วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2559

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์ Chapter 23:

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์
Pairing: (LevixEren)
Rate: NC-17
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
Story By: AkeRah , Trendy Blood
………………………………………………………………………………………………..
Chapter 23:

สายลมร้อนยามเช้าพัดเอื่อยๆผ่านเข้ามาทางบานหน้าต่างพร้อมกับแสงแดดที่ออกจะอุ่นเกินจำเป็นอยู่เล็กน้อย ร่างโปร่งที่กำลังนอนหลับสนิทผินใบหน้าซุกลงกับหมอนหลบหลีกแสงแดดยามเช้าที่ส่องกระทบ แต่ถึงอย่างนั้นไอร้อนระอุที่แผ่เข้ามาผ่านหน้าต่างก็ชวนให้ร้อนจนหงุดหงิดท่อนขาเรียวยาวยกถีบสะบัดผ้าห่มออกจากตัวอย่างงุ่นง่านเสียจนชายชุดนอนผ้าฝ้ายโปร่งถลกเปิดขึ้นจนเห็นต้นขาอ่อนก่อนจะหลับต่ออย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน
เจ้าชายแจนจ้องมองร่างโปรงที่ซุกหมอนอยู่บนเตียงผมเผ้ากระเจิงเสื้อแสงเปิดอ้าซ่าแล้วก็ลอบถอนหายใจเฮือก........นี่หรือคือร่างอวตารแห่งรา ยามนอนหลับก็ไม่ได้ผิดแผกไปจากกลุ่มชนคนธรรมดาเลย.........
ร่างสูงเดินตรงเข้าไปหยุดยืนอยู่ข้างเตียงเงียบๆ  คนที่หลับก็ยังไม่ยักจะรู้สึกตัว.............ช่างไม่ระวัดระวังตัวอะไรเช่นนี้  คิดพลางเอื้อมมือไปดึงชายชุดนอนตลบปิดท่อนขาเรียวยาวให้ก่อนจะตีหน้าขรึมแล้วแสร้งกระแอมเสียงดัง
“ท่านร่างอวตาร ตื่นเถิด.....บัดนี้เช้าแล้ว” นอกจากจะไม่ตื่น อีกฝ่ายยังเอื้อมมือไปจิกผ้าห่มที่ถีบออกมาคลุมโปงอย่างตัดรำคาญ
“ท่านเอเลน ตื่นเถิด” พอเอื้อมมือไปดึงชายผ้าห่มฝ่ายคนที่กำลังหลับก็เอาแต่ส่งเสียงอู้อี้ยื้อผ้าห่มไว้แน่น ใบหน้าอันเคร่งขรึมของเจ้าชายหนุ่มค่อยๆบิดเบี้ยวอย่างหงุดหงิด และเมื่อความอดทนสิ้นสุดลงมือใหญ่จึงกดผ้าห่มคลุมโปงร่างโปร่งเอาไว้จนเมื่อคนที่นอนอยู่ทนความร้อนและอึดอัดไม่ไหวทะลึ่งพรวดลุกขึ้นมาด้วยเหงื่อโซมหน้าและจ้องมองมาอย่างตื่นตะลึง เจ้าชายแจนจึงส่งยิ้มเย็นชาให้ทีแล้วกล่าวตอบ “เช้าแล้ว ขอให้ท่านเตรียมตัวให้เรียบร้อย วันนี้ข้าจะพาท่านเที่ยวชมคิชชูวัตนา” กล่าวเสร็จก็ผันกายออกไปจากห้องโดยไม่สนใจคำตอบจากเอเลนเสียด้วยซ้ำ
“นี่มันจะปลุกรึจะฆ่ากันแน่วะเนี่ย” เอเลนได้แต่สบถอย่างเคืองๆพลางชูกำปั้นไล่หลังไปอย่างโกรธๆ
ขบวนเที่ยวชมเมืองในครั้งนี้ใหญ่กว่าที่เอเลนคาดคิดเอาไว้เสียอีก เพราะนอกจากจะมีเจ้าชายมูวาตัลลิสและองครักษ์คนสนิทแล้วยังมีกุนเธอร์และทหารอารักษ์ประจำตัวที่ฟาโรห์ราเมสส่งมาคุ้มกันเขาติดตามไปด้วย
“เพื่อไม่เป็นการดูหมิ่นร่างอวตาร ครั้งนี้ข้าได้เตรียมม้าสายพันธุ์ดีที่สุดของเราไว้ให้” เจ้าชายแจนกล่าวขณะจูงม้าเข้ามาใกล้ เอเลนส่งสายตามองม้าอาหรับตัวใหญ่สีดำเลื่อมตรงหน้าตาเป็นประกาย เห็นท่าทางตื่นเต้นของอีกฝ่ายแล้วแจนก็ยิ้มมุมปากน้อยๆ “หวังว่าท่านคงจะพอใจ”
“สุดๆเลยล่ะ” เอเลนกล่าวตอบพร้อมกับที่ดึงบังเหียนโหนตัวขึ้นไปนั่งบนหลังม้าอย่างลิงโลด ขณะที่กุนเธอร์รีบทักท้วง “ท่านร่างอวตาร กระหม่อมเกรงว่าจะไม่เป็นการปลอดภัย ถ้าอย่างไรเสียทูลเชิญ......” ยังกล่าวไม่ทันจบร่างอวตารก็พลันยกมือโบกปัดเป็นพัลวัน “ไม่เป็นไรๆ ท่านกุนเธอร์อย่าได้กังวล ข้าดูแลตัวเองได้ไม่ต้องห่วง” ร่างอวตารตอบกลับพลางชักม้าตามเจ้าชายมูวาตัลลิสไปช้าๆ กุนเธอร์รีบกลับไปขึ้นม้าและตามไปประกบเด็กหนุ่มร่างอวตารติดๆด้วยความรู้สึกที่ว่าตั้งแต่ออกจากอียิปต์จนมาถึงคิชชูวัตนานี่เงาหัวดูจะเลือนลางลงไปทุกที
“ก่อนอื่นข้าต้องแจ้งให้ท่านเอเลนทราบก่อนว่าคิชชูวัตนานั้นไม่ใช่เมืองหลักของเรา” เจ้าชายแจนกล่าวเรื่อยเฉื่อยขณะที่ชักม้าเดินนำขบวนชมเมืองไปช้าๆ
“ฮัตตูซา” เอเลนพึมพำกับตนเองเสียงเบา
“นับว่าความรู้ของท่านร่างอวตารนี่กว้างขวางเสียเหลือเกิน” เจ้าชายแจนกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่ออกจะเย้ยหยันเล็กน้อย ซึ่งเอเลนก็เชิดหน้ารับอย่างท้าทาย แน่นอนว่าความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์อียิปต์ที่ได้จากพ่อนั้นผ่านเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาออกจะบ่อย ถึงจะไม่ได้ซึมซับมาทั้งหมดแต่ก็พอจะรู้อยู่บ้างแล้วมีหรือที่เรื่องราวของอาณาจักรคู่แข่งอย่างฮิตไทต์จะไม่ผ่านเข้าหูมาบ้าง ถึงจะไม่ได้รู้ลึกซึ้งไปเสียทั้งหมดแต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักเลย
“ฮัตตูซาตั้งอยู่บนยอดเขา แน่นอนว่าไม่อาจอุดมสมบูรณ์เทียบเท่าอียิปต์ที่มีแม่น้ำไนล์คอยหล่อเลี้ยง แต่ด้วยภูมิประเทศแบบนั้นทำให้เรามีในสิ่งที่อียิปต์ไม่มีและนั่นถือเป็นข้อได้เปรียบของเรา” เจ้าชายแจนกล่าวอย่างภาคภูมิขณะที่พาขบวนชมเมืองหยุดลงตรงหน้าปากโพรงถ้ำที่ถูกขุดลึกเข้าไปในภูเขา
“เหมืองแร่?”
“ถูกต้อง.....เชิญ” เจ้าชายแจนกล่าวพลางเอื้อมมือไปรับร่างโปร่งลงจากหลังม้าพลางเดินนำเข้าไปด้านในโพรงถ้ำหินที่ซึ่งพวกชนชั้นแรงงานกำลังขุดเจาะกันอยู่
“ด้วยสิ่งนี้จึงทำให้เราได้เปรียบอียิปต์เป็นอย่างมาก” แจนกล่าวพร้อมกับหยิบหินแร่ขึ้นมาโยนเล่นก่อนจะเอ่ยต่อ “หินพวกนี้จะถูกนำไปสกัดจนได้เหล็กออกมา และเหล็กพวกนี้ก็จะถูกนำไปหลอมทำเป็นอาวุธอีกที” แจนกล่าวพร้อมกับโยนหินขึ้นแล้วชักดาบวงเดือนที่เหน็บอยู่ข้างเอวมาฟันหินแร่ก้อนนั้นจนขาดครึ่งโดยที่ใบดาบยังคงส่องประกายวาววับเช่นเดิมไม่มีแม้แต่รอยขีด
“นี่คือสิ่งที่อียิปต์ไม่มีทางสู้เราได้” แจนเอ่ยด้วยรอยยิ้มร้ายก่อนจะกล่าวต่อ “ยังมีอาวุธชั้นดีเยี่ยงนี้รอลับคมกับพวกอียิปต์อีกนับไม่ถ้วน” เมื่อกล่าวจบจึงเก็บดาบกลับเข้าฝัก เอเลนมองประกายดาบที่หายลับไปในฝักพลางกล่าวอย่างใจเย็น
“อียิปต์ไม่ได้ปรารถนาเรียกร้องสงคราม”
“คาดว่านี่คงเป็นสาส์นที่องค์รีไวราเมสฝากถึงข้า......แต่จะเชื่อได้สักแค่ไหนกัน” แจนกระซิบเสียงเครียดก่อนจะผินตัวเดินนำออกไปจากเหมือง
“เพื่อพิสูจน์ความจริงใจ ตัวข้าถึงต้องมาที่นี่อย่างไรล่ะ” เอเลนวิ่งตามพร้อมกับอธิบายเสียงอ่อนก่อนจะเอื้อมมือไปยึดชายผ้าคลุมของเจ้าชายแห่งฮิตไทต์ไว้
“ข้ามาที่นี่ เพื่อบอกข่าวนี้แก่ท่าน สงครามนำพามาแต่ความสูญเสีย แม้จะกุมซึ่งชัยชนะแต่ความสูญเสียที่เกิดขึ้นก็ใช่ว่าจะถูกชดเชยได้”
“ เจ้าจะบอกว่าฟาโรห์โฉดนั่นไม่ได้กระหายในสงครามเช่นนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้นเจ้าจงดูสิ่งนี้ด้วยดวงตาของเจ้าเถิดร่างอวตาร” แจนกล่าวขณะฉุดแขนลากเอเลนไปยืนประชิดริมเนินเขาสูง ไกลออกไปสุดสายตาผ่านผืนดินแห้งแล้งและทะเลทรายอันเวิ้งว้าง จุดดำเล็กๆที่ปรากฏให้เห็นอยู่ปลายสุดลูกหูลูกตาดูราวกับว่ามีกองคาระวานปักหลักตั้งพำนักอยู่ แต่ถ้าจะให้กล่าวตามตรงทั้งๆที่ห่างไกลถึงเพียงนั้นแต่ยังสามารถมองเห็นได้ชัดเจนเกรงว่าคงไม่ใช่กองคาระวานเล็กๆธรรมดา ถ้าหากจะกล่าวว่าเป็นกองทัพนั่นยังจะดูเข้าเค้ามากกว่า
กองทัพ........... คำๆนี้วนเวียนอยู่ภายในใจของเอเลน คงไม่ใช่ว่า.............
“เขาส่งเจ้ามาเพื่อยับยั้งสงคราม แต่ตัวเองกลับยกทัพมาปักหลักอยู่ที่เมืองชายแดนอย่างเมมฟิส หากว่าไม่ได้ต้องการสงครามแล้วเจ้าจะบอกว่าเขาต้องการสิ่งใดกัน”
เอเลนปวดหัวตุ้บจนแทบจะอยากเอาหน้ามุดดินทรายเสียให้รู้แล้วรู้รอด นี่ตาลุงฟาโรห์หื่นกามนั่นจะไม่ไว้ใจกันเลยใช่มั้ย ถึงอยากจะตามมาจริงๆก็เถอะ แอบมาเงียบๆไม่ได้รึไงยกทัพกันมาขนาดนี้แล้วเขาจะเชื่อมั้ยล่ะว่าตั้งใจแค่มานอนตากอากาศเล่นที่เมืองชายแดนเฉยๆ
“เรียนเจ้าชายมูวาตัลลิสต่อให้องค์ฟาโรห์ราเมสยกทัพมาปักหลักที่เมมฟิสนั้นเป็นความจริง แต่ตราบใดที่อียิปต์ยังไม่ล่วงล้ำแก่ฮิตไทต์ก็ไม่อาจกล่าวหาว่ามีเจตนารุกรานได้ ในเมื่อเมมฟิสก็เป็นหนึ่งในแผ่นดินของอียิปต์ย่อมเป็นสิทธิ์ของพระองค์ที่จะเสด็จประพาสได้ทุกเมื่อ แค่เพียงแต่ทัพหลวงกรีฑาทัพมาปักหลักอยู่ที่เมืองชายแดนแบบนี้ท่านยังตีความว่าองค์รีไวราเมสปรารถนาจะประกาศสงคราม แล้วการที่ท่านยกทัพใหญ่มาปักหลักอยู่ที่เมืองท่าที่แสนแร้นแค้นอย่างคิชชูวัตานาแบบนี้จะไม่ให้องค์ฟาโรห์ของเราเกิดความระแวงระวังในตัวท่านบางเลยหรือ” เอเลนมองสบตาเจ้าชายหนุ่มอย่างเยือกเย็น แจนที่ถูกดักทางได้เผยรอยยิ้มเหี้ยมออกมา
“ทั้งๆที่เขาเกิดความระแวงในตัวข้า ยังกล้าส่งเจ้ามาที่นี่”
“นั่นเพราะองค์ราเมสต้องการแสดงความบริสุทธิ์ใจกับท่านถึงได้ส่งข้ามาเป็นทูตเชื่อมสัมพันธ์กับฮิตไทต์ หากเป็นไปได้ พระองค์ก็ไม่ปรารถนาให้เกิดสงคราม”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงจำไว้ร่างอวตารแห่งรา หากวันใดพวกอียิปต์มันเหยียบย่างเข้ามาบนแผ่นดินฮิตไทต์ บัดนั้นข้าจะนำเลือดของพวกมันมาขีดเส้นแบ่งชายแดนให้องค์ราเมสได้ยล........ระหว่างนี้เจ้าก็จงอยู่ที่นี่ในฐานะทูตสันถวไมตรีอย่างสงบต่อไปเสียเถิด”
เอเลนถึงกับต้องถอนหายใจเฮือกกับความดื้อรั้นของเจ้าชายแห่งฮิตไทต์ แม้เขาจะสามารถเกลี้ยกล่อมให้องค์ฟาโรห์รีไวชะลอการศึกออกไปก่อนได้ แต่หากเป้าประสงค์ที่แท้จริงของเจ้าชายมูวาตัลลิสคือการก่อสงครามตั้งแต่แรก องค์ราเมสจะต้องตอบโต้อย่างแน่นอน และเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงสงครามได้อีก
“จะไม่มีทางอื่นอีกแล้วจริงๆหรือ”


“หากจะให้ทูลตามตรง คิชชูวัตนาแม้จะเป็นเมืองเล็กๆที่ค่อนข้างกันดาร แต่ด้วยความที่เป็นดินแดนที่มีแต่หินและภูเขานั้นเป็นผลดีต่อพวกฮิตไทต์พะยะค่ะ”
“ภูเขาที่ห้อมล้อมถือเป็นปราการจากธรรมชาติ อีกอย่างพวกนั้นเชี่ยวชาญการศึกแบบกองซุ่ม พวกมันสามารถเล่นงานทัพของเราจากที่สูงได้โดยง่ายสินะ”
“ถูกต้องแล้วพะยะค่ะ เพราะฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะยกทัพไปทลายเมืองคิชชูวัตนา”
“แต่หากเป็นการรบในที่ราบ พวกเราจะได้เปรียบในทันที”
“เสด็จพ่อคงไม่คิดที่จะทำสงครามกับฮิตไทต์จริงๆหรอกนะพะยะค่ะ ในเมื่อเอเลนเองยังอยู่ในกำมือของฝ่ายนั้นหากบุ่มบ่ามทำอะไรไปลูกเกรงว่าเอเลนจะกลายเป็นเหยื่อ”
“วางใจเถอะเบเซท ตราบใดที่มูวาตัลลิสยังไม่ได้แสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจน สงครามก็จะไม่เกิด แผนการพวกนี้ก็แค่เตรียมไว้ในกรณีเลวร้ายที่สุดที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ก็เท่านั้น” องค์รีไวราเมสตรัสตอบพลางแย้มสรวลให้แก่โอรส ขณะนั้นเองที่เบลทรูทก้าวเข้ามาในกระโจมพร้อมกับพญาเหยี่ยวตัวใหญ่
“อิลเซ่?” พระองค์ตรัสเรียกนามพญานกด้วยความฉงน มันตีปีกขานรับหนึ่งที
“เพิ่งมาถึงเมื่อสักครู่พะยะค่ะ”
“ออกไปให้หมดก่อน” ตรัสสั่งพลางผิวปากเรียกเหยี่ยวยักษ์เข้ามาหา
“รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ” เจ้าชายเบเซทและเหล่าทหารแม่ทัพรับคำก่อนจะทยอยเคลื่อนตัวกันออกไปจากกระโจม ในพลับพลาที่ประทับจึงเงียบสงัดลงทันตา
ฟาโรห์หนุ่มทรุดพระวรกายประทับลงบนเก้าอี้ทรงงานพลางแกะจดหมายที่ถูกผูกติดมากับอิลเซ่ออกทอดพระเนตร เพียงแค่เห็นอักษรตัวแรกพระองค์ก็แทบจะหัวหมุนในทันที
เจ้าเด็กบ้านี่กล้าเขียนภาษาเทพมาถึงข้าเชียวรึ!!!
งานนี้ต่อให้เป็นฮันจ์เองก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้พระองค์มีแต่ต้องพึ่งตัวเองเท่านั้น อุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ที่แสนแปลกตาจึงถูกหยิบยกขึ้นมา ฟาโรห์หนุ่มทอดพระเนตรสมาร์ทโฟนที่วางอยู่บนโต๊ะนิ่งเขม็งพลางหวนคำนึงไปถึงสิ่งที่เด็กหนุ่มร่างอวตารได้เคยสอนเอาไว้
กดตรงนี้ เมื่อหน้าจอสว่างขึ้นมาพระองค์ต้องใส่รหัสนี้ลงไปแล้วเข้าไปที่เมนู เลือกโปรแกรมสอนภาษา
พระองค์ทรงทำตามขั้นตอนที่นึกได้ก่อนจะมาสะดุดอยู่ที่ส่วนของการใส่รหัสผ่าน พระองค์ใส่รหัสผิดไปแล้วหนึ่งครั้ง
รหัสผ่านคือวันเดือนเกิดของกระหม่อม
“ก็ใส่ถูกแล้วนี่นา” พระองค์พึมพำตรัสเสียงเบาขณะที่จิ้มหน้าจอสมาร์ทโฟนอย่างเก้ๆกังๆอีกครั้ง
แต่เอาอย่างนี้ดีกว่ากระหม่อมเข้าใจว่าฝ่าบาทก็สูงวัยมากแล้ว เพราะฉะนั้นจะตั้งรหัสใหม่ตามใจพระองค์ก็แล้วกัน ฝ่าบาทโปรดเลขไหนหรือพะยะค่ะ เมื่อหวนคำนึงถึงใบหน้าเปื้อนยิ้มขี้เล่นของเด็กหนุ่มแล้วก็เผลอแย้มสรวลขณะที่ใส่รหัสลงไปใหม่ ครานี้หน้าจอปลดล็อคในทันที
เอ๋.........ยังโปรดจะใช้วันเดือนเกิดของกระหม่อมอีกหรือ ทำไมล่ะ มันจำง่ายล่ะซี่ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมก็จะสลับเลขกันซะเลย อยากรู้เหมือนกันว่าพระองค์จะจำได้รึเปล่า เด็กหนุ่มร่างอวตารหัวเราะร่วนขณะที่ตั้งรหัสผ่านใหม่เข้าไป
“เด็กโง่......ข้าไม่ได้เลอะเลือนถึงเพียงนั้นเสียหน่อย” ตรัสพลางแย้มพระสรวลให้กับเด็กหนุ่มที่อยู่บนภาพหน้าจอ มือใหญ่กดเลือกเข้าไปที่คลังรูปภาพซึ่งเก็บภาพถ่ายของเจ้าตัวกับเพื่อนสนิทเอาไว้ แทบทุกภาพจะมีมิคาสะที่อยู่ในร่างสตรีอยู่ด้วยเสมอ อ่อ.....และเด็กหนุ่มเทพแห่งปัญญาที่เคยพบกันมาแล้วผู้นั้น และที่คาดไม่ถึงก็คือมีรูปของพระองค์เองอยู่ด้วย แม้จะเป็นรูปตอนที่บรรทมอยู่ก็เถอะ
“เด็กบ้านี่แอบถ่ายตอนที่ข้าหลับหรอกรึ” ถึงพระองค์จะรู้สึกหงุดหงิดแต่ก็หาได้โกรธเคืองแม้แต่น้อย ขณะที่เปิดดูรูปภาพอย่างเพลินตาก็พลันเหลือบไปเห็นจดหมายที่กางอยู่บนโต๊ะจึงรู้สึกพระองค์ว่าที่เปิดเจ้าเครื่องนี่ไม่ใช่เพราะจะดูรูป แต่จะทำอย่างอื่นต่างหาก เมื่อเปิดเจอโปรแกรมที่ต้องการก็หยิบสมุดคำศัพท์ที่เจ้าตัวดีอุตส่าห์หอบหิ้วมาจากดินแดนเทพควบคู่กันไปด้วย ค่อยๆแปลพร้อมกับฝึกออกเสียงไปด้วยทีละคำ กว่าจะเงยพระพักตร์ขึ้นมาอีกทีก็เป็นเวลาเย็นย่ำแล้ว พระองค์ทรงเอนพระวรกายพิงที่ประทับอย่างอ่อนล้า ตรัสกับตนเองแผ่วๆ
“เหนื่อยยิ่งกว่าตอนทำศึกเสียอีก”
จากที่พระองค์ทรงแปลได้คร่าวๆดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะบ่นเรื่องการเดินทางที่กินเวลานานอยู่นิดหน่อยแต่ก็ไปถึงที่หมายโดยปลอดภัยดี เหมือนจะมีใครสักคนที่ป่วยหรืออาจจะหลายคน.......
“หวังว่าเจ้าคงจะไม่ป่วยนะเจ้าเด็กบ้า”
พระองค์ก็ได้แต่หวังว่าจะเป็นผู้อื่น แต่ถึงจะป่วยจริงหากเอเลนยังเขียนจดหมายหาพระองค์ได้เช่นนี้ก็คงจะไม่มีอะไรมาก และเหมือนจะมีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับฮันจ์ซึ่งยังไม่ค่อยกระจ่างนัก คงต้องถามเจ้าตัวเรื่องนี้อีกทีเมื่อพบหน้า แต่หากจะให้พระองค์แปลต่อในวันนี้ก็คงไม่ไหวแล้วจริงๆจึงคิดที่จะเขียนจดหมายตอบไปให้อีกฝ่ายแทน เมื่อหยิบกระดาษเปล่าขึ้นมาก็ทำให้พระองค์ต้องย้อนถามตนเองอีกครั้ง
“จะเขียนอะไรดี”


“เฮ้อ........” วันนี้ตระเวนรอบเมืองมาทั้งวันคลุกฝุ่นจนเหนียวไปทั้งตัว หลังจากที่ได้อาบน้ำล้างตัวสระผมผลัดเปลี่ยนชุดใหม่แล้วก็ให้รู้สึกสดชื่นจนต้องถอนหายใจด้วยความโล่ง แต่เมื่อทิ้งร่างนอนแผ่ลงบนที่นอนก็ต้องถอนหายใจออกมาอีกครั้ง คิตชูวัตนาช่างแตกต่างจากธีบส์เสียเหลือเกิน ด้วยภูมิประเทศที่มีแต่ดินกับหินทำให้การเกษตรกรรมของที่นี่ไม่เฟื่องฟูเช่นที่อียิปต์ หัวใจหลักที่เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชาวเมืองที่นี่ดูจะมีเพียงเหมืองแร่เท่านั้น เพราะการขุดเจาะแร่แบบนี้ทำให้ฝุ่นควันฟุ้งกระจายลอยตัวกันอยู่มากเพราะแบบนี้คนที่นี่ถึงได้ป่วยกันหมดไม่ว่าจะเด็กหรือแก่
“แบบนี้ก็คงไม่พ้นเป็นวัณโรคกันหมดแน่ๆ”
ส่วนที่หนักยิ่งกว่านั้น บ่อน้ำหลักประจำเมืองที่มีเพียงแค่บ่อเดียวก็แทบจะแห้งขอด ไม่ว่าคนหรือแม้แต่สัตว์เลี้ยงก็ใช้น้ำในบ่อนั้นร่วมกันทั้งนั้น ตามถนนหนทางก็เต็มไปด้วยมูลสัตว์ที่ถ่ายทิ้งเรี่ยราด คุณภาพชีวิตของคนที่นี่นั้นย่ำแย่จริงๆ
“ต้นน้ำหลักที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ไกลออกไปตั้งสามสิบไมล์ มันก็ไม่สะดวกจริงๆนั่นแหละที่ต้องไปตักน้ำ ชาวคิชชูวัตนานี่น่าสงสารจริงๆ”
ถ้าจะเทียบกันแล้วก็นับว่าเป็นบุญของอียิปต์จริงๆที่มีแม่น้ำไนล์ไหลผ่าน แล้วจะมีทางไหนที่ลำเลียงน้ำจากต้นน้ำมาที่บ่อได้บ้างล่ะ..............เอเลนครุ่นคิดพลางค่อยๆนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่อยู่ธีบส์ ห้องอาบน้ำที่อยู่ในวังหลวงก็ใช้รางส่งน้ำดึงน้ำจากต้นทางเข้ามาที่สระกับที่นี่ก็น่าจะใช้ได้ผลเช่นกัน
เอเลนลุกพรวดพราดกระวีกระวาดหากระดาษเปล่ามาร่างภาพรางน้ำออกมาอย่างรวดเร็ว สายตาพลันสะดุดกับเงาคนที่อยู่นอกประตู แต่เมื่อสบตากันฝ่ายผู้มาเยือนกลับผินหน้ากลับทางเดิมเสียอย่างนั้น
“เฮ้ๆ เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไปเจ้าชาย มาคุยกันก่อน” เอเลนรีบวิ่งไปรั้งตัวชายหนุ่มร่างสูงเอาไว้
“ยังมีอะไรต้องคุยอีก” แจนเอ่ยถามพลางขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด
“เข้ามาคุยกันหน่อยสิ มีอะไรจะให้ดู” เอเลนตอบพลางลากแขนอีกคนเดินเข้าห้องแล้วจับยัดนั่งลงบนเก้าอี้
“ดูนี่สิ” ร่างอวตารกล่าวพลางยื่นกระดาษไปตรงหน้า
“นี่คืออะไร”
“รางน้ำไงล่ะ ด้วยสิ่งนี้เราจะสามารถนำน้ำมาเติมที่บ่อให้เต็มได้โดยไม่ต้องใช้แรงงานไปตัก ทั้งยังแจกจ่ายไปใช้ในการปศุสัตว์และการเกษตรได้อีกด้วย” เอเลนเอ่ยตอบหน้าระรื่น
“ทำไม” แจนกลับถามเสียงเครียด
“แบบนี้ทุกคนในเมืองก็จะไม่ลำบากอีกต่อไปอย่างไรล่ะ”
“จำเป็นที่เจ้าจะต้องทำเรื่องพวกนี้ด้วยหรือ”
“ข้าบอกไปแล้วว่ามาในฐานะทูตเป็นตัวแทนน้ำใจไมตรีจากอียิปต์ ทุกสิ่งที่ข้าทำข้าเต็มใจช่วยเหลือฮิตไทต์อย่างเต็มที่”
“เพื่อแลกกับการที่ข้าจะไม่ก่อสงครามอย่างนั้นหรือ”
“ก็เปล่าหรอกแค่รู้สึกว่าถ้ามีสิ่งนี้มันจะทำให้คนที่นี่ใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายขึ้น ส่วนเรื่องสงครามถ้าหากท่านยอมอ่อนข้อก็นับว่าเป็นผลพลอยได้” เอเลนยิ้มเผล่สารภาพตามตรง ถ้าจะบอกว่าไม่หวังผลอะไรเลยก็เหมือนกับโกหกล่ะ ลึกๆแล้วเขาก็อยากให้การช่วยเหลือนี้ถือเป็นบุญคุณที่อียิปต์มีต่อฮิตไทต์อยู่บ้างนี่ก็ถือเป็นกลยุทธหนึ่ง แต่ถ้านับจากใจจริงก็แค่อยากช่วยแค่นั้นแหละ
“หึ!!! ไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก” แจนแค่นเสียงตอบอย่างเย็นชา
“เอาเถอะๆ เรื่องสงครามน่ะพับไว้ก่อน ให้คนของท่านทำได้มั้ยรางน้ำแบบนี้ ต้องใช้ไม้เยอะหน่อยเพราะระยะทางจากเมืองไปถึงแหล่งน้ำค่อนข้างไกล นอกจากตัวรางแล้วยังต้องสร้างฐานที่แข็งแรงเอาไว้ด้วย”
“ถ้าอยากได้ที่แข็งแรงจริงใช้เหล็กไม่ดีกว่ารึ”
“ไม่ได้ๆ ถ้าใช้เหล็กเมื่อโดนน้ำนานๆต่อไปก็กลายเป็นสนิม จะให้ดื่มกินน้ำที่เป็นสนิมก็อันตราย ลองใช้ไม้ดูก่อนดีกว่า”
“ต้องตัดไม้ให้เป็นรูปทรงแบบนี้รึ”
“ใช่ๆ  ส่วนฐานก็ต้องเป็นแบบนี้” เอเลนตอบพลางวาดรูปให้ดู “อาจต้องใช้ไม้กับกำลังคนมากหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่านะ”
หลังจากปรึกษากันเรื่องรางน้ำเอเลนยังเสนอความคิดอีกหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือการกำจัดสิ่งปฏิกูลที่พวกสัตว์เลี้ยงทิ้งไว้เรี่ยราดด้วย
“มูลสัตว์ เอามาทำเป็นปุ๋ยได้ เจ้าของที่เลี้ยงสัตว์ต้องมีความรับผิดชอบ มีจิตสาธารณะไม่ปล่อยให้พวกมันถ่ายเรี่ยราด เพราะของพวกนั้นน่ะเป็นพาหะนำเชื้อโรคชั้นยอดต้องเก็บกวาดให้เกลี้ยงแล้วเอาไปทำปุ๋ยต่อก็ได้ ขายก็ยังได้ด้วยนะ”
“มูลสัตว์น่ะเหรอ”
“อืม ฮึ”
หลังจากนั้นก็ยังพูดคุยกันอีกหลายเรื่องจวบจนดวงจันทร์ลอยเด่นไปค่อนฟ้า
“ดึกขนาดนี้เชียวหรือ” แจนมองดวงจันทร์พลางรำพึงเสียงเบา
“อ่า.....นั่นสิ ง่วงแล้วนะเนี่ย” เอเลนตอบรับพลางกระชับผ้าห่มที่ห่อตัวให้แน่นขึ้น
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัว” แจนกล่าวพร้อมกับเก็บแบบร่างทั้งหมดที่เอเลนวาดให้ดูกลับไปด้วย
“โอเค กู๊ดไนท์” ร่างโปร่งเอ่ยบอกอย่างลืมตัว แจนหันกลับมาทันที “เจ้าว่าสิ่งใดนะ”
“เอ่อ.....ฝันดีนะ ฝันดี” เจ้าตัวยิ้มพร้อมกับโบกมือให้เขาหยอยๆก่อนจะล้มตัวลงกับที่นอน เห็นแบบนั้นแจนก็ปิดประตูห้องให้อีกฝ่ายอย่างเบามือ
เพียงแค่คล้อยหลังแจนไปได้ไม่นานอิลเซ่ก็บินเข้ามาในห้อง มันร่องลงเกาะขอบเตียงส่งเสียงทักเอเลนเบาๆ
“อ้าว.....นี่กลับมาแล้วรึ” อิลเซ่ส่งเสียงตอบรับเอเลนพร้อมกับยื่นขาที่ถูกผูกจดหมายมาด้วยไปให้
“ตอบกลับมาด้วยเหรอเนี่ย” รู้สึกแปลกใจอยู่หน่อยๆ แต่ก็แอบตื่นเต้นอยู่นิดๆว่าลุงฟาโรห์คนนั้นจะเขียนอะไรมา แล้วจะแปลจดหมายที่เขาเขียนไปให้ได้รึเปล่า แต่พอเปิดอ่านข้อความในจดหมายนั้นแล้วก็ได้แต่ระเบิดหัวเราะลั่นก่อนจะกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง
“ดูท่า คืนนี้ฉันต้องฝันร้ายแน่ๆ” เอ่ยกับตนเองกลั้วหัวเราะก่อนจะหันไปเอ่ยกับดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนฟ้า
“คุณพระจันทร์ บอกกับเขาให้ผมทีนะว่า กู๊ดไนท์”
ว่าแล้วก็ยกจดหมายขึ้นอ่านอีกครั้ง ก่อนจะกอดจดหมายเข้าสู่นิทราพร้อมกับรอยยิ้ม

ich vermisse dich” องค์รีไวราเมสตรัสเอ่ยกับดวงจันทร์ก่อนจะเข้าสู่บรรทม
ในจดหมายนั้นมีเรื่องราวมากมายที่พระองค์อยากจะบอกกล่าวกับเด็กหนุ่มผู้นั้น แต่หากจะให้สรุปรวบความรู้สึกทั้งหมดของพระองค์เป็นประโยคสั้นๆ ก็ดูจะมีแต่ประโยคนี้เท่านั้น พระองค์จึงได้เขียนฝากอิลเซ่ส่งไปถึงเอเลน

ich vermisse dich............................ ผมคิดถึงคุณ






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น