วันพุธที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2560

Attack On Titan Fic : ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์ special : Interview With The Pharroh

ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์ Special : Interview with the Pharroh
Rate: NC-17

Story by: AkeRah + Trendy Blood

Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*



มงกุฎทองคำแห่งฟาโรห์ส่องประกายระยับท่ามกลางแสงจ้าของดวงอาทิตย์ที่แผดเผา ในยามที่บ้านเมืองกำลังระส่ำระสาย ประชาชนขาดที่พึ่งเกิดการก่อกบฏทั่วทุกหย่อมหญ้า วีระกษัตริย์ผู้หาญกล้าที่ช่วยให้แผ่นดินไอยคุปต์สงบสุขร่มเย็นได้อีกคราก็คือมหาบุรุษผู้นี้ ฟาโรห์เซติที่หนึ่ง จอมกษัตริย์ผู้สืบเชื้อสายจากตระกูลนักรบ
ท่ามกลางการต้อนรับและสรรเสริญของประชาชนชาวอียิปต์ขบวนเสด็จอันยิ่งใหญ่ขององค์เซติที่หนึ่งเยือนเทียบมหาวิหารใหญ่ที่กำลังดำเนินการสร้างแห่งนี้......... วิหารแห่งอไบดอส พระองค์ทรงทอดพระเนตรเสาหินแกรนิตขนาดใหญ่ที่ถูกสลักบอกเล่าเรื่องราวในกาลรัชสมัยของพระองค์อย่างภาคภูมิ แผ่นหินขนาดใหญ่บอกเล่าชัยชนะที่พระองค์ทรงมีต่ออริราชอย่างห้าวหาญ แผ่นแล้วแผ่นเล่า ศึกแล้วศึกเล่าถูกจารจารึกลงไปอย่างงดงาม พระหัตถ์ใหญ่ลูบไล้แผ่นหินตรงหน้าพลางแย้มรอยพระสรวลน้อยๆ
“ชัยชนะของเราจะถูกเล่าขานตลอดไป” พระสุระเสียงทุ้มนิ่งตรัสเอ่ยอย่างพึงพระทัย
“เสด็จพ่อทรงเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นเทพนักรบผู้เกรียงไกร พระบารมีของพระองค์จะเป็นที่กล่าวขานไปอีกนานแสนนาน” เด็กหนุ่มใบหน้าคมเข้มที่ส่อเค้าแววหล่อเหลาตั้งแต่เยาว์วัยเอ่ยสำทับเรียกเสียงพระสรวลจากองค์ฟาโรห์เซติที่หนึ่งให้ดังก้องไปทั่วทั้งมหาวิหาร
“กล่าวได้ดี!!! กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่เช่นนั้นหรือ ลูกรักจงฟังเถิดวันหนึ่งข้างหน้านามของเจ้านั้นจะต้องถูกจารจารึกในประวัติศาสตร์อียิปต์ไปสุดชั่วลูกชั่วหลานเช่นเดียวกันกับข้าอย่างแน่นอน นั่นเพราะเจ้าเป็นโอรสของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่เช่นข้าอย่างไรเล่า......รีไว”
เด็กหนุ่มหน้าคมเงยหน้ามองบิดาด้วยความเคารพและเลื่อมใสสุดหัวใจ พระบิดาของตนนั้นเป็นกษัตริย์ที่ทั้งห้าวหาญเกรียงไกรและทรงธรรม เมื่อกาลเวลามาถึงเขาก็ได้แต่คาดหวังว่าตนนั้นจะดำเนินตามรอยพระบิดาให้ได้เยี่ยงนั้น...............หรือเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น
“มหาวิหารแห่งนี้ยังต้องใช้เวลาอีกยาวนานกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ ข้าแทบจะอดทนรอไม่ไหวจริงๆ”

และก็เป็นดังว่า องค์ฟาโรห์เซติที่หนึ่งไม่อาจทนรอชมจนวิหารแห่งอไบดอสเสร็จสมบูรณ์ได้จริงๆ เนื่องจากพระองค์ทรงครองราชสมบัติเพียงแค่สิบกว่าปีเพียงเท่านั้นก็เสด็จสวรรคต นับแต่นั้นเป็นต้นมาจึงเกิดการผลัดเปลี่ยนรัชสมัย เจ้าชายรัชทายาทที่องค์ฟาโรห์เซติที่หนึ่งได้แต่งตั้งไว้จึงขึ้นครองราชสมบัติแทนที่ด้วยพระนามว่า องค์ฟาโรห์ราเมสที่สอง ผู้ซึ่งได้รับการขนานนามว่ามหาราชผู้ยิ่งยงเพียงหนึ่งเดียวแห่งอียิปต์
กษัตริย์นักรบและนักปกครองผู้ไร้พ่าย ด้วยความที่ถือกำเนิดขึ้นในตระกูลแห่งนักรบจึงหล่อหลอมให้พระองค์กลายเป็นกษัตริย์ผู้เชี่ยวชาญการศึกและกระหายในชัยชนะ แม้จะมีส่วนสูงที่ต่ำกว่ามาตรฐานทั่วไป แต่ด้วยร่างกายที่ผ่านการฝึกฝนการต่อสู้แต่วัยเยาว์จึงชดเชยข้อเสียเปรียบทางด้านกายภาพนั้นไปกลับกลายเป็นว่าทรงเป็นผู้มากด้วยพละกำลัง และเปรื่องไปด้วยสติปัญญา รูปโฉมคมเข้มนั้นงดงามหล่อเหลายากจะหาชายใดเปรียบ
เล่าลือกันว่าเมื่อห้าชันษา พระองค์ทรงเชี่ยวชาญการธนู ปลิดชีพสังหารเสือดาวตัวเขื่องในดอกเดียว
เล่าลือกันว่าเมื่อสิบชันษา พระองค์ทรงออกติดตามพระบิดาเซติที่หนึ่งลงสู่สมรภูมิรบกรำศึกชิงชัยเหนือผืนแผ่นดินทะเลทราย
เล่าลือกันว่าเมื่อสิบสามชันษา พระองค์ทรงนำทัพทหารพันนายรับศึกเหนือชายแดนอียิปต์และฮิตไทต์อย่างห้าวหาญ
เล่าลือกันว่าเมื่อสิบแปดชันษา พระองค์ทรงกำชัยเหนือกบฏทางตอนใต้แห่งเมืองอัสวาน
เมื่อยี่สิบสามชันษา พระองค์เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็น ฟาโรห์ราเมสที่สองแห่งราชวงค์ที่สิบเก้าแห่งอียิปต์อย่างเป็นทางการ
ทุกที่ที่พระองค์ก้าวผ่าน แม้แต่ไฟที่ลุกโชติชัชวาลยังต้องยอมสยบ กลศึกการสู้รบแทบทั้งหมดส่วนหนึ่งพระองค์ได้รับการถ่ายทอดมาจากพระบิดาโดยตรง และอีกส่วนเกิดจากการตกผลึกประสบการณ์ที่สั่งสมท่ามกลางสมรภูมิรบตั้งแต่ยังเยาว์ด้วยพระองค์เอง

ผืนดินทุกแห่งเม็ดทรายทุกเม็ดล้วนต้องจดจำพระนาม ทุกสถานที่ที่พระองค์กรีฑาทัพผ่านจะมีชื่อของ รีไวราเมสที่สองจารจารึกไว้เหนือแผ่นหินเป็นหลักฐานแทบจะทั่วทั้งแผ่นดินอียิปต์และแดนข้าศึก เมื่อทัพใหญ่เคลื่อนพลเข้าเขตนูเบีย อาศัยกลศึกและความเชี่ยวชาญในการรบ บุกตะลุยประจัญบานสามทิวาราตรี เมื่อย่ำรุ่งเข้าเช้าวันที่สี่ก็ประกาศชัยชนะเหนือเขตแดนนูเบีย ผู้ปราชัยจำนนจนด้วยเกล้ายอมรับความพ่ายแพ้ส่งหญิงงามธิดาของเจ้าผู้ครองแคว้นมาสามนางเป็นบรรณาการมีชีวิต
องค์รีไวราเมสทอดพระเนตรมองดอกไม้งามทั้งสามเบื้องหน้าด้วยสายพระเนตรนิ่งเฉย แต่ไฉนเลยเมื่อสตรีทั้งสามประสบพบพักตร์กษัตริย์หนุ่มกลับตกหลุมรักฉับพลันเมื่อแรกเห็น บรรณาการมีชีวิตถูกส่งกลับธีบส์ในฐานะพระสนม ส่วนตัวพระองค์ยังคงเดินหน้ากรำศึกต่อไป ทัพใหญ่เคลื่อนพลเข้าสู่เขตแดนลิเบีย ตีศึกตะวันยังไม่ทันคล้อยลับขอบฟ้าไปเสียก็ยึดแผ่นดินมาไว้ในกำมือ  สลักนามประกาศศักดาจารึก เมื่อจบศึกก็ได้รับบรรณาการเป็นหญิงงามมาครอบครอง
องค์รีไวราเมสทอดพระเนตรมองหญิงงามเหล่านั้นด้วยสายพระเนตรนิ่งเฉยเช่นเคย ก่อนจะจัดแจงส่งบรรณาการมีชีวิตกลับธีบส์ในฐานะนางสนม ส่วนตัวพระองค์ยังคงเดินหน้ากรำศึกต่อไป ทัพใหญ่เคลื่อนพลเข้าสู่ดินแดนเอเชียตะวันออก ตีเมืองรอบนอกรุกคืบเข้าไปยังแคว้นใน เสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงพระปรีชาสามารถขจรขจายไปไกล เก็บกำชัยชนะไว้ได้ทุกทั่วแคว้น ยิ่งพระองค์กุมชัยชนะไว้ได้มากเท่าไหร่ บรรณาการมีชีวิตก็ถูกส่งมาประจบเอาใจมากขึ้นเท่านั้น หนักเข้าๆก็ยังไม่ทันได้ชักดาบเข้ารบศึกก็จบตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเมื่อข้าศึกส่งหญิงงามมายกธงขาวยอมจำนนเปิดประตูเมืองต้อนรับพระองค์แต่โดยดี
องค์รีไวราเมสทอดพระเนตรมองเหล่าหญิงงามด้วยสายพระเนตรที่มากกว่านิ่งเฉยแต่ติดจะว่างเปล่าไปเลยเสียด้วยซ้ำ ร่างใหญ่ถอนหายใจยาวหนึ่งเฮือกก่อนจะออกกระแสรับสั่งให้ส่งบรรณาการมีชีวิตเหล่านี้กลับธีบส์ไปในฐานะนางสนม
บ่อยครั้งที่พระองค์ทรงเกิดความคิดที่จะล้มเลิกการขยายอาณาเขตประกาศความเกรียงไกรของอียิปต์ขึ้นมาเสียดื้อๆ เพราะเป้าหมายของการสู้รบแท้จริงแล้วไม่ใช่เพราะบรรณาการมีชีวิตเหล่านั้น แต่พระองค์ทำไปเพื่อสนองความหิวกระหายในชัยชนะด้วยหมายมั่นว่าจะเป็นมหาราชผู้ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่กว่าใครๆแม้แต่พระบิดาของพระองค์เอง มนุษย์เราเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์เดิมๆซ้ำๆซากๆย่อมต้องเกิดความเหนื่อยหน่ายอย่างช่วยไม่ได้ แต่ความทะเยอทะยานที่สูงลิบยังขับให้พระองค์เดินหน้าต่อไปแม้ว่าจำนวนสมาชิกสนมในวังหลังจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามอัตราของชัยชนะก็ตามที
พระองค์สามารถปกครองราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุขสมบูรณ์พูลพร้อมอย่างถ้วนหน้าได้ ฝ่ายวังหลังเองก็เช่นกัน พระองค์สามารถปกครองสนมบรรณาการนางในทุกนางแม้จะไม่ได้รักใคร่แต่ก็ไม่เคยทิ้งขว้างทุกนางล้วนแต่ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากพระองค์เป็นอย่างดีในฐานะแม่ของลูก
แต่ในฐานะมหารานีนั้น พวกนางยังห่างไกลกับคำนี้อยู่อีกมาก ความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์และสนมเหล่านั้นล้วนเกิดจากเหตุทางการเมืองทั้งสิ้น ต่อให้พวกนางเกิดจิตผูกสัมพันธ์ในตัวพระองค์จริง แต่พระองค์ก็หาได้มีใจปฏิพัทธ์ต่อนางใดแม้แต่ผู้เดียวไม่ ตำแหน่งจักรพรรดินีจึงได้ถูกว่างเว้นมาเป็นเวลานานด้วยเหตุฉะนี้


“มีเรื่องอะไรให้หนักใจรึ” ฮันจ์เอ่ยถามคนข้างกายที่เอาแต่ตีหน้ายุ่งถอนหายใจเฮือกๆไม่พูดไม่จามาหลายเพลาด้วยคำถามเดิมๆนี้เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วตัวเองก็จำไม่ได้
“ถ้าคิดจะลากข้าออกมานั่งตากยุงถอนหายใจเป็นเพื่อนเจ้าอยู่ตรงนี้ ก็รีบไสพระเศียรกลับไปบรรทมเสียเถอะฝ่าบาท” ด้วยความที่สนิทกันมาก ในยามที่อยู่กันตามลำพังนั้นแทบจะไม่ต้องใช้ราชาศัพท์เสียด้วยซ้ำ แต่ในเพลาดึกสงัดที่กำลังง่วนงุนได้ที่ สติสัมปชัญญะแทบจะเหลือน้อยเต็มทีจึงหลุดถ้อยคำแปลกๆออกไป แต่คนฟังก็ดูจะไม่ได้ติดใจเอาความอะไรเสียเลย ยังเอาแต่ถอนหายใจเฮือกๆอยู่อย่างนั้น
“ข้าคิดว่า น่าจะถึงเวลาแล้วที่จะแต่งตั้งจักรพรรดินีเสียที” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขึ้นเบาๆอย่างทอดถอนใจ
“อ้าว!!! ดีสิ ดีเลย ข้าก็ว่าจะท้วงเจ้าหลายครั้งแล้วเหมือนกัน ปล่อยให้ว่างไว้นานๆแบบนั้นก็ไม่สมควรเท่าไหร่ ว่าแต่ตัดสินใจได้แล้วเหรอว่าจะเลือกสตรีนางใด ร้อยวันพันปีไม่เห็นเจ้าจะสนใจสักที”
“คนที่มองไว้ก็มี แต่ก็คงจะยาก ปัญหาก็ออกจะเยอะ เจ้าตัวเขาเองก็ไม่ได้สนใจข้าด้วยซ้ำ” ฟาโรห์หนุ่มทอดหายใจยาวอย่างตัดพ้อ เกิดเป็นพระองค์เก่งกาจสามารถมีพร้อมทุกสิ่งสรรพ แต่พอเป็นเรื่องของหัวใจก็ดูจะกลายเป็นคนทึ่มทื่ออยู่ไม่น้อย
“มีนางใดที่ไม่สนใจเจ้าอีกหรือ อย่าคิดมากน่าถ้ามีคนที่ใช่แล้วก็เลือกมาเถอะ ข้าจะได้ดูฤกษ์ดูยามหาวันทำพิธีแต่งตั้งให้” ฮันจ์กล่าวพลางหาวหวอด
“ถ้าข้าจะแต่งตั้งบุรุษให้ขึ้นเป็นจักรพรรดินีจะผิดจารีตรึไม่”
“อืม....ถึงจะไม่เคยมีมาก่อนแต่แบบนั้นมันก็  ห๊า!!!! ว่าไงนะ เจ้าพูดอีกรอบสิ”
“ถ้าข้าจะแต่งตั้งบุรุษให้เป็นจักรพรรดินี จะผิดจารีตรึไม่” องค์รีไวราเมสตรัสทวนช้าๆชัดๆทีละคำ
“ก็แล้วมันจะไปทำได้ได้ยังไงกันเล่า ไม่ต้องใช้หัวคิด ใช้หัวแม่เท้าคิดก็ยังรู้เลยว่าทำไม่ได้” ฮันจ์ตะเบ็งเสียงดังจนตาถลน
“ข้าเองก็คิดไว้แล้วว่าต้องไม่ได้ ถึงได้มานั่งกลุ้มใจอยู่นี่อย่างไรล่ะ” องค์รีไวราเมสตรัสตอบพลางเงยพระพักตร์ทอดพระเนตรพระจันทร์ที่ลอยพ้นครึ่งฟ้าไปแล้ว
ไร้สาระ!!! ไร้สาระที่สุด นี่ข้าต้องมาอดหลับอดนอนเพราะเรื่องนี้เหรอเนี่ย!!!! ฮันจ์ได้แต่กลอกตากรีดร้องคร่ำครวญในใจ ก่อนจะผุดลุกขึ้นอย่างเหลืออด
“ไม่ไหวล่ะ ข้าทนฟังความคิดไร้สาระของเจ้าต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ” ว่าพลางกระทืบเท้าตึงตังเดินหนีหายเข้าไปในวิหารโดยไม่สนใจเสียงที่ดังไล่หลังมาอีก
“หรือข้าควรจะประกาศออกไปว่าร่างอวตารเป็นคู่แห่งโชคชะตาที่เทพราส่งมาให้ข้า เพื่อนำพาอียิปต์สู่ความรุ่งเรืองดี เจ้าคิดว่าแบบนี้จะเข้าทีกว่ามั้ยฮันจ์........ฮันจ์!!!!
ถ้อยคำตอบรับกลับมามีเพียงเสียงร้อง “โว้ยยยยยยยยยยยย” ดังๆยาวๆอย่างเหลืออดของนักบวชหนุ่มแว่วมาให้ได้ยินเท่านั้น

เมื่อไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจ องค์รีไวราเมสก็เลือกที่จะเสด็จกลับไปยังพระราชวังส่วนใน เมื่อเปิดประตูเข้าไปยังห้องบรรทมก็เห็นร่างหนึ่งนอนคุดคู้อยู่บนที่นอน แสงจันทร์อ่อนๆส่องผ่านหน้าต่างตกกระทบลงกับใบหน้านวนเนียนทำให้ดูราวกับว่าร่างนั้นเปล่งประกายท่ามกลางความมืด อีกครึ่งของบรรจถรณ์ที่ควรจะเป็นพระที่ของมหารานีคู่พระองค์ถูกร่างโปร่งของเด็กหนุ่มเจ้าของดวงตาสีทองอร่ามจับจองอยู่
จัดแจงปลดเปลื้องอาภรณ์ออกจากวรกายก่อนจะก้าวขึ้นสู่ที่นอนนุ่ม สอดร่างซุกใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน พระหัตถ์ใหญ่ลูบไล้เส้นผมอ่อนนุ่มราวกับขนแมวของเด็กหนุ่มอย่างเอ็นดู ก่อนจะกระซิบข้างหูคนที่กำลังหลับใหลเบาๆ
“ต่อให้แต่งตั้งเจ้าเป็นจักรพรรดินีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร รู้อะไรมั้ยข้าเพิ่งนึกอะไรดีๆได้ หากว่าข้ากลายเป็นเทพเจ้าไปจริงๆซะ เมื่อนั้นทั้งข้าและเจ้าต่างก็สามารถครองคู่กันได้ ครานี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจคัดค้านได้อีก” พระพักตร์คมเข้มแย้มสรวลอย่างอ่อนโยนด้วยพึงพอใจกับความคิดของตนเองที่รวบรับตัดตอนไม่ถามความคิดเห็นเอเลนก่อนเสียด้วยซ้ำ
จากนั้นก็ก้มลงจุมพิตพวงแก้มใสก่อนจะกอดร่างบางหลับใหลไปอย่างเปรมปรีดิ์









3 ความคิดเห็น:

  1. โอยยยย~ ฟินจังวุ้ยยยย~ >w< คือเป็นตอนพิเศษที่โฮกฮากมาก (ฮา) ขอบคุณที่เเต่งตอนพิเศษมาให้อ่านนะค้า( ´ ▽ ` )ノ

    ตอบลบ
  2. ตอนพิเศษใช่ใหมคะ?#เป็นตอนพิเศษที่ฟินแบบกัดปากตัวเองเลือดพิเศษขึ้นไปอีกกกกกกกกกกกกกก

    ตอบลบ
  3. ตอนพิเศษษษษษษ
    ขอบคุณมากค่าา ฟินจุง ~>_<~

    ตอบลบ