วันอังคารที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2560

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์ Chapter 25


ผ่าภิภพบันทึกฟาโรห์

Pairing: Levi x Eren

Rate: NC-17

Story by: AkeRah + Trendy Blood

Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*

……………………………………………………………………………………………………..

Chapter: 25

“หัวลูกธนูเป็นของเราชาวฮิตไทต์ไม่ผิดแน่!!!
เกิดเสียงอึงอลขึ้นในบัดดลยามเมื่อสิ้นคำประกาศนี้ ในขณะที่เหล่าทหารฮิตไทต์ถึงกับระส่ำระสายไปชั่วขณะ องค์รีไวราเมสกลับแย้มพระสรวลกว้างยิ่งขึ้นอย่างพอพระทัย
“เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด นี่เป็นกลศึก ต้องเป็นกลลวงที่พวกเจ้าวางเอาไว้เป็นแน่” เจ้าชายเอลามตรัสเสียงกร้าว แต่องค์ฟาโรห์หนุ่มกลับตวาดเสียงพระสรวลดังก้องสนามรบกลบสุระเสียงขององค์ชายหนุ่มจนมิด
“แผนของข้าอย่างนั้นหรือ เจ้าชายเอลามคงจะเข้าใจอะไรผิดแล้วเสียกระมัง เราชาวอียิปต์บุตรแห่งดวงอาทิตย์จะไปจะมาต่างผ่าเผยไม่เคยหลบซ่อน แล้วเหตุใดจะต้องใช้วิธีต่ำช้าอย่างการลอบทำร้ายเช่นนี้ เทียบกันแล้วกับฮิตไทต์ของพวกท่านที่ถนัดยุทธวิธีรบแบบกองโจรจะไม่เชี่ยวชาญกว่าหรอกหรือ” เมื่อตรัสจบเสียงพระสรวลก็ดังก้องผืนสมรภูมิศึกอีกครั้ง
“พวกเจ้ามันต่ำช้า!!!” เจ้าชายเอลามเองก็ไม่ได้คิดจะยอมถอยแม้แต่น้อย แต่ในระหว่างที่กำลังทุ่มเถียงกันอยู่นั้นเองเจ้าชายแจนที่ได้รับบาดเจ็บก็แทบจะทรุดลงกับพื้นอยู่แล้ว
“พอ!!!.....พอกันที คนจะเป็นจะตายอยู่ตรงนี้ยังเอาแต่เถียงกันอยู่ได้” เอเลนตวาดขึ้นพลางถลึงตาจ้องสบพระพักตร์กับองค์ฟาโรห์หนุ่มอย่างขุ่นเคือง องค์รีไวราเมสทอดพระเนตรเด็กหนุ่มร่างอวตารอยู่สักครู่ก่อนจะเบือนพระเนตรไปยังเจ้าชายมูวาตัลลิสที่สองที่กำลังสีหน้าซีดเซียว
“พาเขาไปที่กระโจมและเรียกหมอมาดู” สิ้นพระกระแสรับสั่งก็มีทหารแบกเปลสนามมารับตัวเจ้าชายแจนไปท่ามกลางเสียงโหวกเหวกของเจ้าชายเอลาม
“พวกเจ้าคิดจะจับพี่ข้าเป็นเชลยศึกเช่นนั้นรึ!!!
องค์รีไวราเมสตวัดพระเนตรมองเจ้าชายหนุ่มด้วยความระอาพระทัย แต่ก่อนที่พระองค์จะทันได้ตรัสสิ่งใดออกไปเด็กหนุ่มร่างอวตารกลับส่งเสียงขึ้นมาก่อน
“ด้วยความเคารพเจ้าชายเอลาม ในยามนี้สถานการณ์คลุมเครือไม่อาจไว้วางใจผู้ใดได้ แต่ข้าขอใช้ชีวิตเป็นประกัน ตราบใดที่เจ้าชายมูวาตัลลิสอยู่ที่นี่ข้าจะไม่ให้มีเหตุร้ายใดๆเกิดขึ้นกับพระองค์เป็นอันขาดโปรดทรงวางพระทัย” เมื่อกล่าวจบเอเลนก็ผันกายสาวเท้าตามกลุ่มแพทย์ทหารไปโดยมีองค์รีไวราเมสควบม้าเหยาะๆไล่หลังจังหวะนี้เองมาร์โคก็ถือโอกาสเนียนตามกองทหารอียิปต์ไปเงียบๆ
ด้วยเหตุนี้ทั้งกองกำลังแห่งฮิตไทต์และกองทัพแห่งอียิปต์จึงจำต้องปักหลักคุมเชิงกันคนละฟากของแม่น้ำเป็นการชั่วคราว

ในกระโจมแพทย์เกิดความวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย ทีมแพทย์ทหารกำลังถวายการรักษาให้กับเจ้าชายต่างแคว้นกันจ้าละหวั่น แต่องค์รีไวราเมสทรงประทับนิ่งทอดพระเนตรเด็กหนุ่มร่างอวตารหยิบนู่นฉวยนี่เป็นลูกมือของแพทย์หลวงอยู่เงียบๆ จวบจนเกินจะทานทนไหวฟาโรห์หนุ่มได้แต่รู้สึกครั่นคร้ามอยู่ในพระทัย ทั้งๆที่เพิ่งจะได้พบหน้า ทั้งๆที่พระองค์ทรงคะนึงหาถึงเพียงนี้แต่ชั่วขณะที่สบตากันเด็กหนุ่มผู้นั้นกลับฉายแววกราดเกรี้ยวเข้าใส่เพราะร้อนใจห่วงใยเจ้าชายต่างแคว้นผู้นั้น
มันน่าโมโหยิ่งนัก!!!!
“จะทำอะไร” เอเลนตวัดตามองเจ้าของพระหัตถ์ใหญ่ที่ฉุดแขนตนเอาไว้
“มากับข้า” ฟาโรห์หนุ่มตรัสตอบเสียงห้วน
“เดี๋ยวก่อน ยุ่งอยู่”
“ก็บอกว่าให้มา” ตรัสย้ำพลางฉวยเอาผ้าเปื้อนเลือดออกมาจากมือบางปาทิ้งลงกับพื้นเป็นเหตุให้เกิดความเงียบขึ้นทั่วกระโจมทุกคนต่างหยุดการเคลื่อนไหวก้มหน้าคุกเข่าลงเงียบๆ
“เชิยท่านร่างอวตารเถิดขอรับ” มาร์โครีบออกตัวแก้สถานการณ์ให้ก่อน ฝ่ายเอเลนถอนใจยาวเห็นทีหากไม่พากษัตริย์หนุ่มผู้เจ้าอารมณ์ออกจากกระโจมแห่งนี้คนพวกนี้ก็คงไม่เป็นอันทำอะไรกันแล้ว
“ทำต่อเถอะ” เอเลนกล่าวกับทีมแพทย์และมาร์โคก่อนจะล้างมือและเดินดุ่มๆออกมา
“นี่เป็นกิริยาที่เจ้าควรจะแสดงต่อข้าทั้งที่ไม่ได้พบหน้ากันเสียนานอย่างนั้นหรือ” ฟาโรห์หนุ่มสาวพระบาทไล่ตามเอเลนพลางตรัสเสียงห้วน เอเลนชะงักฝีเท้าถอนหายใจแรงๆอีกครั้งก่อนจะหันกายกลับมาก้มตัวลงถวายคำนับนอบน้อมอย่างประชดประชัน
“ฝ่าบาทคงจะพอพระทัยแล้วกระมัง”
“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้หมายถึงเช่นนี้” ตรัสพลางกระชากตัวเด็กหนุ่มผลุบหายเข้าไปในกระโจมว่างใกล้ๆ มือใหญ่กวาดกองแผนผังกลศึกที่วางเกลื่อนโต๊ะทิ้งจนเกลี้ยงแล้วหิ้วเอาเด็กหนุ่มร่างอวตารขึ้นวางไว้แล้วกดร่างพระองค์ทาบทับ
“ก็ยังป่าเถื่อนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน” เอเลนสบถเบาๆนอนนิ่งอยู่ใต้ร่างใหญ่ด้วยรู้ดีว่าการขัดขืนไม่ใช่ทางออกที่ดี ใครๆต่างก็รู้ว่ากษัตริย์ผู้นี้ชื่นชอบการเอาชนะมากกว่าผู้ใด จำต้องใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว
“กล้าดีเช่นไรเจ้าถึงเมินข้า!!!” เสียงตวาดดังทำเอาเหล่าทหารที่อยู่รอบนอกถึงกับสะดุ้งแต่เอเลนกลับยังนิ่งเฉยอย่างใจเย็น
“ทั้งๆที่ไม่ได้พบกันเสียนาน.....ทั้งๆที่ในที่สุดก็ได้พบหน้า.....ทั้งๆที่ข้า..........”  เฝ้าแต่คิดถึง.......พระองค์เลือกที่จะกลืนถ้อยคำนั้นลงไปเพียงเพราะสายตาเย็นชาที่เด็กหนุ่มร่างอวตารส่งมาให้ แล้วเลือกใช้ถ้อยคำเชือดเฉือนมาโยนใส่อีกฝ่ายแทน
“แต่เจ้ากลับเอาแต่ขลุกอยู่กับคนอื่น เป็นห่วงเป็นใยอย่างออกนอกหน้า.......แล้วไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา” องค์รีไวราเมสตวาดเสียงกร้าวก่อนจะผละร่างถอยออกมาจากร่างบางพยายามสงบพระทัยที่ร้อนรุ่มอยู่เงียบๆ
เอเลนที่ถูกปล่อยเป็นอิสระลุกขึ้นจากโต๊ะสะบัดข้อมือคลายปวดหน่อยๆ ก่อนจะลอบมองแผ่นหลังกว้างของฟาโรห์หนุ่มเงียบๆ
ไม่ใช่ว่า.....เอ่อ.....หึงหรอกนะ ร่างบางได้แต่คิดในใจก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถามตามตรง
“แฮ่ม.....เอ่อ.....ฝ่าบาท หึงหรือไง”
“หึงเร๊อะ!!! เจ้าเอาที่ไหนมาพูด ช่างกล้าเหลือเกินที่คิดว่าข้าจะหึงเจ้า” หึงเหรอ...นั่นมันแน่นอน แต่เหตุใดพระองค์จะต้องยอมรับง่ายๆเสียด้วยเล่า
“หึงก็บอกมาตรงๆน่า โตๆกันแล้ว” เอเลนยิ้มกริ่มวิ่งอ้อมมาดักหน้าองค์ฟาโรห์หนุ่มที่กำลังตีพระพักตร์ยุ่งเสียยิ่งกว่าเดิม เมื่อประจันหน้ากับใบหน้าผุดผ่องชวนพิศของเอเลนแล้วองค์รีไวราเมสก็จนด้วยเกล้า แม้ไม่อาจยอมรับแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกัน
“ก่อนหน้านี้มีคนส่งจดหมายมาบอกว่าคิดถึงกันแท้ๆ ใช่ท่านรึเปล่านะ......แต่เอ๊ะ.......คงไม่ใช่กระมังก็ท่านบอกเองว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับข้าสักหน่อย” เอเลนยิ้มกริ่มแสร้งเอ่ยลอยๆ เห็นชัดแล้วล่ะว่าฟาโรห์ลูกดกคนนี้นั้นคงจะงอนตนแล้วแน่ๆ คนแก่งอนนี่ก็จัดการยากซะด้วยสิ ถ้าไม่ง้อสักหน่อยเห็นท่าจะไม่หายง่ายๆ แต่จังหวะนั้นเองกลับถูกสองแขนแกร่งสวมกอดแน่นเสียจนอึดอัด
องค์รีไวราเมสถอนพระทัยยาว ตรัสกระซิบเสียงทุ้ม
“ยอมแล้ว ข้ายอมแล้ว ข้าคิดถึงเจ้า......ข้าหึงเจ้า.....ข้าโกรธเจ้าที่ทำเมินข้า ข้าโมโหที่เจ้าห่วงศัตรูจนออกนอกหน้า” ตรัสพลางกระชับอ้อมกอดโอบแน่นยิ่งขึ้น
“ทำไมต้องทำร้ายจิตใจข้าด้วย แค่ยอมให้เจ้าไปอยู่ในแดนศัตรูก็แย่แล้ว อย่าเห็นพวกมันดีกว่าข้าได้หรือไม่”
“ขอโทษนะ” เอเลนเอ่ยตอบพลางขยัยยุกยิกเพื่อหามุมที่สบายที่สุดให้ตนแล้วเอนกายลงซบกับพระอุระที่แกร่งดุจเหล็กกล้าของฟาโรห์หนุ่ม
“ที่ฮิตไทต์ ทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดี เกือบจะได้เป็นเพื่อนกันอยู่แล้วล่ะถ้าไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้นมาเสียก่อน”
“การลอบสังหารนี้พวกมันพุ่งเป้าไปที่เจ้าหรือไม่”
“เหมือนเป้าหมายจริงๆจะเป็นแจนมากกว่า แต่ท่านยืนยันได้ใช่มั้ยว่านี่ไม่ใช่ฝีมือคนของท่าน”
“เหตุใดเจ้าจึงพูดเหมือนกับไม่รู้จักข้า” ตรัสพลางฟาดพระหัตถ์ลงกลางกระหม่อมเด็กหนุ่มเบาๆ
“ก็ถามไปงั้นแหละ ดูท่าคงเป็นฝีมือคนในฮิตไทต์จริงๆ”
“เกลือเป็นหนอน จะหาตัวจริงๆไม่ใช่เรื่องง่าย หากเป็นเรื่องภายในเจ้าก็ไม่ต้องยุ่ง ไม่ต้องกลับไปแล้ว มูวาตัลลิสหายดีเมื่อไหร่ ข้าจะส่งเขากลับไปแล้วเราจะกลับธีบส์กันทันที
“ไม่ได้ๆ ไม่ได้เด็ดขาด ฝ่าบาทโปรดทรงตรองให้ดีเสียก่อน แม้จะเป็นเรื่องภายในฮิตไทต์ก็จริง แต่เห็นได้ชัดว่าฝ่ายนั้นก็หมายจะป้ายสีเรา หากพวกมันลอบสังหารสำเร็จแล้วป้ายความผิดให้แก่อียิปต์หยิบยกความผิดนี้มาเป็นชนวนเหตุในการก่อสงคราม นั่นก็จะยิ่งเข้าทางมันใหญ่ ไม่ได้เด็ดขาด ถึงยังไงพระองค์ก็ต้องส่งกระหม่อมกลับไปอยู่ดี เพื่อคลี่คลายมลทินครั้งนี้ เราจะถอยไปเฉยๆไม่ได้เด็ดขาดนะพะยะค่ะ”
“เจ้านี่.....ไม่เคยจะฟังข้าเลยจริงๆ”
“ในฐานะร่างอวตารแห่งเทพรา เป็นความรับผิดชอบของกระหม่องที่จะต้องไกล่เกลี่ยเรื่องของอียิปต์และฮิตไทต์นี่นะ”
“เจ้าเด็กดื้อเอ้ย......เด็กดื้อ เรื่องรั้นนี่เป็นที่หนึ่งจริงๆ” องค์รีไวราเมสตรัสพลางลูบไล้ใบหน้าของเอเลนเบาๆ พระหัตถ์ใหญ่โน้มคอร่างสูงของเด็กหนุ่มให้ก้มลงมาใกล้แล้วจึงประทับพระโอษฐ์แนบจุมพิตหน้าผากเปื้อนฝุ่นของเด็กหนุ่มพลางกระซิบเสียงแผ่วข้างใบหู
ich vermisse dich........... ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกินได้ยินหรือไม่”
“รู้แล้วน่า......รู้แล้ว” เอเลนอมยิ้มเล็กๆ แสร้งตอบกลับด้วยท่าทีติดจะรำคาญเล็กน้อย
“เอ่อ.....ฝ่าบาทกระหม่อมมีอีกเรื่องจะทูลขอ”
“ว่ามา”
“ขอพระองค์ทรงมีรับสั่งให้ทหารไปนำร่างของคนสนิทเจ้าชายแจนที่ถูกลอบสังหารกลับมาด้วยเถอะ ถึงอย่างไรก็ต้องจัดการตามประเพณี”
“ได้ เอาตามที่เจ้าว่าก็แล้วกัน”


เมื่อเห็นร่างที่อยู่ในห่อผ้าถูกลำเลียงมาอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ องค์รีไวราเมสจึงได้ตรัสถามขึ้น
“มีเพียงเท่านี้หรือ”
“นำกลับมาได้เพียงเท่านี้พะยะค่ะ บางร่างก็ตกเป็นอาหารฝูงเหยี่ยวแร้งไปแล้ว” ทหารประจำพระองค์ผู้รับหน้าที่เก็บกู้ร่างผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ลอบสังหารทูลตอบ
องค์ฟาโรห์หนุ่มรับคำเสียงเบาก่อนจะหันไปทอดพระเนตรเจ้าชายต่างแคว้นผู้ได้รับบาดเจ็บและควรจะพักผ่อนอยู่บนเตียง แต่กระนั้นก็ยังฝืนดึงดันจะมาดูร่างไร้วิญญาณของทหารประจำกายให้ได้
“ระวังหน่อย” เอเลนกระซิบเสียงเบาขณะที่ตนและมาร์โคช่วยกันประคองเจ้าชายแจนให้เดินเข้าไปดูร่างที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น
“หึ!!!” องค์ฟาโรห์หนุ่มยิ่งรู้สึกหงุดหงิดพระทัยกับท่าทีที่เด็กหนุ่มร่างอวตารมีต่อเจ้าชายต่างแคว้นผู้นี้หนักข้อขึ้น
“กราบทูลฝ่าบาท ระหว่างทาง มีทหารหญิงจากฮิตไทต์ติดตามขบวนเก็บกู้ไปด้วย แต่เนื่องจากไม่มีพระกระแสรับสั่งเปิดค่าย ทหารหญิงนางนั้นจึงยังรออยู่ที่ฝั่งเขตแดนฮิตไทต์พะยะค่ะ”
“ให้นางเข้ามาได้รึไม่” เจ้าชายแจนเอ่ยถามเสียงเรียบอย่างลอยๆ แม้มิได้เอ่ยปากว่ากำลังกล่าวขานกับผู้ใดแต่ทุกคน ณ ที่นั้นต่างก็รู้ดีว่าเป้าหมายของบทสนทนาที่ร้องขอกึ่งๆออกคำสั่งนี้คือองค์รีไวราเมส และด้วยประโยคเรียบๆที่ทั้งถือตนและไร้ความเคารพยำเกรงนี้ก็เกือบจะทำให้องค์ฟาโรห์หนุ่มปฏิเสธไปเสียแล้วถ้าไม่ติดเสียว่า
“ก็แค่ผู้หญิงคนเดียว.....พระองค์คงไม่คิดว่าผู้หญิงคนเดียวจะกระทำอันตรายใดๆแก่ฝ่ายเราได้ใช่รึไม่” เอเลนเงยหน้าขึ้นเอ่ยถามพลางมองสบพระเนตรขององค์รีไวราเมสโดยตรง ในขณะที่องค์ฟาโรห์หนุ่มได้แต่เม้มพระโอษฐ์แน่นอย่างขัดพระทัย
ใจคอเจ้าจะหักหน้าข้าให้ได้สินะ.......เอเลน
ร่างใหญ่พยายามสูดหายใจลึก ก่อนจะตะเบ็งพระสุระเสียงขึ้นดังลั่น
“ให้นางเข้ามา!!!
องค์ฟาโรห์หนุ่มตรัสสั่งเสียงกร้าว ก่อนจะหันไปสบตากับเด็กหนุ่มร่างอวตารโดยตรง สายพระเนตรคมเข้มสื่อความนัยโดยมิได้ตรัสเอ่ย
อยากจะทำอะไรก็ตามใจก็แล้วกัน.................
องค์รีไวราเมสเสด็จจากไปด้วยความหงุดหงิดพระทัย ตั้งแต่ที่พบหน้ากันเด็กหนุ่มร่างอวตารผู้นี้ก็เอาแต่คอยขัดพระทัย จุดไฟแห่งความโกรธาให้แก่พระองค์อยู่ร่ำๆ ความห่วงหาใส่ใจที่ควรมีให้ก็เหมือนจะถูกมอบให้กับเจ้าชายต่างแคว้นผู้นั้นจนหมด ทำราวกับไม่เห็นพระองค์อยู่ในสายตาด้วยซ้ำ ราวกับความคิดถึงของพระองค์ไม่มีค่าใดๆต่อคนๆนั้น
เสียงเหยียบย่ำโครมครามดังไปตลอดทางที่ฟาโรห์หนุ่มเสด็จผ่าน เหล่าทหารต่างหลบหลีกเอาตัวรอดกันจ้าละหวั่น ดูจากสีพระพักตร์บึ้งตึงแบบนั้นแล้ว ไอ้หน้าไหนที่มันกล้าไปขวางทางหรือทำให้หงุดหงิดพระทัยนั่นก็คงจะเบื่อการมีชีวิตเข้าแล้วจริงๆ
จวบจนเมื่อกลับเข้าสู่กระโจมที่ประทับ ร่างใหญ่ทรุดนั่งลงกับเก้าอี้ทรงงานอย่างแรง ถอดดาบเล่มใหญ่ที่เหน็บอยู่ที่บั้นพระองค์โยนทิ้งอย่างไม่ไยดี สายพระเนตรเฉียบคมคอยลอบมองออกไปที่หน้ากระโจมเป็นระยะเพื่อเฝ้าคอยว่าจะมีผู้ใดติดตามมา แต่จนเมื่อเวลาเคลื่อนคล้อยผ่านไปก็ยังเงียบกริบไร้ซึ่งวี่แววของผู้ที่พระองค์เฝ้ามองหา ความหงุดหงิดพระทัยแล่นริ้วทะลุองศาเดือด กับเด็กหนุ่มผู้นั้นแล้วก็.......ช่างเถอะ เพราะฝ่ายนั้นก็แสนจะดื้อรั้นทำอะไรตามใจตัวเองอยู่เป็นนิจอยู่แล้ว แต่ที่พระองค์กำลังหงุดหงิดอยู่จริงๆนั้นคือตัวเองมากกว่า หงุดหงิดตัวเองที่ยอมให้คนเพียงคนเดียวมามีอิทธิพลต่อความคิดและความรู้สึกถึงเพียงนี้
“นี่คืองอนจริงใช่มั้ย” เพิ่งจะกระหวัดคิดถึง ตัวการที่ทำให้พระองค์ว้าวุ่นก็โผล่มาพอดี องค์ฟาโรห์หนุ่มทอดพระเนตรมองเสี้ยวหน้าของคนที่เดินเข้ามาในกระโจมเพียงเล็กน้อย ก่อนจะตวัดพระพักตร์หันไปอีกทางไม่สนใจตอบบทสนทนาใดๆ
“อ่า.....งอนจริงสินะ ก็งี้แหละเขาว่าคนแก่ขี้ใจน้อย” เอเลนยิ้มกริ่มเดินเข้าประชิดร่างใหญ่ที่ยังคงนั่งนิ่งราวกับไม่รับรู้ถึงการมาของเขา
“นี่คงไม่คิดจะมองหน้ากันอีกแล้วใช่มั้ย” กล่าวพลางเดินอ้อมโต๊ะทรงงานเพื่อก่อกวนเล็กๆน้อยๆหนึ่งรอบก่อนจะหยุดลงเบื้องหน้าพระพักตร์แล้วยอบกายคุกเข่าลงเพื่อให้ตนอยู่ในระดับสายพระเนตร
“พระองค์คงจะเบื่อใบหน้านี้แล้วกระมัง......” กล่าวพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้ก่อนจะแสดงสีหน้าตัดพ้อแสร้งทำสุ้มเสียงราวกับเสียดายเสียเต็มประดา
“หากเป็นเช่นนั้นกระหม่อมก็คงต้องแบกใบหน้าที่แสนจะเดียดฉันท์นี้ไปให้ไกลสุด......อ๊ะ!!!” เสียงเจื้อยแจ้วพลันสะดุดลงเมื่อถูกพระหัตถ์ใหญ่ฉุดรั้งกายให้โถมตัวลงทาบทับ พระกรแกร่งที่แน่นไปด้วยมัดกล้ามกอดรัดร่างโปร่งให้นั่งลงบนพระอัสสุชลกักกันไว้ไม่ให้ดิ้นหนี
“ยังมาทำเป็นพูดดี ยังไม่สำนึกถึงความผิดของเจ้าอีกหรือ” องค์ฟาโรห์หนุ่มตรัสเสียงดุ พลางเอื้อมพระหัตถ์ขึ้นมาบีบลำคอขาวของคนช่างจ้อเบาๆเป็นการลงโทษ
“โทษฐานที่ขัดพระทัยนั้นใหญ่หลวง กระหม่อมทราบแล้วและยอมรับผิดแต่โดยดี แต่ถึงกระนั้นก็ได้แต่หวังว่าโทษหนักจะกลายเป็นเบา หากพระองค์จะทรงเมตตา.........”
“กระหม่อม......ก็......ขอทำความดีไถ่โทษ......” เสียงกระซิบบางเบาที่ข้างพระกรรณบวกกับมือเรียวที่กำลังลูบไล้พระศออย่างหยอกเย้ายิ่งทำให้ฟาโรห์หนุ่มรู้สึกคันยุบยิบในพระทัยหนักยิ่งขึ้น
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็ควรจะรู้ว่าข้าจะลงโทษเจ้าเยี่ยงใด” ตรัสพลางส่งพระหัตถ์ใหญ่ลูบไล้สีข้างได้รูปของเด็กหนุ่มในอ้อมพระกรช้าๆ เอเลนหลุดหัวเราะเบาๆกับสัมผัสหยาบด้านที่คนมากประสบการณ์กว่าโลมไล้ ร่างบางขยับยุกยิกต่อต้านเบาๆยามที่ร่างใหญ่เบียดพระวรกายเข้าแนบชิด สายพระเนตรล้ำลึกจับจ้องกลีบปากบางที่กำลังหัวเราะคิกคักของเด็กหนุ่มอย่างสื่อความหมาย เอเลนยังคงตีรวนแม้ไม่ได้ให้ความร่วมมือแต่โดยดีแต่ก็ไม่มีท่าทีปฏิเสธที่ชัดเจน เสียงขลุกขลักดังลอดกระโจมออกมาเบาๆก่อนที่เสียงหัวเราะจะเงียบหายไปเหลือเพียงเสียงลมหายใจร้อนผ่าวที่พัวพันดังแว่วออกมาเป็นระยะแทน

“ฝ่าบาท.....”
แจนก้มมองหญิงสาวที่อยู่ในชุดนักรบทะมัดทะแมงที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าเงียบๆ เป็นเวลานานพอดูกว่าจะเอื้อนเอ่ยคำใดออกมา
“ลุกขึ้นเถอะ ซาช่า”
นักรบสาวรับคำพลางหยัดกายยืนขึ้นเต็มความสูง
“เจ้ามาดูเขาเถอะ” แจนกล่าวพลางให้มาร์โคช่วยพยุงกายหลีกทางให้หญิงสาวได้เข้ามาดูร่างที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นเต็มตา ใบหน้าที่คุ้นเคย ดวงตาปิดสนิท เครื่องแต่งกายเกรอะไปด้วยคราบเลือดที่แห้งกรัง ร่างนั้นนอนสงบนิ่งอยู่ใต้ผ้าป่านราวกับกำลังหลับใหล มือเรียวที่ติดจะกร้านของหญิงสาวผู้ขี่ม้าจับดาบตีรันฟันแทงอยู่เป็นนิจรวบจับฝ่ามือเย็นชืดที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของคนคุ้นเคยเบาๆ
“เจ้าบอกว่า กลับไปครานี้จะพาข้าไปล่าจิ้งจอกทะเลทราย.........แล้วเหตุใดจึงมีสภาพเยี่ยงนี้” เสียงหวานแว่วเบาหวิวตัดพ้อสั่นเครือเสียจนคนฟังต้องพลอยหดหู่ไปด้วย
“แล้วเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าควรจะรอไปเพื่ออะไร”
“เป็นเพราะข้าเอง โคนี่ต้องตายก็เพราะปกป้องข้า” แจนกล่าวเสียงพร่าแหบแห้งอย่างอ่อนล้า มือใหญ่บีบค้ำลงกับไหล่ของหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าราวกับนางเป็นที่พึ่งเดียวที่ยังทำให้เขายืนหยัดอยู่ได้
“หามิได้ฝ่าบาท นี่คือหน้าที่ของพวกเรา เพียงแค่หม่อมฉันรู้สึกว่าหากได้อยู่ที่นั่น ณ เวลานั้นด้วยอาจจะช่วยอะไรได้มากกว่านี้ ทุกคนอาจไม่ต้องตาย หรือไม่พวกเราอาจจะกำลังท่องอยู่บนผืนทะเลทรายแห่งความเป็นนิรันดรด้วยกันไปแล้ว ไม่ใช่ปล่อยให้โคนี่ต้องเดินทางผู้เดียวแบบนี้”
“ต่อให้เป็นเช่นนั้น ก็ไม่ควรต้องมีผู้ใดตายอยู่ดี” แจนได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเจ็บแค้น หากไม่ใช่เพราะความประมาท หากเขาจะฟังคำเตือนของเอเลนสักนิด จัดไพร่พลพร้อมรับสถานการณ์ไว้รอท่า โศกนาฏกรรมนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น
“ฝ่าบาท หม่อมฉันขอเป็นคนนำร่างพวกเขากลับฮัตตูซาได้รึไม่เพคะ”
“หากข้าให้เจ้าไป เอลามก็คงไม่ขัดข้อง”
“ถ้าเช่นนั้น โปรดให้คนพวกนี้ส่งร่างพวกเขากลับไปยังค่ายฮิตไทต์ได้รึไม่เพคะ” ซาช่าเอ่ยถาม พลางเงยหน้าขึ้นมองก็ได้เห็นสีหน้าลำบากใจของแจนเข้าพอดี
“เรื่องนั้น...............” ถ้าจะให้พูดตามจริงแล้วพวกเขาต่างก็รู้กันดีว่าแจนไม่สามารถออกคำสั่งใดๆกับใครในค่ายนี้ได้ทั้งนั้น แต่ในตอนนั้นเอง
“ได้สิ จะส่งกลับไปให้ก็ได้” เอเลนที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง ตาลอยๆปากเจ่อๆก็โผล่มาพอดี ว่าแล้วก็เรียกทหารกลุ่มหนึ่งมาลำเลียงศพของทหารฮิตไทต์ออกไป ซาช่าเองหลังจากกล่าวลาแจนแล้วก็ตามทหารกลุ่มนั้นออกไปด้วย
“จะไม่เป็นไรแน่หรือ ที่ไม่ถามความเห็นของเขาเสียก่อน” คงไม่ต้องบอกว่าเขาคนนี้หมายถึงใคร
“เอาน่าๆ ไม่เป็นไรหรอก ก็ง้อไปแล้วนี่” เอเลนเอ่ยตอบอย่างสบายๆเจือเสียงหัวเราะน้อยๆ ก็ลงทุนเปลืองตัวไปนิดหน่อยแล้วถ้ายังจะโกรธกันอยู่ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรล่ะ
“ว่าแต่.....นางเป็นใคร”
“ซาช่า โคนี่ มาร์โค และข้าพวกเราต่างเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่ยังเด็ก” แจนกล่าวเสียงเรียบขณะส่งสายตามองตามหลังกลุ่มทหารกลุ่มนั้นไป ใบหน้าเรียบตึงค่อยๆปรากฏรอยยิ้มน้อยๆยามเมื่อหวนคิดถึงความหลัง
“ซาช่ากับโคนี่เอาแต่ทะเลาะกันตลอดเวลา มีครั้งหนึ่งข้าถึงกับหงุดหงิดจนประกาศไปว่าถ้าพวกเขายังไม่เลิกกัดกันล่ะก็จะจับพวกเขาแต่งงานกันซะ”
“แล้วผลเป็นไง”
“พวกเขาทะเลาะกันหนักขึ้นกว่าเดิม” แจนยิ้มตอบน้อยๆ เมื่อเป็นเช่นนี้เอเลนก็เข้าใจความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนั้นทันที
“นางคงจะสะเทือนใจน่าดู”
“ทุกคนต่างเจ็บปวด ต่อแต่นี้ไปช่วงเวลาแบบนั้นจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว” รอยยิ้มอ่อนค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าเครียดขึ้ง
“ไม่ว่าคนที่ทำจะเป็นใคร ข้าจะไม่มีทางละเว้นมันเด็ดขาด...............เจ้าเข้าใจใช่มั้ย เอเลน”
“ใช่ๆ เข้าใจสิ” เอเลนกล่าวตอบพลางมองสบดวงตาที่วาวโรจน์ด้วยโทสะแค้นของแจน
“แต่บอกไว้ก่อนนะว่านี้ไม่ใช่ฝีมือของอียิปต์ ไม่ใช่อุบายลวงใดๆทั้งนั้นด้วย”
“................” แจนยังคงรับฟังเงียบๆไม่โต้ตอบอันใด เอเลนถอนหายใจยาวพลางวางมือลงบนไหล่ของแจนแล้วบีบเบาๆ
“แจน เคยได้ยินบ้างมั้ย ว่าศัตรูที่น่ากลัวที่สุดอาจจะเป็นคนที่รู้จักเราดีที่สุด”
“นี่เจ้า!!!” แจนตวัดตามองอย่างขุ่นเคือง เอเลนจึงรีบเอ่ยต่อ
“เดี๋ยวๆ ก็แค่สันนิษฐานนะ ไม่ได้เจาะจงว่าใคร แต่นาทีนี้จะเป็นใครก็น่าสงสัยได้หมดนั่นแหละ คนที่รู้ความเคลื่อนไหวทุกอย่างของเราดี ย่อมต้องเป็นคนในไม่ใช่รึไง เป้าหมายของคนกลุ่มนี้เห็นได้ชัดว่าคิดจะเล่นงานทั้งอียิปต์ทั้งตัวเจ้าด้วย ดังนั้นศัตรูของศัตรูย่อมเป็นพันธมิตร รับรองได้ด้วยชีวิตของข้าตราบใดที่เจ้าอยู่ที่นี่เจ้าจะปลอดภัยระหว่างนี้ก็รักษาตัวไปก่อน ข้าเชื่อว่าคนร้ายจะยังไม่หยุดอยู่แค่นี้แน่ เรามาช่วยกันคิดหาทางรับมือกันดีกว่าต่อให้พวกมันอยู่ในที่ลับเราอยู่ในที่แจ้งยังไงซะสุดท้ายมันก็จะโผล่หางส่อพิรุธออกมาเอง” แจนมองสบตาเอเลนเพียงชั่วครู่ ก่อนจะหันไปมองมาร์โคอย่างขอความคิดเห็น มาร์โคจึงเอ่ยขึ้น
“ฝ่าบาท เรื่องสำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือพระวรกายของพระองค์เอง กระหม่อมเห็นว่าไว้รอให้พระองค์แข็งแรงขึ้นกว่านี้ แล้วเราจึงค่อยมาคิดหาทางกันอีกทีดีกว่านะพะยะค่ะ”




5 ความคิดเห็น:

  1. ชอบมากเลยค่ะ รีบๆๆๆอัพนะค่ะ เป็นกำลังใจให้อยู่ค่ะ

    ตอบลบ
  2. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  3. ้ป็นกำลังใจให้นะคะ

    ตอบลบ
  4. พี่จะไม่แต่งต่อแล้วหรอคะ

    ตอบลบ
  5. ชอบมากคะชอบที่สุดเลยเเนวอิงประวิติศาตร์ตามคู้จิ้นที่ชอบอีกสู้ๆนะคะคุณนักเขียน

    ตอบลบ