Pairing: (LevixEren)
Rate: NC-17
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง
ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
Story By: AkeRah , Trendy Blood
………………………………………………………………………………………………..
Chapter 21:
ขบวนเสด็จยาตราถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ
เอเลนที่ได้แต่เฝ้ามองอยู่ห่างๆถึงกับปวดหัวตุบ ก็พอจะรู้อยู่หรอกนะว่าฟาโรห์หนุ่มนั้นหมายมาดที่จะประกาศแสนยานุภาพของอียิปต์ในดินแดนแห่งฮิตไทต์แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะเว่อวังถึงเพียงนี้
“นี่ก็เข้าวันที่สามแล้วนะ
พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแล้วด้วยถ้าขบวนเสด็จยังไม่เรียบร้อยก็คงไม่ต้องไปกันแล้วสินะ”
ร่างบางตีหน้าเอื่อยเฉื่อยถอนหายใจเฮือกบ่นงึมงำเสียงเบา
“เป็นพระประสงค์ของเสด็จพ่อที่ต้องการจะให้ทุกอย่างออกมาดีที่สุด”
เบเซทยิ้มตอบเสียงอ่อน
“ก็แค่อยากอวดเท่านั้นแหละ” เอเลนเบะปากตอบ
“หากมีของดีย่อมเป็นธรรมดาที่ใครๆก็อยากจะอวด” สุระเสียงทรงอำนาจตรัสแทรกขึ้นมาฉับพลัน
เอเลนเหลือบสายตามองคนที่เพิ่งจะก้าวเข้ามาก่อนถอนหายใจเฮือก เบเซททำความเคารพบิดาที่เพิ่งมาถึงก่อนจะปลีกตัวออกไปอย่างรู้เวลา
“เหมือนใครบางคนแถวนี้จะตีความคนกับสิ่งของสลับกันมั่วไปหมด”
เอเลนที่กำลังเท้าคางมองขบวนเสด็จที่อยู่ด้านล่างบ่นขึ้นเบาๆด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย
“ข้าก็แค่เปรียบเปรย”
ฟาโรห์หนุ่มเคลื่อนกายเข้าไปใกล้สองพระหัตถ์ยกจับวงแขนเรียวของเด็กหนุ่มให้หันมาเผชิญหน้ากับพระองค์ก่อนจะตรัสเอ่ยพร้อมกับแย้มพระสรวลอีกครั้ง
“ข้าไม่เคยคิดว่าเจ้าเป็นสิ่งของ......แต่ต่อให้เป็นสิ่งของจริงเจ้าก็เป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในแผ่นดินอียิปต์นี้แล้ว”
เอเลนป้องปากทำท่าคลื่นไส้ให้กับความสำบัดสำนวนของฟาโรห์หนุ่ม
ทำให้องค์รีไวราเมสเปลี่ยนสีพระพักตร์ทันที
“นี่เจ้าไม่สบายรึ หากเป็นเช่นนี้ก็ยกเลิกการเดินทางไปเยือนคิตชูวัตนาเสียเถิด”
“เปล่าๆ ไม่ได้เป็นอะไรแค่รู้สึกหมั่นไส้คนน่ะ”
เอเลนรีบตอบเป็นพัลวันด้วยเกรงว่าฟาโรห์หนุ่มจะยกเลิกการเดินทางครั้งนี้จริงๆ
เมื่อได้ฟังคำตอบของเด็กหนุ่มร่างอวตารสีพระพักตร์กังวลของพระองค์ก็คลายออกก่อนจะส่งยิ้มมุมปากน้อยๆไปให้
“เจ้านี่นะ......” พระหัตถ์ใหญ่บิดจมูกด้วยความหมั่นเขี้ยวเบาๆ
“หากเจ้าไม่อยู่ข้าคงเหงาปากไปอีกนานทีเดียว”
ฟาโรห์หนุ่มรั้งเอวเด็กหนุ่มร่างอวตารพาไปนั่งพักยังที่ประทับริมหน้าต่างที่ลมเย็นพัดผ่านจนผ้าม่านสีขาวบางปลิวพลิ้วสะบัด
“ถ้าเหงานักก็ไปชวนมิคาสะทะเลาะก็ได้นี่”
ฟาโรห์หนุ่มส่ายพระพักตร์พร้อมแย้มสรวลน้อยๆอย่างอ่อนพระทัยกับคำตอบของเด็กหนุ่ม
“เหงาปากของข้ามันคนละความหมายกับของเจ้า”
พระพักตร์คมคายยื่นเข้าไปประชิดกับใบหน้าหงุดหงิดของเด็กหนุ่มพระหัตถ์ใหญ่ลูบไล้แก้มนุ่มแผ่วเบาหยอกเย้าให้ใบหน้างามผ่อนคลายร่องรอยความไม่พอใจออกไปจากใบหน้า
กลีบพระโอษฐ์อิ่มคลอเคลียกับริมฝีปากบางของเด็กหนุ่มช้าๆตรัสกระซิบเสียงแผ่ว
“คงไม่มีใครให้จูบไปอีกนาน”ตรัสพลางเลาะเล็มริมฝีปากของเด็กหนุ่มอย่างพอพระทัย
เอเลนเองก็ไม่ได้มีท่าทีขัดขืนแต่ก็ตอบโต้กลับไปด้วยวาจาแทบจะในทันที
“ก็ไปหาบรรดาเมียๆของท่านเสียเถอะ”
เด็กหนุ่มตอบกลับด้วยใบหน้าบึ้งตึ้ง
ยิ่งเห็นท่าทีไม่พอใจที่เอเลนมีต่อพระองค์เองเมื่อยามที่อีกฝ่ายพูดถึงบรรดาสนมรักทั้งหลายฟาโรห์รีไวก็ยิ่งพอพระทัย
“ไม่เกี่ยวกับพวกนาง”
กระซิบตรัสเสียงแผ่วก่อนจะมอบจูบล้ำลึกนุ่มนวลให้กับเด็กหนุ่มในอ้อมแขนช้าๆ
ค่อยๆใช้เวลาละเลียดชิมรสกลีบปากบางของคนช่างเถียงอย่างอ้อยอิ่งจนเด็กหนุ่มหลุดเสียงครางออกมาแผ่วๆ
พระองค์ถอนพระโอษฐ์ผละจากด้วยสีพระพักตร์เสียดายสุดแสนแล้วจึงโอบกอดร่างของเด็กหนุ่มแนบพระอุระ
“มีเพียงเจ้า.....แค่เจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้นหาใช่ใครที่ไหนหรือสตรีนางอื่น”
เอเลนทอดกายอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่ายเงียบๆอย่างว่างง่ายในใจอดคิดไม่ได้ว่าหากไม่มีคนๆนี้มาคอยกวนอารมณ์กวนใจก็คงจะเหงาพิลึกเหมือนกัน
คิดได้ดังนั้นจึงยกแขนขึ้นโอบกอดอีกฝ่ายแนบแน่นไม่แพ้กัน แม้องค์รีไวราเมสจะแปลกพระทัยกับอาการว่าง่ายของเด็กหนุ่มอยู่ไม่น้อยแต่พระองค์ก็ไม่ได้แสดงท่าทีใดๆที่จะทำให้บรรยากาศอุ่นๆระหว่างพวกเขาทั้งสองคนต้องเสียไป
“พรุ่งนี้ก็ต้องออกเดินทางแล้วนะ
ดูเข้าเถอะขบวนเสด็จยังไม่เรียบร้อยด้วยซ้ำ”
“สิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือความปลอดภัยของเจ้า
จึงมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ข้าต้องตระเตรียมเป็นพิเศษ”
เอเลนเงยหน้ามองคนที่กอดตนอยู่เงียบๆจากสีพระพักตร์เรียบเฉยแบบนั้นดูท่าว่าองค์ฟาโรห์หนุ่มคงจะไม่ยอมบอกเขาเป็นแน่ว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่เตรียมไว้นั้นมีอะไรบ้าง
“อืม” เด็กหนุ่มจึงตอบรับเสียงเบาแล้วทำตัวว่าง่ายอยู่ในอ้อมกอดอีกฝ่ายแทน
“หากเป็นไปได้ข้าอยากจะไปกับเจ้าด้วยตัวเอง”
ฟาโรห์หนุ่มตรัสพร้อมกับจุมพิตกลุ่มผมนุ่มของคนในอ้อมกอดเบาๆ
“ก็รู้อยู่ว่าไปไม่ได้” เด็กหนุ่มในอ้อมกอดตอบกลับมาเสียงเขียว
“อืม.....ข้าจึงได้แต่เฝ้าภาวนาว่าอย่าให้วันพรุ่งนี้มาถึง
แต่ทุกอย่างยังต้องดำเนินต่อไป เพียงชั่วพริบตาผ่านมันก็มาถึงจนได้”
“สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้คือปัจจุบัน ถึงฝ่าบาทจะกังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นมันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรเปลี่ยนแปลงได้
ทุกสิ่งทุกอย่างมีครรลองในตัวของมันเองเมื่อถึงกาลเกิดย่อมต้องเกิด
เมื่อถึงกาลดับย่อมต้องดับไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้”
“ถ้าหากว่าคำภาวนาของข้าจะไม่มีวันเป็นจริง
ข้าก็ได้แต่ปรารถนาให้ช่วงเวลานี้ยาวนานไม่มีที่สิ้นสุด”
ตรัสพลางกระชับอ้อมกอดแน่นยิ่งขึ้นด้วยความกังวลพระทัย
“ไม่มีสิ่งไหนยืนยาวเป็นนิรันดร์
แม้ช่วงเวลานี้ก็เช่นกัน แต่ข้าจะพยายามยื้อช่วงเวลานี้ให้ยาวนานที่สุดเพื่อพระองค์ก็แล้วกัน”
เอเลนตอบเสียงเบาพลางหลับตาลงทิ้งร่างทั้งร่างให้จมอยู่ในอ้อมกอดของฟาโรห์หนุ่มนิ่งนาน
ด้านองค์รีไวราเมสเองก็ทอดพระเนตรออกไปยังผืนทะเลทรายอันเวิ้งว้างที่เห็นได้ผ่านบานหน้าต่าง
ยามเมื่อดวงอาทิตย์เคลื่อนคล้อยลาลับผืนทรายเมื่อจบวันและโคจรกลับขึ้นมาส่องสว่างอีกครั้งในยามรุ่งสางของวันใหม่เมื่อนั้นการเดินทางของเด็กหนุ่มในอ้อมกอดก็จะเริ่มต้นขึ้น
ยิ่งอยู่ห่างไกลกันมากเพียงใดความห่วงหาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นตามระยะทางและกาลเวลา
หากไม่ได้อยู่ในสายพระเนตรของพระองค์แล้วพระองค์ก็ไม่อาจวางพระทัยในความปลอดภัยใดๆของอีกฝ่ายได้เลยจริงๆ
แต่ก็อย่างที่เจ้าตัวได้กล่าวไว้ต่อให้พระองค์ทรงกังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นพระองค์ก็มิอาจกระทำการอันใดได้อยู่ดีได้แต่เฝ้าภาวนาให้เหล่าทวยเทพเป็นหูเป็นตาปกป้องร่างอวตารผู้นี้แทนพระองค์
สายลมอ่อนพัดเอื่อยผ่านบานหน้าต่างเข้ามาไล้เส้นพระเกศาสีดำเข้มของฟาโรห์หนุ่มเบาๆ
องค์รีไวราเมสหลุบพระเนตรลงต่ำจ้องมองเด็กหนุ่มที่หลับตานิ่งอยู่ในอ้อมกอดของพระองค์พลางทอดถอนพระทัยต่อให้กังวลต่อไปก็ไม่อาจทำให้สิ่งใดดีขึ้นพระองค์จึงเลือกที่จะให้ความสำคัญกับช่วงเวลานี้และเด็กหนุ่มในอ้อมกอดผู้นี้แทน
ข่าวคราวที่ว่าร่างอวตารแห่งราเป็นตัวแทนราชทูตเชื่อมสัมพันธไมตรีกับแคว้นคิตชูวัตนานั้นสร้างความตื่นเต้นให้แก่ประชาชนชาวธีบส์เป็นอย่างมากด้วยสงครามที่ยืดเยื้อระหว่างอียิปต์และฮิตไทต์นั้นยาวนานมาหลายชั่วอายุหากการเชื่อมสัมพันธไมตรีครานี้ประสบผลสำเร็จสองดินแดนตกลงจบข้อพิพาทกันได้ด้วยความสันติย่อมเป็นเรื่องดี
ดังนั้นผู้คนเหล่านี้จึงพร้อมใจกันมารอส่งเสด็จร่างอวตารผู้เป็นตัวแทนแห่งอียิปต์ไปเยือนดินแดนศัตรูด้วยความหวังและรู้สำนึกถึงความเมตตาขององค์เทพราอย่างล้นเหลือ
เอเลนมองสองข้างทางที่คลาคล่ำไปด้วยประชากรชาวธีบส์พลางยิ้มกริ่มอย่างใจชื้นรู้สึกว่าที่ตัดสินใจครั้งนี้ก็ไม่ได้ย่ำแย่อะไรนัก
มองแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังของคนเหล่านี้แล้วก็ได้แต่ตั้งมั่นว่าจะต้องทำให้ฮิตไทต์และอียิปต์สงบศึกกันให้จงได้
“ใกล้จะได้เวลาแล้วนะ” เบเซทกระซิบเตือนเสียงเบา
คนใจลอยถึงกับสะดุ้ง
“อ๋อ......อืม”
เอเลนกวาดตามองเหล่ามิตรสหายที่พร้อมใจกันมาส่งเขาเดินทางไกลครั้งนี้ทุกคนพร้อมส่งยิ้มอ่อนโยนให้เป็นครั้งสุดท้าย
“ไม่รู้ว่าต้องไปนานแค่ไหน
แต่ข้าสัญญาจากกันครานี้เมื่อพบกันครั้งหน้าข้าขอสัญญาว่าจะนำความสงบสุขมาสู่แผ่นดินของเรา”
น้ำเสียงกังวานใสสะท้อนก้องให้ได้ยินกันถ้วนทั่ว
พวกเบเซททุกคนและเหล่าประชาชนชาวธีบส์จึงต่างพากันคุกเข่าลงกับพื้นเปล่งเสียงดังกังวานโดยพร้อมเพรียงกัน
“เทพราโปรดทรงคุ้มครองร่างอวตาร”
“อ่า....ขอบคุณๆ”
เอเลนเกาแก้มยิ้มรับรู้สึกเขินหน่อยๆก่อนจะผายมือส่งสัญญาณบอกให้ทุกคนลุกขึ้น
“เอเลนระวังตัวด้วย
เจ้าชายมูวาตัลลิสไม่ใช่คนที่จะประมาทได้ง่ายๆ” เบเซทกล่าวสำทับอีกครั้ง
“อย่าได้ห่วงไป ข้ารู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไร
ข้าก็หวังว่าท่านจะดูแลตัวเองและ.......ดูแลเขาด้วยนะเบเซท” ไม่ต้องเดาให้ยากว่า ‘เขา’ ที่เอเลนพูดถึงนั้นคือใคร
“นั่นคือสิ่งที่คนเป็นลูกพึงกระทำ”
เบเซทกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม
เอเลนพยักหน้ารับก่อนจะกวาดสายตามองหาคนผู้นั้นเป็นครั้งสุดท้าย
ทั้งๆที่เมื่อวานนี้ยังทำท่าทางอาลัยอาวรณ์ถึงเพียงนั้นแต่เมื่อรุ่งเช้ามากลับไม่เห็นแม้แต่ฝุ่น
รู้สึกโมโหตัวเองนิดๆที่ไปหลงใจอ่อนให้กับคนร้อยลิ้นมากเล่ห์เข้าจนได้
ที่ควรลาก็ลากันหมดแล้วใครจะไม่อยู่ก็ช่างมันละกัน
เอเลนผิวปากเรียกอิลเซ่ให้ร่อนมาเกาะลงที่แขนก่อนจะผันกายขึ้นรถม้า
ในจังหวะนั้นเองเสียงฝีเท้าม้าที่ทั้งแรงและเร็วก็ควบมาจากท้ายขบวนแล้วหยุดเทียบข้างรถม้า
“เราออกเดินทางกันได้แล้วสินะ”
ฟาโรห์รีไวราเมสผู้อยู่ในชุดทรงเกราะเหล็กบางควบไนยาลีเหยาะย่างเข้าไปหาเอเลนด้วยรอยยิ้มกริ่ม
“เรา? เราไหน”
เอเลนโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างรถม้าถามเสียงเขียว
“ก็เราอย่างไรล่ะ” คำตอบกำกวมแบบนี้ไม่ได้ช่วยไขข้อข้องใจอะไรได้เลย
แต่ก่อนที่เอเลนจะมีโอกาสได้ซักไซ้ต่อ ฟาโรห์หนุ่มเจ้าปัญหาก็ควบไนยาลีทิ้งฝุ่นตลบขึ้นนำหน้าขบวนไปแล้ว
“เดี๋ยว....เดี๋ยวก่อนสิท่าน”
เอเลนได้แต่ตะโกนไล่หลังโบกกำปั้นชูให้อีกฝ่ายอย่างแค้นๆเมื่อทำอะไรไม่ได้จึงได้แต่มุดร่างกลับเข้ามาในรถม้าแต่โดยดี
“ทำอะไรไม่เคยปรึกษา ไม่เคยบอกกันก่อนเลย”
แม้เสียงบ่นจะห้วนสั้นอย่างหงุดหงิดแต่ใบหน้างามกลับยกยิ้มอย่างห้ามไม่ใจไม่อยู่
ข่าวคราวการนำขบวนเสด็จราชทูตขององค์ฟาโรห์รีไวราเมสด้วยพระองค์เองแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
ในไม่ช้าก็เล่าลือไปไกลถึงแคว้นคิตชูวัตนา ด้วยความที่องค์ฟาโรห์รีไวราเมสปฏิบัติต่ออีกฝ่ายอย่างให้เกียรติถึงเพียงนี้ทุกคนจึงยิ่งตระหนักถึงความสำคัญของเด็กหนุ่มร่างอวตารผู้นี้มากยิ่งขึ้น
เจ้าชายแจนเองก็เข้าใจดีจึงหมายมั่นที่จะใช้โอกาสทองในครั้งนี้หาประโยชน์จากอียิปต์ให้ได้มากที่สุดเช่นกัน
“นี่.....เราคุยกันแล้วไม่ใช่รึไง
แล้วจะตามมาทำไม” เอเลนเยี่ยมหน้าออกจากรถม้าพูดกับชายหนุ่มที่ควบม้าเหยาะย่างอยู่เคียงข้างอย่างหงุดหงิด
“หาได้ตามเจ้าไป ข้าแค่ตามมาส่ง”
ฟาโรห์หนุ่มแย้มพระสรวลตรัสตอบอย่างสบายๆ
“ฝ่าบาท
แต่กระหม่อมดูแล้วไม่เห็นท่าทางว่าพระองค์จะยอมเสด็จกลับไปง่ายๆเลยนะพะยะค่ะ”
“ข้าก็แค่ตามมาส่งเจ้า........เรื่อยๆนั่นแหละ”
“ไม่ใช่ว่าส่งไปส่งมาแล้วไปโผล่ที่แคว้นคิตชูวัตนาด้วยกันหรอกนะ”
ครานี้ไม่มีคำตอบใดๆจากองค์ฟาโรห์หนุ่ม
มีเพียงรอยยิ้มกริ่มที่เป็นเอกลักษณ์ประดับอยู่บนพระพักตร์ยิ่งทำให้เอเลนกลัวเหลือเกินว่าความจริงจะเป็นเช่นนั้น
ร่างบางตัดสินใจมุดตัวเข้าไปในรถม้าอีกครั้งเกิดเสียงกุกกักรื้อค้นข้าวของอยู่พักใหญ่
ด้วยม่านที่กั้นบานหน้าต่างไว้ฟาโรห์หนุ่มจึงไม่อาจทอดพระเนตรได้ว่าเจ้าตัวยุ่งกำลังทำอะไร
แต่เมื่อเวลาผ่านไปชั่วอึดใจเดียวพระองค์ก็ต้องรีบรั้งไนยาลีควบเข้าไปเทียบรถม้าให้ใกล้ขึ้นแล้วยื่นพระหัตถ์ไปรองรับเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งที่จู่ๆก็เกิดบ้าบิ่นตกมันกระโดดลงมาจากรถม้าที่กำลังวิ่งเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด
“นี่เจ้ากลัวว่าไปถึงแคว้นคิตชูวัตนาแล้วมูวาตัลลิสจะไม่หาทางกำจัดเจ้าใช่หรือไม่ถึงได้หาเรื่องตายก่อน”
ฟาโรห์หนุ่มตีพระพักตร์เคร่งขรึมตวาดดุคนในอ้อมกอดเสียงเข้ม
“ก็อยู่ในรถม้าแล้วมันเบื่อนี่”
เอเลนตอบพลางจัดแจงท่านั่งทรงตัวอยู่บนหลังของไนยาลีอย่างมั่นคง
“สอนกระหม่อมขี่ม้าหน่อยสิฝ่าบาท”
“ไม่” โดยไม่ต้องดำริฟาโรห์หนุ่มตวัดสุระเสียงตอบในทันที
“ไม่เอาน่า.....สมมตินะสมมติว่าเกิดวันดีคืนดีกระหม่อมหนีออกจากคิตชูวัตนา
พระองค์คิดว่ากระหม่อมควรจะเดินฝ่าทะเลทรายออกมาหรืออย่างไร อย่างน้อยๆหากกระหม่อมขี่ม้าเป็นยังจะพอมีหวังในการหนีได้บ้าง”
“หากเกิดเหตุสุดวิสัยเจ้าแค่กลับไปยังดินแดนเทพของเจ้าก็พอแล้ว”
องค์รีไวราเมสตรัสเสียงแข็งไม่ยอมพระทัยอ่อนง่ายๆ
เอเลนจึงใช้ลูกอ้อนพิงร่างไปกับพระวรกายของฟาโรห์หนุ่มที่โอบเอวตนอยู่แล้วกระซิบเสียงแผ่ว
“ถ้าทุกอย่างมันอยู่นอกเหนือการควบคุมแล้วกระหม่อมกลับไปแน่
แต่ตราบใดที่ยังไม่ถึงทางตันกระหม่อมก็จะไม่มีวันยอมถอย
ฝ่าบาทพระองค์ก็ทรงเห็นว่ากระหม่อมอุตส่าห์ทำเพื่อดินแดนของพระองค์ถึงเพียงนี้แล้ว
จะไม่ยอมสอนกระหม่อมขี่ม้าเพื่อเป็นการตอบแทนเชียวหรือ”
ร่างบางกระซิบตัดพ้อแสร้งถอนหายใจยาวอย่างผิดหวัง
“แต่เอาเถอะ ไม่ได้ก็คือไม่ได้
กระหม่อมก็ไม่อยากจะเซ้าซี้”
ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ว่านี่เป็นหลุมพรางเล็กๆที่เด็กหนุ่มได้ขุดดักหน้าพระองค์ไว้เท่านั้น
แต่ถึงจะตระหนักได้เช่นนั้นพระองค์ก็ยังยินยอมที่จะกระโดดลงไปอยู่ดี
พระหัตถ์ใหญ่กระชับผ้าโพกศีรษะให้กับคนในอ้อมกอดอย่างรัดกุมพลางยื่นบังเหียนให้
แม้สีพระพักตร์เคร่งขรึมเฉยชาแต่พระสุระเสียงที่ตรัสออกมาก็ยังเจือไปด้วยความอ่อนโยน
“สิ่งสำคัญอยู่ที่การควบคุม
ท่าทางที่เป็นการออกคำสั่งมีอยู่ไม่กี่อย่างแต่คนส่วนมากเมื่อเวลาตกใจหรือขาดสติก็มักจะลืมคำสั่งเหล่านั้นไปทำให้ควบคุมม้าไม่อยู่
ดังนั้นจำเป็นต้องใช้สมาธิในการควบคุมค่อนข้างมาก”
เอเลนพยักหน้าหงึกหงักปฏิบัติตามบทเรียนระยะสั้นของฟาโรห์หนุ่มอย่างเคร่งครัด
เมื่อตกบ่ายก็เริ่มที่จะขี่ม้าได้คล่องขึ้นพอสมควร
เนื่องจากเวลานี้พายุทรายเริ่มตั้งเค้ามาให้เห็นแต่ไกลขบวนเสด็จจึงต้องปักหลักตั้งกระโจมใกล้แหล่งน้ำพักหลบพายุไปเสียก่อน
เพราะหากจะดันทุรังเดินทางฝ่าพายุกันไปก็มีแต่จะหลงทิศกันได้ง่ายๆ
“อ่า.....ขี่ม้าก็เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย”
ร่างบางบ่นเสียงดังขณะที่ทิ้งร่างลงนอนบนฟูกขนแคชเมียร์อย่างเหนื่อยอ่อน
“ข้าบอกแล้วว่าให้เจ้าเข้าไปอยู่ในรถม้าก็ไม่ฟัง”
องค์รีไวราเมสตรัสตอบพลางวางดาบคู่กายเก็บเข้าที่
“ก็มันไม่สนุกน่ะสิ”
เอเลนเอ่ยตอบพร้อมกับกลิ้งตัวไปมาอยู่บนฟูกนิ่ม
“ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่ทรายอย่าไปทำที่นอนสกปรก”
ฟาโรห์หนุ่มตรัสพลางฉุดเด็กหนุ่มขึ้นจากที่นอน
“รักสะอาดจริงๆนะ” เอเลนแอบบ่นให้ฟาโรห์หนุ่มเบาๆ
ร่างใหญ่ที่กำลังถอดชุดเกราะออกจากพระวรกายหยุดชะงักก่อนจะหันมาดุเสียงเข้ม
“ข้าได้ยินนะ”
เอเลนเองก็ทำหูทวนลมไม่ตอบโต้อะไรต่อ ขณะนั้นเองหญิงรับใช้ก็ได้ยกอ่างทองคำใส่น้ำเดินเข้ามา
“อีกสักครู่น้ำสรงถึงจะพร้อม
ฝ่าบาทจะโปรดล้างพระบาทตอนนี้หรือไม่เพคะหม่อมฉันจะได้ถวายงาน”
“เอาไว้ก่อน”
ตรัสตอบพลางส่งสัญญาณให้หญิงรับใช้ออกจากกระโจมไป
รอจนผ้าม่านบังสายตาหน้ากระโจมปิดสนิทดีพระองค์จึงได้ยกอ่างทองคำไปหาเอเลนเงียบๆ
เอเลนเฝ้ามองอิริยาบถของฟาโรห์หนุ่มด้วยความสงสัยก่อนจะอุทานลั่นเมื่อกระจ่างแก่ใจ
“ฝ่าบาทอย่า!!!”
ฟาโรห์หนุ่มเงยพระพักตร์สบตากับเขาพลางตรัสถามด้วยความแปลกพระทัย
พระหัตถ์ใหญ่ที่กำลังถอดรองเท้าออกจากข้อเท้าขาวเรียวถึงกับชะงัก
“เป็นอะไรไป”
“โปรดอย่าทำเช่นนี้เลยพะยะค่ะ”
เอเลนพยายามจะชักเท้าออกแต่ก็ถูกอีกฝ่ายจับไว้แน่น
ฟาโรห์หนุ่มถอดรองเท้าให้เอเลนอย่างไม่รีบร้อนก่อนจะจุ่มเท้าทั้งคู่นั้นลงในน้ำอุ่นสะอาดแล้วนวดคลึงเบาๆ
“ข้าพอใจจะทำให้เจ้า ใครจะทำไม”
องค์รีไวราเมสยังคงตรัสด้วยสีพระพักตร์สบายๆนวดเท้าให้เอเลนต่อไป
กลับกลายเป็นเด็กหนุ่มเองที่มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกสบายตัวเหลือเกิน
หลังจากนวดเท้าให้เด็กหนุ่มเสร็จ พระองค์ก็ยกเท้าขาวเปลือยทั้งสองข้างของเอเลนวางไว้บนพระชานุหยิบผ้านุ่มมาซับน้ำให้จนแห้ง
เอเลนได้แต่เม้มปากแน่นจนด้วยคำพูดแม้พระองค์จะเปียกไปด้วยน้ำล้างเท้าของเขาหรือจับต้องเท้าของเขาโดยตรงพระองค์ก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจแม้แต่น้อยกลับกันกลับแสดงสีพระพักตร์เยือกเย็นสงบนิ่งราวกับนี่เป็นสิ่งที่พระองค์ควรทำเสียด้วยซ้ำ
เห็นใบหน้าหงอยๆของเด็กหนุ่มแล้วพระองค์ก็อดที่จะตรัสปลอบไม่ได้
“อย่าได้คิดมากไป คิดเสียว่านี่เป็นโปรโมชั่นที่ข้าให้เจ้าก่อนไปก็แล้วกัน”
เอเลนถึงกับเถียงไม่ออกนึกไม่ถึงว่าอีกฝายจะย้อนเขาด้วยประโยคเดียวกัน
ในขณะนั้นเองหญิงรับใช้ก็เดินเข้ามาบอกว่าน้ำสรงเตรียมพร้อมแล้ว
ด้วยความที่ก้มหน้าก้มตาอยู่ตลอดนางจึงไม่อาจได้เห็นภาพที่ฟาโรห์หนุ่มคุกเข่าอยู่แทบเท้าเด็กหนุ่มร่างอวตาร
พระองค์หยัดพระวรกายขึ้นเต็มความสูงแล้วจึงตรัสกับเด็กหนุ่ม
“ข้าจะไปก่อน
เจ้าก็พักผ่อนไปพลางๆแล้วข้าจะมาเรียก”
เมื่อตรัสจบก็เดินออกจากกระโจมไปทิ้งเอเลนที่เหมือนกลายเป็นใบ้หาเสียงตัวเองไม่เจอไปชั่วขณะอยู่ในกระโจมแต่เพียงผู้เดียว
ร่างบางทิ้งตัวลงกับฟูกนอนฟุบหน้าลงกับหมอน ผิวแก้มร้อนฉ่าจนเกินจะควบคุมได้แล้ว
ให้ตายเถอะ!!!!
การกระทำของคนๆนั้นเมื่อครู่นี้มันยากจะต้านทานไหวจริงๆ
หลังจากไตร่ตรองอยู่กับตัวเองสักพักเมื่อตัดสินใจได้แล้วจึงลุกออกจากกระโจมไปทันที
ส่วนที่ถูกจัดเป็นห้องสรงน้ำนั้นถูกกั้นเป็นกระโจมขนาดใหญ่อย่างมิดชิด
ไอร้อนจากน้ำอุ่นลอยม้วนอบอวลชวนให้บรรยากาศขมุกขมัว
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาใกล้ฟาโรห์หนุ่มที่หลับพระเนตรแช่น้ำอุ่นผ่อนคลายก็ตื่นขึ้น
“เจ้าเองหรือ มาสิข้ากำลังจะขึ้นจากน้ำพอดี”
ตรัสเอ่ยพร้อมกับหยิบผ้าคลุมพระวรกายหมายจะขึ้นจากอ่างน้ำแต่กลับถูกมือบางยื้อแย่งผ้าผืนนั้นไว้เสียก่อน
เอเลนส่ายหน้าโยนผ้าห่มกายผืนนั้นไปไกลๆแล้วเปลื้องผ้าบนร่างกายของตนเองออกเปิดเผยร่างเปลือยเปล่าต่อสายพระเนตรของฟาโรห์หนุ่มช้าๆพลางก้าวเท้าลงไปแช่ตัวในอ่างใบเดียวกัน
หนนี้กลับกลายเป็นฝ่ายพระองค์เองที่ถึงกับตรัสอะไรไม่ออก
ได้แต่ทอดพระเนตรเด็กหนุ่มร่างอวตารด้วยความฉงน
“กระหม่อมจะช่วยถูหลังให้”
ว่าพลางเคลื่อนกายเข้าไปใกล้หยิบผ้านุ่มผืนเล็กจุ่มน้ำขัดสีแผ่นหลังแน่นมัดกล้ามให้กับฟาโรห์หนุ่มเบาๆ
มือเรียวที่ค่อยๆลูบไล้ไปตามแนวสันหลังของพระองค์ช้าๆทำให้เสียวซ่านจนขนบนร่างกายลุกชัน
บางสิ่งบางอย่างที่ไม่ควรจะลุกชันไปตามขนก็เริ่มจะตื่นขึ้นมาด้วย
“ไม่เป็นไร ข้าอาบเสร็จแล้ว”ตรัสพลางปัดมือเรียวออกจากพระวรกายแล้วหันกายหลบจะขึ้นจากอ่าง
“ถ้าเช่นนั้นฝ่าบาทจะทรงเมตตาถูหลังให้กระหม่อมได้หรือไม่พะยะค่ะ”
แล้วก็ต้องชะงักไปกับถ้อยคำประโยคนี้
เอเลนหันแผ่นหลังขาวเนียนให้ทอดพระเนตรชัดๆพลางเอียงคอวักน้ำลงบนไหล่ตนเอง
“ไม่สะดวกเอาเสียเลยพะยะค่ะ”
ว่าพลางแสดงให้เห็นว่าถูหลังตัวเองไม่ถนัดจริงๆ
เห็นดังนั้นด้วยพระเมตตาที่มีล้นเปี่ยมอวัยวะท่อนล่างพระองค์จึงไม่ลังเลที่จะช่วยถูหลังให้เอเลนอีก
พระหัตถ์ใหญ่ลากไล้ไปตามแผ่นหลังนวนเนียนช้าๆลูบไล้เบาๆ
ยิ่งได้เห็นลำคอระหงที่ระด้วยเส้นผมเปียกน้ำบนท้ายทอยใกล้ๆแล้วก็อดไม่ได้ที่จะขบกัดลงไปบนท้ายทอยของร่างบางเสียเต็มแรง
เอเลนนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีขัดขืน
ต่อเมื่อรู้สึกถึงบางสิ่งที่ดุนดันอยู่เบื้องหลังแล้วจึงกัดฟันเอ่ยออกไปด้วยความตระหนก
“ฝ่าบาท......กระหม่อมไม่พร้อม”
“อืม.....”เสียงครางรับทุ้มต่ำดังมาสั้นๆยามเมื่อฟาโรห์หนุ่มไล้เลียรอยกัดที่เลือดซิบบนท้ายทอยของเด็กหนุ่มเบาๆก่อนจะลงแรงกัดอีกครั้งด้วยความหมั่นเขี้ยว
“ฝ่า....บาท”
เอเลนส่งเสียงครางแผ่วราวกับจะประท้วง
แต่นอกจากจะตะโบมกัดและถูไถนัวเนียพระวรกายเข้ากับเขาแล้วองค์รีไวราเมสก็ไม่ได้กระทำการล่วงล้ำอื่นใดเข้าสู่ร่างกายของเขาเลยอย่างมากก็เพียงแค่ปลดปล่อยด้วยฝ่ามือของกันและกันเท่านั้น
เสียงหอบหายใจสะท้านและเสียงน้ำดังจ๋อมแจ๋มก้องสะท้อนทั่วทั้งห้องสรงน้ำ
บรรยากาศเร่าร้อนดำเนินไปจนถึงขีดสุดก่อนที่ทุกอย่างจะสงบลง
“ขอโทษที่ทำให้เจ็บ” ตรัสเสียงแผ่วขณะที่ลูบไล้รอยกัดบนท้ายทอยของเด็กหนุ่มเบาๆ
“เจ็บแค่นี้เป่าทีเดียวก็หายแล้ว”
เมื่อได้ยินเด็กหนุ่มกล่าวเช่นนั้นองค์รีไวราเมสก็เป่าลมหายใจลงบนรอยแผลของเด็กหนุ่มจริงๆ
“แต่มันคงจะยังทิ้งรอยแผลเป็นอยู่ดี”
“กระหม่อมไม่ใช่ผู้หญิงที่จะต้องมาห่วงเรื่องรอยแผลเป็นเสียหน่อย”
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี รอยแผลนี้เป็นเครื่องยืนยันว่าเจ้าเป็นของข้า”
“ฝ่าบาทกระหม่อมเคยทูลไปแล้วนะว่าอย่าเอาคนไปรวมกับสิ่งของน่ะ”
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็เป็นคนของข้า”
ตรัสตอบพลางทอดพระเนตรเด็กหนุ่มที่อิงแอบอยู่ข้างกาย
“เขาว่ากันว่าคนแก่มักจะหวงของ ท่าจะจริง”
เอเลนเอ่ยกลั้วหัวเราะก่อนจะเอ่ยต่อ
“ฝ่าบาท พอแค่นี้เถอะ ส่งกันไกลแค่ไหนก็ต้องจาก
จะแยกจากกันตอนนี้หรือหลังจากนี้สุดท้ายก็ยังต้องแยกกันอยู่ดี
โปรดทรงเสด็จกลับธีบส์เถิดพะยะค่ะ”
“ถ้าหากว่าข้าแฝงตัวเข้าไปในขบวน.........”
“ไม่ได้เด็ดขาดเลิกดำริไปได้เลย
งานการก็ออกจะล้นพระหัตถ์ โปรดเสด็จกลับไปนั้นถูกต้องที่สุดแล้ว”
ฟาโรห์หนุ่มทอดพระเนตรมองใบหน้าหวานของคนข้างกายก่อนจะพยักพระพักตร์รับอย่างยอมจำนน
“ถ้าเจ้าต้องการเช่นนั้น ก็ตามใจเจ้าเถิด” ตรัสพลางจุมพิตลงบนหน้าผากเนียนของเอเลนแผ่วเบา
เมื่อรุ่งเช้ามาเยือนขบวนเสด็จก็จัดเตรียมพร้อมอีกครั้ง
แต่หนนี้องค์รีไวราเมสหาได้เสด็จตามไปด้วย
พระองค์นั่งทรงบนไนยาลีเฝ้ามองขบวนราชทูตออกเดินทางผ่านโพ้นทะเลทรายไปจนลับสายพระเนตรอย่างเงียบงัน
หลังจากนั้นก็มีทหารคนสนิทเข้ามาทูลข่าวล่าที่เพิ่งได้รับ
“ทูลฝ่าบาท เจ้าชายเบเซทและกองกำลังธีบส์เดินทัพสู่ที่หมายแล้วพะยะค่ะ”
สีพระพักตร์เรียบเฉยเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
หันไปตรัสสั่งกับทหารในบัญชาเสียงดังฟังชัด
“เคลื่อนทัพสู่เมมฟิส!!!”
เสียงโห่ร้องของเหล่าทหารหาญดังกึกก้องฮึกเหิม
องค์รีไวราเมสนำทัพออกมุ่งหน้าสู่เมืองท่าซึ่งเป็นเขตชายแดนอียิปต์ที่ใกล้กับฮิตไทต์ที่สุดอย่างมุ่งมั่นไม่มีเหลียวหลังกลับ
ส่งกันไกลแค่ไหนก็ต้องจาก จะช้าหรือเร็วสุดท้ายก็ต้องแยกกันอยู่ดีสู้จากกันตอนนี้ย่อมดีกว่ายื้อไปให้มากความเพราะต่อจากนี้พระองค์ยังมีเรื่องที่ต้องให้สะสางกันอีกยาว
เสียดายอ่าาา ทำไมไม่กดเลยคะท่านนนน!ข้าน้อยใคร่เห็นนะ!รอดูมาหลายตอนแว้ววว!=[]=!!//โดนไรท์ลากเข้าหลังคาแดง
ตอบลบหวานอ่าาาา ใจสั่น
ตอบลบน้องงง
ตอบลบ