลเพื่อแสดงสัมพันธไมตรีระหว่างเจ้าชายแจนแห่งฮิตไทต์ยังพำนักอยู่ที่นี่ เพิ่งได้มีเวลาว่างให้หายใจหายคอ 
เอเลนที่ยังคงหลับตาค่อยๆยันกายขึ้นมาก่อนจะอ้าปากหาว ใบหน้างัวเงียพยายามลืมตาพลางขยี้ตาตัวเองเบาๆ 
"ขออภัย ดูเหมือนข้ามารบกวนเวลาพักผ่อนของท่าน" เบเซททำหน้าสำนึกผิด เมื่อเห็นเด็หนุ่มร่างอวตารยังคงเกาผมสีน้ำตาลที่ยุ่งเหยิง 
"...ไม่หรอกเบเซท วันนี้ฉันตื่นสายไปหน่อยแต่ได้เวลาต้องลุกสักที" เอเลนยันกายลุกขึ้นพลางบิดตัวไปมาเพื่อให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นบ้าง 
นัยน์ตาสีอร่ามเหลือบมองใบหน้าคนขี้แกล้งที่ยังคงจ้องมองเขาอยู่บนเตียงอย่างน่าหมั่นไส้ ทุกทีเขาต้องตื่นเช้ากว่านี้ แต่เพราะเมื่อคืนที่ผ่านมามัวแต่ต้องต่อปากต่อคำกับเจ้าฟาโรห์หื่นกามนี่ นอกจากการต่อปากต่อคำแล้วยังรวมไปถึงการต่อกรกับร่างกายที่อยู่ไม่สุขของฟาโรห์จอมเจ้าเล่ห์นี่อีกด้วย 
"เสด็จพ่อท่านควรให้ท่านเอเลนพักบ้างสิขอรับ แล้วแบบนี้วันนี้ท่านเอเลนจะลุกขึ้นไหวหรือ?" เบเซทมองเด็กหนุ่มอย่างเป็นห่วง  
แต่คนที่ถูกมองต้องหน้าขึ้นสีจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี เบเซทแกอย่าตัดสินอะไรเองสิฟร่ะ! 
"นายกำลังเข้าใจผิดแล้ว ฉันกับพ่อนายเรายังไม่ได้ไปถึงขั้นC เลยนะเฮ้ย!!" เด็กหนุ่มร่างอวตารแก้ตัวเป็นพัลวันจนลิ้นแทบจะพันกัน 
"อะไรคือขั้น C ขอรับ? เอ.... ท่านเอเลนหมายถึงพิธีสมรสงั้นรึขอรับ ถึงแม้ว่าที่อียิปต์เรายังไม่มีการสมรสของฟาโรห์กับผู้ที่เป็นชายมาก่อน แต่ข้าคิดว่าถ้าเป็นร่างอวตารเหล่านักบวชคงไม่ขัดข้อง" เบเซทตอบกลับด้วยตาใสซื่อ ในหัวพลางคิดเรื่องพิธีการที่สามารถทำให้ไม่ขัดต่อจารีต 
"ไม่ใช่แล้ว ฉันหมายถึงฉันกับพ่อนายยังไม่ได้แบบ เออ แบบ มีอะไร ลึกซึ้งทำนองนั้น..." เอเลนใบหน้าขึ้นสีสุกปลั่ง ทั้งรู้สึกกระดากปากและอายแต่ทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดแบบนี้ เขามันเสียหายชัดๆ 
"ลึกซึ้ง?... ข้าไม่เห็นเข้าใจ ข้าคิดว่าเสด็จพ่อให้ความลึกซึ้งกับท่านอยู่นะขอรับ" เบเซทยังคงพาซื่อจนเด็กหนุ่มร่างอวตารแทบอยากจะจับมัดสองพ่อลูกรวมกันโยนลงทะเลแดง 
"โว๊ยย ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันหมายถึง คือ ฉันยังไม่ได้มี แบบว่า สัมพันธ์ทางกายกับพ่อนายไงเล่า" 
"วันนี้ไม่มี แต่วันหน้าก็ไม่แน่สินะ" ฟาโรห์หนุ่มเอ่ยกระเซ้าพลางมองเด็กหนุ่มร่างอวตารที่ทำตัวระส่ำระส่าย 
"น... นั่น มันเรื่องของอนาคต .." กระซิบเสียงแผ่วเบา แต่กระนั่นฟาโรห์หนุ่มก็ได้ยินอย่างชัดเจน 
"พอแล้ว!! ฉันจะไปอาบน้ำ เบเซทถ้านายยังไม่หุบปากฉันจะไม่ไปกับนายวันนี้" ว่าพลางเดินดุ่มๆออกจากห้องไปด้วยสีหน้าสุกปลั่งราวดวงตะวันและใจที่เต้นโครมคราม 
เบเซทรีบลุกขึ้นเพื่อเดินตามเด็กหนุ่มร่างอวตารที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปอย่างรวดเร็ว องค์ชายชะงักฝีเท้าก่อนจะหันมาคำนับบิดา พลางส่งยิ้มให้ผู้เป็นบิดา ฟาโรห์รีไวมองเด็กหนุ่มทั้งสองที่เดินจากไปก่อนจะแอบยกยิ้มขัน 
องค์ชายเบเซท เด็กหนุ่มที่ฉลาดปราดเปรื่อง ตรงไปตรงมา กล้าหาญ และที่สำคัญ...ยังเจ้าเล่ห์ไม่ต่างจากบิดา เรียกได้ว่า ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น... 
 
 
หลังรับประทานอาหารเสร็จ เอเลนกับเบเซทต่างพากันตรวจตราจุดต่างๆตามค่ายเมมฟิส จากประสบการณ์ที่คิตชูวัตนา ทำให้เอเลนอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับระบบอนามัยและสาธารนูปโภคของอียิปต์มากยิ่งขึ้น แต่เดิมส่วนใหญ่เขาอยู่แต่ในเขตราชฐาน ไม่ค่อยได้ออกมาสำรวจเสียเท่าไร หลายเรื่องจึงต้องให้เบเซทคอยชี้แนะ จากเท่าที่สำรวจและพูดคุย พบว่าอียิปต์มีความเจริญและก้าวหน้าทางการแพทย์ที่ค่อนข้างดีกว่าเมืองอื่น มีการแยกแยะประเภทผู้ป่วย และรักษาความสะอาดที่ดีเยี่ยม ในส่วนของการรักษาความสะอาดองค์ชายเบเซทนั้นถึงขั้นบอกกับเขาว่าเป็นรับสั่งที่เด็ดขาดขององค์ฟาโรห์ที่เน้นย้ำในเรื่องนี้ แต่นั้นก็ช่วยให้ชาวเมืองและผู้ป่วยต่างมีสุขอนามัยที่ดี ต้องยกความดีความชอบกับความรักสะอาดของฟาโรห์รามเมส 
ส่วนที่น่ากังวลคือความรู้เรื่องยารักษาโรคของอียิปต์ดูจะพิสดารอยู่เล็กน้อย เช่ยที่ว่าน้ำผึ้งนี่ราวกับยาผีบอก รักษาได้ทุกสรรโรค มีบาดแผลก็ใช้น้ำผึ้งช่วยสมาน ตรงนี้พอรับได้ เพราะน้ำผึ้งช่วยดูดความชื้น มีไข้ก็ให้ดื่มน้ำผึ้ง ส่วนนี้เข้าใจเพราะเมื่อป่วยร่างกายอ่อนแอ การได้รับกลูโคสจากน้ำผึ้งทำให้มีกำลังมากขึ้น ท้องผูกก็ใช้น้ำผึ้งให้ดื่ม โอเคอย่างน้อยก็ช่วยให้ร่างกายไม่อ่อนเพลียเกินไป เจ็บคอก็ใช้น้ำผึ้งช่วยบรรเทา ตรงนี้นับว่าใช้ได้เหมือนกัน แต่พอเป็น ปวดฟัน ปวดท้อง ผื่นแดง แผลเรื้อรัง หรือแม้แต่อาการท้องผูก ก็ล้วนแต่ใช้น้ำผึ้งเป็นยา จนทำเอาเขาแทบจะเปิดคอร์สสอนเรื่องสมุนไพรพื้นบ้านนอกจากน้ำผึ้งมาเป็นวิทยาทานให้กับคนอียิปต์เสียจริง 
"แล้วที่คิตชูวัตนานั้นเป็นอย่างไรบ้างหรือ? ข้าได้ยินมาว่าท่านสามารถกอบกุมใจประชาชนที่ดินแดนนั้นได้ อีกทั้งยังแสดงปฏิหารย์ต่างๆมากมายนัก" เบเซทเอ่ยถามอย่างสนใจจ 
"ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ถ้าพูดถึงเรื่องของความเป็นอยู่ ธีปส์นั้นใกล้แม่น้ำไนล์ ทำให้การเพาะปลูกนั้นง่ายกว่า แต่คิตชูวัตนาแหล่งน้ำอยู่ไกล อาจมีปัญฆาเรื่องขาดแคลน แต่ว่าองค์ชายแจนเองก็ดูเหมือนจะเข้าใจในเรื่องนี้ หมอนั่นก็กำลังพยายามในแบบของหมอนั่นเหมือนกัน" ถึงแม้จะดูโอ้อวดและน่ารำคาญ แต่หลายสิ่งที่ได้แลกเปลี่ยนกัน เอเลนเข้าใจดีว่าแจนนึกถึงประชาชนของเขาอยู่เสมอ พยายามปฏิรูปและฟื้นฟูเพื่อขจัดภัยที่อาจเกิดกับคนของเขา 
"ข้าเข้าใจองค์ชายแห่งฮิตไทต์ การที่ประชาชนยังหวาดหวั่นและไม่อาจเดินต่อไป เราผู้ซึ่งเป็นผู้ที่ชาวประชาไว้ใจต้องช่วยกันคิดหาวิธี นั้นย่อมเป็นหน้าที่ของว่าที่กษัตริย์พึงกระทำ" เช่นเดียวกับตัวเขาที่ถึงแม้จะมีตำแหน่งสูงส่งแต่สิ่งนั้นหมายถึงภาระที่ต้องแบกมากมายไว้บนบ่าเช่นกัน 
"ถ้ามีโอกาสข้าเองก็อยากผู้มิตรกับองค์ชายผู้นั้นเช่นกัน ข้ามั่นใจว่าเราคงเป็นสหายที่ดีต่อกันได้"  
"ข้าเองก็หวังเช่นนั้นองค์รัชทยาทแห่งไนล์" 
แจนเดินละจากพืชเกษตรที่เหล่าทหารกำลังจัดแจงลำเลียง องค์ชายแจนสนใจการเกษตรและพืชผลของอียิปต์มากมาย เพราะเป็นพืชที่แข็งแรงทนต่อโรคร้าย อีกทั้งยังโตไว เมื่อมีโอกาสที่ได้มาอยุ่ในเมมฟิส แจนจึงใช้โอกาสนี้ในการศึกษาเรื่องพืชผลของชาวอียิปต์ 
"พระวรกายเป็นอย่างไรบ้างขอรับองค์ชาย?" เบเซทน้อมศรีษะให้ความเคารพรัชทายาทแห่งฮิตไทต์อย่างไม่ถือองค์ เช่นเดียวกับแจนที่ค้อมคำนับเช่นเดียวกัน 
"ดีขึ้นมากแล้ว ต้องขอขอบพระคุณท่านและองค์ฟาโรห์ที่ให้แพทย์หลวงดูแลเราเป็นอย่างดี ตอนนี้บาดแผลดูเหมือนจะสมานแล้ว" ยอมรับว่าวิทยาการทางการแพทย์ของอียิปต์มีมากกว่าชาวอนาโตเลียของเขาเป็นอย่างมาก เพียงไม่นานแผลลึกจากลูกธนูก็เริ่มสมานอย่างรวดเร็วจนน่าอัศจรรย์ใจ 
"ถ้าท่านสนใจไว้ข้าจะให้หมอหลวงที่เก่งที่สุดของราแนะนำเรื่องการแพทย์ให้กับท่านเผื่อเป็นประโยชน์" เบเซทเสนอ แต่เดิมเขาเองก็หวังให้อียิปต์และฮิตไทต์หาทางปรองดองกัน บางที่นี่อาจเป็นโอกาสอันดีก็เป็นได้ 
"ข้าไม่อาจรบกวนน้ำใจท่านได้ถึงเพียงนั้น เพียงแต่ถ้าท่านอยากแนะนำข้าคงเป็นผู็ที่มีความรู็เรื่องการเกษตรได้หรือไม่?" แจนขอต่อรอง เรื่องการแพทย์นับว่าน่าสนใจ แต่ตอนนี้สำหรับฮิตไทต์แล้วสภาวะอดอยากนั้นรุนแรงกว่านัก 
เบเซทมองเหล่าพืชผลจำนวนมากที่ถูกลำเลียงเข้าโรงครัวและคลังเสบียง ชาวอียิปต์มีการเกษตรที่มากมายด้วยทำเลที่ใกล้ลุ่มแม่น้ำ จึงทำให้สามารถเพาะปลูกและเลี้ยงปศุสัตว์ได้ แต่สำหรับชาวอนาโตเลียที่ถูกล้อมรอบไปด้วยทะเลเสียส่วนใหญ่ พืชผลการเกษตรนับมีค่าราวทองคำ ช่างน่าเลื่อมใส บุคคลผู้นี้หวังผลิกแผ่นดินเพื่อปากท้องของประชาชนโดยแท้ 
"ในเมื่อท่านขอมาข้าจะช่วยดูให้ว่าสามารถส่งพืชผลใดที่มีความแข็งแรงและทนทานต่อสภาพอากาศให้ท่านได้บ้าง หวังว่าสิ่งนี้จะเป็นการให้ท่านเห็นถึงความจริงใจของชนชาวเรา" เบเซทไม่รอช้ารีบตัวจากเด็กหนุ่มร่างอวตารและองค์ชายก่อนจะไปปรึกษาหารือกับเหล่าพ่อค้าและเกษตรกรด้วยความกระตือรือร้น 
เอเลนมองเด็กหนุ่มที่จากไปรวดเร็วดุจพายุพลางนึกขำ ดูเหมือนเบเซทจะมีความกระตือรือร้นในการประสานสัมพันธไมตรีกับทั้งอียิปต์และฮิตไทต์มาก ถ้าครั้งหน้าคนที่มาเป็นฑูตเชื่อมสัมพันธไมตรีเป็นเบเซท องค์ชายหนุ่มจะต้องทำได้ตามความคาดหวังได้อย่าวน่ายกย่องไม่ผิดแน่ 
 
"ตอนนี้แผลก็สมานมากแล้วนายอดทนได้ดีมาก" ทั้งต้องทนต่อธนูที่ปักหัวไหล่ และต้องรีบเดินทางเพื่อมาห้ามศึกสงคราม ทั้งบาดแผลจากการที่สหายวัยเยาว์นั้นโดยฆ่าตาย การเป็นคนและองค์ชายในสมัยนี้ไม่น่าสนุกเอาเสียเลย 
"จะไม่อดทนได้ไง ก็ในเมื่อใครแถวนี้บอกข้าว่าถ้าดึงลูกธนูออกกลางคันเลือดจะไหลหมดตัวจนสิ้นชีพ หารู้ไม่ข้ากลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในการต้านสงครามเสียได้" แจนมองเด็กหนุ่มคาดโทษที่ให้เขากลายเป็นที่ปักลูกธนูหลักฐานชิ้นสำคัญ 
"แล้วไม่ดีอย่างนั้นเหรอ นายได้เป็นฮีโร่ในการห้ามศึกเลยนะ ฮีโร่เลยนะเฟ้ย" เอเลนหัวเราะขำขันด้วยรู้ดีว่าสายตาคาดโทษนั้นเป็นแค่สายตาที่แกล้งแกย่เล่นขององค์ชายหนุ่มเท่านั้น ูเหมือนองค์ชายจะงงกับคำว่าฮีโร่ของเด็กหนุ่มมากกว่า แต่ก็ไม่เอ่ยถามความหายออกไป เพราะเดาว่าคงเป็นความหมายที่ดี 
 
"เจ้าไม่ได้บอกเรื่องฮิตไทต์มีอาวุธที่แตกต่างให้กับองค์รัชทยาทแห่งไนล์งั้นรึ?" ตั้งแต่อยู่ที่เมมฟิสเขาคอยสังเกตเด็ฏหนุ่มร่างอวตารอยู่เสมอ รวมถึงบทสนทนาต่างๆที่เขาแอบเก็บข้อมูลเป็นระยะ และมันทำให้เขาแปลกใจทั้งที่เขาได้แสดงให้ร่างอวตารเห็นถึงศักยภาพที่ฮิตไทต์สามารถต่อกรกับอียิปต์ได้ แต่เอเลนกลับไม่คิดเปิดเผยเรื่องที่ว่านั่น 
เด็กหนุ่มร่างอวตารเอียงคอมองเจ้าชายแห่งฮิตไทต์พลางถอนหายใจ... 
"เรื่องเหล็กสินะ... ก็นั่นเป็นความลับที่สำคัญไม่ใช่รึไง? ไม่ใช่เรื่องที่คนอย่างฉันจะเอาไปบอกได้หรอก แต่ถ้านายอยากบอกเมื่อไรมันควรเป็นคำพูดจากรัชทยาทแห่งฮิตไทต์ที่ดำรัสต่อหน้าองค์รามเมสเองจริงไหม?" 
รอยยิ้มบางของร่างอวตารทำให้องค์ชายแห่งฮิตไทต์รู้สึกใจวูบไหว เชื่อได้จริงๆสินะ... ที่เจ้าเองไม่ได้หวังเข้าข้างฝ่ายใด หวังที่จะเป็นพันธมิตรโดยแท้จริง... 
 
ข้าจะลองเชื่อเจ้าจากหัวใจดูดีหรือไม่.....ร่างอวตารแห่งรา.... 
 
"เอเลนเจ้าคิดอย่างไรกับการเป็นร่างอวตารแห่งรา?" องค์ชายแจนมองหน้าเด็กหนุ่มด้วยสายตาจริงจังกับคำถาม 
เด็กหนุ่มร่างอวตารมองหน้าผู้ถามพลางเกาแก้มตนเองอย่างใช้ความคิด นั่นสิ...เขาคิดอย่างไรกับการเป็นร่างอวตาร ตั้งแต่ได้รับตำแหน่งนี้ เขาไม่เคยคิดถึงมันอย่างจริงจังเสียเท่าไร แต่เดิมก็เป็นตำแหน่งที่โดนยัดเยียด อีกทั้งยังจับพลัดจับพลูจนตอนนี้คงถอนตัวไม่ได้แล้วเช่นกัน 
"ฉันเอง....ก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่ฉันคิดว่าถ้าทำประโยชน์และช่วยเหลือคนเหล่านี้ได้มันก็ไม่เลว สำหรับฉัน ถึงไม่ได้เป็นร่างอวตารแต่ถ้าความสามารถที่มีสามารถจะช่วยเหลือใครได้ ก็คงทำอย่างไม่ลังเล 
ต่อให้ไม่ได้หลงมาในยุคล้าหลังแบบนี้ก็เช่นกัน ตัวเขาที่มักต้องเดินทางร่อนเร่ไปตามที่ต่างๆด้วยเรื่องงานวิจัยของพ่อและเห็นผู้คนมามาก ทั้งคนที่ขาดแคลนจวบจนผู้รากมากดีทั้งหลาย อีกทั้งพ่อของเขา คริชา เยเกอร์ ทั้งที่เป็น ดร. ที่มีชื่อเสียง และรายได้มากมาย แต่พ่อของเขามักนำเงินเหล่านั้นไปบริจาค และมักเข้าค่ายอาสาเพื่อช่วยเหลือคนอื่น ทำให้เขาได้ซึมซับสิ่งเหล่านี้มาก  
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บิดาเขาบอกเขาเสมอ ต่อให้มีเงินมากมายเพียงใดก็ซื้อรอยยิ้มที่จริงใจจากผู้คนไม่ได้ แต่การกระทำต่างหากที่ทำให้ผู้คนสามารถรับรู้ และความสุขที่แท้จริงไม่ใช่สิ่งที่เงินหรืออำนาจหามาได้เช่นกัน 
"อย่างนั้นรึ...เจ้าช่างประหลาดนัก 
ทั้งที่มีอำนาจมากมายกอบกุมอยู่ในมือ อีกทั้งตำแหน่งอวตารแห่งราที่ฟาโรห์ผู้นั้นมอบให้ราวกับดาบสองคมที่สามารถหันมาแทงตัวเองได้ทุกเมื่อ ฟาโรห์รีไวผู้นั่นเป็นบุรุษที่ทนง องอาจ และมั่นใจไม่เลว มั่นใจถึงขนาดแต่งตั้งผู้หนึ่งเป็นร่างอวตารแห่งรา ที่สามารถมีนัยยะกุมอำนาจของตนเองได้ ตอนนั้นฟาโรห์คงมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าคงสามารถควบคุมเด็กหนุ่มผู้นี้ได้ หรือไม่ก็คงไม่อาจคาดคิดว่าเด็กหนุ่มร่างอวตารจะสามารถมีอิทธิพลควบคุมตนได้ในภายภาคหน้า... 
 
...ฟาโรห์รีไว รามเมส ท่านอาจทำผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยคาดเดา.... 
 
"เจ้าคิดอย่างไรกับฮิตไทต์ และคิตชูวัตนาที่เจ้าได้ไปเยี่ยมเยียน?" แจนยังคงถามต่อด้วยความอยากรู้ 
 
"ฉันเกลียดระบบการแพทย์และสุขอนามัยของพวกนายมาก ตอนนี้เริ่มปรับปรุงดีขึ้นแล้วนายต้องขอบใจฉันรู้ไหมองค์ชาย"  
ใบหน้ามนที่มองเขาด้วยสายตาละเหี่ยใจกับแก้มกลมนั่นทำให้แจนหลุดหัวเราะขำ แต่ที่ว่ามาทั้งหมดก็ถูก ถ้าไม่ได้ร่างอวตารชี้แนะ เขาคงไม่เข้าใจถึงเรื่องระบบสุขอนมัยที่ว่า แล้วไหนจะช่วยสร้างรางน้ำและรอกน้ำในการขนเข้าเมืองอย่างง่ายดาย นับว่าเป็นการช่วยเหลือที่มากมายเกินกว่าที่เขาความหวังนัก จากคราแรกที่เขาหวังจะใช้ประโยชน์จากเด็กหนุ่มร่างอวตารในการต่อกรกับอียิปต์ แต่กลายเป็นว่าเป็นตัวเขาที่โดนเด็กหนุ่มช่วยไว้มากมายอย่างไม่ต้องร้องขอ 
.แล้วแบบนี้ จะไม่ให้เขาหลงไหลได้อย่างไร..... 
 
"เรื่องนั้น ข้าขอบใจเจ้าจริงๆท่านเอเลน ถ้ามีโอกาสข้าหวังที่จะตอบแทนท่านแน่นอน ฮ่า ฮ่า" แจนยังคงหัวราะขำกับตัวเองที่โดนเด็กหนุ่มผู้นี้ยื่นมือช่วยเหลือจนเขารู้สึกตัวเองเป็นเด็กน้อยที่ได้รับการสั่งสอนมากมาย 
"อะไรของนาย นายเจ็บแผลจนประสาทกลับหรือไง?" เอเลนมองคนหัวเราะจนตัวโยนอย่างไม่เข้าใจ 
 
แจนมองหน้าเด็กหนุ่มก่อนจะปรับสีหน้าเป็นปกติจริงจัง เอเลนที่พองลมในแก้มจึงมองอีกคนด้วยความสงสัย เดี๋ยวก็หัวเราะเดี๋ยวก็ทำหน้าจริงจัง ดูเหมือนหมอนี่จะอาการหนักเข้าไปทุกทีี 
 
"เอเลน...ข้าคิดว่าอีกประมาณ 3 วันข้าจะกลับไปจัดการเรื่องที่คิตชูวัตนา ข้าอยากให้เจ้ากลับไปพร้อมข้าได้หรือไม่?" 
 
เด็กหนุ่มร่างอวตารรู้สึกใจหายเล็กน้อย ทั้งที่เขาเพิ่งได้กลับมาเจอพวกพ้อง รวมถึงองค์รามเมส แต่เขาจำเป็นที่ต้องแยกจากอีกครั้ง... ไม่สิ ในเมื่อมันเป็นหน้าที่ก็ช่วยไม่ได้... 
"แน่นอน ฉันต้องไปกับนายอยุ่แล้ว ในเมื่อตอนนี้ฉันเป็นคนเชื่อมสัมพันธไมตรีของทั้งสองดินแดนนี่นา" 
ใบหน้ามนฉีกยิ้มให้กับองค์ชาย แม้ใจจะรู้สึกเหงาเมื่อรู้ว่าอีกไม่นานต้องจากลาอีกครั้ง 
"จริงสิท่านเอเลน ข้าขอถามเจ้าอีกคำถามได้หรือไม่?" 
เอเลนพยักหน้าให้อนุญาติองค์ชายหนุ่มที่รอฟังคำตอบ 
 
"เจ้าคิดอย่างไรกับองค์รามเมส?" 
 
คำถามที่ราวกับฟ้าฝ่าลงกลางใจ เด็กหนุ่มรู้สึกระส่ำระส่ายจนต้องเอามือขึ้นมาเกาผมสีน้ำตาลของตนเอง ทั้งที่เป็นแค่คำถามว่าคิดอย่างไรกับเจ้าฟาโรห์เมียเยอะนั่นแท้ๆ ถ้าเป็นทุกครั้งเขาคงตอบได้อย่างหน้าตาเฉย ว่าเป็นเจ้าฟาโรห์มักมากชอบลวนลาม แต่ตอนนี้ตัวเขากลับรู็สึกมากกว่านั้น จนไม่รู้จะหาคำไหนมาอธิบาย 
"เอ.. เออ หมอนั่นเป็นคนดี จริงจัง....เอาแต่ใจแต่ก็ยอมรับฟัง" เด็กหนุ่มพยายามร่ายข้อดีขอองค์รามเมสออกมา  
ให้ตายสิ ถ้าพูดแต่ข้อเสียมันอาจเป็นการไม่รักษาหน้าการเป็นร่างอวตารแห่งราเกินไป เราก็ควรยกข้อดีของหมอนั่นออกมาสิ!! เอเลนประท้วงในใจแม้จะเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะก็ตาม 
"เสียตรงเมียเยอะนี่แหละ" เด็กหนุ่มพึมพำกับตัวเองเบาพลางนึกหมั่นไส้ใบหน้าคมคายขององค์ฟาโรห์และบรรดานางสนมมากมายที่เขาเคยพบเจอ 
 
"เจ้ารักองค์รามเมสงั้นหรือ?" 
คำถามต่อมาทำให้เอเลนถึงกับผงะ ใบหน้ามนร้อนผ่าวพลางส่ายหน้าเป็นพัลวัน 
"ไม่ๆๆๆๆ เรื่องนั้นไม่มีทาง...." เด็กหนุ่มถอนหายใจก่อนจะค่อยๆเอ่ย 
"….ฉันคิดว่า....มันอาจจะยังห่างไกลกับคำคำนั้น.....ละมั่ง...." 
เรื่องแบบนี้เขายังไม่เคยมีประสบการณ์ ความรักหนึ่งเดียวที่เขาเคยเห็นและชื่นชมก็คือพ่อของเขาที่มีต่อมารดาผู้จากไป สำหรับเขาแล้วนั่นช่างดูบริสุทธิ์และล่ำค่านัก แต่สำหรับองค์รามเมสที่มีสนมมากมาย การตีความเรื่องความรักของเขาและคนคนนั้นอาจแตกต่างกัน ถึงกระนั่นเขาจึงไม่เข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้วเขาคิดเช่นไรกับองค์รามเมสกันแน่? 
ทั้งที่รู้สึกน่ารำคาญแต่ก็มักคอยมองหา ทั้งที่รู้สึกว่าช่างเอาแต่ใจและบ้าอำนาจ แต่กลับยอมผ่อนผัน ทั้งที่ดูขี้เก็กกลับมีมุมหลุดๆให้หัวเราะ ทั้งๆที่มีมเหสีมากมาย แต่มีเวลาว่างมาขลุกกับเขาได้ทุกวัน และทั้งๆอย่างนั้นทำไมหลายครั้งตัวเขาถึงได้ยอมทำตามที่องค์ฟาโรห์เจ้าเล่ห์นั่นให้ทำอยู่เสมอ แม้จะไม่ชอบแต่ไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกดื่มด่ำ ที่ได้รับ แต่ถึงกระนั่น 
.....ฟาโรห์รีไว คือผู้ที่มอบความรัก...แต่ไม่อาจมอบรักตอบ.... 
 
คำพูดนี้ของสนมเอกเพทร่ายังคงกัดกรอนใจและวนเวียนในความคิดเขา เพราะฉะนั่นความรู้สึกนี้สำหรับเขาคงไม่ใช่ความรัก แต่อาจเป็นความเลื่อมใสที่บุรุษพึงมีให้กับมหาอำนาจอย่างองค์ฟาโรห์ก็ว่าได้ 
 
เมื่อย่ำค่ำมาถึงเอเลนจัดการชำระร่างกายก่อนจะเข้าไปยังห้องบรรทมขององค์รามเมสอย่างคุ้นชิน องค์ฟาโรห์ที่ยังคงง่วนอยุ๋กับงานมักจะเข้าห้องบรรทมเมื่อดึกสงัด หลายครั้งเขาจึงมักหลับไปก่อนที่จะตื่นมาตอนเช้าและพบว่าฟาโรห์รีไว รามเมสสวมกอดตนเองอยู่ทุกคืน 
...รู้สึกอย่างไรกับบุรุษผู้นั้นงั้นเหรอ....?.... 
ช่างน่าแปลกทั้งที่เป็นคำถามที่ไม่ใคร่จะต้องใส่ใจนัก แต่กลับยังวนเวียนอยู่ในหัวของเขา เด็กหนุ่มลูบนิ้วกลางข้างซ็ายที่สวมแหวนต้นกกซ฿่งได้มาจากองค์ปาโรห์หนุ่ม การกระทำหลายครั้งหลายคราของฟาโรห์รีไวทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกปิติ ถึงกระนั่นก็รู้สึกกังขาในใจ 
เอเลนยื่นมือมองแหวนต้นกกกระทบกับแสงจันทร์ยามค่ำคืน แสงสีเงินกระทบกับแหวนที่ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนเป็นสำน้ำตาลเริ่มมีร่องรอยฉีกกรอบจากการใช้งาน นัยน์ตาสีอร่ามตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นมือใหญ่ที่มีแหวนต้นกกเช่นกันทาบทับลงมาพลางอ้อมแขนที่โอบกระชับเอวของตนให้เข้าหากับร่างกายกำยำเบื้องหลัง 
"ไว้กลับไปธีบส์เมื่อไร ข้าจะเปลี่ยนแหวนนี้เป็นทองคำให้เจ้านะเอเลน" จากสภาพการณ์แหวนต้นกกที่เขาทักทอเริ่มแห้งกรอบและมีรอยฉีกขาดจากการใช้งาน เพียงไม่นานคงจะชำรุขาดเป็นแน่ 
เด็กหนุ่มเอี้ยวตัวมองใบหน้าคมคายขององค์รามเมสที่อยู่แนบชิิด ค่อยๆปลดอ้อมแขนขององค์ฟาโรห์ก่อนหันมาม้องใบหน้ารีไวรามเมส 
"อีกไม่นาน ผมต้องกลับคิตชูวัตนาเพื่อสานต่อภารกิจให้เสร็จสิ้น"  
รีไวรามเมสพยักหน้ารับเข้าใจ มือแกร่งลูบไล้ใบหน้าของเด็กหนุ่มแผ่วเบาใบหน้าหวานที่ต้องแสงจันทร์ชวนให้น่ามองยิ่งนัก 
"นี่... ท่านรีไว ท่านไม่คิดหามเหสีไว้ข้างกายบ้างเหรอ?" 
คำถามของเด็กหนุ่มทำให้มือที่ลูบไล้ไปมาหยุดชะงัก นัยน์ตาสีหมอกมองหน้าเด็กหนุ่มพลางขมวดคิ้วมุ่น 
"มเหสีไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับข้า เหตุใดเจ้าถึงกล่าวเรื่องนี้ขึ้นมากันเอเลน?" 
ถ้าท่านมีมเหสีที่รักยิ่ง บางทีความรู้สึกปั่นป่วนและข้อกังขาในใจของผมจะได้หมดไป... 
"ผมแค่ถามเท่านั้น ถ้าท่านมีมเหสีประชาชนของท่านคงปิติ" 
"เรื่องนั้นคงยากที่จะทำ" องค์รามเมสพยายามสูดหายใจลึกระงับโทสะที่เริ่มบังเกิด 
"มีสิ่งที่ฟาโรห์ทำไม่ได้ด้วยงั้นเหรอ? ทั้งที่ท่านเป็นฟาโรห์ผู้ยิ่งยงถึงเพียงนี้" เอเลนเอียงคอถามอย่างแปลกใจ โดยไม่รู้เลยว่าได้ไปกระตุกต่อมคนที่กำลังพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองขนาดไหน 
"นี่เจ้ากำลังยั่วโทสะข้า หรือเพราะไม่รู้จริงกันแน่?" มือที่ลูบไล้ใบหน้าของเด็กหนุ่มเลื่นต่ำลงมาที่ลำคอก่อนจะล็อคลำคอของเด็กหนุ่มไว้ 
ความรู้สึกที่มีมากยิ่งส่งผลให้เกิดอารมณ์อ่อนไหวได้ง่าย ทั้งปลื้มปิติ ใฝ่หา หวงแหน จวบจนกระทั่งชิงชัง ให้ตายสิ ร่างอวตารแห่งราทำให้เขารู้จึกความรู้สึกมากมายที่ยากจะจัดการยิ่งนัก 
เอเลนมองใบหน้าคมที่ตอนนี้ส่งสายตาดุมาให้เขาก่อนจะพยายามคลายมือของฟาโรห์ที่ล็อคคอเขาไว้ แต่ไม่เป็นผล ก่อนที่จะได้เอ่ยสิ่งใดร่างของเด็กหนุ่มก็ถูกรวบขึ้นพาดบ่าก่อนจะถูกโยนลงบนเตียงรองรับขนาดใหญ่ ไม่ทันที่จะได้ตีความสถานการณ์ร่างของฟาโรห์รีไวรามเมสขึ้นคร่อมร่างของเด็กหนุ่ม  
สองแขนถูกพนธนาการ สองขาถูกกดทับ หากเป็นเช่นทุกครั้งเขาก็คงนอนนิ่งเฉยให้องค์รามเมสแกล้งจนพอพระทัย แต่วันนี้สีหน้าที่ดุดันและแววตาที่จริงจังของฟาโรห์รีไวทำให้เขารู้สึกเย็นสันหลังวาบ ร่างที่ถูกพันธนาการจึงดิ้นรนด้วยสัญชาตญานการเอาตัวรอด แต่แรงที่มีไม่อาจทำให้บุรุษที่คร่อมกายเขาสะทกสะท้าน 
"ท่าน...คง...ไม่.." ใบหน้าหม่นฉายแววความประหม่า ร่างที่พยายามดิ้นรนเริ่มหยุดชะงัก ก่อนจะจ้องมองใบหน้าดุดันนั้นตรงๆ 
"เจ้าถามไม่ใช่รึว่ามีสิ่งที่ไม่เป็นไปตามประสงค์ของข้าหรือไม่?.." 
เด็กหนุ่มเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง เช่นเดียวกับน้ำเสียงขององค์ฟาโรห์ที่กดต่ำลง 
 
"เจ้าอย่างไรเล่าเอเลน ที่ไม่เคยเป็นไปตามประสงค์ของข้า" 
 
แคว๊ก!! 
 
ผ้าฝ้ายที่ห่อหุ้มร่างเด็กหนุ่มถูกฉีกกระชาก เอเลนเริ่มดิ้นรนอีกครั้งอย่างสุดแรง แต่ร่างแข็งแกร่งของฟาโรห์หนุ่มไม่สะทกสะท้านต่อแรงของร่างอวตารแม้แต่น้อย 
ด้วยโทสะอีกทั้งเรื่องของเจ้าชายแห่งฮิตไทต์ที่ทำให้ทรงว้าวุ่นใจเป็นทุนเดิม ทำให้องค์รามเมสขาดการยับยั้งชั่งใจในที่สุด เสียงฉีกกระชากอาภรณ์ของเด็กหนุ่มดังต่อเนื่อง ขาเพีรยวพยายามถีบกระแทกร่างของฟาโรห์หนุ่ม แต่ถูกขาแข็งแกร่งและผู้ที่ชำนาญการต่อสู้อย่างองค์รีไวรามเมสกดทับหยุดการเคลื่อนไหวจมกับเตียง 
 
"ท่านจะบ้าเหรอ ไอตาแก่บ้านี่ หยุดนะเฮ้ย!!" 
เอเลนส่งเสียงห้ามปราม แต่องค์รามเมสหาได้สนใจไม่ สองขาเพรียวถูกจับแยกและนั่นยิ่งทำให้เด็กหนุ่มร้องเสียงหลง 
 
"มีใครอยู่บ้าง ไอฟาโรห์บ้านี่มันบ้าไปแล้ว อย่านะไอบ้านี่!!" 
 
"เอเลนเจ้าน่าจะรู้ ทุกอย่างที่นี้ย่อมเป็นไปตามประสงค์ของข้า ถ้าไม่มีคำสั่งไม่ว่ามันผู้ใดก็ไม่อาจเข้ามาที่ห้องนี้ ต่อให้เป็นเบเซท หรือมิคาสะก็ตามที" 
 
"นี่ท่านจะบ้าเหรอ ถ้าทำแบบนี้ผมจะเกลียดท่าน จะให้ฮิตไทต์มาตีอียิปตืให้ราบเลย จะเกลียดท่านจริงๆด้วย!!" 
"จะเกลียดท่าน จะไม่มาพบท่านอีกด้วย จะเกลียดจนไม่อยากมองหน้าจริงๆด้วย" 
 
ใบหน้าคมคายยกยิ้มมุมปาก...รอยยิ้มที่ยากจะคาดเดา 
 
"มีแต่เจ้านี้แหละที่ไม่เคยเป็นไปตามประสงค์ข้า" 
 
รีไวยกขาที่ทาบทับขาเด็กหนุ่มออก มือที่รวบร่างบางไว้ฉุดเด็กหนุ่มให้ขึ้นนั่งก่อนให้ทาบทับอกแกร่งของตัวเองพลางปาดน้ำตาที่คลอนัยน์ตาสีอร่าม 
"เอเลนเอ่ย ถ้าข้าคิดจะครอบครองเจ้านั่นมันง่ายดายอย่างที่เจ้ารู้สึกเมื่อสักครู่" มือหยาบลูบลงบนผมสีน้ำตาลของเด็กหนุ่มที่นั่งนิ่งอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูกบนตักเขา 
"แต่ข้าไม่คิดหักหาญใจเจ้าเด็กน้อย เจ้ารู้หรือไม่เพราะเหตุใด?" 
เอเลนมองสบใบหน้าของอีกฝ่ายที่ยามนี้ปรับเปลี่ยนเป็นปกติแล้ว แต่เด็กหนุ่มที่ยังน้ำตาคลอพองลมในแก้มอย่างงอนๆ 
"เพราะท่านกลัวผมช่วยฮิตไทต์มาตีธีปส์ไง" คำพูดประชดประชันของเด็กหนุ่มทำให้องค์ฟาโรห์ได้แต่ลูบผมสีน้ำตาลและแก้มของเด็กหนุ่มที่พองลมในแก้มมองหน้าเขาอย่างหาเรื่อง 
"ตกลงท่านหายบ้าแล้วใช่ไหม?" เอเลนมองหน้าฟาโรห์หนุ่มด้วยความระแวง เมื่อเห็นว่านัยน์ตาสีหมอกนั่นกลับเป็นปกติเขาจึงเริ่มหายใจทั่วท้องได้บ้าง 
รีไวรามเมสมองสบตาเด็กหนุ่มก่อนจะสัมผัสแผ่วเบาที่ริมฝีปากช่างเจรจานั่น 
 
"ถ้าท่านหายบ้าแล้วปล่อยผมก่อน ผมจะไปใส่เสื้อ" ชุดที่โดนฉีกกระชากจนไม่เหลือทำให้ตอนนี้เด็กหนุ่มอยู่ในสภาพเปลือบเปล่า 
"ไม่ต้องห่วงข้าจะช่วยโอบกอให้เจ้าแทนอาภรณ์เหล่านั้น" ไม่ว่าเปล่ารีไวรามเมสจัดการผลิกตัวเด็กหนุ่มลงบนเตียงก่อนจะรวบไว้ในอ้อมกอดของตน 
"นี่มันลวนลามกันชัดๆ ปล่อยนะเฮ้ยไอตาลุงหื่นกาม" เอเลนดิ้นขลุกๆในอ้อมกอดของฟาโรห์หนุ่มพลางทุบลงบนอกของคนเอาแต่ใจ 
"ถือว่าเป็นการลงโทษที่เจ้าทำให้ข้ามีโทสะ" 
เดี๋ยวครับคุณพี่่ แล้วแบบนี้ผมขอคาดโทษที่ทำผมหัวใจแทบหยุดเต้น นึกว่าต้องเปิดโลกประสบการณ์แปลกใหม่ยิ่งกว่าดูสารคดีเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก เมื่อสักครู่ล่ะ!! แบบนี้มันเอาเปรียบกันชัดๆ 
เมื่อเห็นว่าฟาโรห์หนุ่มไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อยตัวเขาโดยง่ายเด็กหนุ่มจึงได้แต่ถอนหายใจยอมรับชะตากรรมที่ต้องนอนในสภาพเปลือบเปล่ากับบุรุษที่เขาตั้งชื่อให้ว่า ฟาโรห์รีไว คนกาม 
 
 
 
 
การเสด็จกลับสู่คิตชูวัตนาขององค์ชายแจนนั้นเป็นไปอย่างเรียบง่ายและเป็นความลับ เนื่องจากเจ้าตัวอ้างเหตุผลถึงเรื่องการลอบปลงพระชนม์คราวก่อน การเข้าไปโดยไม่บอกกล่าวจะทำให้ศัตรูไม่ทันไหวตัว ซึ่งองค์รามเมสเองนั้นก็ทรงเห็นชอบ การรับส่งองค์ชายแจนจึงมีเพียง รีไวรามเมส และเบเซทเท่านั้น 
มาร์โกเก็บรวบรวมพืชผลที่เบเซทนำมามอบให้เพื่อแทนมิตรภาพที่เจอกัน แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆแต่มาร์โกและรัชทยาทแห่งไนล์ได้แลกเปลี่ยนความรู้อยุ่บ่อยครั้ง ทำให้ทั้งสองสนิทสนมกันขึ้นมา 
"ผมต้องรีบกลับไปทำหน้าที่ต่อ ท่านก็รักษาพระวรกายด้วย" เด็กหนุ่มกล่าวอำลาองค์รามเมส 
"ข้าให้มิคาสะและแอนนี่ติดตามเจ้าเช่นเดิม ถึงแม้องค์ชายแจนจะเห็นผู้ติดตามทั้งสองแล้ว แต่ข้ายังคงให้เขาอยู่ในเงา" เมื่ออยู่ในเงาผู้ที่เข้ามารอบกายจะไม่ทันระวังตัวว่ามีองครักษ์ที่มองไม่เห็น 
"ข้าเห็นควรเช่นกัน องครักษ์ทั้งสองของท่านเป็นผู้มีพระคุณของข้า สุดแล้วแต่ท่านจะประสงค์" เจ้าชายแจนยอมรับการตัดสินการมีตัวตนของอาคันตุกะผู้ไม่ไ้รับเชิญทั้งสอง ถึงอย่างไรทั้งสองนั้นก็เป็นผู้ที่เคยช่วยชีวิตเขากลางโอเอซิส 
รีไวรามเมสมองใบหน้าหยิ่งทนงของเจ้าชายหนุ่มที่บัดนี้ดูเหมือนจะยอมรับในตัวเขาขึ้นบ้าง นอกเหนือจากเริื่องที่เจ้าชายผู้นี้ชอบมายุ่มย่ามกับร่างอวตารแล้ว ตัวเขาก็ไม่ได้เกลียดชายผู้นี้เท่าใดนัก 
"องค์ชาย ท่านรู้อยู่แล้วใช่หรือไม่ถึงบุคคลที่หวังปองร้ายในครานี้" จากสายตาและท่าทางที่เห็นหลายวัน ท่าทางที่ดูสับสนและกลัดกลุ้มที่มีมากกว่าความเคียดแค้นชิงชังทำให้เขามั่นใจเรื่องนี้ 
"องค์รามเมสอย่าทรงกังวล ข้าจะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีก" แจนมีท่าทางลำบากใจอย่างไม่ปิดบัง 
เมื่อหัวเย็นลงและลองปะติดปะต่อเรื่องราว ทำให้เขาแน่ใจถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ถึงกระนั่นก็ยังอยากเชื่อว่าเขาอาจกำลังเข้าใจผิดก็เป็นได้ 
มาร์โกทุบกำปั้นลงบนไหล่ของเจ้าชายหนุ่มเบาๆ แจนมองหน้าองครักษ์คนสนิทก่อนจะปรับสีหน้ากลับมาเป็นเจ้าชายจอมยียวนโอ้อวดเช่นเดิม 
"ท่านเอเลนขอให้ทุกอย่างจบลงอย่างราบรื่น" เบเซทน้อมกายถวายคำนับร่างอวตารพลางอวยชัยให้กับเหล่าผู้ที่จากไป 
ฟาโรห์รีไวและเบเซทต่างมองจนร่างทั้งสามเดินลับไปจนสุดสายตา รีไวรามเมสมองหน้าบุตรชายพลางแตะลงบนไหล่ 
"เอเลนกลับมาครานี้ช่วยอธิบายเรื่องสถานพยาบาลไว้มากมายนัก ดูเหมือนเรามีงานเพิ่มขึ้นอีกแล้วนะเบเซท" 
"น้อมรับสั่งพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ" องค์ชายหนุ่มยิ้มร่าก่อนจะจัดการชูกระดาษที่เขาเขียนเรื่องเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลมากมายจากเอเลนไว้ให้ผู้เป็นบิดา 
ต่างฝ่ายต่างมีภาระหน้าที่ของตน ตนนี้แค่กลับไปทำหน้าที่ที่ได้รับให้ลุล่วงเพื่อที่จะได้พบเจออีกครั้งด้วยความปลื้มปิติ 
 
 
การกลับมาโดยไม่แจ้งข่าวล่วงหน้าขององค์ชายแจนทำให้คิตชูวัตนาอลม่านดังคาด เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ต่างรีบกุลีกุจรเข้ามาถามไถ่พระวรกายขององค์ชายหนุ่ม รวมถึงเหล่าแพทย์หลวงที่ต่างรีบมาเข้าเฝ้าเพื่อถวายการรักษา อีกทั้งเอลามผู้เป็นอนุชาต่างตื่นตระหนกกับการเสด็จกลับมาขององค์ชายรัชทยาทอันดับกนึ่งแห่งฮิตไทต์ 
"ท่านพี่ เหตุใดท่านไม่แจ้งข่าวว่าท่านจะเสด็จกลับวันนี้ ข้าจึงยังมิได้เตรียมการสิ่งใด" 
"ข้าไม่ต้องการงานเลี้ยงต้อนรับที่เอิกเริก ถ้าอย่างไรข้าขอพักผ่อนสงบๆสักสองถึงสามวัน หลังจากนั้นข้าจะว่าราชการตามปกติ" 
องค์ชายหนุ่มเดินเข้าไปยังห้องบรรทมโดยไม่สนที่จะเสวนากับผู้ใดอีก เช่นเดียวกับเด็กหนุ่มร่างอวตารที่เดินตามและผันตัวเข้าไปในห้องส่วนตัวที่อยู่ไม่ห่างกันกับห้องบรรทมของรัชทยาทแห่งฮิตไทต์ 
เอลามมองพระเชษฐาและร่างอวตารหนุ่มกลับเข้าห้องไป นัยน์ตาสีเปลือกไม้มองไปยังทิศทางของห้องเด็กหนุ่มร่างอวตารอย่างไม่สบอารมณ์... 
 
.......การปรากฏตัวของร่างอวตารแห่งรา ช่างน่าชิงชัง........ 
 
 
หลังจากกลับเข้ามายังห้องส่วนตัวในที่สุดเอเลนก็ได้มีเวลาของตัวเองจริงจังเสียที อีกทั้งเจ้าชายแจนดูเหมือนต้องการพักผ่อนเฉยๆอีกสองถึงสามวัน แบบนี้เขาก็จะมีเวลาในการเขียนผังเมืองคิตชูวัตนาที่ทำค้างไว้ อีกทั้งจะได้เริ่มกาพื้นที่ทำเกษตรทดลองด้วย นัยน์ตาสีอร่ามจัดการรื้อเครื่องใช้ที่จำเป็นออกมา ก่อนกระเป๋าเป้ที่หิ้วมาจากโลกของตนเองจะหล่นลงมาใส่หัวสีน้ำตาล จนเจ้าตัวต้องลูบหัวป้อยๆ 
เหล่าหนังสือและของต่างๆที่เขาพกไว้ยามฉุกเฉินต่างกระจายออกจากกระเป๋า เด็กหนุ่มมองของแต่ละอย่างพลางไปสะดุดกับสมุดจดตารางบันทึกที่เขามักจดตารางประจำวัน 
เอเลนหยิบสมุดบันทึกเวลาของตนเองมาดู นัยน์ตาสีอร่ามมองอย่างตกตะลึงพร้อมปากที่อ้าพะงาบๆ นี่เขาลืมไปเลย ว่านอกจากเป็นร่างอวตารแห่งราแล้ว เขายังเป็น นายเอเลน เยเกอร์ นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมดาอีกด้วย แล้วไอสมุดบันทึกนี่ก็คือตารายวิชายาวเหยียดที่อัดแน่นอยู่ยังไงล่ะ 
ชิบหายแล้วเอเลน!!  
 
เดี๋ยวก่อนนะจำได้ว่าครั้งที่แล้วเขาคำนวนเรื่องเวลาของโลกนี้กับปัจจุบันไว้แล้ว ดูเหมือน 1 อาทิตย์ของโลกของเขาจะประมาน 1 เดือนของโลกฝั่งนี้ 
ตอนนี้เขามาอยู่ที่นี้ได้ประมาน 6เดือนเดือบ 7 เดือน ก็เท่ากับว่าเวลาโลกของเขาตอนนี้ผ่านไปเดือนครึ่ง ไหนดูสิมีวิชาไหนที่ต้องจัดการ 
เมื่อเปิดตารางเวลายิ่งทำให้เด็กหนุ่มหน้ามืดลมแทบจับ นี่เขาลืมไปเลยถ้าผ่านมาขนาดนี้ก็ใกล้จะสอบกลางภาคแล้วไม่ใช่เรอะ!! แล้วไหนจะรายงาน และควิซวิชากฏหมายอารยธรรมโบราญ ของดร.จอมโหดในคณะเขาอีกนั้น  
ตายๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ 
นายเอเลน เยเกอร์ ผลการศึกษาและเกรดที่สวยหรูมาตลอดจะมาจบชีวิตลง ติดตัวแดง ติดซ๋อม หรือร้ายสุดต้องดรอมปบบนี้ไม่ได้นะเว่ย แถมถ้าเกิดเหตุแบบนั้นมีหวังพ่อเขาให้เขาเลิกเรียนแล้วลากตัวไปช่วยทำวิจัยจริงจังแน่ๆ ไม่นะชีวิตวัยรุ่นในรั้วมหาลัยจะให้จบและมืดมนแบบนี้ไม่ได้!! 
เอเลนกำกุญแจสีทองอร่ามในมือก่อนจะจัดการเขียนโน็ตสั้นๆทิ้งไว้ให้องค์รามเมสก่อนจะผิวปากเรียกเอลเซ่นำสาสน์ไปให้ฟาโรห์หนุ่ม 
เอเลนมองซ้ายมองขวาก่อนจะกระซิบเสียงเบา 
"มิคาสะ มิคาสะ" 
เพียงไม่นานร่างที่ซ่อนอยุ่ในเงาก็ปรากฏกาย  
"มีอะไรให้รับใช้ท่านเอเลน ตอนนี้ข้าให้แอนนี่ไปตรวจตรารอบๆ อีกสักพักจะรีบกลับมารายงานท่าน" 
เอเลนคว้ามือมิคาสะก่อนจะกำกุญแจทองคำไว้แน่น 
"ต้องรีบแล้วไม่งั้นฉันกับนายตายโหงแบบศพไม่ต้องเผาแน่ๆ" 
"มีเหตุอันใดหรือท่านเอเลน ใครประทุษร้ายท่านข้าจะรีบฆ่ามันทันที" มิคาสะแสดงสีหน้เกรี้ยวกราดเตรียมฟาดฟัน 
"ไม้ใช่ วิชาของ ดร.ฟาลัน ถ้าฉันกับนายกลับไปไม่ทันสอบคราวนี้ล่ะเราสองคนศพไม่สวยแน่ๆ" 
ก่อนที่เอเลนจะได้อธิบานสิ่งใดเพิ่มเติม เด็กหนุ่มร่างอวตารไขกุญแจทองคำกับรูกุญแจบนกระเป๋าเป้ของตน ที่เขาเลือกกระเป๋าเป้ที่มีกุญแจเพื่อความสะดวกสบายในการกลับไปยังโลกของเขาแบบนี้นี่แหละ 
แสงสีทองเจิดจ้าห่อหุ้มร่างเด็กหนุ่มทั้งสองก่อนจะหายไป 
 
ตุ๊บ!! 
 
เอเลนก้นกระแทกกับพื้นห้องอย่างแรง ก่อนร่างระหงของเด็กสาวจะร่วงลงมาทับเขาดังพลั่ก เมื่อได้สติเด็กหนุ่มรีบหาเสื้อผ้าให้กับมิคาสะที่บัดนี้กลับกายเป็นผู้หญิงเฉกเช่นเดิมมาสวมใส่ เพราะตอนเป็นชายหนุ่มมิคาสะชอบใส่เสื้อที่ไหน และเขาก็ลืมไปเลยว่าที่จริงแล้วโลกนี้มิคาสะเป็นผู้หญิง ก็นอกจากเรื่องสรีระแล้ว นิสับก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย 
 
"่ท.... ทั้งสอง....กลับมาแล้วเหรอ..ฮะ" เสียงทักทายยานคานราววิญญานจะหลุดทำให้เอเลนและมิคาสะหันไปมอง 
อาร์มินที่อยู่ในสภาพวิญญานใกล้หลุดจากร่างทักทายทั้งสองท่ามกลางกองหนังสือและรายงานกองใหญ่ที่ตั้งสูงจนมิดหั 
"อาร์มินนายเป็นยังไงบ้างทำใจดีๆไว้ะเพื่อน" 
อาร์มินพยายามค่อยๆลืมเปลือกตาที่หนักอึ้งของตัวเองก่อนจะพยายามอธิบาย 
"ร... ระหว่างที่..สอง คนไม่อยู่ ผ... ผม ทำควิซ รายงาน และป.... ปลอม ตัว...ไปเช็คชื่อ...ให้หมดแล้วนะ ค..รับ.....ไม่ได้นอนมาสองอาทิตย์.....ล...อล้ว... คร่อก!" 
"อาร์มิน นายอย่าตายนะ อย่าทิ้งพวกเราไป อาร์มินนน 
เอเลนเขย่าตัวเพื่อนสนิทที่เขาทิ้งให้เผชิญชะตากรรมอยู่คนเดียว แล้วสมกับเป็นเด็กอัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยาก รายงานเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบกว่าที่เขาทำถูกเรียงตามวิชาไว้เป็นตั้ง ทั้งที่ตรวจแล้วและรอส่งตรวจ ที่ตรวจแล้วเรียกได้ว่าคะแนนสวยหรูกว่าที่ตัวเขาทำเองเสียอีก 
น้ำตาซาบซึ้งในมิตรภาพลูกผู้ชายหลั่งไหล เช่นเดียวกับมิคาสะที่ตอนนี้เธอกลับมาอ่านภาษาเยอรมันได้อย่างคล่องแคล่วกำลังนั่งเปิดหนังสือกองใหญ๋ที่รายล้อมก่อนจะจัดการเขียนรายงานที่เหลือ 
"เอเลนเราต้องรีบแล้วรายงานพวกนี้ส่งพรุ่งนี้ อาร์มินทำให้เราไปครึ่งแล้วอีกครึ่งเราต้องรีบจัดการ นอกจากนั้นยังมีช็อตโนตและรายวิชาที่จะต้องสอบภายในสามอาทิตย์นี้ทั้งหมด" 
มิคาสะนั่งแทนที่อาร์มินที่เอเลนหิ้วไปไว้ที่เตียงก่อนจะลงมือพิมพ์รายงานไฟแล่บ เอเลนไม่รอช้ารีบจัดการเปิดแลปทอปอีกตัวแล้วจัดแจงเคลียรายงานและการบ้านทั้งหมดที่ค้างคาให้เสร็จสิ้น 
นับว่าโชคดีที่เขามีเพื่อนเป็นเด็กอัจฉริยะ แถมยังรักเพื่อนอย่าง อาร์มิน อัลเลตโต้ ที่ทำให้ทุกวิชาของเขาและมิคาสะที่ขาดไปรายงานส่งครบ แถมยังมีคะแนนควิซในชั่วโมง มิหนำซ้ำที่เขาคิดว่าต้องโดนดรอปเพราะขาดเรียนไปนานก็ไม่เป็นผล เพราะอาร์มินจัดการเช็คชื่อให้เขา จนทำให้ทั้งเขาและมิคาสะมีวันลาอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่โดนคาดโทษ 
หลังจากส่งรายงานกองใหญ่ ทั้งสามยังต้องเตรียมมือกับมหันตภัยที่เรียกว่าการสอบ 
 
แล้วใครเลยจะคิดว่ากับการสอบและส่งรายงานธรรมดาของเด็กมหาลัยสองคนจะนำมาซึ่งสงครามที่เป็นที่จารึกและโจษจัณฑ์ในประวัติศาสตร์ของอียิปต์และฮิตไทต์ เพราะสาสน์ที่อิลเซ๋นั้นไม่อาจส่งถึงองค์ฟาโรห์ด้วยฤดูผสมพันธุ์ แล้วเหยี่ยวสาวที่ไม่อาจต้านทานเหยี่ยวหนุ่มที่กลัดมันก็ได้ทำสาสน์แสนสำคัญหล่นหายก่อนจะไปจัดการสร้างรังรักตลอดทั้งเดือน 
 
 
 
 
 
 
 

7 ความคิดเห็น:

  1. อิลเซ่ ทำไมแกทำอย่างงี้กับเอเลนน้อยได้!!! งานนี้ท่านฟาโรห์ได้ไปตีเมืองแจนแหงมๆ ถ้าน้องมาไม่ทันจะทำไงอ่าาา ว้ากกกกกก!!!//บังไคเป็นก็อดซิลล่า

    ตอบลบ
  2. อ้าววว อิลเซ่ๆๆ หนูทำอะไรลงไปปปป 2 เมืองมีเรื่องกันแน่ๆๆๆ โอ้ววว คัมแบคเร้วๆนะเยเกอร์ๆๆ ท่านฟาโรห์จะไปตีเมืองแจนแล้ววววว

    ตอบลบ
  3. ขี้เกียจพิมเอาง่ายๆคือ...อยากอ่านใจจะขาดรีบมาต่อน่ะ#รออยู่(แต่เค้าจะเปิดเทอมแล้วT_T)

    ตอบลบ
  4. รออออออออออออออออ

    ตอบลบ
  5. รอออออออออออออออออออออออออออ

    ตอบลบ
  6. อีนกเลววววว ง่าาา หนีไปผสมพันธุ์เนี้ยนะ เป็นถึงนกของราเมสที่2 ทำงีได้งายยยย /อินจัด/ π^π

    ตอบลบ
  7. พัง... อิลเซ่ทำไมหนูทำแบบนี้ละรู้กเฮ้ยตลกร้ายแห่งประวัติศาสตร์สงครามเกิดจากการสอบ

    ตอบลบ