Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์
Pairing: (LevixEren)
Rate: NC-17
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง
ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
Story By: AkeRah , Trendy Blood
………………………………………………………………………………………………..
Chapter
22:
การเดินทางที่ยาวนานผ่านทะเลทรายนั้น่ไม่สะดวกสบายเหมือนกับโลกปัจจุบัน
อีกทั้งยังไม่มีสิ่งใดให้คนขี้เบื่ออย่างเอเลนฆ่าเวลา
สุดท้ายเด็กหนุ่มร่าวอวตารจึงเลือกที่จะนอนหลับเอาแรงแทนที่ต้องทนนั่งดูภาพทะเลทรายที่เหมือนกันนับหลายไมล์
“ท่านร่างอวตารขอรับ”
เสียงของแม่ทัพผู้รับหน้าที่ส่งเสด็จควบม้าเข้ามาใกล้ก่อนจะตะโกนถาม
เด็กหนุ่มขยี้ตาของตัวเองพลางปิดปาดหาวก่อนจะเลิกม่านกั้นขึ้นด้วยใบหน้างัวเงีย
เมื่อเห็นดังนั้นแม่ทัพหนุ่มจึงรีบขอโทษเป็นพัลวันด้วยเกรงว่าตนได้ทำการรบกวนเวลาพักผ่อนของร่าวอวตารแห่งรา
อีกทั้งหวั่นเกรงว่าจะเป็นการทำให้ร่างอวตารขุ่นเคืองยิ่งนัก
แต่เอเลนกลับเพียงแค่ป้องปากหาวอีกครั้ง
“ท่านกุนเธอร์ตอนนี้เราใกล้ถึงคิตชูวัตนาแล้วเหรอ...ฮ้าว”
เด็กหนุ่มยังคงเอามือป้องปากพลางเอาแขนเกยกับหน้าต่างรถม้า
“ก..ใกล้แล้วพ่ะย่ะค่ะ
เมื่อเราผ่านเนินทะเลทรายตรงนั้นไปเราจะเข้าสู่แคว้นคิตชูวัตนา”
กูนเธอร์ชี้ให้เห็นเนินทะเลทรายเบื้องหน้าที่อยู่ไม่ไกลนัก
ในใจของแม่ทัพหนุ่มยังคงตุ้มๆต่อมๆ ข่าวที่เขาได้ยินมาว่าท่านร่างอวตารเป็นผู้ที่ไม่ถือตัวคงจะจริงไม่น้อย
เพราะมัวแต่ออกไปดูชายแดนและปราบจราจลจึงไม่ค่อยได้กลับธีปส์เสียเท่าไร
เมื่อกลับมาก็เจอเด็กหนุ่มผู้ที่อ้างว่าเป็นอวตารแห่งรา แม้จะมีข้อขัดแย้งในใจแต่ท่าทีขององค์รามเมสที่มีต่อเด็กหนุ่มผู้นี้ทำให้เขาเริ่มลดข้อกังขาลง
อีกทั้งเรื่องไหวพริบของการปราบกบฏที่องค์ราเมสเสด็จด้วยองค์เองนั้นทำให้เขารู้สึกเลื่อมใสเด็กหนุ่มผู้นี้มากขึ้น
และถึงแม้จะรู้มาบ้างว่าองค์ร่างอวตารแห่งรานั้นเป็นผู้ติดดินและไม่ถือองค์
แต่เขายังคงรู้สึกเกร็งเมื่อต้องรับหน้าที่ส่งเสด็จอย่างใกล้ชิดในครั้งนี้
จะไม่ให้รู้สึกเกร็งได้อย่างไรล่ะ
ถึงแม้ท่านร่างอวตารจะดูเป็นผู้ที่ไม่ใส่ใจเรื่องฐานะ
แต่องค์รามเมสที่ฝากฝังตัวเขามานั้นใช่จะใจดีเช่นเดียวกับท่านร่างอวตารเสียที่ไหน
ถ้าเขาเผลอทำให้ร่างอวตารบาดเจ็บแม้เล็กน้อยตำแหน่งแม่ทัพและครอบครัวเขาคงดับสูญเป็นแน่แท้
ถ้าจะบอกตามตรงถ้าเขาเผลอทำองค์รามเมสเป็นแผลยังไม่รู้สึกร้อนๆหนาวๆเท่าถ้าเผลอทำร่างอวตารมีรอยข่วนเลยให้ตายสิ
“ท่านกุนเธอร์ ท่านกุนเธอร์”
เสียงใสที่ตะโกนเรียกพร้อมมือที่โบกตรงหน้าเรียกสติของแม่ทัพหนุ่มที่เตลิดไปไกลกลับเข้าร่าง
“ม.. มีอะไรให้รับใช้พ่ะย่ะค่ะ!!”
ทั้งความตื่นเต้นระคนตกใจกุนเธอร์จึงเผลอตะโกนออกมาเสียงดังจนเอเลนมองตาปริบๆ
นี่เขาคงไม่ได้ทำให้นายกองผู้นี้โกรธอะไรหรอกนะ...
เอเลนได้แต่ยิ้มแห้งๆให้กับผู้ตีหน้าเคร่งขรึมรอรับคำสั่ง
“เออ... คือ... ผมอยากขอยืมม้าสักตัวได้ไหม? อยู่แต่ในนี้อึดอัดชะมัด”
ว่าพลางยกพนมมือขอร้อง
“แต่ว่าองค์รามเมสกำชับให้ท่านร่างอวตารประทับอยู่ในรถม้าจนกว่าจะถึงแคว้นคิตชูวัตนา
นะพ่ะย่ะค่ะ”
เอเลนพองลมในแก้มเมื่อแม่ทัพหนุ่มปฏิเสธคำขอร้อง แต่ถึงอย่างนั้นคนดื้อรั้นแบบเขาใช่ว่าจะยอมแพ้เสียโดยง่าย
“ตอนนี้องค์รามเมสก็ไม่อยู่แล้วเสียหน่อย อีกอย่างนี่ก็ใกล้ถึงแคว้นแล้ว
ถ้าข้าเฉาตายอยู่ในนี้องค์รามเมสอาจขุ่นเคืองพระทัยก็ได้นะ”
“ถ...ถึงขั้นจะตายเลยหรือพะย่ะค่ะ?”
แม่ทัพกุนเธอร์เริ่มหน้าถอดสีอีกครั้ง และนั่นยิ่งทำให้คนเจ้าเล่ห์ที่ตอนนี้หายง่วงเป็นปลิดทิ้งแสดงละครว่ารู้สึกอึดอัดและทรมาน
“...ห..หายใจไม่ออก...ทรมานชะมัดเลย....ถ้ายังอยู่ในนี้ต้องตายแน่ๆ”
“เชิญท่านร่างอวตารใช้เจ้านี้ได้เลยพะย่ะค่ะ!!”
ยิ่งเห็นท่าทางอิดโรยและทรมานของเด็กหนุ่ม กุนเธอร์รีบกระโดดลงจากหลังม้าคู่ใจด้วยความร้อนรน
เอเลนเยี่ยมหน้าออกมาดูพลางยกยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะจัดการคว้าสายบังเหียนพุ่งตัวออกจากหน้าต่างรถม้าขึ้นขี้ม้าสีนิลของแม่ทัพผู้เสียสละอย่าง่ายดาย
“เออ... ท่านรู้สึกดีขึ้นแล้วใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ” กุนเธอร์ผู้เปลี่ยนเป็นลงไปเดินตามเงยหน้ามองถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
“รู้สึกดีขึ้นมากเลย เพราะท่านแท้ๆที่ช่วยชีวิตเราไว้”
ใบหน้ามนหวานหันส่งยิ้มให้กับกุนเธอร์ผู้ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังโดนหลอก
คนเสียสละได้แต่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกพลางเข้าไปลูบแผงคอของม้าตัวโปรด
“ท่านยังขี่ม้าได้ไม่แข็งแรงนัก
ถ้าอย่างไรกระหม่อมจะช่วยจูงเพื่อให้บังคับได้ง่ายขึ้นนะยะย่ะค่ะ”
กุนเธอร์เสนอด้วยความหวังดีระคนห่วงว่าร่างอวตารจะได้รับบาดเจ็บ
แต่เมื่อมองเห็นใบหน้ากลมหวานนั้นมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างไม่ปิดบังคนหวังดีถึงกับหยุดชะงัก
“เห...... ขี่ม้าไม่แข็งสินะ....”
เอเลนทวนคำอีกครั้งก่อนรอยยิ้มนั้นจะฉีกยิ้มกว้างขึ้น
รอยยิ้มที่เอานายกองหนุ่มถึงขั้นเสียวสันหลังวาบ
“บังเหียนจับกระชับอย่างนี้ เจ้านี้ก็ดูไม่พยศเท่าไร”
เอเลนลูบแผงคอม้านิลที่แย่งมาจากนายกอง
ซึ่งเจ้าม้าก็ส่งเสียงครืดในลำคอตอบรับสัมผัสจากมือของเด็กหนุ่ม
“เอาล่ะนะ!”
ยังไม่ทันที่กุนเธอร์จะหายใจได้ทั่วท้อง
เอเลนบังคับห้อตะบึงม้าที่แย่งมาด้วยความเจ้าเล่ห์จนม้าสีนิลของกุนเธอร์วิ่งห้อตะบึงขึ้นไปนำหน้าขบวนก่อนจะวกกลับมายังที่แม่ทัพยืนมองด้วยความงงงวย
ทั้งท่าทางการขี่ม้าทั้งการบังคับนั้นไม่ใช่คนที่เพิ่งหัดขี่ม้าเป็นแน่
แต่เขาจำได้นะว่าเห็นองค์รามเมสสอนร่างอวตารผู้นี้ขี่ม้าเมื่อวานซืนเท่านั้น
หรือว่าเพราะเป็นเทพเลยเรียนรู้ได้เร็วอย่างนั้นเหรอ?
“ดูเหมือนเจ้านี้จะไม่มีปัญหา งั้นขอผมยืมสักแปบนะท่านกุนเธอร์”
ไม่รอให้เจ้าของอนุญาตคนดื้อดันก็บังคับม้าไปนำขบวนอีกครั้ง
เอเลนควบม้าของแม่ทัพกุนเธอร์วิ่งนำหน้าขบวนเสด็จของตัวเองตรงไปยังเนินที่อยู่ไม่ไกลสายตานัก
ลมทะเลทรายและฝุ่นที่เริ่มคลุ้งกระจายทำให้เด็กหนุ่มต้องกระชับผ้าที่ติดมาด้วยพันคลุมใบหน้าเพื่อกันฝุ่นทราย
คนดื้อรั้นได้แต่หัวเราะขำในใจกับสีหน้าของนายกองหนุ่ม ทำไมเขาจะขี่ม้าไม่ได้ล่ะในเมื่อเขาออกทะเลทรายกับพ่อตั้งแต่เด็ก
แม้จะมีรถยนต์เป็นพาหนะในการเดินทางแต่หลายครั้งที่น้ำมันสำรองหมดจนต้องเปลี่ยนเป็นเดินทางด้วยเท้า
ม้า อูฐ หรือตัวลามะอยู่บ่อยๆ เรื่องขี่ม้าเรียกได้ว่าเป็นของถนัดที่เรียนมาพร้อมกับศิลปะการต่อสู้แบบมั่วๆของเขาเลยก็ว่าได้
ที่ต้องทำแกล้งขี่ม้าไม่เป็นแล้วหาเรื่องให้องค์รามเมสสอนเพราะรู้ดีว่าคนออย่างหมอนั่นคงไม่ยอมให้เขาขี่ม้าง่ายๆแน่
จึงต้องใช้ลูกไม้ต่อรอง
เด็กหนุ่มควบอาชาสีนิลขึ้นจนสุดเนิน แคว้นคิตชูวัตนาที่อยู่เบื้องหน้าของเด็กหนุ่มมีความใหญ่โตไม่ต่างจากธีปส์ที่จากมา
ใบหน้ามนสาดส่องสำรวจรอบๆ หัวใจแห่งการผจญภัยเต้นระรัว
เลือดในกายเริ่มเดือดพล่านด้วยความตื่นเต้น รู้อยู่ว่าเขาไม่ได้มาเที่ยวเล่น
แต่มาพร้อมความหวังของอียิปต์ที่แบกไว้บนบ่า
ถึงจะรู้อย่างนั้นแต่โอกาสการที่คนในยุคปัจจุบันอย่างเขาย้อนอดีตมาได้แบบนี้มันมีเสียที่ไหนนอกจากในเกมส์
นิยาย หรือการ์ตูนเท่านั้น ตัวเขาที่ได้มาสัมผัสเรื่องน่าเหลือเชื่อแบบนี้ก็ต้องขอประสบการณ์ที่หายากติดกลับไปสิ
“ท่านร่างอวตารรีบกลับเข้าขบวนเถิดพะย่ะค่ะ เราใกล้จะถึงประตูเข้าเมืองแล้ว” กุนเธอร์ยืมม้าจากนายทหารในขบวนควบเร่งตามเด็กหนุ่มมาจนถึงเนินทะเลทราย
เอเลนพยักหน้ารับยอมตามกุนเธอร์กลับเข้าในขบวนอย่างว่าง่าย
ขบวนส่งเสด็จร่างอวตารแห่งรายาตราเข้าสู่แคว้นคิตชูวัตนา
อณาจักรของชนชาวฮิตไทต์ หรือ ชาวอนาโตเลีย มีความเจริญรุ่งเรืองเทียบเท่าอณาจักรอียิปต์
ภายใต้การปกครองของเมอร์ซิลลิสที่หนึ่ง ถ้าอียิปต์คือแก่นแห่งอารยธรรมลุ่มน้ำไนล์
ฮิตไทต์ก็เปรียบได้ดั่งแก่นอารยธรรมแห่งเอเซียไมเนอร์
เอเลนมองลอดผ่านม่านกั้นเพื่อสำรวจ
แม้สิ่งปลูกสร้างและวัสดุจะไม่ต่างจากดินแดนอียิปต์เท่าไรนัก แต่ศิลปะวัฒนธรรมและความวิจิตรต่างกันอย่างชัดเจน
ชาวฮิตไทต์มักสร้างที่อยุู่อาศัยและอาคารรูปร่างคล้ายโดม
และซุ้มโค้งมากมายการตกแต่งเรียกได้ว่าเป็นไปอย่างเรียบง่ายเทียบไม่ได้กับอณาจักรอียิปต์ที่ให้ความสำคัญต่อศิลปะมากกว่าและมีความวิจิตรมากกว่านัก
ประชาชนรอต้อนรับขบวนเสด็จอย่างหนาแน่นเต็มทั้งสองฝั่งทาง
เหล่าสตรีในชุดพิธีการยืนอยู่ด่านหน้าเหล่าประชาชน
ในมือมีตระกร้าขนาดใหญ่ที่บรรจุกลีบดอกไม้หลากสีสัน
เมื่อขบวนเสด็จยาตราเข้ามาเหล่าสตรีผู้รอการต้อนรับทำการโปรยกลีบดอกไม้ตลอดเส้นทางขบวนเสด็จตลอดแนวจวบจนถึงทางเข้าเขตราชวังด่านหน้าที่ราวกับป้อมปราการขนาดใหญ่
ทหารประจำการต่างแสดงความเคารพต่อผู้มาเยือนอย่างสมเกียรติ
พิธีต้อนรับอย่างใหญ่โตประชาชนแห่งอนาโตเลียที่ขนาบเต็มทางเดินทั้งสองข้างทาง
บ้างมารอด้วยอยากเห็นผู้มาเยือนที่ยิ่งใหญ่
บ้างมาเพื่อชื่นชมความงามสง่าของร่างอวตารผู้เลื่องลือ แม้จะมีเสียงชื่อชมดีงกึกก้องแต่เสียงกระซิบด้วยความเคลือบแคลงใจจากฝูงชนยังคงมีให้ได้ยินเป็นระยะ
โดยเฉพาะความคลลาบแคลงใจในร่างอวตารแห่งราผู้ราวเป็นสมมุติเทพจากแดนคู่อริ
แม้จะอยู่ในรถม้าที่กำลังเคลื่อนขบวน
แต่เสียงติฉินนั้นก็ได้ยินถึงเด็กหนุ่มร่างอวตาร เอเลนถอนหายใจพลางเกาผมสีน้ำตาลของตนเองได้แต่หวังว่าเหล่าทหารขององค์รามเมสที่ถูกฝึกปรือมาดีนั้นคงไม่วู่วามทำร้ายประชาชนหรอกนะ
หน้าประวัติศาสตร์มีหวังเปลี่ยนจากการเคลื่อนขบวนเพื่อสานสัมพันธไมตรีได้กลายเป็นการเคลื่อนขบวนแห่งความตายแน่
.... และแน่นอนว่า นายเอเลน เยเกอร์ ผู้นี้ไม่ได้อยากมีชีวิตสั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องมาจบลงในโลกอดีตแบบนี้
ก่อนที่ความคิดจะฟุ้งซ่านยิ่งกว่าเดิม เอเลนเลิ่กผ้าม่านรถม้าที่ประทับ
นัยน์ตาสีอร่ามกวาดมองรอบๆเหล่าผู้คนที่อยู่รายล้อมเต็มทั้งสองข้างทาง
เมื่อเหล่าผู้คนเห็นพระพักต์ที่ลอดออกมายิ่งส่งเสียงอย่างชื่นชม
ดูเหมือนจากที่เขาคาดไว้ว่าคนยุคนี้จะสรรเสริญและเกรงกลัวเทพกันอยู่นั่นจะจริงไม่น้อยแม้จะเป็นเทพต่างแดนก็ตาม
เพราะเพียงแค่เขาเยี่ยมหน้าออกมาเหล่าเสียงซุบซิบนินทาก่อนหน้านี้พลันหยุดชะงัก
ตัวเขาที่เป็นร่างอวตารแห่งรา คงเปรียบได้กับพวกดารานักร้องที่มีเหล่าแฟนคลับมาต้อนรับเหมือนในยุคสมัยของเขา
พอคิดแบบนี้แล้วความรู้สึกเกร็งตั้งแต่ผ่านเข้าประตูมาก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นบ้าง
ถ้าให้ตัวเขาจินตนาการว่าตอนนี้กำลังสวมบทบาทเป็นร่างอวตารแห่งรา
บอกตามตรงจนตอนนี้เขายังนึกภาพไม่ออกกับตำแหน่งที่ดูยิ่งใหญ่ขนาดนั้น แต่ว่าตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขาควรเปรียบสถานะของเขาตอนนี้กับอะไรเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเกร็งจนทำตัวไม่ถูก
ตอนนี้เขาคือดาราชั้นแนวหน้าที่มีเหล่าแฟนๆออกมาต้อนรับยังไงล่ะ!!
ใบหน้าหวานเผยรอยยิ้มกว้างพลางยกมือโบกทักทายเหล่าประชาชนที่มาต้อนรับ ยิ่งร่างอวตารในสายตาของปวงชนที่ราวกับเป็นสมติเทพทำตนไม่ถือองค์
ยิ่งทำให้เหล่าประชาชนต่างส่งเสียงชื่นชมยินดี
สำหรับเอเลนเจ้าตัวยิ่งรู้สึกเหมือนกับเป็นนักร้องหนุ่มขวัญใจแฟนๆที่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นไม่ปาน
เสียงร้องต้อนรับอย่างยินดียิ่งทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นดาราหน้าใหม่ไฟแรง
จึงแถมการเซอร์วิสด้วยการขยิบตาและส่งจูบให้กับเหล่าคนที่ออกมาต้อนรับอย่างเนืองแน่น
และนั่นก็ถือว่าประสบผลสำเร็จไม่น้อย
เพราะดูเหมือนประชาชนชาวอนาโตเลียจะเปิดใจกับร่างอวตารหน้าใสอย่างง่ายดาย
กุนเธอร์ผู้ติดตามมองเด็กหนุ่มด้วยความเลื่อมใสมากขึ้น
ทั้งที่เขาคิดว่าเสียงเหล่านั้นจะทำให้ร่างอวตารต้องไม่พอพระทัยแน่ๆ
และอาจทำให้เกิดความบาดหมางขึ้นระหว่างสองอณาจักร
แต่เด็กหนุ่มไม่เพียงไม่ใส่ใจต่อคำร้ายเหล่านั้้น
อีกทั้งยังรับมือได้อย่างเหนือความคาดหมาย แม่ทัพหนุ่มหัวเราะในลำคอ รุ่งอรุณแห่งอียิปต์ถ้าเป็นท่านเอเลนแล้วล่ะก็เขาจะสามารถฝากฝังไว้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่นึกแปลกใจเลยว่าทำไมองค์รามเมสถึงได้เชื่อมั่นกล้าส่งเด็กหนุ่มผู้เป็นร่างอวตารมายังแดนศัตรู
อีกทั้งยังถูกพระทัยมากมายขนาดนั้น
กุนเธอร์ค้อมศรีษะลงถวายความเคารพต่อเด็กหนุ่มร่างอวตารที่ยังคงโบกมือทักทายประชาชนชาวอนาโตเลีย
ถ้าเป็นท่านเอเลนผู้นี้จะต้องนำพาอียิปต์ให้ยิ่งใหญ่ได้อย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อถึงบันไดทางขึ้นเขตราชฐานส่วนพระองค์เหล่าข้าราชบริภารต่างคุกเข่าน้อมตัวถวายการมาเยือนของร่างอวตารโดยพร้อมเพรียง
ทหารผู้ประดับกายเด่นเป็นสง่าที่สุดจากบรรดาทหารอื่นที่รายล้อมก้าวออกมาพร้อมคำนับเด็กหนุ่ม
จากการแต่งกายและลักษณะรูปร่างท่าทางคงเป็นนายทหารยศสูงไม่ผิดแน่
"น้อมต้อนรับเสด็จท่านร่างอวตารแห่งเทพรา
ข้ากระหม่อมมีนามว่าโทมัส หนึ่งในสี่แม่ทัพแห่งฮิตไทต์"
เอเลนเอียงคอมองชายตรงหน้าอย่างแปลกใจ
ทั้งชื่อและรูปพรรณสันฐานของชายผู้นี้ทำให้เขารู้สึกสงสัย
"โทมัส.... นายเป็นคนของต่างแดนสินะ
บางที.....คงพวกโรมัน..."
แม่ทัพโทมัสส่งยิ้มให้กับเด็กหนุ่ม
คำถามและท่าทางที่ดูไสซื่อนั้นเชิญชวนให้แม่ทัพหนุ่มอธิบายข้อกังขาอย่างไม่ปิดบัง
"ที่ท่านเข้าใจนั้นไม่ผิดนัก
ข้าเคยเดินทางเร่ร่อนตามบิดาผู้เป็นพ่อค้ามาจากโรมันจวบจนมาถึงฮิตไทต์
และคงเป็นการชี้นำของเหล่าเทพที่ข้าเป็นที่ถูกพระทัยองค์เหนือหัว"
เอเลนพยักหน้ารับคำอธิบายจากแม่ทัพโทมัส
การที่คนต่างแดนจะขึ้นมาถึงระดับหนึ่งในสี่แม่ทัพได้คงเป็นที่ไว้วางใจน่าดู
"แล้วท่านพ่อของท่านล่ะ?" ถ้าบุตรชายเป็นถึงแม่ทัพ
ผู้เป็นพ่ออาจดำรงตำแหน่งอำมาตย์
ใบหน้าของโทมัสสลดลงเล็กน้อย
ยิ้มที่อบอุ่นแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มที่ว่างเปล่าชั่ววูบก่อนจะปรับเปลี่ยนเป็นปกติ
"ท่านเสียหลังจากเหตุจราจลเมื่อเรามาถึงฮัตตูซาได้ไม่นาน"
"ข้าขอโทษ ถามเรื่องไม่ควรเข้าเสียแล้ว"
เด็กหนุ่มรีบค้อมศีรษะสำนึกผิด
"มิต้องกังวล เป็นเรื่องที่นานมากแล้ว
ขอเชิญท่านและเหล่าผู้ติดตามเข้าเฝ้าองค์ชายเถิด"
เมื่อเดินขึ้นบันไดผ่านซุ้มประตูโค้งทอดยาวจะเป็นห้องโถงขนาดใหญ่
เหล่าผู้คนในห้องโถงต่างแต่งกายด้วยชุดหลากสีสรรและเครื่องตกแต่งมากมายแสดงถึงชั้นวรรณะที่แตกต่างจากชาวเมืองที่อยู่ภายนอก
เอเลนและเหล่าข้าราชบริภารจากแดนอียิปต์เดินตามแม่ทัพโทมัสจนถึงหน้าแท่นประทับ
“ ท่านผู้นี้คือ เจ้าชายมูวาตัลลิสที่สอง พ่ะย่ะค่ะ” โทมัสผายมือแนะนำบุรุษผู้นั่งกลางที่ประทับ
ชายหนุ่มอยู่ในชุดเต็มยศของราชวงศ์ บุรุษเบื้องหน้าแย้มสรวลให้กับผู้มาเยือน เหล่าคณะผู้ติดตามต่างคุกเข่าถวายความเคารพต่อบุรุษบนที่ประทับ
เว้นเพียงแต่ร่างอวตารแห่งราที่ยังคงยืนนิ่งเฉย
“ถึงแม้จะเป็นร่างอวตาร แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าชายแห่งฮิตไทต์ท่านควรให้เกียรติต่อเราเช่นกัน”
เจ้าชายแห่งฮิตไทต์เอ่ยปรามเมื่อเห็นว่าร่างอวตารยังคงยืนนิ่งไม่แสดงความเคารพต่อตน
เอเลนยกยิ้มให้กับเจ้าชายแห่งฮิตไทต์
เด็กหนุ่มเดินหันหลังให้กับที่ประทับจนเกิดเสียงแซ่ซ้องถึงการกระทำที่อุกอาจของผู้มาเยือน
ร่างอวตารเดินตรงไปยังอีกด้านหนึ่งของที่ประทับสองขาที่ย่างก้าวหยุดนิ่งก่อนจะคุกเข่าน้อมคำนับชายผู้หนึ่งในชุดทหารธรรมดา
"ขอถวายบังคม
เจ้าชายมูวาตัลลิสที่สอง"
เสียงฮือฮาดังทั่วท้องพระโรง
แจนในชุดทหารชั้นเลวสรวลออกมาอย่างเสียงดังพร้อมทั้งปรบมือด้วยความชื่นชม
"ช่างอัศจรรย์นัก
เพราะเป็นร่างอวตารขององค์เทพถึงรู้งั้นรึ?" ทั้งที่ไม่เคยพบหน้า
อีกทั้งชาวอียิปต์ไม่มีผู้ใดที่รู้จักหน้าค่าตาเขา อย่าว่าแต่ชาวอียิปต์เลย
แม้แต่ชาวฮิตไทต์ด้วยกันจะมีสักกี่คนที่รู้จักหน้าตาขององค์ชายของตนนอกจากผู้ที่ถวายงานในวัง
"ถ้าท่านจะว่าอย่างนั้นคงได้ล่ะมั่ง...." เพราะเดินทางตามคริชาผู้เป็นบิดาตั้งแต่เด็กทำให้เอเลนเป็นคนช่างสังเกต
อีกทั้งพบเจอผู้คนมากมายยิ่งทำให้เขาสามารถจับสีหน้าและอารมณ์ของคนอื่นๆได้
ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในนี้บรรยกาศที่เงียบแบบแปลกๆไม่ได้เกิดจากการปรากฏตัวของเขา
เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าบรรยกาศเงียบๆเหมือนกับการรอชมอะไรสักอย่างยังคงอยู่ทั้งที่เขาปรากฏตัวภายในห้องโถงแห่งนี้แล้ว
อีกทั้งสีหน้าของเหล่าคนที่ต้อนรับยังดูหน้าตาย บางคนก็แสดงได้ดี
แต่บางคนเหมือนกลั้นความรู้สึกไม่อยู่ ยิ่งตอนที่แนะนำบุรุษบนที่ประทับว่าเป็นองค์ชายแห่งฮิตไทต์
สีหน้าของผู้ที่อยู่ในห้องนี้บางรายแปรเปลี่ยนไป แววตาที่ดูอยากรู้อยากเห็น
สีหน้าที่ดูท้าทายทำให้เขารู้สึกถึงพิรุธ
และโชคดีที่เขาเป็นคนที่จำใบหน้าของคนอื่นได้เป็นอย่างดี
เมื่อเห็นนายทหารที่ราวกับพยายามหลบอยู่ในมุมอับสายตา ท่าทางที่กระตือรือร้นแบบแปลกๆทำให้เขาสะดุดตาเข้า
อีกทั้งเมื่อเห็นใบหน้านั้นเอเลนก็จำได้ทันทีว่าเขาเคยเจอชายหนุ่มที่อียิปต์
เหนือสิ่งอื่นใดที่สำคัญที่สุดคงต้องขอขอบคุณคนทำเกมส์แนว RPG และพวกนิยาย
ที่เขาชอบอ่านทั้งหลายล่ะนะ พล็อตแบบเจ้าชายต่างแดนชอบหนีไปเที่ยวเล่นแล้วเจอสาวงาม
หรือแบบทำตัวเร่ร่อนแต่ที่จริงแล้วเป็นผู้มีอิทธิพลอะไรแบบนี้
หรือแม้กระทั่งพล็อตที่เขาเจอแบบตอนนี้ ทำการทดสอบตัวเอกของเรื่อง
ดูเหมือนพล็อตแบบนี้จะนิยมมาตั้งแต่โลกสองพันปีก่อนแล้วสินะเนี่ย
"ขอบใจนายมากมาร์โก
ดูเหมือนท่านร่างอวตารผู้นี้จะเป็นของจริง" แจนเดินไปหาบุรุษที่ประทับแทนที่นั่งของตนเอง
มาร์โกถอดเครื่องประดับประจำตำแหน่งคืนให้กับองค์ชายพลางจัดฉลองพระองค์ที่คู่ควรให้เข้าที่
"ขอแนะนำตัวอีกครั้ง
ข้าคือเจ้าชายมูวาตัลลิสที่สองแห่งฮิตไทต์
ขอน้อมต้อนรับท่านเอเลนร่างอวตารแห่งราผู้มาเยือนจากอียิปต์อีกครั้ง" แจนค้อมศีรษะลงก่อนจะเงยหน้ายกยิ้มให้ร่างอวตาร
"ชื่อเป็นทางการคงเรียกไม่สะดวกนัก
ข้าขอให้ท่านเรียกข้าว่าแจน
และข้าจะเรียกท่านว่าเอเลนเฉกเช่นเดียวกับที่ท่านเคยรับสั่งข้าไว้....ท่านเอเลน"
ท่าทางมั่นใจจนน่าหมั่นไส้นี่บางทีคงเป็นส่วนหนึ่งของพวกเชื้อพระวงศ์
เพราะท่าทางแบบนี้เลยยิ่งทำให้เขาจับพิรุธได้ตั้งแต่แรกเห็น
เอเลน่ยกยิ้มตอบให้กับองค์ชายที่กลับสู่ตำแหน่งและที่ประทับ
"ชุดทหารของชนชาวอียิปต์เหมาะกับท่านไม่น้อย
แต่แบบนี้ย่อมคู่ควรกับท่านแล้ว"
"ได้ยินว่าองค์ราเมสนั้นเป็นผู้่มีฝีปากจัดจ้าน
ดูเหมือนแม้แต่ทวยเทพเองก็มีความสามารถนี้เช่นกัน" แม้ว่าเจ้าชายหนุ่มจะได้ลักลอบเข้าไปถึงเขตราชฐานของฟาโรห์
แต่เขายังไม่มีโอกาสได้สนทนากับองค์รามเมสจริงจัง
"จะว่าไปร่างอวตารแห่งราผู้เป็นตัวแทนแห่งองค์เทพคงเป็นผู้รู้ทุกสิ่งสินะ
ถ้าอย่างไรข้ามีคำถามที่อยากถามท่านเสียหน่อยจะได้หรือไม่?" นัยน์ตาสีเปลือกไม้สบกับนัยน์ตาสีอร่ามด้วยความท้าทาย
เขาอยากทดสอบเพื่อให้แน่ใจว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ควรค่าแก่การที่เขาจะเชื่อถือได้หรือไม่..
"ถ้าเป็นความประสงค์ของท่านข้าย่อมไม่ขัด" เขาที่เป็นเพื่อนสนิทกับอาร์มินมาตั้งแต่เด็ก
เรื่องคำถามเชาว์เรียกได้ว่าเจอมาหลายรูปแบบ
ท่าทางที่มั่นใจอย่างไม่มีข้อกังขายิ่งทำให้เจ้าชายหนุ่มรู้สึกตื่นเต้น
หากความมั่นใจเช่นนี้พังทลายลง อียิปต์คงต้องสลายในไม่ช้า
"สิ่งใดที่เมื่อยามอรุณรุ่งนั้นมีสี่ขา
แต่เมื่อตะวันเหนือท้องนภาเหลือเพียงสอง แล้วเมื่อคล้อยแสงอัสดงนั้นกลายเป็นสาม
แต่เมื่องแสงตะวันดับนั้นกลับไม่เหลือสิ่งใด เอาล่ะตอบข้าหน่อยเถิดท่านเอเลน
ว่าที่ข้ากล่าวนั้นคือสิ่งใด?"
เสียงฮือฮาดังขึ้นไปทั่วห้องโถง
เหล่าผู้อยู่ในเหตุการณ์ต่างถกเถียงและตีความคำถามของเจ้าชายหนุ่มไปต่างๆนานา
ทั้งยังชื่นชมต่อคสามปรีชาของพระองค์
จะเว้นก็เพียงแต่.....
นัยน์ตาสีอร่ามปรือมองด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายพลางถอนหายใจ
ตกลงนี่เขาอยู่ในพล็อตนิยายหรือในเกม RPG รุ่นเก่าสินะ
คำถามถึงไม่พัฒนาเลยสักนิดไม่สิจะว่าไปคงเป็นคำถามสุดคลาสสิกของบล็อตแบบนี้ล่ะมั่ง
"ว่าไงล่ะท่านเอเลน
หรือท่านอยากใช้เวลาสักคืนในการไขปริศนา"
รอยยิ้มท้าทายและมั่นใจของแจนยิ่งทำให้เอเลนกรอกตาไปมา
องค์ราเมสเป็นฟาโรห์ที่น่าโมโห ส่วนไอเจ้าบ้านี่เป็นองค์ชายที่น่าถีบชะมัด!
"ไม่ต้องเสียเวลาขนาดนั้นหรอกท่าน" เอเลนถอนหายใจก่อนจะตอบด้วยความรู้สึกผิดหวังกับคำถาม
"คำตอบก็คือมนุษย์
ช่วงเวลาที่ท่านเปรียบเปรยของดวงตะวันนั้นหมายถึงช่วงเวลาตลอดชีวิตของมนุษย์เรา
แรกเริ่มเมื่อครั้นเป็นทารกก็ราวกับตะวันที่เพิ่งขึ้น
มนุษย์เราจะคลานดังนั้นจึงเปรียบได้ดั่งสี่ขา
เมื่อเราเติบโตจนเป็นช่วงที่กล้าแกร่งที่สุดเปรียบดังช่วงดวงตะวันที่ทอแสงแรงที่สุดมนุษย์นั้นเดินด้วยสองขา
ต่อมาดวงตะวันที่แสงเริ่มเบาบางจนคล้อยนั้นบางรายมีการใช้ไม้เท้าเปรียบได้ดั่งการที่เดินด้วยสามขา
และสุดท้ายเมื่อชีวิตสิ้นสุดเราทุกคนล้วนไม่จำเป็นต้องเดินอีกต่อจึงเปรียบได้กับไม่มีขาแล้วนั่นเอง"
ห้องโคงเกิดเสียงดังฮือาขึ้นอีกครั้งเมื่อได้ฟังคำตอบของร่างอวตาร
แม้แต่ผู้ตั้งคำถามก็ยังคงมองด้วยความตะลึงงัน
ทั้งที่เป็นคำถามที่เขาถามเหล่าคนสนิททั้งหลายและไม่มีผู้ใดให้คำตอบเขาถูกแท้ๆ
แต่เด็กหนุ่มร่างอวตารผู้นี้กลับตอบได้อย่างง่ายดาย และอธิบายได้อย่างแม่นยำ
"สมเป็นท่านร่างอวตารโดยแท้
ปรีชานัก"
เสียงสรรเสริญเฮลั่นเมื่อรู้ว่าคำตอบนั้นถูกต้อง
เสียงชื่นชมเซ็งแซ่ไปทั่ว เว้นเสียแต่เด็กหนุ่มที่ได้แต่ยิ้มแห้งๆตอบกลับ
"เอาล่ะท่านคงเดินทางมาเหนื่อย
ข้าได้เตรียมที่พำนักไว้ให้แล้ว"
แจนเตรียมนำเสด็จเด็กหนุ่มร่างอวตารไปยังที่พักที่จัดเตรียมไว้
ก่อนที่จะได้ก้าวออกจากห้องโถงเสียงอีกทึกราวกับเสียงทะเลาะก็ดังขัดจังหวะ
"สถานที่นี้ห้ามคนสามัญเข้า!!"
"ได้โปรด
ท่านร่างอวตารแห่งองค์เทพ ช่วยข้าด้วย ได้โปรด!"
เสียงห้ามปรามอย่างดุดันของนายทหารหนุ่มดังขึ้นขัดกับเสียงหญิงสาวที่ที่ตะโกนอย่างวิงวอน
หญิงแต่งกายด้วยผ้าคลุมมอซอวิ่งตรงมายังห้องโถงโดยมีเหล่าทหารฮิตไทต์วิ่งไล่ตาม
เมื่อคว้าตัวได้จึงเกิดการฉุดกระชากกันระหว่างนายทหารและหญิงสาว
"บอกว่าห้ามเข้าไงนังนี่!!"
พลั่ก!!
ฝ่าเท้าของเอเลนกระโดดถีบเข้าลำตัวของนายทหารที่กำลังดึงลากแขนหญิงสาว
เด็กหนุ่มม้วนตัวลงพื้นอย่างสวยงามก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพลางปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้า
"เป็นผู้ชายห้ามทำรุนแรงกับผู้หญิงสิ!" เอเลนส่งเสียงดุ
ไม่ว่าที่ไหนๆก็มีพวกใช้แต่กำลังข่มเหงคนอื่นให้ตายสิ!
กลุ่มทหารรีบลงไปคุกเข่าเบื้องหน้าเด็กหนุ่มเพื่อขอขมาด้วยความเกรงกลัว
"ข... ขออภัย พ่ะย่ะค่ะ
ข้ากระหม่อมแค่ทำตามหน้าที่"
"มีเรื่องอะไรรึ
ไหนรายงานมาสิ" แจนเดินตามมาสมทบพลางถามไถ่เรื่องราว
"ทูลฝ่าบาท
สตรีนางนี้ลักลอบเข้ามายังเขตราชฐานเพื่อมาหาท่านร่างอวตารพ่ะย่ะค่ะ" ทหารหนุ่มรายหนึ่งรีบรายงานอย่างหวั่นเกรง
แจนมองเหล่าทหารและสตรีในชุดมอซอประเมินสถานการณ์
"เจ้าน่ะรู้ใช่ไหมว่าที่นี้เป็นเขตหลวงห้ามผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้ามา"
"ทูลฝ่าบาท
หม่อมฉันเข้าใจเพคะ แต่หม่อมฉันต้องการพบท่านร่างอวตารแห่งองค์เทพ" หญิงสาวก้มหน้าทูล
ร่างเล็กสั่นอย่างหวาดหวั่น
"ตอนนี้ก็ได้เจอแล้วคงหมดธุระแล้วใช่ไหม
เจ้าควรกลับไปได้แล้ว วันหลังอย่าฝ่าฝืนกฎเยี่ยงนี้อีก" แจนรับสั่งพลางหันหลังกลับแต่เอเลนเดินขวางทางองค์ชายหนุ่ม
"มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ? นายควรถามเขาก่อนไหมว่ามีธุระอะไรน่ะ?" คำราชาศัพท์ไม่ขงไม่ใช้มันแล้ว
ไอหมอนี่เห็นแก่ตัวชะมัด!
"ไม่จำเป็นในเมื่อนางทำผิดกฎข้าไม่ให้บทลงโทษนับว่าเป็นเมตตาแล้ว" องค์ชายหนุ่มยืนกราน
กฎมีไว้เพื่อรักษา แต่เขาก็มีเมตตามากพอที่มองข้ามเพื่อสตรีผู้นี้
"ให้ตายสิ
ฉันว่าองค์ราเมสนั่นเป็นพวกยียวนกวนโมโหแล้ว แต่สำหรับนายมันเป็นพวกน่าโมโหสุดๆเลย" เอเลนเดินไปหาหญิงสาวที่ยังคงก้มหน้าด้วยความสั่นเทา
เด็กหนุ่มจับไหล่พลางดันให้สตรีในชุดมอซอเงยหน้าขึ้น
เขาถึงได้เห็นว่าหญิงผู้นี้อุ้มเด็กทารกมาด้วย
"เธอชื่ออะไร?"
หญิงสาวยังคงอ้ำอึ้งไม่กล้าตอบพลางหลบสายตาสีอร่ามคู่งามที่มองจ้องมาอย่างใสซื่อ
จนเด็กหนุ่มต้องเอ่ยถามอีกครั้งพลางลูบไหล่ที่สั่นเทานั้นเพื่อปลอบโยน
"ฮ...ฮาดี้ เจ้าค่ะ"
"โอเคฮาดี้
ต่อไปนี้เธอคือแขกของเรา" ใบหน้ามนมองกลับไปยังองค์ชายหนุ่มที่กำลังแสดงสีหน้าไม่พอใจนัก
"ฮาดี้เป็นแขกของฉัน
แบบนี้คงไม่มีปัญหาแล้วสินะ"
"ย่อมเป็นเช่นนั้น" องค์ชายหนุ่มยักไหล่
แม้จะไม่สบอารมณ์แต่ในเมื่อเป็นรูปการณ์นี้แล้วจะให้เขาขัดใจร่างอวตารคงไม่ดีนัก
เมื่อเห็นว่าแจนยอมรับสตรีผู้นี้ให้เป็นแขกของเขาแล้วเหล่าทหารจึงถอยกลับไปประจำตำแหน่งของตนตามเดิม
"เอาล่ะฮาดี้
ทำไมถึงอยากเจอฉันล่ะ?"
ฮาดี้ก้มศีรษะจรดพื้นก่อนวางร่างของเด็กทารกที่อยุ่ในห่อผ้าตรงหน้าเด็กหนุ่มร่างอวตาร
เอเลนมองเด็กน้อยในห่อผ้ามอซอ เด็กทารกหายใจหอบอย่างทรมานพยยามส่งเสียงร้องที่แหบแห้ง
ดูจากอาการน่าจะมีไข้สูงไม่น้อย
"ได้โปรดช่วยลูกข้าด้วยท่านร่างอวตารแห่งเทพ" ฮาดี้ก้มศีรษะะอ้อนวอนหวังให้ร่างอวตารช่วยเหลือ
"เออ...เดี๋ยวก่อนนะคือผมไม่ใช่หมอ
ถ้ายังไงให้หมอดูอาการก่อนไหม? บางทีที่นี้คงมีหมอที่รักษาลูกของคุณได้" เอเลนมองไปรอบๆห้องหวังว่าจะมีคนที่สามารถช่วยตรวจอาการได้
"มาร์โกเจ้าไปตามหมอหลวงมาดูอาการเด็กสิ"
เอเลนมองใบหน้าเจ้าชายหนุ่มด้วยความแปลกใจ
แจนยังคงแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก
เมื่อหมอหลวงมาถึงเอเลนอุ้มเด็กทารกเพื่อให้หมอหลวงตรวจดูอาการ ทันทีที่แพทย์หลวงเปิดผ้าคลุมที่ปิดบังตัวทารกน้อยด้วยความตกใจแพทย์หลวงโยนเด็กน้อยที่รับมาออกจากตัวทันที
โชคดีที่เอเลนนั้นรับตัวทารกผู้น่าเวทนาได้ทันการณ์
"นายจะฆ่าคนไข้เหรอไง
เป็นหมอจริงรึเปล่าเนี่ย!?" เด็กหนุ่มมองค้อนอย่างเกรี้ยวกราด
"ท่าร่างอวตารรีบวางทารกนั่นลงเถิด
มิเช่นนั้นท่านคงติดโรคร้ายนี่ด้วยแน่" แพทย์ชรารีงบก้มศีรษะกล่าวรายงานพลางถอยห่างจากตัวทารกด้วยความหวั่นวิตก
"เป็นโรคร้ายแรงอย่างไรรึ?" แจนถามเพื่อคลายข้อสงสัย
โรคที่ทำให้แม้แต่แพทย์หลวงผู้เก่งกาจหวั่นขนาดนี้คงไม่ใช่เรื่องดี
แพทย์ชราถวายบังคมองค์ชายเหนือหัวก่อนจะรายงานด้วยเสียงสั่นเครือ
"ม...ไม่ผิดแน่พ่ะย่ะค่ะ
ทารกผู้นั่นเป็นมรณะสีดำ ต้องรีบกำจัดก่อนจะลามไปทั่วคัตชูวัตนา"
ทันทีที่สิ้นเสียงกล่าวบังคมเหล่าผู้คนในห้องโถงต่างหนีกันจ้าละหวั่น
แม้แต่เหล่าทหารหาญบ้างที่ยอมทิ้งหน้าที่เพื่อออกจากเขตห้องโถง
"ได้โปรดอย่าทำร้ายลูกข้า" ฮาดี้รีบวิ่งเข้ามาเกาะขาอ้อนวอนเด็กหนุ่มร่างอวตาร
"ท่านเอเลนรีบวางเด็กนั้นลงก่อนที่ท่านจะติดโรคร้าย" กุนเธอร์รีบเข้ามาร้องขอเด็กหนุ่ม
เอเลนมองใบหน้าแต่ละคนที่หวั่นวิตก
ทารกผู้นี้เป็นโรคร้ายแรงขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ? เพื่อคลายข้อสงสัยเด็กหนุ่มจึงคลายผ้ามอซอนั้นเพื่อให้เห็นกับตา
ทารกน้อยมีอาการไข้ขึ้นสูงและหอบหายใจอย่างรวยริน
เสียงร้องที่แหบแห้งคงเพราะพิษไข้ทำให้ไม่สบายตัว
ผื่นแดงและตุ่มใสที่ปรากฏขึ้นตามตัวทารกแสดงถึงความผิดปกติของร่างกาย
"ปล่อยทารกนั่นซะ
ข้าต้องจัดการปกป้องพลเมือง"
แจนขึ้นเสียงคำสั่ง
แต่เอเลนยิ่งกระชับทารกในอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
"นายตั้งใจจะทำอย่างไรกับทารกนี่?" นัยน์ตาสีอร่ามจ้องเขม็ง
ที่ว่าจัดการคงไม่ใช่อย่างที่เขาคิดใช่ไหม...
"ผู้ที่เป็นโรคมรณะสีดำย่อมต้องถูกเผาเพื่อไม่ให้เชื้อแพร่กระจาย"
คำตอบที่ได้ยินยิ่งทำให้เด็กหนุ่มกระชับทารกในอ้อมกอดแน่น
"ยังไม่ทันได้ตรวจอย่างถี่้วน
มั่นใจได้ยังไง นายเป็นหไมอจริงรึเปล่า?!" เด็กหนุ่มร่างอวตารมองค้อนแพทย์ชราเพื่อเค้นคำถาม
ความเป็นความตายของคนตัดสินได้ง่ายขนาดนี้เลยรึไง? เพียงแค่หมอนี่ดูด้วยตาเปล่าก็ตัดสินโรคได้แล้วเหรอ
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!!
"ทูลกระหม่อม
อาการเช่นนั้นไม่ผิดแน่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผื่นที่ขึ้นตามตัวเช่นนั้นอีกไม่นานจะคล้ำเป็นสีดำ
เราจึงเรียกว่าโรคมรณะสีดำ ไม่มีผู้ใดรักษาได้ อีกทั้งยังไม่รู้แหล่งที่มา
เรียกได้ว่าเป็นโรคของปีศาจที่คร่าชีวิตผู้คนมานักต่อนักแล้วพ่ะย่ะค่ะ
กระหม่อมที่เป็นแพทย์มานานเจอคนไข้มานักต่อนัก
เห็นเพียงครู่ก็วินิจฉัยได้ไม่ผิดแน่" ด้วยศักดิ์ศรีของหมอหลวงยังคงยืนกรานตามเดิมด้วยแววตาที่แข็งกร้าวท้าทายเด็กหนุ่ม
"จะบ้าหรือไง
ฉันไม่เชื่อหมอแก่ๆที่ได้แต่พูดไม่ทำอะไรอย่างแกหรอก!!"
เด็กหนุ่มสูดหายใจลึกเข้าปอดพยายามรวมรวมสติเพื่อคลายอารมณ์ครุกกรุ่นของตน
เขาเดินทางไปสถานที่หลากหลายตั้งแต่เด็กกับบิดา
เจอทั้งชุมชนกลุ่มน้อยหรือสถานที่แร้นแค้นมามากมาย
และอาการเจ็บไข้ได้ป่วยของผู้คนเขาพบเห็นมาไม่น้อย
คิดสิคิดเอเลนทารกผู้นี้จะต้องเป็นสิ่งที่เขาต้องเคยพบเจอมาก่อน
โรคที่เด็กคนนี้เป็น
"ต่อให้เป็นร่างอวตารแห่งรา
และแขกผู้มาเยือนแต่ถ้าท่านทำให้ประชาชนของข้ามีภัยเห็นทีคงไม่เป็นการดี" แจนสั่งให้เหล่าทหารล้อมตัวเด็กหนุ่มและเหล่าข้าราชบริภารทั้งหลาย
"ส่งทารกผู้นั้นมาซะท่านเอเลนแล้วข้าจะมองข้ามเรื่องนี้ไป" แจนพยายามยื่นข้อเสนอ
เขาไม่คิดอยากเสียหมากที่วางไว้
แต่ในเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้คงไม่พ้นต้องปะทะกับอียิปต์
แต่ถึงกระนั้นเขาเองก็ต้องปกป้องพลเมืองของเขาเช่นกัน
"ในเมื่อฉันเป็นร่างอวตารแห่งเทพ... โรคที่หมอแก่นั่นบอกรักษาไม่ได้
ฉันจะรักษาให้ดูเป็นไง?"
เหล่าทหารที่อาวุธครบมือต่างมองหน้ากันด้วยความงุนงง
เมื่อสักครู่ท่านผู้นี้บอกว่าจะรักษาโรคที่ไม่มีวันรักษาให้หายได้งั้นรึ?
ใบหน้ามนกวาดจ้องเขม็งไปยังองค์ชายหนุ่มที่ยังคงยืนนิ่งด้วยความแปลกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
องค์ชายแห่งฮิตไทต์แสยะยิ้มที่มุมปาก
"มั่นใจขนาดนั้นเชียวรึ หรือเพราะนายจะมีเวทมนต์ให้เกิดปฏิหารย์" ทั้งที่สืบมาแล้วว่าร่างอวตารผู้นี้ไม่ไได้มีพลังพิเศษใด
หรือว่าเขาจะคิดผิด?
"ของแบบนั้นฉันไม่มีหรอก
แต่ฉันเชื่อว่ามีสิ่งที่ฉันทำได้" การตัดสินชีวิตใครง่ายๆแบบนั้นเขายอมรับไม่ได้
"พูดง่ายดีนี่
แต่ท่านเป็นร่างอวตารโรคร้ายแรงนี้อาจไม่ติดท่านก็เป็นได้จริงไหม?"
เสียงแสดงความเห็นด้วยดังกึกก้อง
คววามเคลือบแคลงใจว่าอาจเป็นแอผนลวงที่ทำให้ฮิตไทต์เกิดโรคระบาดและอียิปต์เข้าโจมตีเพื่อยึดดังระงม
"ฉันเป็นร่างอวตาร
เป็นมนุษย์เหมือนพวกนายไม่ได้มีปฏิหารย์อะไร แต่ถ้าไม่เชื่อฉันจะพิสูจน์ให้เห็น" เอเลนคืนทารกให้กับฮาดี้ก่อนจะเดินไปเพื่อขอยืมดาบจากนายทหารผู้หนึ่งที่หันดาบให้กับเขา
ทั่วทั้งห้องต่างตกตะลึงกับสิ่งที่เด็กหนุ่มกระทำเมื่อเอเลนใช้คมดาบบาดผิวของตนจนเลือดสีแดงฉานไหลหยดลงพื้น
เด็กหนุ่มชูแขนที่มีเลือดไหลให้กับผู้คนได้ยล
"นี่เป็นข้อพิสูจน์
ถ้าเป็นเทพจริงคงไม่มีเลือดไหลหรือบาดเจ็บได้จริงไหม? และนี่ก็เท่ากับว่าฉันสามารถตายได้เช่นเดียวกับพวกนายและถ้ากลัวว่านี่จะเป็นโรคระบาดหไรือแผนลวง
ถ้าคนที่นี้ติดโรคฉันเองก็ไม่รอดเหมือนกัน"
เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกครั้ง
เด็กหนุ่มคืนดาบให้กับนายทหารก่อนจะใช้ผ้าคลุมที่ติดมาพันแผลให้กับตนเองเพื่อห้ามเลือด
เอเลนเข้าไปอุ้มทารกอีกครั้งพลางยิ้มให้กับฮาดี้
"ดูเหมือนฉันไม่ต้องการที่รับรองที่นายเตรียมไว้
ที่ต้องการคือสถานพยาบาล ถ้าอย่างนั้นเกิดฉันติดโรคจะได้ไม่ลามไปถึงนายดีไหม
องค์ชาย?"
เหล่าทหารและคนสนิทขององค์ชายแจนนำเสด็จเด็กหนุ่ม
จากที่ต้องไปห้องพักยังเขตราชฐานที่จัดเตรียม
ทั้งกลุ่มเดินออกขากเขตราชฐานหลวงเข้าไปยังตรอกมุมหลืบที่อยู่ห่างหลายไมล์
เอเลนรู้สึกแปลกใจไม่น้อยทั้งที่บอกว่าให้มายังสถานพยาบาลแต่นี่ราวกับมาในตรอกมืดที่น่าจะเจอพวกนักฆ่าก็ไม่ปาน
หรือว่าที่จริงแล้วเขากำลังถูกล่อลวงมาฆ่ากันอยุ่ล่ะ? ก่อนที่จะวิตกไปกว่านั้นผู้นำขบวนหยุดยืนอยู่หน้าอาคารซอมซ่อก่อนจะะเลิกผ้าที่ปิดไว้ให้คนอื่นๆเดินเข้าไป
ตกลงเจ้าพวกนี้คงไม่ได้พาเขามาฆ่าจริงๆใช่ไหม
ยิ่งโชว์ออฟไปว่าตายได้ด้วยแบบนี้คงไม่ใช่เป็นการเปิดโอกาสให้หัวหลุดจากบ่าหรอกนะ
ไอที่อับชื้นและมืดแบบนี้มันสถานพยาบาลที่ไหนกันล่ะ!!
"เอาล่ะถึงที่แล้ว"
เอเลนมองไปรอบๆอย่างแปลกใจคนป่วยมากมายถูกกองรวมกันในที่อับ
อีกทั้งแสงสว่างมีเพียงตะเกียงตรงมุมห้องเท่านั้น เสียงโอดครวญด้วยความทรมานดังเป็นระยะ
หน้าต่างทั้งหลายถูกปิดกั้นราวกับห้องขัง
แบบนี้มันเรียกว่าห้องขังชัดๆไม่ใช่สถานพยาบาลเสียหน่อย
ถึงจะมีคนที่ดูท่าทางเหมือนหมอกำลังเดินตรวจอาการและจับตัวผู้ป่วยเหล่านั้นก็เถอะ
"เฮ้ย อย่ามาล้อเล่นนะ!" เด็กหนุ่มมองหกน้าคนพามาอย่างหาเรื่องนี่ตกลงจะพาเขามาฆ่าทิ้งที่นี้ไมพาไปสถานพยาบาลดีๆแต่แรกใช่ไหม?
"ทั้งที่ไม่ใช่ค่ายหน้าด่านแต่สถานพยาบาลท่านมีผู้ป่วยเยอะพอดู" กุนเธอร์ที่สำรวจรอบๆเอ่ยขึ้น
แม้อียิปต์จะมีการแพทย์ที่ไปไกลกว่าชาวฮิตไทต์แต่ความแออัดของผู้ป่วยดูเหมือนของอียิปต์จะน้อยกว่า
"เดี๋ยวนะตกลงนี่คือสถานพยาบาลจริงๆงั้นรึ
ที่อียิปต์ก็เป็นเช่นนี้เหรอ?" สถานที่ทั้งอับและชื้นน่าหดหู่แบบนี้น่ะนะ
อย่าว่าแต่โรคมรณะสีดำเลย ต่อให้เป็นเพียงหวัดอยู่สถานที่แบบนี้ก็ตายได้เหมือนกัน
"มีอะไรแปลกงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?" กุนเธอร์มองเด็กหนุ่มอย่างแปลกใจ
เพราะแต่ไ/หนสถานพยาบาลก็คือที่รวมผู้ป่วยเพื่อรอการรักษาอยู่แล้ว
"แปลก แปลกสิแปลกมากด้วย" เด็กหนุ่มร่างอวตารตรงไปยังพนังเปิดหน้าต่างที่ถูกปิดบานแล้วบานเล่าให้แสงสว่างละความอบอุ่นจากด้านนอกเข้ามา
"เดี๋ยวท่านจะทำอะไร
แบบนี้ก็เป็นการแพร่กระจายเชื้อโรคน่ะสิ"
เอเลนหันค้อนยังต้นเสียง
ชายหนุ่มผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาห้ามปรามเด็กหนุ่มอย่างตื่นตระหนก
"นายชื่ออะไร?"
คนถูกถามมีสีหน้างงงวยก่อนจะบอกชื่อและแนะนำตนเอง
"ข้าชื่อฮาโรลว์เป็นแพทย์ประจำที่นี้"
"โอเคฮาโรลว์
กฏข้อแรกที่นายควรรู้ที่อับชื้นไม่ดีต่อผู้ป่วยและมันยิ่งทำให้เป็นแหล่งเชื้อโรค
และอีกข้อแสงอาทิตย์สามารถฆ่าเชื้อบางชนิดได้
เพราะงั้นนายไปเปิดหน้าต่างทุกบานของที่นี้ซะก่อนที่ฉันจะอารม๊ณ์เสียไปมากกว่านี้" เอเลนจ้องเขม็งพลางขมขู่จนฮาโรลว์รีบวิ่งไปเปิดหน้าต่างทุกบานที่นึกออกอย่างรีบเร่ง
"นาย นาย และ นาย
ไปต้มน้ำมาแล้วหาผ้าสะอาดมาเยอะๆด้วย ขนมาจนกว่าฉันจะพอใจซะ" เอเลนชี้สั่งเหล่าทหารที่มองอย่างงงๆแต่เพราะสีหน้าที่ดุดันของเด็กหนุ่มจึงทำให้เหล่าชนชั้นผู้น้อยไม่กล้าถามได้แต่รับคำสั่งและทำตาม
"ท่านเอเลนท่านจะทำอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?" กุนเธอร์ถามอย่างแปลกใจเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มเข้าไปจัดการเก็บสิ่งต่างๆที่อยุ๋กระจัดกระจายบนพื้นขึ้นมา
"ไม่เห็นหรือไง
ทำความสะอาดน่ะสิ พวกนายก็ต้องช่วยด้วยเข้าใจไหม"
ก่อนที่กุนเธอร์จะได้ถามต่อนายทหารก็นำผ้าและน้ำร้อนมาถวายเด็กหนุ่ม
เอเลนนำผ้าชุบน้ำแล้วบิดให้หมาดก่อนจะพับเป็นสามเหลี่ยมและผูกปิดปากและจมูก
"พวกนายก็ทำแบบนี้ซะมันจะช่วยกรองเชื้อโรคได้ระดับหนึ่ง"
ไม่มีใครกล้าขัดอารมณ์ที่คุกรุ่นของร่างอวตารในตอนนี้เหล่าทหารผู้ติดตามจึงทำตามอย่างว่าง่าย
"นี่ผ้าของนายองค์ชาย" เอเลนยืนผ้าที่บิดจนหมาดส่งให้กับองค์ชายหนุ่ม
"ทำไมข้าต้องทำ
ในเมื่อไม่ใช่หน้าที่ของข้าด้วย?" แจนโยนผ้าที่เด็กหนุ่มยื่นให้ลงบนพื้นใบหน้าจองหองมองอย่างไม่ใยดี
ผลั๊วะ!!
กำปั้นหลุนๆต่อยลงบนใบหน้าขององค์ชายแห่งฮิตไทต์
เหล่าทหารและผู้ติดตามต่างมองด้วยความตกตะลึงเพราะไม่คาดคิดว่าร่างอวตารจะกล้าทำร้ายองค์ชายผู้เป็นเจ้าบ้านเจ้าเมือง
"ฉันโมโหนายมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะไอเจ้าหน้าม้า" สองมือของเด็กหนุ่มกระชากคนสูงกว่าให้ใบหน้าเข้ามาใกล้
นัยน์ตาสีอร่ามลุกโชตืด้วยอารมณ์โทะ
"ถ้านายเป็นองค์ชายและเป็นผู้ที่จะปกป้องประเทศต่อไป
นายต้องรู้จักปกป้องและรักษาคนของนายด้วยสิไอบ้านี่!! คนป่วยเหล่านี้ก็เป็นคนของนาย
นายจะทอดทิ้งเขาหรือไง!? ฉันเชื่อว่าในนี้จะต้องมีทหารที่เคยรับใช้นายอยู่ในนั้น
ถ้าแค่นี้นายยังทำไม่ได้แล้วนายจะปกป้องประเทศนายได้ยังไง!?"
แจนมองเด็กหนุ่มอย่างตกตะลึง
องค์ชายหนุ่มมองไปรอบๆเหล่าผู้คนมากมายที่นอนอย่างอิดโรยบ้างยังอยู่ในชุดทหารของชาวฮิตไทต์อย่างที่เด็กหนุ่มกล่าวไม่ผิดเพี้ยน
ไม่เห็นเข้าใจสิ่งที่เขาทำนั้นไม่ได้ปกป้องผู้คนตรงไหน
ก็ได้ในเมื่อมั่นใจขนาดนั้่นเขาจะขอดูสิ่งที่ร่างอวตารแห่งราผู้นี้กระทำ
ถ้าผิดพลาดแล้วล่ะก็เขาจะใช้ข้อพิพาทนี่ทำลายอียิปต์คอยดู...
องค์ชายแจนจัดการนำผ้าขึ้นมาผูกเพื่อปิดปากและจมูกเช่นเดียวกับที่ร่างอวตารทำก่อนจะจัดแจงสิ่งที่ทำให้เหล่าคนสนิททั้งหลายได้แต่มองพลางกลั้นขำ
ใครจะไปคิดว่าคนหยิ่งยะโสอย่างองค์ชายแห่งฮิตไทต์กำลังทำความสะอาดสถานพยาบาล
"พวกนายเองก็อย่าเอาแต่มอง
ในเมื่อร่างอวตารรับสั่งก็ลองทำดูหน่อยเป็นไง?" องค์ชายแจนที่รู้สึกเสียหน้าดุสั่งเหล่าลูกน้องตนสนิทด้วยใบหน้าเคร่งขรึมกลบความรู้สึกเสียหน้าของตน
ก่อนจะถือถึงน้ำที่นายทหารวิ่งมาวางไว้ตามรับสั่งของร่างอวตารเดินเข้าไปจัดการห้องที่อยุ่ข้างใ
"เออ ท่านเอเลน
กระหม่อมไม่อยากขัดพระประสงค์ แต่ท่านเป็นร่างอวตารแห่งอียิปต์ไม่มีเหตุที่ต้องช่วยชนชาวฮิตไทต์แม้แต่น้อย" กุนเธอร์ถือถังน้ำมาหใ้เด็กหนุ่มพลางถามข้อกังขา
แต่ไหนแต่ไรชาวอียิปต์และ
ฮิตไทต์ต่างเป็นอริกันมาช้านาน การมาช่วยชนชาวฮิตไทต์เช่นนี้คงไม่ควรนัก
ฮิตไทต์ต่างเป็นอริกันมาช้านาน การมาช่วยชนชาวฮิตไทต์เช่นนี้คงไม่ควรนัก
ใบหน้ามนขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์นัก
"พวกนายต้องเรียนรู้จักมนุษยธรรมให้มากขึ้นทั้งคนที่นี้และทั้งอียิปต์
นายรู้ไหมแม้แต่อยู่ท่ามกลางสงครามที่โลกของฉันคนเป็นหมอแม้ว่าจะเป็นของดินแดนใดเขาจะรักษาผู้คนอย่างไม่เกี่ยงว่าเป็นคนของศัตรูหรือไม่
เพราะทุกชีวิตย่อมมีค่าและความเท่าเทียม เพราะพวกเขาไม่ผิดแค่ทำตามหน้าที่ที่ได้รับมาเท่านั้น
และฉันเองต่อให้เป็นศตรูแต่ถ้าเจอคนที่กำลังจะตายต่อหน้าถ้าไม่ช่วยฉันคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต"
กุนเธอร์มองเด็กหนุ่มด้วยแววตาเป็นประกาย
ความคิดที่เขาไม่เคยคิดมาก่อนเขารู้เพียงแต่ว่าถ้าเป็นศัตรูมีแต่ต้องกำจัดเท่านั้น
แต่การช่วยเหลือศัตรูนั่นเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเขามากนัก
"กุนเธอร์ฉันมีเรื่องจะถาม" เด็กหนุ่มหันมองแม่ทัพกุนเธอร์
ใบหน้ามนมีสีหน้ากังวลเล็กน้อย
"ท่านคงได้ไปยังเขตราชฐานส่วนหน้าและที่ว่าการบ่อยๆ
ฉันอยากรู้ตอนที่ฉันอยู่ที่อียิปต์มีคนอย่างฮาดี้... ฉันหมายถึงคนที่กล้าบุกเข้ามาเพื่ออยากให้ฉันช่วยแบบครั้งนี้มีไหม?"
กุนเธอร์มีสีหน้าลังเลอย่างเห็นได้ชัด
ท่านร่างอวตารเป็นผู้มีปรีชาและหลักแหลมการปิดบังคงไม่ใช่เรื่องดี
"มีพ่ะย่ะค่ะ
มีผู้คนมากมายที่มาหาท่านด้วยโรคร้ายเช่นกันและ....." กุนเธอร์เงียบชั่วครู่แต่เอเลนยังคงจ้องเขม็งรอฟังคำตอบอย่างใจเย็น
ทำให้แม่ทัพหนุ่มตัดสินใจเล่าต่อ
"การตัดสินพระทัยขององค์รามเมสไม่ต่างจากองค์ชายมูวาตัลลิสที่สอง"
พลั่ก!
เอเลนทุบกำปั้นกับขอบหน้าต่าง
ใบหน้ามนถมึงถึงจนนัยน์ตาสีอร่ามลุกโชนอย่างน่าหวาดหวั่น
"ท่านโกรธองค์รามเมสหรือพ่ะย่ะค่ะ
แต่ข้าอยากให้เข้าพระทัยว่าองค์รามเมสทรงเป็นห่วงท่านมาก"
"ไม่เลย
ผมไม่มีสิทธิ์โกรธหมอนั่นหรอก แต่ที่โกรธคือตัวเองต่างหาก" เพราะคิดอะไรตื้นๆเลยทำให้มีคนตายเพราะเขาไปมากมาย
รู้ดีว่าจะโทษองค์รามเมสไม่ได้
เพราะถ้าเขาไม่ใช่ผู้ที่มาจากอนาคต ไม่ได้มีความรู้เรื่องแพทย์มาบ้าง
หรือเป็นคนของยุคนี้เขาอาจหวาดระแวงต่อโรคร้ายที่ไม่คุ้นเคย
และอาจตัดสินให้ฆ่าคนเหล่านั้นเช่นกัน
ดังนั้นเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะไปโกรธองค์ราเมสเลยแม้แต่น้อย แต่ถ้าจะโกรธก็คือที่หมอนั่นทำราวกับเขาเป็นเครื่องประดับ
ปิดหูปิดตาให้อยู่เพียงแค่ราชฐานส่วนในที่วันๆเขาเอาแต่คิดเล่นสนุกเท่านั้น................
แต่เหนือสิ่งใดคือโกรธตัวเองที่ไม่เคยเข้าใจถึงสถานะของตนเสียที
ไปเปรียบเปรยว่าเป็นดารารุ่นใหม่อะไรนั่นตัวเขาไม่ได้เข้าใจอะไรเลยแท้ๆว่าสิ่งที่เขาเป็นคือความต้องการและความคาดหวังของผู้คนมากมายขนาดไหน
เขาคือร่างอวตารแห่งเทพผู้ซึ่งมาเพื่อช่วยเหลือไม่ใช่มาเพื่อเที่ยวเล่น
จะต้องตระหนักถึงภาระอันยิ่งใหญ่นี้ให้มากยิ่งขึ้น
สิ่งที่ทุกคนคาดหวังคือการเป็นร่างอวตารของเขาและเขาจะต้องแบกรับความคาดหวังนี้ให้ได้....
หลังจากเอเลนและคนอื่นจัดการทำความสะอาดสถานพยาบาลรวมทั้งเปิดระบายสถานที่จากที่อับชื้นให้ถ่ายเท
เด็กหนุ่มจัดมาตราการการรักษาเสียใหม่โดยสั่งให้แยกผู้ป่วยตามความเหมาะสมและอาการ
เพื่อให้แพทย์ทำงานง่ายขึ้น รวมถึงการรักษาไม่สเปะสะปะมั่วซั่วเหมือนก่อนหน้านี้
เหล่าทหารและผู้ติดตามจึงกลายเป็นบุรุษและนางพยาบาลจำเป็นทำตามรับสั่งร่างอวตารอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเริ่มเข้าที่เอเลนจึงขอห้องส่วนตัวเพื่อตรวจดูอาการของทารกน้อย
ฮาโรลส์จัดแจงห้องที่สะอาดที่สุดให้กับเด็กหนุ่ม
พร้อมทั้งนำเครื่องมือต่างๆมาให้อย่างครบครัน
เอเลนวางตัวทารกน้องลงบนเตียงที่เตรียมไว้ เมื่อคลายพ่อที่ห่อหุ้ม
ฮาโรลว์แพทย์เจ้าของสถานที่ชพงักกับผื่นที่เกิดขึ้นตามตัวของทารก
"อาการนี่หรือว่า!"
"ไม่ใช่อย่างที่ท่านคิดหรอก
หายห่วงได้" เอเลนอธิบายเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ เด็กหนุ่มพยายามประคองทารกน้อยพร้อมทั้งแตะนำให้ทารกจิบทีล่ะนิด
ก่อนจะทำการสำรวจร่างกายของทารกน้อยอีกครั้ง
จากประสบการณ์ที่เขาเดินทางตั้งแต่เด็กเขาจำได้ว่าอาการแบบนี้เขามักพบเห็น
มักจะเกิดกับเด็กที่เดินทางเร่ร่อนกับกองคาราวานหรือชนเผ่าพื้นเมืองต่างๆที่การแพทย์ยังเข้าไปไม่ถึงนัก
ไม่ใช่โรคร้ายแรงแต่ในเด็กทารกอาจทำให้เสียชีวิตได้
แต่ตัวเขาไม่เป็นไรแน่นอนเพราะได้รับวัคซีนเจ้าตัวนี้มาตั้งแต่เด็ก
แต่สำหรับยุคนี้คงเป็นโรคที่น่ากลัว เพราะมันคือโรคหัด
"สิ่งที่ต้องทำคือพยายามให้เด็กไข้ลดลง
และแยกออกตัวออกจากคนอื่น คนที่จะสัมผัสเด็กคนนี้ต้องล้างมือให้สะอาดทั้งก่อนและหลังเข้าใจไหม?" เอเลนอธิบายพลางใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำบิดหมาดซับตัวเด็กน้อย
"ท่านจะไม่เป็นอะไรใช่ไหมท่านเอเลน?" กุนเธอร์ถามย้ำด้วยความเป็นห่วง
เด็กหนุ่มยกยิ้มให้กับแม่ทัพหนุ่มก่อนออกคำสั่ง
"โรคนี้ทำอะไรผมไม่ได้หรอก
หนึ่งอาทิตย์เจ้าหนูนี่จะหาย ระหว่างนั้นผมอยากให้คุณช่วยเหลือและดูแลคนป่วยที่นี้
แน่นอนผมจะช่วยด้วย" เอเลนหันมาทางฮาโรลว์หมอหนุ่มประจำสถานพยาบาล
"ผมอยากให้คุณบันทึกข้อมูลความรู้ทั้งหมดไว้เพื่อช่วยเหลือคนอื่น
ถ้าเป็นไปได้กระจายเรื่องนี้ให้รู้โดยทั่วกัน"
ฮาโรลว์น้อมรับคำสั่ง
เหล่าทหารทั้งจากฮิตไทต์และชนชาวอียิปต์ต่างคุกเข่าลงรวมถึงฮาดี้
เอเลนมองการกระทำเหล่านั้นด้วยความแปลกใจ
ก่อนที่จะได้ถามอะไรเสียงสรรเสริญของเหล่าผู้คนต่างพร้อมเพรียง
"ขอให้ท่านร่างอวตารทรงพระเจริญ!"
เสียงสรรเสริญยิ่งดังกึกก้อง
เหล่าผู้คนที่อยู่ภายนอกต่างร้องสรรเริญสมทบจนดังกึกก้อง เด็กหนุ่มรู้สึกขนลุกซู่
ความตื้นตันและความปลื้มปิติอุ่นวาบไปทั่วทั้งอก
"ขอบคุณ ขอบคุณมาก" พูดได้เพียงแค่นั้นก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆทั้งรู้สึกอายและปิติจนยากที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูด
เจ้าชายหนุ่มมองภาพตรงหน้าพลางยกยิ้ม ร่างอวตารแห่งราช่างน่าสนใจเกินกว่าที่เขาคาดคิด
เพียงแค่ยังไม่ถึงวันแต่เด็กหนุ่มผู้นี้กลับกอบกุมจิตใจคนได้อย่างน่าเหลือเชื่อ...
เอเลนและเหล่าราชบริภารต่างพำนักที่สถานพยาบาลและดูแลผู้ป่วยตามรับสั่งของเด็กหนุ่ม
ผู้ป่วยต่างมีอาการดีขึ้นจนน่าตกใจจนมีเรื่องเล่าว่าผู้เป็นร่างอวตารแสดงปฏิหารย์
อีกทั้งทารกน้อยมีอาการดีขึ้นตามลำดับขากไข้ที่ขึ้นสูงนั้นลดลง ผื่นแดงเริ่มทุเลา
ทารกน้อยมีสีหน้าสดใสสามารถหัวเราะและร้องไห้ได้อย่างทารกปกติทั่วไปยิ่งทำให้ข่าวลือว่าร่างอวตารแห่งราสร้างปฏิหารย์ลือสะพัดไปทั่วแดน
ตกดึกเด็กหนุ่มเรียกอิลเซ่ออกมา
เหยี่ยวทะเลทรายร่อนลงเกาะที่แขนเด็กหนุ่มอย่างว่าง่ายเอเลนลูบหัวอิลเซ่ก่อนจะหยิบเนื้อตากแห้งให้เป็นรางวัล
"อิลเซ่คงต้องวานแกหน่อยแล้ว"
จากสอบถามกุนเธอร์แม้ว่าการแพทย์ของอียิปต์จะวิวัฒนาการมากที่สุด
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีการคัดแยกผู้ป่วยหรือให้ความสำคัญกับสถานพยาบาลอย่างจริงจัง
เพื่อเป็นการไม่ให้เสียเปรียบเพราะอย่างไรเขาก็ขึ้นชื่อว่าเป็นร่างอวตารแห่งรา
เด็กหนุ่มจึงเขียนเกี่ยวกับการแพทย์ การคัดแยกผู้ป่วย
สถานพยาบาลที่ควรจะเป็นผูกติดกับขาอิลเซ่
หวังว่าจะส่งไปถึงยังองค์รามเมสผู้เป็นเจ้าของเดิม และหวังว่าจะเป็นประโยชน์
อย่างน้อยคงช่วยให้มีคนตายน้อยลงได้บ้าง
และแน่นอนเขาไม่ลืมที่เขียนคำท้วงติงกล่าวว่าองค์รามเมสทั้งเรื่องที่ปิดหูปิดตาเขามาโดยตลอด
หรือแม้กระทั่งเรื่องที่ชอบทำราวกับเขาเป็นเครื่องประดับ
ถ้าเห็นเขาสำคัญนักก็ควรเชื่อใจเขามากกว่านี้ถึงจะถูก
ได้แต่หวังว่าองค์รามเมสจะสามารถแกะทุกถ้อยคำออกเพราะเขาเขียนเป็นภาษาเยอรมันทั้งหมด
อิลเซ่สยายปีกพร้อมทั้งนำข้อความทั้งหมดบินขึ้นสู่ท้องฟ้า
สัญชาตญานที่ฝากฝังรู้ดีว่าจุดหมายปลายทางที่ต้องไปคือหาผู้ใด
เอเลนมองเหยี่ยมทะเลทรายของตนบินออกนอกกำแพงอย่างโล่งอก
ได้แต่หวังว่าข้อความทั้งหมดคงถึงมือขององค์รามเมส
เด็กหนุ่มมองสำรวจรอบๆเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผู้ใดก่อนจะกลับไปยังสถานพยาบาลอีกครั้ง
เมื่อใกล้ถึงตรอกทางเข้าร่างสูงของชายหนุ่มที่เขาเห็นมาตลอดทั้งสัปดาห์ดักรอเขาอยู่ก่อนแล้ว
"ดึกดื่นขนาดนี้ไปไหนมารีท่านเอเลน?" องค์ชายแจนถามทันที
เขามาหาร่างอวตารตั้งแต่หัวค่ำแต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเด็กหนุ่มร่างอวตารไปที่ใด
"ฉันก็ต้องการเวลาพักผ่อนบ้างสิ
ท่านเถอะมาแบบไม่มีใครตามมาเป็นองครักษ์ด้วยเหรอ ทั้งที่ดึกขนากนี้แล้ว" ไม่ได้สนใจถามจริงจังนัก
เอเลนเบียงตัวเพื่อเข้าไปยังตรอก องค์ชายหนุ่มคว้าข้อมือของร่างอวตารเอาไว้
ใบหน้าหวานหันมองพลางเลิ่กคิ้วเป็นเชิงถาม
"ร่างอวตารผู้ก่อเกิดปฏิหารย์
ตอนนี้ท่านคงได้ยินไปทั่วแล้ว"
เอเลนหันตัวกลับเผชิญหน้าองค์ชายหนุ่ม
เด็กหนุ่มรับรู้ได้ว่าองค์ชายคงมีเรื่องที่อยากสนทนากับเขา
และท่าทางคงจะเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวสำหรับเขาน่าดู
"ก่อนอื่นเราขอโทษท่านเรื่องทารกผู้นั้น
ท่านช่วยทำให้รู้ว่าการตัดสินของเรานั้นผิดพลาด"
คำขอโทษที่ไม่คิดว่าจะได้ยืนหลุดออกมาจากปากขององค์ชายจอมทรนงอย่างง่ายดาย
"ไม่หรอก... ท่านไม่ผิด
เพราะท่านแค่ไม่รู้เท่านั้น" เช่นเดียวกับที่องค์รามเมสกระทำ
เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เขาคงโทษว่าเป็นความผิดของใครไม่ได้
"ท่านเอเลนข้าสงสัย
ทั้งที่ท่านเป็นร่างอวตารแห่งรา เหตุใดถึงช่วยคนของเรา?"
เอเลนมองหน้าองค์ชายอย่างเหนื่อยหน่าย
เจ้าพวกนี้ต้องเรียนเรื่องมนุษยธรรมให้มากจริงๆนั้นแหละนะ
"ฮิตไทต์และอียิปต์เป็นศัตรูกันหรือจะรบกันเพราะอะไรนั้นไม่เกี่ยวกับผม
แต่ถ้ามีคนต้องมาตายหรือเดือดร้อนต่อหน้าถ้าไม่ช่วยเหลือ คงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต"
องค์ชายหนุ่มยกยิ้มพลางเดินเขยิบเข้าใกล้ร่างอวตาร
จนเอเลนถอยหลังติดพนังกำแพง เจ้าชายหนุ่มกุมมือเด็กหนุ่ม
มือที่ไม่ได้เรียวสวยเหมือนอิสตรี
แต่มีความกร้านที่เกิดขึ้นจากการช่วยเหลือผู้อื่น
พอคิดดังนั้นมือนี้ช่างดูยิ่งใหญ่เสียยิ่งกว่ามือของเขาที่จับดาบมากนัก
ริมฝีปากขององค์ายหนุ่มประทับลงบนหลังมือของเด็กหนุ่มร่างอวตาร
เอเลนได้แต่มองการกระทำนั้นตาปริบๆ เดี๋ยวนะตกลงนี่เขากลับเข้ามาเข้ารูทเกมส์จีบหนุ่มอีกรอบแล้วเหรอ
หมอนี่คงไม่ได้พิษสวาทเขาเหมือนองค์รามเมสและมิคาสะหรอกใช่ไหม? ควรดีใจไหมที่พอข้ามมาในโลกอดีตถึงได้เป็นที่ชื่นชอบในหมู่ผู้ชายขนาดนี้
ตอนนี้เขาเลิกคิดเรื่องนางเอกของตัวเองในโลกนี้ไปแล้วแต่....เขาก็ไม่คิดอยากเลือกพระเอกให้ตัวเองหรอกนะ...
"ท่านเอเลนท่านคิดบ้างไหมบางทีท่านอาจไม่ใช่เป็นร่างอวตารแห่งรา
แต่เป็นเทพอิชทาร์ของฮิตไทต์เราต่างหากล่ะ"
เอเลนมองสีหน้าจริงจังขององค์ชายตาปริบๆ
เออหวังว่านอกจากเขาป็นร่างอวตารแห่งราแล้วคงไม่โดนยกเป็นเทพของฮิตไทต์ให้ปวดหัวเพิ่มขึ้นหรอกนะ
.... พ่อครับในประวัติศาสตร์เนี่ยคนคนหนึ่งจะเปลี่ยนสัญชาติเทพกันได้ง่ายดายไหม?......
เป็นทุกเทพให้เธอไม่ได้นะชาวโบราณกาล555
ตอบลบ