ผ่าภิภพบันทึกฟาโรห์
Pairing: Levi x Eren
Rate: NC-17
Story by: AkeRah + Trendy Blood
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง
ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
……………………………………………………………………………………………………..
Chapter: 24
ฮัตตูซา
เมืองหลวงของชนชาวฮิตไทต์ตั้งอยู่บนยอดเขาที่เต็มไปด้วยโขดหินเพื่อง่ายต่อการนำวัสดุมาสร้างอาคารบ้านเรือน
อีกทั้งชนชาวฮิตไทต์นับถือเทพเจ้าหลายองค์
เมืองหลวงจึงมีวิหารบูชาเหล่าทวยเทพต่างๆมากมาย ฮัตตูซามีกำแพงล้อมรอบเมืองที่ยาวกว่า
6 กิโลเมตร เป็นเมืองหลวงขนาดใหญ่ไม่เป็นรองธีปส์แห่งไนล์ อีกทั้งยังมีกำลังทหารที่ขึ้นชื่อลือชาจนเป็นที่หวั่นเกรงของแคว้นอื่น
กล่าวได้ว่าความยิ่งใหญ่ของฮิตไทต์ไม่เป็นรองผู้ใดในแผ่นดิน
วิหารบูชาเหล่าทวยเทพ
เหล่านักบวชต่างจุดเพลิงเผาผงกำมะถัน และกำยานบูชาเหล่าทวยเทพ โดยเฉพาะ เอนลิล
และนินลิล ผู้ซึ่งเป็นบิดามารดาของเหล่าเทพทั้งปวงแห่งฮิตไทต์
เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบสาวเท้าเข้ามาในวิหารที่กำลังทำพิธีทำให้สายตาของเหล่านักบวชและผู้ร่วมพิธีต่างมองไปยังจุดเดียวกัน
ชายหนุ่มในชุดเครื่องแต่งกายเต็มยศของราชวงศ์และรูปร่างหน้าตาที่คุ้นหน้าของเหล่านักบวช
ชายหนุ่มผู้มาแทรกกลางพิธียังคงเดินมุ่งไปยังตำแหน่งที่ว่างเบื้องหน้ารูปปั้นแห่งทวยเทพ
ซึ่งเหล่าคนที่เขาคุ้นหน้าตาดีนั้นประทับอยู่ทั้งมองเขาด้วยแววตาตำหนิ เจ้าตัวแม้จะถูกตำหนิแต่ยังคงส่งยิ้มให้กับสายตาของเหล่าวงศานุญาติ
จนทุกคนได้แต่ถอดถอนหายใจไม่อยากถือสาหาความ ด้วยรู้ดีว่าบุคคลผู้นี้โดยปกติแล้วมิใช่ผู้ที่ชอบเถลไถล
ถ้าองค์ชายแจนเป็นรัชทยาทอันดับหนึ่ง
คนผู้นี้เรียกได้ว่าเป็นที่ทรงโปรดเทียบเคียงตำแหน่งอีกผู้หนึ่ง
ชายหนุ่มโค้งคำนับหน้าพระที่นั่งของกษัตริย์มูวาตัลลิส
ก่อนจะขึ้นไปประทับอยู่เบื้องหลังกษัตริย์ผู้ยิ่งยงแห่งฮิตไทต์
กษัตริย์มูวาตัลลิสปรายสายตามองบุตรชายก่อนจะเอ่ยถ้อยคำแผ่วเบาให้ได้ยินโดยมิสบพระพักต์มอง
“เจ้าทำตัวเช่นนี้สักวันเหล่าทวยเทพคงสาปแช่งเจ้าเอลาม
การเป็นองค์ชายไม่สมควรมาสาย”
องค์ชายเอลามโค้งขออภัยแด่ผู้เป็นบิดาอีกครั้ง
“อย่าทรงกริ้วไปเสด็จพ่อ
ที่กระหม่อมมาช้าเพราะรอข่าวของพี่ชายที่ไปดูงานยังที่ห่างไกล”
มูวาตัลลิสปรายตามองใบหน้าขององค์ชายหนุ่ม
เอลามพงกศรีษะรับพลางคลี่ยิ้มให้ผู้เป็นบิดา
“ดูเหมือนคิตชูวัตนาจะมีการพัฒนาแผนผังของเมืองใหม่
อีกทั้งมีระบบการขนส่งน้ำรวมทั้งสถานพยาบาลมีอัตตราผู้ป่วยลดน้อยลงอย่างน่าสนใจ”
“เรื่องนั้นข้าเองก็ได้เห็นรายงานแล้วเช่นกัน
แล้วมันมีอะไรที่น่าประหลาดใจเจ้ารึไงเอลาม?”
“ขออภัยทูลกระหม่อม
ท่านคงทราบเรื่องร่างอวตารแห่งรา ทวยเทพผู้อยู่ข้างกายองค์รามเมสมาบ้างแล้ว
พระบิดาคิดเห็นเป็นเช่นไร?”
มูวาตัลลิสหันสบพระเนตรกับบุตรชาย
ใบหน้าภูมิฐานของชายสูงวัยขมวดิ้วมุ่นด้วยความไม่พอใจเล็กน้อยก่อนจะปรับสีหน้าให้นิ่งงันเช่นเดิม
เอลามมองไปยังลานพิธีและเหล่ารูปปั้นแห่งทวยเทพทั้งหลาย
การที่ช่วงนี้พระบิดาของเขาทำการบรวงสรวงเทพเจ้าบอ่ยครั้งนักเขาก็พอจะรู้อยู่ว่าเพราะเหตุใด
ทั้งทีอียิปต์ปรากฏร่างอวตารแห่งทวยเทพ
แต่ฮิตไทต์กลับไม่ปรากฏผู้ที่เรียกได้ว่าเป็นตัวแทนแห่งเทพเช่นกัน
แม้จะยังไม่รุนแรงแต่ข้อพิพาทนี้ส่งผลต่อเหล่าทหารและชาวเมืองฮิตไทต์เป็นอย่างมาก
ราวกับว่าทวยเทพนั้นเลือกข้างอียิปต์
นับว่าเป็นโชคดีที่ทางอียิปต์มีการส่งร่างอวตารผู้นั้นมาเจริญสัมพันธไมตรี
จึงพอจะกลบกระแสข่าวลือที่ทำให้ทุกคนต่างหวั่นเกรงต่ออำนาจอียิปต์ลงได้บ้าง
อีกทั้งข่าวลือใหม่ที่องค์ชายมูวาตัลลิสที่ 2
หรือเจ้าชายแจนนั้นยืนยันว่า เทพอวตารแห่งราผู้นี้ยังไม่ได้เลือกฝ่ายใด
แท้จริงแล้วอาจเป็นเทพที่มานำชัยแห่งฮิตไทต์ของเรา ทำให้ข้อกังขาในตัวราชวงศ์ฮิตไทต์เบาบางลง
แต่กระนั่นก็ทำให้ราชสำนักฮิตไทตกระสับกระส่ายต่อราชวงศ์อียิปต์อย่างมาก
“พระบิดาข้ามีข้อกังขาในข่าวลือและตัวตนของผู้ที่เรียกว่าเป็นร่างอวตารแห่งรายิ่งนัก”
“ข้าเองก็แปลกใจเช่นกัน เหตุใดร่างอวตารแห่งราถึงปรากฏกาย”
อีกทั้งยังเป็นช่วงที่ฮิตไทต์และอียิปต์ต่างพักการรบเพื่อดูเชิงของอีกฝ่าย
ตั้งแต่แรกเขาไม่เชื่อในข่าวลือนี้เท่าใดนัก
แต่นับวันเรื่องร่างอวตารแห่งรายิ่งหนาหูมากขึ้น ทั้งเรื่องปฏิหาร์ยที่ก่อเกิด
การรักษาโรคมรณะสีดำ หรือทำให้ผู้ฟื้นคืนจากความตาย ทั้งหมดทั้งมวลนั้นล้วนสร้างความศรัทธาให้กับชาวฮิตไทต์และชาวอียิปต์
และทุกสิ่งยิ่งเห็นประจักษ์เมื่อร่างอวตารผู้นั้นมาเยือนยังคิตชูวัตนา
เพียงไม่นานปฏิหาร์ยก็ก่อเกิดจนผู้คนยกย่อง
“ท่านเคยคิดไหมว่าที่จริงแล้วร่างอวตารผู้นั้นอาจกำลังตบตาเรา
เสแสร้งให้เราไว้วางใจ แล้วสุดท้ายทำให้ราชวงศ์ของเราสูญสิ้น?”
“เจ้ารู้สิ่งใดมารึ?”
“หามิได้พระบิดา
เพียงแต่ข้ากังขาว่าสิ่งที่ร่างอวตารผู้นั้นกระทำ
แท้จริงแล้วต้องการสร้างสัมพันธไมตรี หรือแฝงสิ่งใดกันแน่?
ท่านก็รู้ว่าชนชาวอียิปต์มากเล่ห์เพทุบาย อีกทั้งองค์ราเมสชายผู้นั้นจะยอมมอบของล้ำค่าอย่างร่างอวตารแห่งราให้เราง่ายดายเพียงนี้เชียวหรือ?”
มือหยาบลูกเคราสีขาวของตนเองใช้ความคิดตามบุตรชาย
และความคิดนี้สะกิดใจเขายิ่งนัก รีไวรามเมส ชายผู้เขาปะทะในสนามรบหลายครา
ฟาโรห์ผู้จองหองและยึดมั่นในตนเองผู้นั่น กับการที่ยอมส่งคนมาเจรจานับว่าประหลาดมากแล้ว
แต่การที่ยอมมอบร่างอวตารแห่งราให้มาเยือนยังดินแดนของอรินับว่าเป็นเรื่องที่เขาคาดการณ์ไม่ถึงยิ่งนัก
“เจ้ามาถามข้าเช่นนี้แสดงว่าเจ้ามีความคิดดีๆสินะเอลาม”
องค์ชายหนุ่มยกยิ้มให้บิดาด้วยสายตามุ่งมั่น มูวาตัลลิสยิ้มอย่างถูกใจในแววตาของบุตรชาย
“ตามใจเจ้าเถิดเอลาม ถ้าภารกิจของเข้าที่ฮัตตูซาจบแล้วจะไปช่วยพี่ชายของเจ้าที่คิตชูวัตนานับว่าเป็นสิ่งสมควร”
องค์ชายเอลามน้อมรับคำสั่งผู้เป็นบิดา
หลังจากได้ยินกิตติศักดิ์เลื่องลือของร่างอวตารผู้นี้มานาน นับว่าเป็นเกียรติที่จะได้เดินทางไปพบร่างอวตารผู้มาเยือนเพื่อพิสูจน์ข้อกังขาที่ค้างคาใจ
“เอลามจะมางั้นรึ!?”
แจนหยุดมือจากไม้ที่กำลังตัดเพื่อทำรางลำเลียงก่อนวิ่งเข้าไปหามาร์โก้คนสนิท
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ เมื่อสักครู่มีเหยี่ยวขององค์เอลามมาส่งข่าว คาดว่าคงมาถึงในอีก3-4วันข้างหน้า”
ชายหนุ่มคว้ากระดาษในมือองครักษ์คนสนิทก่อนจะอ่านทวนซ้ำหลายๆรอบ
พระพักต์แย้มสรวลด้วยแววตาเป็นประกาย
“เอลาม..?”
เอเลนที่คอยดูแปลนผังเมืองเงยหน้าถามเมื่อเห็นท่าทางดีใจอย่างหายากของเจ้าชายจอมกวนประสาท
“ท่านเอลามเป็นพระอนุชาที่ท่านแจนทรงสนิทที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งหมดขอรับ”
มาร์โก้ตอบข้อสงสัยของร่างอวตาร
เอเลนมองใบหน้าทั่วเราะให้กับกระดาษฉผ่นเล็กนั้นจนต้องยกยิ้มตาม
เจ้าชายที่หยิ่งจองหองกลับแสดงท่าทางราวเด็กๆที่เจอสิ่งที่ถูกใจ
แบบนี้คงไม่ต้องบอกว่าเขารักน้องชายร่วมสายเลือดผู้นี้ของเขาขนาดไหน
“เอเลน นายต้องปลาบปลื้มถ้าได้เจอเอลามน้องของเรา
หมอนั่นน่ะทั้งปรีชาเก่งกล้า อีกทั้งยังรูปงาน อ๊ะแต่น้อยกว่าข้านิดหน่อยล่ะนะ”
แจนรีบเข้ามาสาธยายถึงน้องชายของตัวเองด้วยความตื่นเต้น
“ถ้านายพูดขนาดนี้ ฉันชักอยากเห็นแล้วสิว่าองค์ชายเอลามจะเป็นเช่นไร
แต่คิดว่าคงมีดีกว่าเจ้าแน่นอนแจน” เด็กหนุ่มร่างอวตารหัวเราะพลางตบลงบนไหล่องค์ชายหนุ่มที่ยังคงแสดงแววตาเป็นประกาย
“กว่าจะมาถึงก็คงอีก3-4วัน
ถึงตอนนั้นรางลำเลียงน้ำคงเสร็จสมบูรณ์ทั่วทั้งเมืองแล้ว” เอเลนชี้แบบแปลนการสร้างรางน้ำพลางสำรวจวัสดุที่ตอนนี้เหล่าทหารและชาวบ้านต่างร่วมแรงร่วมใจกันทำตามประสงค์ที่เด็กหนุ่มเสนอ
ตั้งแต่ทำรางน้ำตัวอย่างส่งเข้าบ่อกลางของเมืองคิตชูวัตนา
ชาวบ้านต่างสามารถมีน้ำในบ่อใช้โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางหลายไมล์เพื่อไปนำน้ำมาจากแหล่งน้ำที่ไกลออกไป
อีกทั้งกังหันวิดน้ำที่สร้างขึ้นทำให้น้ำไหลมายังเมืองตลอดเวลา
เรียกได้ว่าช่วยให้ชาวเมืองมีน้ำใช้ได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น
แต่เนื่องจากคิตชูวัตนนาเป็นเมืองที่ค่อนข้างใหญ่
การมีจุดกระจายน้ำจุเดียวจึงไม่เพียงพอ
เด็กหนุ่มจึงทำการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเมืองบางส่วนและสร้างจุดกักเก็บน้ำมากขึ้นเพื่อช่วยกระจายแหล่งน้ำให้ชาวเมืองได้อย่างทั่วถึง
แจนมองแผนผังการวางรางน้ำที่ค้างคาไว้สลับกับมองมาร์โก้ก่อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์จะผุดพรายจนทำให้องครักษ์คนสนิทรู้สึกหายใจหายคอไม่ทั่วท้อง
“มาร์โก้ข้าฝากเจ้าช่วยคุมการก่อสร้างและฝากงานที่เหลือด้วย”
แจนยัดแผนผังให้กับองครักษ์หนุ่มที่ได้แต่มองตาปริบๆ เท่านั้นไม่พอยังหิ้วแขนเด็กหนุ่มร่างอวตารที่กำลังนั่งดูการประกอบรางน้ำให้ลุกขึ้นตามเขาไป
“เดี๋ยวๆ นี่นายจะพาฉันไปไหนเนี่ย
บ่ายฉันต้องไปดูงานก่อสร้างอีกฝั่งของเมืองนะองค์ชาย”
เอเลนร้องโวยวายถามคนขัดจังหวะงานพลางลากตัวเขาออกมา
“เรื่องนั้นข้าฝากมาร์โกไว้แล้ว ส่วนเจ้าไปกับข้า เราจะเดินทางไปรับเอลามกัน
ถ้าเป็นแบบนี้เราจะใช้เวลาประมาน 2 วันก็คงได้พบหน้า”
ร่างอวตารเอเลนได้แต่อ้าปากพะงาบ
ดูเหมือนเจ้าชายรัชทายาทแห่งฮิตไทต์จะปรีดาจนไม่อยากแม้กระทั่งรอที่จะพบหน้าอนุชาตนเอง
เพียงไม่นานสัมภาระที่จำเป็นก็ถูกจัดเตรียมเรียบร้อย แจนเลือกทหารผู้ติดตามไปเพียงแค่โคนี่
และทหารชั้นล่างเพียง3นาย เพื่อให้สามารถเดินทางได้ไวที่สุด
“นายนำทหารไปเพียงเท่านี้จะไม่ประหม่าไปหน่อยรึไง?”
เอเลนอดห่วงได้เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงองค์ชายรัชทายาท
แต่เดิมที่เขาอยุ่กับฟาโรห์และเบเซธ ต่อให้จะรีบเร่งเดินทางเพียงใดองค์ฟาโรห์และเบเซทต่างจะมีทารคู่กายไปไม่น้อยกว่าสามคน
และทหารชั้นล่างอีกนับสอบนาย
“ไม่หรอกน่า อีกอย่างฝั่งนี้ยังถือว่าเป็นเขตของข้า
เรื่องความปลอดภัยถ้าอียิปต์ไม่รุกรานก็นับว่าไม่มีอันตรายใด
อีกอย่างตอนนี้อัญมณีแห่งไนล์อยู่กับข้า ฝ่ายนั้นคงไม่กล้าทำสิ่งใดบุ่มบ่ามจริงไหม?”
องค์ชายหนุ่มยกยิ้มอย่างมั่นใจก่อนตวัดกายขึ้นบนหลังอาชาคู่ใจ
“ขึ้นมาสิเอเลน”
แจนยื่นมือให้เด็หนุ่มหวังจะช่วยดึงร่างโปร่งให้ขึ้นขี่ม้าตัวเดียวกัน
เอเลนเมินมือขององค์ชายหนุ่ม
พลางเดินไปเลือกม้าอีกตัวที่เหล่าทหารจูงมา ก่อนจะตวัดกายขึ้นคร่อมอย่างคล่องแคล้ว
“เรื่องนี้ไม่ต้องรบกวนท่านหรอกองค์ชาย
หวังว่าท่านจะควบม้าตามข้าท่านนะ”
ใบหน้ามนยกยิ้มยียวนก่อนจะคุมบังเหียนให้อาชาสีขาวปรอดควบนำหน้า
โคนี่ได้แต่ปิดปากกลั้นหัวเราะกับภาพเจ้าชายแจนที่ยังคงค้างมือไว้อย่างนั้นจากการถูกปฏิเสธ
ก็ใครในแคว้นนี่จะกล้าปฏิเสธองค์ชายเล่า เกิดมาเขาก็เพิ่งเคยพบเจอ มือที่ถูกเมินเฉยจึงได้แต่ยกมาเกาท้ายทอยของตัวเองแทนแก้เก้อ
เจ้าชายหนุ่มกระชับบังเหียนในมือแล้วควบม้าตามร่างอวตารที่เริ่มไปไกลสายตา
ให้ตายสิ ไม่แปลกใจเลยที่เป็นร่างอวตารแห่งราผู้อยู่ข้างกายองค์รามเมส
ทั่งเชื่อมั่น ทนงตน จนน่าสั่งสอนนัก...
ด้วยการเดินทางที่ใช้เพียงคนไม่มากทำให้ขบวนสามารถร่นระบะเวลาในการเดินทางไปได้
เพียงไม่นานขบวนเสด็จขององค์ชายแจนก็มาถึงจุดพักขบวนของเหล่านักเดินทาง ณ โอเอซิสขนาดใหญ่ได้ในไม่ถึงสองวัน
“เราจะดักรอเอมลานที่นี้ คาดว่าพรุ่งนี้ขบวนของหมอนั่นคงมาถึง”
แจนนำม้าผูกไว้ที่ริมแม่น้ำ ก่อนจะจัดการสำรวจรอบๆโอเอซิส
“ครั้งก่อนข้าเก็บเปลของข้าไว้แถวนี้นะ เจอแล้วๆ
ดีจังที่ไม่มีคนขโมยมันไป” โคนี่ดึงเปลออกมาจากหลังโขดหิน
“ข้าเองก็เก็บผ้าทำกระโจมที่พักไว้แถวนี้เช่นกัน”
นายทหารนายหนึ่งไปรื้อของหลังต้นปลาม์ก่อนจะกลับออกมาพร้อมเชือกและผืนผ้าสำหรับกระโจม
“ข้าเคยเก็บจิ้งจอกทะเลทรายได้แถวนี้
แต่มันโตจนกลับเข้าฝูงไม่สนใจข้าเสียแล้ว” นายทหารอีกนายรำลึกความหลังพลางคอตก
“ปกติพวกท่านพักแรมที่โอเอซิสแห่งนี้บ่อยงั้นเหรอ?”
เอเลนถามด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นเหล่าทหารผู้ติดตามและเจ้าชายต่างสำรวจพื้นที่อย่างคุ้นชิน
อีกทั้งยังมีของใช้ที่แอบซ่อนเตรียมไว้ตามจุดต่างๆ
“ใช่แล้วขอรับท่านเอเลน
โอเอซิสแห่งนี้เป็นทางผ่านที่สำคัญระหว่างคิตชูวัตนาและฮัตตูซา โชคดีที่ตอนนั้นเจ้าชายแจนลองเปลี่ยนเส้นทางการเดินทางจากเดิม
ทำให้เราเจอที่แห่งนี้อีกทั้งยังร่นระยะทางจากเดิมได้อีกมาก”
โคนี่อธิบายพลางผูกเปลของตนเองก่อนจะกระโดดขึ้นไปนอนอย่างสบายอารมณ์
เมื่อเห็นว่าแต่ละคนเริ่มเข้าสู่โลกส่วนตัวของตัวเอง
เอเลนจึงเดินตามองค์ชายแจนที่เดินสำรวจพื้นที่โดยรอบ
แม้จะเป็นโอเอซิสแต่พื้นที่แห่งนี้นับว่ากว้างพอดู
ด้วยทะเลสาปขนาดใหญ่ทั้งยังมีในส่วนที่มีต้นไม้รกทึบจนเรียกได้ว่าป่า
นับเป็นโอเอซฺสหายากและล้ำค่าต่อนักเดินทางยิ่ง
ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่แห่งนี้จึงมีสัตว์น้อยใหญ่แวะเวียนมาใช้ที่แห่งนี้พักพิง
เอเลนเห็นเจ้าจิ้งจอกทะเลทรายที่หลบอยู่หลังโขดหินแล้วแอบนึกขันกับเรื่องเล่าของนายทหารที่ได้ฟังมาเมื่อสักครู่
จึงอดคิดไม่ได้ว่านี่จะใช่เจ้าจิ้งจอกตัวน้อยที่หักอกนายทหารคนนั้นหรือเปล่า
“นายทำอะไรอยู่น่ะองค์ชาย?”
เอเบนเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าแจนนำมีดสั้นที่ติดตัวมาถากกับลำต้นปาล์มจนเกิดรอย
“ข้ากำลังนับจำนวนต้น น่าชื่นชมนักเพียงแค่ไม่กี่เพลามีต้นไม้เจริญเติบโตขึ้นมากมายและมีต้นแปลกๆที่ข้าเพิ่งเคยพบด้วย”
เอเลนมองสำรวจเหล่าต้นปลามและต้นไม้อื่นๆในบริเวณก็พบว่าทุกต้นล้วนแล้วแต่มีรอยขีดจากขอมีคม
เมื่อต้นไหนเป็นต้นที่มาใหม่ แจนก็จัดการทำสัญลักษณ์ให้ทันทีที่พบเจอ
“นายสร้างสัญักษณ์ให้ต้นไม้เพื่อนับจำนวนพวกมันงั้นเหรอ?”
“สมเป็นร่างอวตาร
ข้านับเจ้าต้นพวกนี้เพราะอยากรู้ว่าโอเอซิสแห่งนี้จะเติบโตไปได้เพียงใด”
เอเลนมองด้วยความสงสัย
องค์ชายหนุ่มจึงช่วยอธิบายเพิ่มให้กระจ่าง
“อย่างที่ท่านเห็นฮิตไทต์ของเราล้อมรอบไปด้วยทะเลทราย
อีกทั้งแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่ใกล้นั้นก็เป็นทะเลแดง
ดังนั้นการเพาะปลูกหรือทำปศุสัตว์ของแคว้นเรานั้นด้อยกว่าอียิปต์ที่คลอบคลุมพื้นที่แม่น้ำไนล์นับหลายไมล์นัก
เมื่อเกิดภัยแล้งจะทำให้ประชากรเริ่มอดอยากอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นถ้ามีแหล่งอาหารเพิ่มขึ้นก็เท่ากับว่าแคว้นและคนของเราจะได้อิ่มท้องเพิ่มขึ้นอย่างไรล่ะ”
เด็กหนุ่มร่างอวตารมองใบหน้าที่มุ่งมั่นกับการสำรวจขององค์ชายหนุ่มด้วยความแปลกใจ
ใบหน้ามนคลี่ยิ้มบางให้กับการกระทำที่จริงจังของอีกฝ่าย
ถึงแม้จะเป็นเจ้าชายที่อารมณ์วู่วาม ทำตัวกวนประสาท แต่กลับเข้าใจและพยายามทำหน้าที่ในแบบของตนเอง
แม้จะดูกระด้างแต่ทั้งหมดนั้นหมอนี่คิดถึงคนของเขาจากใจจริง
เชื่อได้เบยว่าเมื่อถึงสมัยที่ปกครองโดยองค์ชายผู้นี้ฮิตไทต์จะเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ที่ใดแน่
เอเลนตบลงบนบ่าของเจ้าชายหนุ่ม
ใบหน้าหวานคลี่ยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิ
“บอกแล้วใช่ไหมระหว่างที่อยุ๋ที่นี้ฉันจะช่วยนายอย่างเต็มที่
เรื่องแหล่งน้ำและการเกษตรไว้ฉันจะช่วยคิดหาหนทาง”
องค์ชายแจนมองเด็กหนุ่มร่างอวตารอย่างแปลกใจ
ถึงยังไม่อาจมั่นใจว่าแท้จริงแล้วร่างอวตารผู้นี้ต้องการสิ่ใด หรือฝักใฝ่ฝ่ายใด
หรือแท้จริงแล้วต้องการเพียงแค่ช่วยเหลือโดยไม่เกี่ยงว่าเป็นชาวฮิตไทต์หรืออียิปต์กันแน่
แต่ถึงกระนั่นรอยยิ้มที่สดใสราวดวงตะวันและนัยน์ตาสีอร่ามชวนลุ่มหลงนั้นก็ทำให้รู้สึกว่า
ร่างอวตารผ็นี้คือผู้ที่มาเพื่อช่วยเหลือโดยแท้
“ถ้าอย่างนั้นคงต้องขอรบกวนท่านแล้วเอเลน”
องค์ชายแจนและเด็กหนุ่มร่างอวตารต่างช่วยกันสำรวจดินและน้ำจนพระอาทิตย์เริ่มคล้อย
ทั้งสองจึงต้องหยุดการสำรวจและกลับไปยังจุดพักแรม ระหว่าวทาวทั้งสองยังคงปรึกษาหารือเพื่อหาแนวทางการเพิ่มแหล่งอาหารให้กับชาวเมือง
“การทำเกษตรไม่จำเป็นต้องปลูกพืชอย่างเดียวเหมือนกันก็ได้
เราอาจปลูกพืชผสมหรือทำการปลูกพืชถามฤดูกาลเพื่อจะได้เป็นการถ่ายหน้าดิน
และทำให้สามารถปลูกพืชได้ตลอดปี”
“ถ้าอย่างนั้นต้องมีการสำรวจการเจริญเติบโตของพืชในแต่ละฤดูกาลเพื่อให้ง่ายต่อสิ่งที่เจ้ากล่าว”
“ถูกแล้ว
กลับไปในเมืองเมื่อไรต้องเรียกเหล่าชาวไร่มาคุยกันเราจะได้รู้จากคนที่ทำจริงและเก็บข้อมูลง่ายขึ้น”
“นับเป็นความคิดที่ดี.....
เอเลนเจ้าเงียบก่อน”
แจนปิดปากร่างอวตารหนุ่มที่ยังทำท่าเหมือนจะกล่าวต่อ
เอเลนขยุกขยิกสักพักแต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังขององค์ชายหนุ่มเด็กหนุ่มจึงสงบปากสงบคำตามที่องค์ชายแจนกล่าว
เมื่อเห็นว่าร่างอวตารเริ่มนิ่ง
แจนจึงคลายมือที่ปิดปากเด็กหนุ่มออกก่อนจะดันตัวเอเลนให้อยู่ด้านหลังและตนเป็นฝ่ายนำ
“มีอะไรงั้นเหรอ?”
เอเลนเริ่มมีท่าทางหวาดระแวงพยายามเดินตามหลังชิดองค์ชายแจนมากยิ่งขึ้น
“ข้าได้กลิ่น........เลือด”
แจนปรายสายตามองหน้าเด็กหนุ่มด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
เด็กหนุ่มร่างอวตารสันหลังเย็นวาบกับสิ่งที่ได้ยิน
สองมือของทั้งสองเริ่มชื้นเหงื่อ ฝีเท้าที่เดินตามปกติเริ่มลดเสียงลง
ร่างที่เดินเหยียดตรงเริ่มก้มมองด้วยความหวาดระแวง ยิ่งเมื่อใกล้จุดพักแรมกลิ่นคาวของโลหิตยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้นจนเอเลนเริ่มยกมือขึ้นมาปิดจมูก
กองไฟที่สว่างไสวเริ่มเด่นชัดมากขึ้น แจนและเอเลนหลบหลังก้อนหิน
ภาพที่เห็นตรงหน้าบันดาลโทสะให้องค์ชายหนุ่ม
กลิ่นคาวเลือดที่เตะจมูกและภาพทหารที่ร่วมเดินทางมาด้วยทั้ง 3
นายที่ต่างนอนจมกองเลือดไม่ไหวติง แจนกระโดดข้ามผ่านหินก้อนใหญ่ตรงเข้าไปสำรวจเหล่าทหารทั้งสาม
แต่ทั้งหมดนั้นมีเพียงร่างที่ไร้วิญญาน
เด็กหนุ่มร่างอวตารมองภาพตรงหน้าด้วยความพรั่นพรึง
เลือดในกายเย็นเฉียบนัยน์ตาสีอร่ามสั่นระริกไม่อยากเชื่อภาพที่เห็น
“โคนี่ โคนี่ โคนี่ แกอยู๋ไหน!?”
แจนตะโกนสุดเสียงเพื่อหาองครักษ์คนสนิท เสียงแผ่วหลังผ้าที่ผูกเป็นเปล
เมื่อทั้งสองวิ่งไปต้นเสียง โคนี่ที่พยายามลากร่างของตัวเองที่บาดเจ็บอีกทั้งยังมีธนูปักคาที่ช่องท้องขององครักษ์คนสนิท
“อ.......องค์... ชาย .. ร .... ร... รีบไป.....ซะ”
โคนี่พยายามพูดด้วยแรงที่มี สองแขนที่ขยับเมื่อสักครู่เริ่มนิ่งงั้น
“น...นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!?”
เอเลนมองศพเหล่าหทารอย่างไม่อาจเชื่อสายตา
แจนที่นิ่งค้างมององครักษ์ที่เปรียบดั่งเพื่อนสนิท
ร่างของคนที่ชอบต่อล้อต่อเถียงเย้าแหย่อย่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
บัดนี้เสียงโหวกเหวกนั้นดับสิ้นเสียแล้ว...
องค์ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าปอดพยายามยันร่างกายของตัวเองให้ลุกขึ้น
แจนจับแขนลากร่างอวตารหนุ่มให้ไปยังที่ตนผูกม้าไว้
แรงบีบที่ต้นแขนทำให้เอเลนนิ่วหน้า ถึงกระนั่นก็มิกล้าท้วงติงสิ่งใด
มือที่ชื้นเหงื่อและแรงบีบขององค์ชายส่งผ่านความเจ็บปวดมาถึงเขาโดยไม่ต้องเอ่ย เขาผู้ซึ่งพบป่ะคนเหล่านี้ยังไม่นานนัก
ยังรู้สึกอาลัย แต่สำหรับองค์ชายแจนนับเป็นการสูญสิ้นที่น่าหดหู่
“ข้าขอโทษ....ถ้าข้าฟังเจ้าเตือนสักนิดแล้วนำคนมามากพอ...”
องค์ชายหนุ่มผู้องอาจกล่าวด้วยเสียงขุ่นมัวยามพยายามปลดอาชาที่คล้องไว้เพื่อรีบเร่งเดินทาง
“อย่าโทษตัวท่านเองเลย มันเป็นเรื่องที่เกินคาดการณ์
ตอนนี้เราต้องรีบไปจากที่นี้ก่อน”
เพราะไม่รู้ว่าเหล่านักฆ่ายังวนเวียนที่นี้หรือไม่
แจนพยักหน้ารับ
ร่างสูงตวัดขึ้นหลังม้าอย่างคล่องแคล้วก่อนจะยื่นมือให้เด็กหนุ่มขึ้นมาตัวเดียวกับตน
ถ้าเป็นปกติเอเลนคงคิดที่จะขอขี่ม้าเอง
แต่สถานการณ์ตอนนี้เด็กหนุ่มจึงยอมขึ้นอาชาตัวเดียงกันกับองค์ชายแจนอย่างไม่อิดออด
ฉึก!!
ร่างขององค์ชายหนุ่มไถลลงจากอาชาสีขาว
ลูกธนูด้ามยาวปักเข้าที่หลังของชายหนุ่มอย่างไม่ทันตั้งตัว
“แจน แจน!!”
เอเลนรับร่างเจ้าชายที่ร่วงหล่นลงมาด้วยความตกตะลึง ทันทีที่ร่างขององค์ชายหนุ่มร่วงลงลูกธนูจำนวนมากมายต่างพุ่งตรงมายังทั้งสอง
เอเลนหลับตาแน่นอธิษฐาน นี่มันเรื่องบ้าอะวะเนี่ย!! ฉันไม่ได้อยากมาตายที่นี้นะโว๊ยย ถ้าเพียงแต่มีประตูเท่านั้น!!
เคร้ง เคร้ง
ลูกธนูจำนวนมากมายถูกปัดออก
เมื่อร็สึกถึงเงาที่ทาบทับเด็กหนุ่มร่างอวตารจึงค่อยๆลืมตาขึ้น
ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มพร้อมดาบและโล่ในมือกำบังเขา ชายหนุ่มที่เขาคุ้นเคยดี
“มิคาสะ นายมาได้ไง!!?”
มิคาสะปัดธนูที่กระหน่ำลงมา ทั้งใช้ดาบตวัดธนูให้พ้นทาง
“ข้ากับแอนนี่คอยเฝ้าท่านตั้งแต่ออกจากธีปต์
ไม่คิดว่าจะต้องปรากฏกายให้ท่านเห็นเร็วขนาดนี้”
“แอนนี่มาด้วยงั้นเหรอ!?”
ลูกธนูที่ถูกยิงเริ่มเบาบางลงก่อนจะหายไป
มิคาสะดูลาดเลาสักพักก่อนจะลดโล่และดาบลง
“แอนนี่คงจัดการเจ้าพวกนั้นเสร็จแล้ว”
เพียงไม่นานเด็กสาวผิวแทนก็ปรากฏกายพร้อมชายร่างใหญ่ที่แต่งกายปกปิดมิดชิด
“คนอื่นหนีไปได้ ข้าเลยจับเจ้านี้มา” แอนนี่โยนชายร่างใหญ่กว่าตนเองให้กับมิคาสะ
ชายนักฆ่ากลิ้งไถลไปหมบแทบเท้าของชายหนุ่ม
มิคาสะล็อคแขนกดชายผู้ลอบสังหารไว้กับพื้น แอนนี่จัดการเปิดผ้าคลุมที่ปกปิดหน้า
“ท่านเอเลนคุ้นหน้าคนนี้บ้างหรือไม่?”
แอนนี่หันหน้าชายลอบสังหารหาเด็กหนุ่มเพื่อให้พิจารณา
เอเลนมองหน้าชายตรงหน้าก่อนจะส่ายศรีษะ
เขาไม่เคยพบชายที่ลอบสังหารผู้นี้มาก่อน
“..พ..พวกแก ต้องการอะไร?” ร่างขององค์ชายแห่งฮิตไทต์เริ่มขยับ
แจนดันตัวเองให้ลุกขึ้นก่อนจะมองหน้าชายปริศนาซึ่งเขาไม่รู้จัก
“ท่านก็ไม่รู้จักชายผู้นี้ใช่ไหมองค์ชาย ถ้าอย่างนั้นคงต้องสอบปากคำว่ามันเป็นคนของใคร”
มิคาสะหักแขนชายลอบสังหาร
เสียงกระดูกดังราวกับเสียงของกิ่งไม้ที่ถูกหัก
ชายหนุ่มปริศนาร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวด
“ตอบคำถามข้ามา แกเป็นใคร?”
จากท่าทางและหน่วยก้านแล้วนั้นมิคาสะคาดเดาได้ว่าคนคนนี้ไม่ใช้โจรกระจอกทั่วไปแน่
อีกทั้งการซุ่มโจมตีและอาวุธที่ใช้ก็ไม่ใช่ของอย่างที่เหล่าโจรทั้งหลายชอบใช้
“หึ... อยากรู้งั้นรึ!”
ชายปริศนาหัวเราะในลำคอ ใบหน้ายียวนมองไปรอบๆก่อนจะยกยิ้มเจ้าเล่ห์
“ท่านมิคาสะหมอนั่นซ่อนพิษไว้!!”
ไม่ทันตั้งตัวชายปริศนากัดพิษที่ซ่อนไว้ในปาก พิษชนิดรุนแรงเพียงไม่นานชายผู้ถูกจับกระอักโลหิตก่อนจะดิ้นทุรนทุรายและร่างใหญ่โตนั่นก็นิ่งงันในที่สุด
แอนนี่เข้ามาสำรวจร่างของชายปริศนาอย่างถ้วนถี่แต่ก็ไม่พบสิ่งใด
“หมอนี่คงเป็นนักฆ่ามืออาชีพ” ถ้าโดนจับมีแต่ต้องตายเท่านั้น
เป็นวิธีที่เหล่านักฆ่าชีพนิยมทำ มิคาสะเตะร่างไร้วิญญานของชายปริศนาอย่างหัวเสีย
“นี่คงไม่ใช่แผนของทางอียิปต์สินะ..อึก”
แจนมองคนคุ้มกันทั้งสองที่โผล่มาได้จังหวะอย่างแปลกใจ
“พวกเราไม่ทำสิ่งลอบกัดเช่นนี้”
มิคาสะตอบองค์ชายหนุ่มอย่างไม่สบอารมณ์
“องค์ชายท่านช่วยนิ่งก่อน เราต้องทำให้เลือดหยุด” เอเลนปรามคนเจ็บที่ยังคงมีลูกธนูปักอยู่ที่หลัง
“ธนูแค่นี้ฆ่าข้าไม่ได้หรอก!”
เพี๊ยะ!
แจนเอื้อมมือหวังจะดึงลูกธนูที่ปักออก
แต่โดนเด็กหนุ่มร่างอวตารตีที่มือห้ามไว้
“ใครสั่งใครสอนให้ดึงไอของที่มันเสียบร่างออก
เดี๋ยวเลือดก็ไหลหมดตัวตายพอดี!!”
เอเลนดุเสียงขุ่น จนองค์ชายได้แต่มองตาปริบๆ มือยังคงค้างที่ด้ามธนู
เอเลนจึงขยับมือขององค์ชายออกแล้วสำรวจลูกธนูที่ปักคาหลังองค์ชายหนุ่ม
“นายต้องกลับไปทั้งอย่างนี้”
“ไอธนูนี้มันเสียบหลังข้า
ข้าต้องเอามันออกแล้วเจ้าก็หาผ้ามาพันห้ามเลือดข้าสิถึงจะถูก”
องค์ชายหนุ่มที่กลายเป็นเป้าเสียบธนูค้านด้วยความงงงวย
“ถ้านายดึงธนูนี่ออกที่นี้ นายอาจไม่ได้กลับไปทำปากเก่งที่คิตชูวัตนา
หรือฮัตตูซาหรอกนะ
ถ้าสุ่มสี่สุ่มห้าดึงออกแล้วห้ามเลือดไม่ได้จนเลือดไหลหมดตัวนายจะตายอย่างเดียว
อีกอย่างตอนนี้เลือดเริ่มหยุดไหลแล้ว กว่าจะถึงเมืองขอให้นายทนไปก่อน”
แจนได้แต่มองตาปริบๆกับคำสั่งด้วยท่าทางจริงจังของเด็กหนุ่มร่างอวตาร
เอเลนตวัดตัวขึ้นมาที่องค์ชายแจนร่วงตกลงมาก่อนจะก้มยื่นมือให้อีกฝ่ายที่ยังคงมองด้วยความไม่เข้าใจ
“ฉันจะขี่ม้าเองนายก็ขึ้นมาซะ”
เมื่อเห็นว่าองค์ชายแจนยังคงนิ่งค้างเอเลนจึงดึงแขนขององค์ชายหนุ่มโดยมีมิคาสะและแอนนี่ช่วยดันให้ร่างขององค์ชายแจนขึ้นประทับบนม้ากับเด็กหนุ่มร่างอวตาร
“ตอนที่เรามามช้เวลาแค่ราววันครึ่ง
ตอนกลับคงไม่ต่างกันและเราต้องรีบแล้ว”
มิคาสะและแอนนี่พยักหน้ารับก่อนจะจัดการปลดม้าที่เหลืออยู๋แล้วรีบควบตะบึงไปพร้อมกับเด็กหนุ่มร่างอวตาร
เหล่าอาชาต่างห้อตะบึงอย่างรวดเร็วเพื่อกลับไปยังเมือง เด็กหนุ่มร่างอวตารกัดฟันแน่น
ภายในใจร้อนรุ่มดุจไฟสุม
ถ้าทุกอย่างเป็นดั่งที่เขาคาดการณ์ตอนนี้เขาต้องรีบกลับไปยังแคว้นคิตชูวัตนาโดยเร็วที่สุด
เสียงแตรส่งสัญญานดังระงม รีไวรามเมสทรงชุดศึกเต็มยศบนอาชาสีทมิฬ
กองทหารนับพันนายต่างอยู๋ในแถวพร้อมเต็มอัตตราศึก
อีกฝากฝั่งของแม่น้ำมีกองทัพอีกกองและแม่ทัพหนุ่มในเครื่องยศชั้นสูงบ่งบอกถึงความเป็นเชื้อพระวงศ์บนเนินหลังอาชาองอาจ
แม่ทัพหนุ่มที่องค์รามเมสเคยเห็นเป็นครั้งครานับตั้งแต่ออกรบมา
“ท่านพ่อเราควรรอเสด็จอาแจ้งข่าวเรื่องท่านอวตารก่อนไม่ดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เบเซธในชุดเตรียมศึกไม่ต่างกันทูลถาม
รีไวรามเมสปรายตามองบุตรชายก่อนจะทอดสายตาจับจ้องไปเบื้องหน้าเฉกเช่นเดิม
เมื่อเบเซธเห็นว่าเสด็จพ่อคงไม่เปลี่ยนพระทัยองค์ชายหนุ่มจึงโค้งคำนับและกลับเข้าที่ประจำการ
หลายวันก่อนมีข่าวสารการหายตัวไปของร่างอวตาร
อีกทั้งการหายตัวไปครั้งนี้ยังเป็นการหายไปพร้อมกับรัชทายาทแห่งฮิตไทต์
อีกทั้งมีทหารพบเครื่องประดับที่ชุ่มเลือดของทั้งสอง
เมื่อการณ์เป็นเช่นนี้แล้วจึงทำให้ทั้งอียิปต์ฮิตไทต์ต่างไม่อาจอยู่เฉยได้
เบเซธมองดูองค์ฟาโรห์รามเมสพลางถอนหายใจ ตอนนี้เขาไม่เข้าใจว่าเสด็จพ่อของเขาคิดสิ่งใดกันแน่
ถ้าจะบอกว่ากำลังบันดาลโทสะเรื่องที่ท่านเอเลนหายไปนั่นเขาก็ไม่อาจมั่นใจว่าเป็นเช่นนั้น
ด้วยเหตุที่ว่าองค์ราเมสนั่งยังคงสงบนิ่งนัก รู้ดีว่าเรื่องศึกสงครามท่านพ่อมักไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาพัวพัน
ถ้าปกติแล้วจะต้องรอมูลสารให้ครบถ้วน
จากสถานการณ์เขาอดคิดไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วท่านพ่ออาจกำลังอยากคลายเบื่อ
หรือนึกสนุกเรื่องใดกันแน่?
ตะวันเริ่มขึ้นเด่นที่กลางศรีษะ
ทั้งสองกองทัพต่างเผชิญหน้าโดยห่างกันเพียงไม่กี่ไมล์ และมีเพียงแม่น้ำกั้นเท่านั้น
รีไวรามเมสมองท้องฟ้าที่พระอาทิตย์ฉายเที่ยงตรง
ใบหน้านิ่งงันยกยิ้มมุมปากอย่างนึกสนุกก่อนจะสั่งด้วยเสียงดุดันกังวาน
“เคลื่อนพล!!”
กองทัพทั้งสองฝากฝั่งเริ่มกรีฑาเข้าหากัน
แสงอาทิตย์ที่เจิดจ้ากระทบกับโลหะสะท้อนมากมายกลางสมรภูมิ เพียงไม่กี่นาทีทะเลทรายและแม่น้ำที่กั้นพรหมแดนแห่งนี้จะถูกแบ่งด้วยสีแห่งชีวิต...
“หยุดก่อน!!”
เสียงตะโกนดังกึกก้องท่ามกลางสมรภูมิทั้งสองฝากฝั่ง
กลุ่มอาชาห้อตะบึงเข้าแทรกกลางระหว่างทัพใหญ๋ทั้งสอง
ผ้าคลุมที่ปกปิดถูกสะบัดออกใบหน้าหวานและนัยน์ตาสีทองดุงแสงแห่งสุริยันฉายแววดุดันมุ่งตรงขวางกลาง
หนุ่มน้อยร่างอวตารกระโดดลงจากหลังม้า ร่างบางหอบจนตัวโยนด้วย
ก่อนจะสูดหายใจลึกพร้อมตะโกนจนสุดเสียง
“หยุดก่อนพวกท่านเราไม่ควรทำศึกกัน!”
เหล่าทหารที่เดินหน้าต่างหยุดชะงักทั้งสองฝั่งด้วยความมึนงง
“ท่านคงเป็นร่างอวตาร ภาชนะแห่งราที่เลื่องลือสินะ”
เสียงหนึ่งตะโกนก้องลงมาไถ่ถาม
เอเลนมองยังต้นเสียงก่อนจะโค้งคำนับให้อีกฝ่าย
“ท่านคงเป็นเอลามอนุชาขององค์ชายแจน
ข้าเข้าใจถึงเหตุที่ท่านยกทัพมาครั้งนี้ แต่ขอให้ท่านใจเย็นลงเสียก่อน”
เอลามควบม้ามาใกล้เด็กหนุ่มร่างอวตารใบหน้าเคร่งขรึมจ้องเขม็งคาดโทษเด็กหนุ่ม
“ใจเย็นงั้นรึ
เจ้ารอดมาเพียงผู้เดียวแต่พระเชษฐาของเราคงโดนสังหารแล้วใช่หรือไม่?”
“เปล่าเลย พี่ชายของพระองค์ยังคงมีชีวิตอยู่”
ผ้าคลุมของชายหนุ่มอีกผู้หนึ่งถูกปลดออก
แจนกระโดดลงจากหลังม้าลงยืนเคียงข้างเด็กหนุ่มร่างอวตาร
“ข้ายังสบายดีเอลาม ทั้งที่ข่าควรจัดงานต้อนรับเจ้า
แต่ดูเหมือนเจ้าจะจัดงานต้อนรับข้าแทนเสียใหญ่โต”
แจนหันหน้าเผชิญกับฝ่ายอียิปต์ที่อยู่อีกฝากฝั่ง
องค์รีไวรามเมสยังคงนั่งอยุ่บนอาชาด้วยความสงบนิ่ง
องค์ชายแจนค้อมศรีษะเพื่อให้เกียรติฟาโรห์หนุ่ม
“ต้องขออภัยท่านด้วย ดูเหมือนจะเกิดการเข้าใจผิดกันเล็กน้อย”
“ช้าก่อนท่านพี่
มีคนส่งเครื่องประดับของท่านพี่และร่างอวตารที่เปื้อนเลือดมายังข้า
นี่อาจเป็นแผนของทางอียิปต์ที่ต้องการข่มขวัญเราก็เป็นได้!”
เอลามแย้งอย่างขัดใจเมื่อเห็นพระเชษฐาของตนมีท่าทีนอบน้อมต่อแดนคู่อริ
“นายคิดถูกว่ามันเป็นแผน แต่ฉันมั่นใจว่าไม่ใช่ทางฝั่งฟาโรห์ลูกดกตรงนั้นหรอก”
เอเลนเดินไปหาเจ้าชายแจนก่อนจะจับองค์ชายหนุ่มหมุนตัว
“นี่ไงหลักฐาน
ลูกธนูที่ปักบนหลังองค์ชายในวันที่เราโดนทำร้ายเป็นการพิสูจน์ได้
หัวธนูของฮิตไทต์และอียิปต์แตกต่างกัน เพียงแค่เอาสิ่งนี้ออกมาเราจได้รู้ความจริง”
เสียงฮือฮาดังขึ้นท่ามกลางสนามรบ
เหล่าผู้คนต่างตกตะลึงกับหลักฐานที่ร่างอวตารหนุ่มเสนอ จะมีเพียงแต่ฟาโรห์รีไว
รามเมส ที่ยิ้มอย่างถูกใจมองเหตุการณ์เบื้องหน้า
“เป็นเช่นนั้นขอรับ
หัวธนูของชาวฮิตไทต์และชาวอียิปต์มีวิธีการทำและวัสดุที่ต่างกัน ถ้าเป็นอย่างที่ท่านร่างอวตารทูลเราสามารถใช้สิ่งนี้เป็นหลักฐานได้”
หนึ่งในเสนาบดีช่วยชี้แจง
“เข้าใจแล้ว
ใครก็ได้ไปตามมาโก้คนสนิทข้าให้มาเอาธนูออกเพื่อพิสูจน์กัน” องค์ชายแจนมองเด็กหนุ่มร่างอวตารอย่างถูกใจ
เข้าใจถึงการที่เอเลนไม่ยอมให้เขาเอาลูกธนูที่ปักที่ตัวเขาออกแล้ว
ถ้าเอาออกหรือเก็บมาเพียงแค่นั้นหลักฐานจะไม่หนักแน่นพอ
แต่ลูกธนูที่เขาโดนทำร้ายมาเช่นนี้ย่อมเป็นหลักฐานชิ้นดี ทั้งที่ ณ
เวลานั้นเด็กหนุ่มมีสีหน้าถอดสีกับการเห็นศพของคนตาย
ทั้งๆอย่างนั้นกลับคิดเรื่องนี้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว อีกทั้งยังคาดเดาถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ
อยากได้...จะต้องทำอย่างไรถึงจะได้ร่างอวตารผู้นี้มาครอบครองกัน....
มาร์โกและแพทย์หลวงรีบมาตามคำเชิญ
แพทย์นำไฟรนที่มีดก่อนจะกรีดลงบนผิวขององค์ชายที่แผลเริ่มปิด
เจ้าชายหนุ่มกัดฟันกรอดเพื่อข่มความเจ็บของลูกธนูที่กำลังถูกดึง เมื่อลูกธนูหลุดออกจากร่างขององค์ชายหนุ่มมาร์โกรับลูกธนูมาพิจารณาก่อนจะประกาศ
“หัวลูกธนูเป็นของเราชาวฮิตไทต์ไม่ผิดแน่!!”
น่าจะพาอามินมาด้วย เอเลนของรีไวล์คนเดียวเว้ยย กระทืบแจนขอหานอกใจอามิน(?)5555555
ตอบลบกลับต่อเร็วน่ะค่ะ
ตอบลบสนุกมาก
ถ้าเปนไปได้ทุกอยู่หน้ากันเราจะเข้าไปอยู่ในนั้นวิ่งไปอู้มเอเลนแล้วเพ่นหนีไป555+#ร้าย
รออยู่เร็วน่ะ
มัาช่างสนุกเพลิดเพลินอะไรขนาดนี้
ตอบลบเพิ่งได้อ่านชอบมากๆเลยค่ะ ฮือ เอเลนของรีไวล์คนเดียวนะ เอาอาร์มินสิ เทพเเห่งปัญญา อิิิอิ
ตอบลบสนุกมากทริปอียิปต์โบราณของเอเลนนี่ลุ้นขึ้นเรื่อยๆ
ตอบลบ