วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์ Chapter 20



Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์
Pairing: (LevixEren)
Rate: NC-17
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
Story By: AkeRah , Trendy Blood
………………………………………………………………………………………………..
Chapter 20:


            เอเลนมองแหวนต้นกกที่เพิ่งได้มาอย่างแปลกใจ ยิ่งความรู้สึกแปลกๆในอกทำให้เด็กหนุ่มทำตัวไม่ถูก ความรู้สึกทั้งหลายปนเปตีกันจนแยกไม่ออกว่าตอนนี้เขารู้สึกอย่างไรกันแน่ ทั้งยินดี เศร้าใจ โกรธ หรือแม้กระทั่งชิงชัง ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตาแก่จอมเจ้าเล่ห์วางแผนอันใด ถ้าทำเพราะอยากกวนใจเขาล่ะก็บอกได้เลยว่ามันได้ผล เพราะตอนนี้ความรู้สึกที่ตีกันจนเด็กหนุ่มต้องเอาน้ำเย็นราดบนหัวที่เริ่มร้อนของตน แล้วจัดเปลื้องอาภรณ์ที่ห่อหุ้มลงไปยังสระน้ำ ตามปกติแล้วเขาไม่ใคร่ใช้สระน้ำส่วนพระองค์ของฟาโรห์นัก เพราะไม่รู้ว่าคนเจ้าเล่ห์แบบนั้นจะเข้ามาตอนไหน แต่วันนี้หลังจากกลับจากโอเอซิสเพราะเรื่องการเตรียมการทางการฑูตอีกทั้งการวางแผนเตรียมรับมือหากมีศึกทำให้องค์รามเมสต้องจัดการปัญหาต่างๆนานาทันทีที่เหยียบกลับเข้ามายังเขตราชฐาน
            เมื่อรู้สึกว่าอารมณ์ตนเองสงบลงบ้างจากที่ดำอยู่ในน้ำจึงนอนลอยกลางสระน้ำเผื่อผ่อนคลาย ใบหน้ามนมองรอบๆสระทรงน้ำที่มีความทรงจำไม่น่าประทับใจเท่าไร ผ้าโปร่งบางที่ปลิวไสวและคบเพลิงที่ตั้งรายล้อม อีกทั้งที่นี้เงียบสงัดราวกับตัดจากโลกภายนอก แต่จิตใจของเอเลนกลับไม่นิ่งเช่นเดียวกับบรรยากาศ ทั้งที่คิดว่าอารมณ์สงบลงบ้างแต่เมื่อนึกถึงใบหน้าของคนเจ้าเล่ห์อารมณ์ที่เย็นลงพลันตีกลับเข้ามาอีกระลอก หัวสีน้ำตาลจึงสะบัดไปมาเพื่อไล่ใบหน้าของคนที่กำลังติดพันการประชุมออก แต่เมื่อไม่ได้ผลเขาจึงคิดเรื่องอื่นๆเพื่อให้ความรู้สึกฟุ้งซ่านนั้นกระจายออกบ้าง
            จะว่าไปที่นี่เป็นสถานที่แกที่เขาหลงเข้าในโลกอียิปต์โบราญแห่งนี้ เขายังจำได้ดีกับแววตาขององค์รามเมสที่มองเขาอย่างแข็งกร้าวอีกทั้งยังคำขู่ที่ให้เขายอมเป็นร่างอวตารได้ดี ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่แววตาแข็งกร้าวนั้นเปลี่ยนไปและเริ่มอ่อนโยน ถึงเขาจะเป็นคนหัวช้าในเรื่องความรู้สึกของคนอื่นอยู่บ้าง แต่แววตาขององค์รามเมสที่ส่งมาฉายแววอบอุ่นอย่างลึกล้ำ และไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรจากที่เขาคิดว่าจะต้องหาทางกลับไปโลกของตนเอง กลายเป็นเขาเข้ามายุ่งวุ่นวาย แต่ทำไงได้ล่ะการมองเฉยๆโดยไม่ทำอะไรมันไม่ใช่นิสัยของเขาเสียหน่อย รู้สึกคำพูดของอาร์มินลอยขึ้นมาเลยที่ว่านิสัยดื้อรั้นและไม่ยอมอยู่เฉยๆของเขาแบบนี้เหมือนดาบสองคม
            “ถ้าไม่ทำให้ประวัติศาสตร์เปลี่ยนคงไม่เป็นไรหรอกมั่ง” เอเลนพึมพำกับตัวเองก่อนจะเป่าฟองในน้ำเล่นเพื่อระบายอารมณ์กรุ่นที่มี
            หนังสือประวัติศาสตร์อียิปต์ที่เขาอุตส่าห์เอาติดตัวมา พอผ่านมิติเวลากลับกลายเป็นหนังสือเปล่าที่ไม่มีทั้งรูปภาพหรือตัวหนังสือแม้แต่น้อย ทั้งที่หนังสือสอนภาษาเยอรมันและอื่นๆกลับเป็นปกติดี แบบนี้เขาก็ไม่มีคู่มือช่วยเลยน่ะสิ หรือจะเป็นการชี้แนะจากองค์เทพว่าประวัติศาสตร์สามารถเปลี่ยนแปลงได้กัน? ยิ่งคิดก็ยิ่งหาคำอธิบายไม่ได้ทั้งเรื่องกุญแจและเรื่องที่เขาผ่านห้วงมิติเวลา และดูเหมือนกุญแจผีบ้านั้นจะอาถรรพ์เอากาลไม่ยอมสลัดหลุดจากเขาไปง่ายๆ ทั้งที่เขาทิ้งไปแล้วแท้ จากที่คิดอะไรเพลินๆแหวนต้นกกที่ได้จากองค์ฟาโรห์สะดุดตาเขาอีกครั้ง เด็กหนุ่มรู้สึกเคลือบแคลงใจกับตำแหน่งนิ้วที่องค์ฟาโรห์สวม
            ไอเจ้าฟาโรห์บ้านั้นเลือกสวมแหวนนิ้วไหนไม่สวม ดันมาสวมที่นิ้วนางข้างซ้าย ให้ตายเถอะทั้งที่ไอเจ้าบ้านั่นไม่น่าจะรู้ที่มาที่ไปของเรื่องการสวมแหวนที่นิ้วนางในยุคเขาแต่ดันเลือกสวมนิ้วได้ราวกับตีตราจองแบบนี้รู้สึกแปลกๆชะมัด พอคิดอย่างนั้นเอเลนจึงเปลี่ยนตำแหน่งแวนที่สวมจากนิ้วนางข้างซ้ายเป็นนิ้วกลางข้างซ้ายแทน เมื่อมองแหวนใบหน้าที่เป็นปกติก็ขึ้นสีอีกคราจนเอเลนต้องเอาหน้าจุ่มลงในน้ำ ที่น่าเจ็บใจอยู่ๆตัวเขาที่ทำเหมือนเด็กขี้แยต่อหน้าฟาโรห์ต่างหาก ทำตัวดูไม่ได้ชะมัด!
            การแช่น้ำทำให้อารมณ์ฟุ้งซ่านเย็นลงบ้างแต่ถึงกระนั่นใจก็ยังรู้สึกไม่สงบเสียที เด็กหนุ่มจึงลุกจากสระแล้วเปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่ เด็กหนุ่มลังเลอยุ่นานว่าจะแต่งกายด้วยชุดของอียิปต์หรือชุดที่เขาติดตัวมาด้วยจากโลกของเขา ผลสุดท้ายเอเลนตัดสินใจแต่งกายด้วยชุดอียิปต์ตามเดิม อย่างน้อยถ้าเกิดอะไรขึ้นเขาจะได้ไม่ดูโดดเด่นจนเกินไป เห็นทีคราวหลังเขาต้องพกคอนแทคเลนส์สีมาด้วย เพราะนัยน์ตาสีอร่ามของเขาทำให้ยากต่อการซ่อนตัวและสถานะ ถึงเขาจะมาอยู่ที่นี่ได้เสียพักใหญ่เริ่มคุ้นชินกับอะไรมากมาย แต่การที่ทุกคนต่างมองเขาราวกับเทิดทูลบูชา อีกทั้งก้มหัวให้เขาตลอดเวลาที่เดินทางไปไหนต่อไหน ยังไงเขาก็ไม่คุ้นชินกับมันเอาเสียเลย ยังดีที่เบเซธ เบลทรูธ ไรเนอร์ และคนอื่นๆที่เริ่มสนิทและคุ้นเคยทำตัวปกติกับเขาแล้วไม่อย่างนั้นเขารู้สึกอยู่ไม่เป็นสุข
            ทันทีที่ก้าวออกจากพื้นที่เชตสรงน้ำ ซุ้มโค้งหน้าวิหารมิคาสะที่ยืนกอดอกมองราวกับรอเขาทำให้เอเลนเอียงคออย่างแปลกใจ ที่รู้ว่าคงรอเขาอยุ่นั่นก็เพราะว่าทันทีที่เขาเดินออกมาใบหน้าเฉยชานั้นขมวดมุ่นอีกทั้งยังบึ้งตึงอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่ก่อนที่จะเอ่ยถามคนที่รอก็เดินเข้ามาประชิดตัวร่างอวตารจนเอเลนเผลอก้าวถอยหลังชิดติดพนัง มือของมิคาสะจึงวางกั้นไม่ให้คนสูงน้อยกว่าได้ขยับตัวหนี
            “นายโกรธอะไรของนาย?” ในเมื่อไม่มีทางหนี จึงได้แต่เผชิญหน้า ส่วนเรื่องที่มิคาสะโกรธเขาเองก็พอเดาได้อยู่
            “เหตุใดท่านต้องเสนอตัวเองไปในแดนศัตรู?” น้ำเสียงที่เหมือนขู่ระคนไม่พอใจของมิคาสะทำให้เอเลนรู้สึกผิด
            “ไม่ต้องห่วงน่า ยังไงฉันก็ไม่ตายอยู่แล้วล่ะ...มั่ง” เพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองในอดีตจะตายได้รึเปล่า แต่ถ้าจวนตัวเขาคงจะพอหาทางหนีที่ไล่ได้บ้างล่ะ..มั่ง
            “ท่าแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่เป็นไรจริง?” คนขี้สงสัยยังคงซํกถาม
            “อันที่จริงฉันไม่ใช่คนของโลกนี้ ยังไงคิดว่าอาจจะตายที่นี่ไม่ได้อยู่แล้ว...ล่ะมั่ง” คนที่ไม่แน่ใจได้แต่ตอบอย่างไม่เต็มปากเต็มคำ
            คำตอบอย่างขอไปทีทำให้มิคาสะเริ่มขมวดคิ้วมากขึ้น มิคาสะดึงแขนของเอเลนเข้าหาตัวก่อนจะคว้ากริซเล่มเล็กคู่ใจถากเข้าที่แขนบางนั้นอย่างรวดเร็ว จนคนโดนกระทำได้แต่มองตาค้าง
            “เฮ้ย ทำอะไรของนายวะเนี่ย!!” โมโหจนจะฆ่าถลกหนังกันเลยเหรอ! ทั้งที่ปกติเป็นคนสุขุมกว่านี้แท้ๆ มิคาสะแกซ่อนความดาร์กขนาดนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อไรกันวะ!? คนสติกระเจิงพยายามดึงมือหนีแต่อีกฝ่ายที่แข็งแรงกว่ายึดแขนของเอเลนไว้ก่อนจะหมุนให้เห็นรอยถากจากกริซจางๆที่มีเลือดเริ่มซึมออกมา
            “ถ้าท่านยังรู้สึกเจ็บและเลือดยังคงไหลอยู่แบบนี้ ยังไงท่านก็ตายได้เอเลน” มิคาสะดึงคนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องสรงน้ำเข้าไปอีกรอบเพื่อให้ช้ำชำระบาดแผลก่อนจะใช้ผ้าพันให้ เพราะเป็นเพียงแค่รอยถากบางๆ ไม่จำเป็นที่ต้องพันแผลก็ได้เพราะอีกไม่นานมันก็จะจางไปเอง แต่คนขี้ห่วงอย่างมิคาสะยังยืนยันที่ให้อีกฝ่ายใช้ผ้าพันเพื่อไม่ให้เชื้อโรคเข้า
            เอเลนมองแขนที่ถูกผ้าพันอย่างดีก่อนจะพยักหน้าเข้าใจ ทีนี้เขาก็แน่ใจอย่างหนึ่งว่าต่อให้เป็นโลกในอดีตแต่ดูเหมือนเขาก็เจ็บและตายได้ไม่ต่างกัน
            “ถึงอย่างนั้นก็ต้องไปอยู่ดี” ก่อนที่มิคาสะจะได้เอ่ยแย้งร้างอวตารจึงพูดแทรกขึ้น
            “ฉันรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เพราะอย่างนั้นฉันเลยต้องทำมันคงเป็นหน้าที่ที่เทพราของพวกนายอยากให้ฉันช่วย อีกอย่างฉันเป็นร่างอวตารแห่งรา ถ้าไม่ช่วยอียิปต์คงไม่ดีใช่ไหมล่ะ?” เอเลนยิ้มบางให้กับคนขี้ห่วงก่อนจะลูบผมสีดำของอีกฝ่าย
            มิคาสะยังคงแสดงสีหน้าว่าเป็นห่วงอย่างจริงจัง แต่ถึงกระนั้นก็รู้ดีว่าคนอย่างเอเลนถ้าตัดสินใจสิ่งใดแล้วจะรั้นทำอย่างถึงที่สุด
            “ว่าแต่นายเถอะ ฟาโรห์ประชุมอยู่ไม่ใช่รึไงโดดมารึ?” มิคาสะผู้เป็นอนุชาขององค์รามเมสยังไงก็ต้องร่วมประชุม แต่ตอนนี้มานั่งอยู่ที่นี้ได้แสดงว่าต้องหนีมาแน่ๆ
            “ฟาโรห์กำลังถกเถียงกับเหล่าอำมาตย์เรื่องวางแผนการรบ ข้าไม่อยากดูพวกเขาเถียงกันเลยออกมากลางคัน” มิคาสะทำหน้าเบื่อหน่ายอย่างไม่ปิดบัง แค่ลำพังเรื่องศึกก็น่ารำคาญจะแย่อยู่แล้ว การที่ต้องมานั่งดูเหล่าคนอายุเยอะเถียงกันไม่น่าอภิรมณ์ให้เขาอยู่ดูเท่าไรหรอก
            “แล้วทำไมท่านไม่เสนอเบเซธไปเล่า ถ้าเทียบตำแหน่งแล้ว รัชทายาทขององค์รามเมสเองก็เหมาะสมไม่ใช่น้อย” ถ้าอ้างว่าเป็นตำแหน่งที่สมควรและทำให้ทางฮิตไทต์รู้สึกไม่เสียหน้า รัชทายาทอันดับหนึ่งขององค์รามเมสเองก็เหมาะสมเช่นกัน
            “ที่จริงข้าว่าเบเซธเองก็เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ เพียงแต่รัชทยาทอันดับหนึ่งไปเยือนแดงศัตรู ไม่ต่างจากเสนอตัวประกันให้ฝ่ายนั้นเป็นข้อต่อรอง แต่ข้าเป็นร่างอวตารแห่งเทพทำให้ยืนยันได้ว่า ฮิตไทต์จะไม่กล้าทำอันตรายและจะต้อนรับอย่างดี” เรื่องนี้เอเลนค่อนข้างมั่นใจเพราะการเป็นร่างอวตารตัวแทนแห่งเทพสำหรับยุคนี้ถือเป็นเรื่องที่อัศจรรย์ และคนยุคนี้นอกจากจะสรรเสริญเทิดทูลเทพเจ้าของเขาแล้ว ล้วนยังเกรงกลัวหากทำเทพโกรธ ถึงแม้เขาจะเป็นตัวแทนเทพแห่งอียิปต์แต่ความหวั่นเกรงสมมุติเทพนั่นส่งผลไปถึงอาณาจักรอื่นๆเช่นกัน
            “อีกข้อ เจ้าจำเรื่องที่เราเรียนกันที่ดินแดนเทพได้ไหม เออ จะว่าอย่างไรดีมันคล้ายๆกับการจดบันทึกคำพยากรณ์น่ะ” เอเลนพยายามหาคำอธิบาย เขาไม่แน่ใจว่ามิคาสะที่หลุดไปยังโลกอนาคตแล้วย้อนกลับมาในอดีตอีกครั้งจะเข้าเรื่องมิติเวลาหรือไม่ แต่การที่มิคาสะเรียกเยอรมันยุคของเขาว่าเป็นดินแดนเทพ บางทีคงยังไม่เข้าใจเรื่องมิติเวลา
            “ข้านึกออก เรื่องคำพยากรณ์หลากหลาย อีกทั้งยานพาหนะที่แปลกตามากมาย แต่มีสิ่งหนึ่งที่แปลกไป” มิคาสะขมวดคิ้วอีกครั้งก่อนจะนวดที่ขมับของตัวเอง
            เอเลนมองเพื่อนสนิทที่มีสีหน้ากังวลก่อนจะลูบผมสีดำราวกับปลอบใจอีกครั้ง มิคาสะจึงหันมามองหน้าร่างอวตารก่อนจะถอนหายใจ
            “ตอนที่ข้าอยู่ที่นั้นข้าอ่านบันทึกเกี่ยวกับอียิปต์มากมาย มีทั้งเรื่องที่น่าตกใจและหวาดหวั่น ตอนนั้นข้าจำได้ว่าวิ่งไปถามอาร์มินและเหล่าผู้ทรงความรู้หลายต่อหลายครั้ง แต่ที่น่าแปลก ตั้งแต่ข้ากลับมาหวังจะจดบันทึกเรื่องราวคำพยากรณ์ในดินแดนเทพ แต่.....ข้านึกไม่ออก ราวกับม่านหมอกมาปกคลุมความนึกคิดของข้าไว้”
            เอเลนมองมิคาสะนิ่งงัน เอเลนพยายามรวบรวมความนึกคิดเกี่ยวกับเรื่องโลกอียิปต์โบราณในหัวของเขาแล้วพบว่าเขายังคงจำมันได้ แม้จะไม่แม่นยำแต่ก็ยังคงนึกออกบางทีคงเพราะเขาเป็นคนของโลกยุคปัจจุบัน แต่มิคาสะที่เป็นคนในอดีตแต่ได้รับรู้เรื่องราวต่างๆเมื่อกลับมายังโลกเดิม บางสิ่งบางอย่างคงพยายามปิดกั้นความรู้และความนึกคิดของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่นาน อาจเป็นผลพวงที่เกิดจากการย้อนเวลาก็เป็นได้ คล้ายกับที่มิคาสะสามารถอ่านภาษาเยอรมันได้ทันทีที่ไปถึงโลกอนาคต แต่เมื่อย้อนเวลากลับมากลับไม่สามารถอ่านได้อย่างคุ้นเคย และตัวเขาที่สามารถอ่านและรู้ภาษาอียิปต์โบราณได้ราวกับเป็นภาษาบ้านเกิดของตนเอง
            “เอาเป็นว่าฉันรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปก็แล้วกัน ฉันคงบอกอะไรมากไม่ได้ เอาเป็นว่านายไม่ต้องห่วง” เอเลนตบลงบนบ่าของเพื่อนสนิทก่อนจะฉีกยิ้มกว้างให้
            “แล้วอีกข้อ ถ้าเกิดอะไรขึ้นฉันสามารถหนีกลับดินแดงเทพได้” เด็กหนุ่มยิ้มกริ่ม ถึงไอฟาโรห์บ้านั่นจะเอากุญแจเขาไปเพราะอยากให้เขาอยู่ที่นี้สักพัก แต่เมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้วันนี้ตาแก่บ้านั่นต้องเอากุญแจมาคืนเขาแน่นอน
            สิ่งที่เอเลนเดาไว้ไม่ผิด หลังจากประชุมยาวนานสิ้นสุดลง ฟาโรห์รามเมสก็ตรงไปยังห้องเก็บสมบัติส่วนพระองค์ในท้องพระคลัง เอเลนที่รออยู่ในห้องคาดว่าคนว่าราชการยาวนานคงเริ่มหิวแล้วจึงให้เหล่าข้ารับใช้จัดเตรียมเครื่องเสวยรอองค์ฟาโรห์รามเมส
            เมื่อฟาโรห์หนุ่มกลับมายังห้องบรรทมส่วนพระองค์กลิ่นหอมของอาหารที่ตระเตรียมไว้ลอยเข้านาสิก องค์รามเมสแปลกพระทัยเล็กน้อยเมื่อมีผู้กราบทูลว่าร่างอวตารเป็นผู้ตระเตรียมรองรับเมื่อพระองค์เสด็จมาเยือน
            “แปลกนักที่เจ้าตระเตรียมสำรับให้ข้าเช่นนี้” องค์รามเมสส่งสายตาระแวงไปยังร่างบางที่อยู่เบื้องหน้าซึ่งกำลังรินเหล้าองุ่นลงในถ้วย ความฝันเมื่อครั้งก่อนยังคงหลอกหลอนพระองค์จนไม่อาจเชื่อว่าตกลงนี่พระองค์กำลังนิมิตไปเองหรือเป็นเรื่องจริงกันแน่?
            คนถูกหาว่าทำตัวแปลกได้แต่เหลือบตามองก่อนจะยื่นแก้วสำริตที่ใส่เหล้าองุ่นให้
            “ถือว่าช่วงโปรโมชั่นที่ท่านต้องทำงานหนัก”
            รีไวรามเมสรับแก้วสำริดก่อนจะดื่มเหล้าหงุ่นให้ชุ่มคอ ใบหน้าคมทำหน้าสงสัยสักครู่ก่อนเอ่ยถาม
            “อะไรคือช่วงโปรโมชั่น?”
            เด็กหนุ่มร่างอวตารเกาผมสีน้ำตาลของตนพลางคิดคำอธิบายง่ายๆที่คนโบราญจะเข้าใจ
            “ก็แบบ... เป็นช่วงที่ฉันจะทำตัวดีๆกับนาย เอ๊ย กับท่านน่ะ”
            ได้ยินแบบนั้นคนขี้แกล้งจึงยกยิ้มขำให้เด็กหนุ่มก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างชอบใจพลางประทับยังที่ประจำเพื่อเตรียมเสวย
            “ข้าชักชอบช่วงโปรโมชั่นนี่เสียแล้วสิ บอกหน่อยว่าจะมีนานไหมหรือทำอย่างไรถึงได้ช่วงโปรโมชั่นนี้อีก?” องค์รามเมสถามอย่างใคร่รู้ก่อนจะจัดการหยิบกระยาหารตรงหน้าเข้าปาก จากท่าทางของเด็กหนุ่มทำให้เขารู้ว่านี่คงไม่ใช่นิมิตอย่างครั้งที่แล้ว และเพราะอย่างนั้นถ้าอีกฝ่ายจะยอมป้อนอาหารให้เขามีหวังอาหารคงเย็นชืด หรือไม่ก็คงเน่าบูดเป็นแน่
            “ถ้ามีบ่อยมันก็ไม่ใช่โปรโมชั่นสิ ระยะเวลาขึ้นอยู่กับการกระทำของท่านนั่นแหละ” เอเลนขี้เกียจอธิบายจึงตัดบทแล้วนั่งที่ประจำอีกฝั่งเพื่อเริ่มทานอาหารเช่นกัน เพราะมัวแต่รอตัวเขาจึงยังไม่ได้ทานมื้อเย็นเข่นกัน
            “แขนของเจ้าไปโดนอะไรมา?” รีไวคิ้วขมวดมุ่นเมื่อเห็นผ้าพันแผลบนแขนของอีกฝ่าย
            เอเลนมองตามสายตาคมก่อนจะนึกขึ้นได้เกี่ยวกับแผลถากๆของตน เด็กหนุ่มจึงแกะผ้าพันแผลออกก่อนจะแสดงให้คนขี้สงสัยดูว่าไม่มีอะไรต้องห่วง เพราะเป็นแผลที่เบามากจนตอนนี้แทบไม่เห็นร่องรอยถ้าไม่สังเกตดีๆ
            “กิ่งไม้บาดเทาน่ะ มิคาสะเลยพันแขนให้ทั้งที่บอกไม่ต้องก็ได้” หาข้อแก้ต่างเพื่อตัดปัญหา ถ้าองค์รามเมสรู้ว่ามิคาสะเอากริซมาถากแขนเขาเพื่อสอนให้เขารู้จักระวังและห่วงชีวิตตัวเองมากขึ้น คนอารมณ์ร้อนคงไม่วายไปหาเรื่องอนุชา
            รีไวรามเมสพยักหน้ารับ แม้ไม่อาจเชื่อว่าเป็นรอยจากกิ่งไม้ เพราะรอยแผลแม้เพียงเล็กน้อยแต่กลับดูเนียนราวของมีคมบาด ถึงกระนั้นก็ไม่เอ่ยถามย้ำด้วยหตุที่รู้ว่าเจ้าตัวคงไม่อยากตอบ
            “แล้วตกลงข้อสรุปของท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” เมื่อทานอาหารไปได้สักพัก คนที่รอฟังฝลสรุปจึงเอ่ยถาม
            องค์รามเมสดื่มเหล้าองุ่นก่อนจะจ้องมองใบหน้าหวานเบื้องหน้าอีกครั้ง
            “เจ้าไม่เปลี่ยนใจแน่ใช่หรือไม่เอเลน?”
            เด็กหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะยกยิ้มให้องค์รามเมส ที่ถามย้ำเพียงแค่ถ้าคนตรงหน้าเปลี่ยนใจขึ้นมารีไวยินดีที่จะเปลี่ยนผู้ที่จะทำหน้าที่แทน แต่ในเมื่อเป็นความปรารถนาของคนรั้น อีกทั้งยังเป็นผลดีต่ออียิปต์เขาจึงไม่อาจใช้อารมณ์ส่วนตัวในการตัดสิน มีแต่ต้องเคารพการตัดสินใจที่เกิด และเตรียมรับผลที่ตามมา
            “เจ้าหนูมานี่หน่อย” รีไวรามเมสกวักมือเรียกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
            เอเลนเลิ่กคิ้วมองเป็นเชิงถาม “ผมยังกินข้าวไม่เสร็จเลย”
            ตอนนี้เขายังคงเคี้ยวเนื้อไก่และแป้งที่ทานอยู่เต็มปาก แล้วจะให้เขาลุกไปหาแบบนี้เขาก็ไม่ได้กินต่อน่ะสิ คนห่วงกินยังคงไม่ยอมขยับทั้งยังเคี้ยวตุ้ยๆในปากอย่างไม่สนใจสายตาคมที่จ้องมองมาราวกับออกคำสั่งนิดๆ
            “ถ้ามีอะไรก็พูดมาสิคร๊าบบ จ้องแบบนี้กระผมก็อ่านสีหน้าท่านไม่ออกหรอกนะ” เอเลนยกน้ำขึ้นดื่มก่อนจะมองกลับไปด้วยสายตายียวน เพราะรู้อยู่แล้วว่าที่เรียกไปอย่างไรก็ไม่พ้นอยากลวนลามเขาแน่ๆ แล้วเรื่องอะไรที่เขาจะเดินเข้าไปหาเสือที่จ้องจะขย้ำแบบนั้น
            “ก็ได้ ในเมื่อเจ้าไม่เข้ามา งั้นข้าจะเป็นฝ่ายไปหาเจ้าเอง” คนใจร้อนไม่อยากรออีกต่อไปจึงลุกขึ้นไปนั่งเบียดอีกฝั่งอย่างจงใจ ทำเอาเด็กหนุ่มที่กำลังกินองุ่นแทบสำลัก
            “อะไรขอ...ง..เฮ้ย!” ก่อนจะได้ถามจบร่างที่นั่งอยู่ก็ถูกยกขึ้นก่อนจะวางทับตักคนถือวิสาสะเข้ามาประชิดตัว ฟาโรห์หนุ่มเกยคางไว้บนไหล่ของเอเลน
            “ทำตัวเป็นคนขี้เหงาไปได้นะท่าน” แม้จะบ่นเด็กหนุ่มก็ไม่อิดออดปล่อยให้คนเจ้าเล่ห์นั่งกอดตัวเองพลางปากก็ยังคงเคี้ยวองุ่นรสหวานต่อไป
            “อีกไม่นานข้าคงเหงาที่เจ้าต้องไปอยู่ต่างแดน”
            คำพูดของฟาโรห์หนุ่มทำเอาองุ่นติดคอเอเลน เด็กหนุ่มทุบอกตัวเองก่อนจะพยายามฝืนกลื่นองุ่นลงไป
            “ถ้าเหงาก็ไปหาเหล่าภรรยาของท่านสิ ไม่ก็ทำตัวเป็นพ่อที่ดีโดยให้เวลาลูกๆบ้างเป็นไง?” เด็กหนุ่มเสนอ ถึงกระนั่นนัยน์ตาสีอร่ามก็ไม่อาจหันไปมองใบหน้าอีกฝ่าย เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเขาเองมีสีหน้าอย่างไรเช่นกัน ความรู้สึกที่ปั่นป่วนเริ่มกลับมาอีกครั้ง
            “นั่นสินะ...” ลมหายใจอุ่นเป่ารดที่ต้นคอของร่างอวตารก่อนสันจมูกจะกดทับกับแก้มนิ่มของอีกฝ่าย
            “เลิกเล่นได้แล้ว ผมจะกินข้าว” หาข้ออ้างไปอย่างนั้นทั้งที่เขารู้สึกอิ่มจนไม่อาจยัดอะไรลงไปในท้องได้แล้ว
            ฟาโรห์หนุ่มหาได้สนใจด้วยรู้ดีว่าปริมาณอาหารที่เจ้าตัวดีทานไปคงทำให้ร่างอวตารอิ่มแล้ว แต่รีไวรามเมสจึงอุ้มร่างอวตารก่อนจะตรงไปยังเตียงขนาดใหญ่ที่อยู่ถัดไปอีกฝั่งของโต๊ะทานอาหาร
            “เฮ้ย เดี๋ยวนี่ท่านจะทำอะไรเนี่ย!?” เด็กหนุ่มแตกตื่นอีกครั้ง ยิ่งเมื่อถูกวางลงบนเตียง เอเลนรีบหยิบหมอนมากอดไว้ก่อนจะจ้องเขม่งองค์ฟาโรห์อย่างระแวดระวัง
            ฟาโรห์รีไวจับข้อมือของเด็กหนุ่มก่อนจะดึงเข้าหาตนเอง คนที่อ่อนแอกว่าจึงเซลงกระทบกับอกกำยำอย่างง่ายดาย
            “ข้าขอสั่งเจ้าร่างอวตาร”
            พอได้ยินว่าเป็นคำสั่งจากอารมณ์เตลิดที่ตกใจเริ่มเป็นหงุดหงิด พอจะอ้าปากเถียงใบหน้ามนที่มองสบพระพักตร์จริงจังขององค์ฟาโรห์ทำให้เอเลนกลืนคำพูดลงคอ
            “ข้าขอสั่งเจ้าเอเลน ร่างอวตารแห่งรา นอกจากข้าเพียงผู้นี้แล้วอย่าให้ผู้ใดทำร้ายหรือสังหารเจ้าได้”
            เด็กหนุ่มมองอย่างตกตะลึงก่อนจะยกยิ้มแล้วหัวเราะออกมาเสียยกใหญ่ ให้ตายสิเป็นคำสั่งที่แปลกที่สุดเท่าที่เขาเคยได้รับมาเลย แต่นี่คงเป็นความห่วงใยในแบบขององค์ฟาโรห์ เอเลนหันมายิ้มให้บุรุษเบื้องหน้าก่อนจะโค้งคำนับให้
            “น้อมรับคำสั่งผ่าบาท น้อมรับด้วยใจและเกียรติเลย”
            เมื่อเห็นว่าคนรั้นยอมรับคำสั่งตนเอง รีไวจึงหยิบกุญแจทองคำที่ริบมาจากเจ้าตัวคืนให้ ชายหนุ่มจับมือเอเลนขึ้นมาก่อนจะวางกุญแจไว้ในมือแล้วกุมไว้แน่น
            “หากมีอันตรายเจ้าจงกลับไปยังดินแดนเทพของเจ้าเสีย นี่เป็นคำสั่ง”
            คนเจ้าเล่ห์ยังคงออกคำสั่งที่เอเลนรู้สึกขำ คำสั่งที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและรู้สึกจั๊กจี้ที่หัวใจแปลก ไม่ทันได้คิดราวกับทำไปตามสัญชาตญาน มือหยาบที่กอบกุมตนไว้เด็กหนุ่มจึงดึงเข้าหา เพราะส่วนสูงที่มีมากกว่าเอเลนจึงจุมพิตลงบนหน้าผากของชายหนุ่ม เมื่อรู้สึกตัวว่าทำสิ่งใดลงไปเด็กหนุ่มจึงผละออก ผู้ที่ถูกกระทำได้แต่มองอย่างแปลกใจไปยังใบหน้าหวาน เมื่อเห็นว่าองค์ฟาโรห์ยังคงนิ่งค้างหัวใจตัวดีก็เต้นระส่ำจนทำเอาเขาพูดตะกุกตะกัก
            “ก.. ก็.. แบบ ..เออ ... ช่วงโปรโมชั่นไง” เจ้าตัวดีที่รู้สึกอยู่ไม่สุขทั้งยังความรู้สึกกระสับกระส่ายแปลกๆจึงหวังหาทางหนี ร่างบางจึงเขยิบตัวหมายจะลงจากเตียงแล้วไปหาที่สงบสติอารมณ์ แต่โดนมืออีกฝ่ายคว้าไว้
            แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทำให้ใบหน้าองค์รามเมสดูน่าลุ่มหลงกว่าทุกครั้ง อาจเป็นเพราะบรรยกาศในคือพระจันทร์เสี้ยวเช่นนี้ ใบหน้าที่เขยิบเข้ามาใกล้จึงดูน่าหลงใหลจนไม่ผละออก อีกทั้งยังเขยิบเข้าหาอีกฝ่ายด้วยตนเอง เมื่อริมฝีปากทั้งสองสัมผัสกันอย่างแผ่วเบา กลับปากนุ่มของเด็กหนุ่มก็เผยอออกอย่างว่าง่าย ลิ้นร้อนของอีกฝ่ายจึงสอดแทรกรุกล้ำ ลิ้นเล็กที่มักดึงดันปฏิเสธตอบรับอีกฝ่ายอย่างเต็มใจแม้จะไม่ประสาแต่กลับเชื้อเชิญให้รู้สึกหวานล้ำดื่มด่ำราวน้ำผึ้งรสเลิศ สองมือบางที่ทุกครั้งมักดันหรือผลักออกกลับวางไว้บนไหล่หนานิ่งงันก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นโอบกอดอีกฝ่ายให้แนบชิดมากยิ่งขึ้น เสียงของคืนที่เงียบสงัดแจ่มชัดไปด้วยเสียงแลกเปลี่ยนความหวานที่ชื้อแฉะจากริมฝีปากของทั้งสอง แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่จูบกับองค์ฟาโรห์รีไว แต่เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มตอบรับอย่างเต็มใจ
            เมื่อริมฝีปากทั้งสองผละออกเอเลนได้แต่ซุกกับแผงอกแกร่งเบื้องหน้า หวังให้อกของชายหนุ่มช่วยปิดบังใบหน้าที่ตอนนี้เขารู้สึกว่าต้องแสดงสีหน้าที่น่าอายอยู่แน่ๆ
            “นี่ก็เป็นโปรโมชั่นของเจ้าใช่รึเปล่า”
“อ..อืม”
 รีไวรามเมสลูบผมสีน้ำตาลแผ่วเบา ดูเหมือนเขาจะติดใจกับสถานการณ์ที่เจ้าหนูนี่บอกว่าเป็นโปรโมชั่นเสียแล้ว

3 ความคิดเห็น:

  1. เย้!!! มาต่อแล้ว หูบบบดีใจอ้ะ
    เป็นฉากจูบที่ ฮอลลลลล หวานมดขึ้นจอ อิอิ
    ฟินนนไปเบา ๆ "อย่าให้ใครมาฆ่าเจ้าได้นอกจากข้า" ว้าย ๆๆ ไรอ้ะคุณฟาโรห์
    จิกหมอนนนขาดแล่ววววว

    ตอบลบ
  2. ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ
    มาอัพเร็วๆนะค่ะ

    ตอบลบ
  3. มาส่องตลอด ๆ สู้นะคะ

    ตอบลบ