Attack On
Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์
Pairing: (LevixEren)
Rate: NC-17
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง
ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
Story By: AkeRah , Trendy Blood
………………………………………………………………………………………………..
Chapter
20:
เอเลนมองแหวนต้นกกที่เพิ่งได้มาอย่างแปลกใจ ยิ่งความรู้สึกแปลกๆในอกทำให้เด็กหนุ่มทำตัวไม่ถูก
ความรู้สึกทั้งหลายปนเปตีกันจนแยกไม่ออกว่าตอนนี้เขารู้สึกอย่างไรกันแน่ ทั้งยินดี
เศร้าใจ โกรธ หรือแม้กระทั่งชิงชัง
ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตาแก่จอมเจ้าเล่ห์วางแผนอันใด
ถ้าทำเพราะอยากกวนใจเขาล่ะก็บอกได้เลยว่ามันได้ผล
เพราะตอนนี้ความรู้สึกที่ตีกันจนเด็กหนุ่มต้องเอาน้ำเย็นราดบนหัวที่เริ่มร้อนของตน
แล้วจัดเปลื้องอาภรณ์ที่ห่อหุ้มลงไปยังสระน้ำ
ตามปกติแล้วเขาไม่ใคร่ใช้สระน้ำส่วนพระองค์ของฟาโรห์นัก
เพราะไม่รู้ว่าคนเจ้าเล่ห์แบบนั้นจะเข้ามาตอนไหน แต่วันนี้หลังจากกลับจากโอเอซิสเพราะเรื่องการเตรียมการทางการฑูตอีกทั้งการวางแผนเตรียมรับมือหากมีศึกทำให้องค์รามเมสต้องจัดการปัญหาต่างๆนานาทันทีที่เหยียบกลับเข้ามายังเขตราชฐาน
เมื่อรู้สึกว่าอารมณ์ตนเองสงบลงบ้างจากที่ดำอยู่ในน้ำจึงนอนลอยกลางสระน้ำเผื่อผ่อนคลาย
ใบหน้ามนมองรอบๆสระทรงน้ำที่มีความทรงจำไม่น่าประทับใจเท่าไร
ผ้าโปร่งบางที่ปลิวไสวและคบเพลิงที่ตั้งรายล้อม
อีกทั้งที่นี้เงียบสงัดราวกับตัดจากโลกภายนอก แต่จิตใจของเอเลนกลับไม่นิ่งเช่นเดียวกับบรรยากาศ
ทั้งที่คิดว่าอารมณ์สงบลงบ้างแต่เมื่อนึกถึงใบหน้าของคนเจ้าเล่ห์อารมณ์ที่เย็นลงพลันตีกลับเข้ามาอีกระลอก
หัวสีน้ำตาลจึงสะบัดไปมาเพื่อไล่ใบหน้าของคนที่กำลังติดพันการประชุมออก
แต่เมื่อไม่ได้ผลเขาจึงคิดเรื่องอื่นๆเพื่อให้ความรู้สึกฟุ้งซ่านนั้นกระจายออกบ้าง
จะว่าไปที่นี่เป็นสถานที่แกที่เขาหลงเข้าในโลกอียิปต์โบราญแห่งนี้
เขายังจำได้ดีกับแววตาขององค์รามเมสที่มองเขาอย่างแข็งกร้าวอีกทั้งยังคำขู่ที่ให้เขายอมเป็นร่างอวตารได้ดี
ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่แววตาแข็งกร้าวนั้นเปลี่ยนไปและเริ่มอ่อนโยน ถึงเขาจะเป็นคนหัวช้าในเรื่องความรู้สึกของคนอื่นอยู่บ้าง
แต่แววตาขององค์รามเมสที่ส่งมาฉายแววอบอุ่นอย่างลึกล้ำ
และไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรจากที่เขาคิดว่าจะต้องหาทางกลับไปโลกของตนเอง
กลายเป็นเขาเข้ามายุ่งวุ่นวาย
แต่ทำไงได้ล่ะการมองเฉยๆโดยไม่ทำอะไรมันไม่ใช่นิสัยของเขาเสียหน่อย
รู้สึกคำพูดของอาร์มินลอยขึ้นมาเลยที่ว่านิสัยดื้อรั้นและไม่ยอมอยู่เฉยๆของเขาแบบนี้เหมือนดาบสองคม
“ถ้าไม่ทำให้ประวัติศาสตร์เปลี่ยนคงไม่เป็นไรหรอกมั่ง”
เอเลนพึมพำกับตัวเองก่อนจะเป่าฟองในน้ำเล่นเพื่อระบายอารมณ์กรุ่นที่มี
หนังสือประวัติศาสตร์อียิปต์ที่เขาอุตส่าห์เอาติดตัวมา
พอผ่านมิติเวลากลับกลายเป็นหนังสือเปล่าที่ไม่มีทั้งรูปภาพหรือตัวหนังสือแม้แต่น้อย
ทั้งที่หนังสือสอนภาษาเยอรมันและอื่นๆกลับเป็นปกติดี
แบบนี้เขาก็ไม่มีคู่มือช่วยเลยน่ะสิ
หรือจะเป็นการชี้แนะจากองค์เทพว่าประวัติศาสตร์สามารถเปลี่ยนแปลงได้กัน?
ยิ่งคิดก็ยิ่งหาคำอธิบายไม่ได้ทั้งเรื่องกุญแจและเรื่องที่เขาผ่านห้วงมิติเวลา
และดูเหมือนกุญแจผีบ้านั้นจะอาถรรพ์เอากาลไม่ยอมสลัดหลุดจากเขาไปง่ายๆ
ทั้งที่เขาทิ้งไปแล้วแท้
จากที่คิดอะไรเพลินๆแหวนต้นกกที่ได้จากองค์ฟาโรห์สะดุดตาเขาอีกครั้ง เด็กหนุ่มรู้สึกเคลือบแคลงใจกับตำแหน่งนิ้วที่องค์ฟาโรห์สวม
ไอเจ้าฟาโรห์บ้านั้นเลือกสวมแหวนนิ้วไหนไม่สวม
ดันมาสวมที่นิ้วนางข้างซ้าย
ให้ตายเถอะทั้งที่ไอเจ้าบ้านั่นไม่น่าจะรู้ที่มาที่ไปของเรื่องการสวมแหวนที่นิ้วนางในยุคเขาแต่ดันเลือกสวมนิ้วได้ราวกับตีตราจองแบบนี้รู้สึกแปลกๆชะมัด
พอคิดอย่างนั้นเอเลนจึงเปลี่ยนตำแหน่งแวนที่สวมจากนิ้วนางข้างซ้ายเป็นนิ้วกลางข้างซ้ายแทน
เมื่อมองแหวนใบหน้าที่เป็นปกติก็ขึ้นสีอีกคราจนเอเลนต้องเอาหน้าจุ่มลงในน้ำ
ที่น่าเจ็บใจอยู่ๆตัวเขาที่ทำเหมือนเด็กขี้แยต่อหน้าฟาโรห์ต่างหาก
ทำตัวดูไม่ได้ชะมัด!
การแช่น้ำทำให้อารมณ์ฟุ้งซ่านเย็นลงบ้างแต่ถึงกระนั่นใจก็ยังรู้สึกไม่สงบเสียที
เด็กหนุ่มจึงลุกจากสระแล้วเปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่
เด็กหนุ่มลังเลอยุ่นานว่าจะแต่งกายด้วยชุดของอียิปต์หรือชุดที่เขาติดตัวมาด้วยจากโลกของเขา
ผลสุดท้ายเอเลนตัดสินใจแต่งกายด้วยชุดอียิปต์ตามเดิม
อย่างน้อยถ้าเกิดอะไรขึ้นเขาจะได้ไม่ดูโดดเด่นจนเกินไป
เห็นทีคราวหลังเขาต้องพกคอนแทคเลนส์สีมาด้วย
เพราะนัยน์ตาสีอร่ามของเขาทำให้ยากต่อการซ่อนตัวและสถานะ
ถึงเขาจะมาอยู่ที่นี่ได้เสียพักใหญ่เริ่มคุ้นชินกับอะไรมากมาย
แต่การที่ทุกคนต่างมองเขาราวกับเทิดทูลบูชา
อีกทั้งก้มหัวให้เขาตลอดเวลาที่เดินทางไปไหนต่อไหน
ยังไงเขาก็ไม่คุ้นชินกับมันเอาเสียเลย ยังดีที่เบเซธ เบลทรูธ ไรเนอร์
และคนอื่นๆที่เริ่มสนิทและคุ้นเคยทำตัวปกติกับเขาแล้วไม่อย่างนั้นเขารู้สึกอยู่ไม่เป็นสุข
ทันทีที่ก้าวออกจากพื้นที่เชตสรงน้ำ
ซุ้มโค้งหน้าวิหารมิคาสะที่ยืนกอดอกมองราวกับรอเขาทำให้เอเลนเอียงคออย่างแปลกใจ
ที่รู้ว่าคงรอเขาอยุ่นั่นก็เพราะว่าทันทีที่เขาเดินออกมาใบหน้าเฉยชานั้นขมวดมุ่นอีกทั้งยังบึ้งตึงอย่างไม่ทราบสาเหตุ
แต่ก่อนที่จะเอ่ยถามคนที่รอก็เดินเข้ามาประชิดตัวร่างอวตารจนเอเลนเผลอก้าวถอยหลังชิดติดพนัง
มือของมิคาสะจึงวางกั้นไม่ให้คนสูงน้อยกว่าได้ขยับตัวหนี
“นายโกรธอะไรของนาย?”
ในเมื่อไม่มีทางหนี จึงได้แต่เผชิญหน้า
ส่วนเรื่องที่มิคาสะโกรธเขาเองก็พอเดาได้อยู่
“เหตุใดท่านต้องเสนอตัวเองไปในแดนศัตรู?”
น้ำเสียงที่เหมือนขู่ระคนไม่พอใจของมิคาสะทำให้เอเลนรู้สึกผิด
“ไม่ต้องห่วงน่า
ยังไงฉันก็ไม่ตายอยู่แล้วล่ะ...มั่ง” เพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองในอดีตจะตายได้รึเปล่า
แต่ถ้าจวนตัวเขาคงจะพอหาทางหนีที่ไล่ได้บ้างล่ะ..มั่ง
“ท่าแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่เป็นไรจริง?”
คนขี้สงสัยยังคงซํกถาม
“อันที่จริงฉันไม่ใช่คนของโลกนี้
ยังไงคิดว่าอาจจะตายที่นี่ไม่ได้อยู่แล้ว...ล่ะมั่ง”
คนที่ไม่แน่ใจได้แต่ตอบอย่างไม่เต็มปากเต็มคำ
คำตอบอย่างขอไปทีทำให้มิคาสะเริ่มขมวดคิ้วมากขึ้น
มิคาสะดึงแขนของเอเลนเข้าหาตัวก่อนจะคว้ากริซเล่มเล็กคู่ใจถากเข้าที่แขนบางนั้นอย่างรวดเร็ว
จนคนโดนกระทำได้แต่มองตาค้าง
“เฮ้ย ทำอะไรของนายวะเนี่ย!!” โมโหจนจะฆ่าถลกหนังกันเลยเหรอ! ทั้งที่ปกติเป็นคนสุขุมกว่านี้แท้ๆ
มิคาสะแกซ่อนความดาร์กขนาดนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อไรกันวะ!?
คนสติกระเจิงพยายามดึงมือหนีแต่อีกฝ่ายที่แข็งแรงกว่ายึดแขนของเอเลนไว้ก่อนจะหมุนให้เห็นรอยถากจากกริซจางๆที่มีเลือดเริ่มซึมออกมา
“ถ้าท่านยังรู้สึกเจ็บและเลือดยังคงไหลอยู่แบบนี้
ยังไงท่านก็ตายได้เอเลน”
มิคาสะดึงคนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องสรงน้ำเข้าไปอีกรอบเพื่อให้ช้ำชำระบาดแผลก่อนจะใช้ผ้าพันให้
เพราะเป็นเพียงแค่รอยถากบางๆ
ไม่จำเป็นที่ต้องพันแผลก็ได้เพราะอีกไม่นานมันก็จะจางไปเอง
แต่คนขี้ห่วงอย่างมิคาสะยังยืนยันที่ให้อีกฝ่ายใช้ผ้าพันเพื่อไม่ให้เชื้อโรคเข้า
เอเลนมองแขนที่ถูกผ้าพันอย่างดีก่อนจะพยักหน้าเข้าใจ
ทีนี้เขาก็แน่ใจอย่างหนึ่งว่าต่อให้เป็นโลกในอดีตแต่ดูเหมือนเขาก็เจ็บและตายได้ไม่ต่างกัน
“ถึงอย่างนั้นก็ต้องไปอยู่ดี”
ก่อนที่มิคาสะจะได้เอ่ยแย้งร้างอวตารจึงพูดแทรกขึ้น
“ฉันรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
เพราะอย่างนั้นฉันเลยต้องทำมันคงเป็นหน้าที่ที่เทพราของพวกนายอยากให้ฉันช่วย
อีกอย่างฉันเป็นร่างอวตารแห่งรา ถ้าไม่ช่วยอียิปต์คงไม่ดีใช่ไหมล่ะ?”
เอเลนยิ้มบางให้กับคนขี้ห่วงก่อนจะลูบผมสีดำของอีกฝ่าย
มิคาสะยังคงแสดงสีหน้าว่าเป็นห่วงอย่างจริงจัง
แต่ถึงกระนั้นก็รู้ดีว่าคนอย่างเอเลนถ้าตัดสินใจสิ่งใดแล้วจะรั้นทำอย่างถึงที่สุด
“ว่าแต่นายเถอะ
ฟาโรห์ประชุมอยู่ไม่ใช่รึไงโดดมารึ?”
มิคาสะผู้เป็นอนุชาขององค์รามเมสยังไงก็ต้องร่วมประชุม
แต่ตอนนี้มานั่งอยู่ที่นี้ได้แสดงว่าต้องหนีมาแน่ๆ
“ฟาโรห์กำลังถกเถียงกับเหล่าอำมาตย์เรื่องวางแผนการรบ
ข้าไม่อยากดูพวกเขาเถียงกันเลยออกมากลางคัน” มิคาสะทำหน้าเบื่อหน่ายอย่างไม่ปิดบัง
แค่ลำพังเรื่องศึกก็น่ารำคาญจะแย่อยู่แล้ว
การที่ต้องมานั่งดูเหล่าคนอายุเยอะเถียงกันไม่น่าอภิรมณ์ให้เขาอยู่ดูเท่าไรหรอก
“แล้วทำไมท่านไม่เสนอเบเซธไปเล่า
ถ้าเทียบตำแหน่งแล้ว รัชทายาทขององค์รามเมสเองก็เหมาะสมไม่ใช่น้อย”
ถ้าอ้างว่าเป็นตำแหน่งที่สมควรและทำให้ทางฮิตไทต์รู้สึกไม่เสียหน้า
รัชทายาทอันดับหนึ่งขององค์รามเมสเองก็เหมาะสมเช่นกัน
“ที่จริงข้าว่าเบเซธเองก็เหมาะสมกับตำแหน่งนี้
เพียงแต่รัชทยาทอันดับหนึ่งไปเยือนแดงศัตรู
ไม่ต่างจากเสนอตัวประกันให้ฝ่ายนั้นเป็นข้อต่อรอง แต่ข้าเป็นร่างอวตารแห่งเทพทำให้ยืนยันได้ว่า
ฮิตไทต์จะไม่กล้าทำอันตรายและจะต้อนรับอย่างดี”
เรื่องนี้เอเลนค่อนข้างมั่นใจเพราะการเป็นร่างอวตารตัวแทนแห่งเทพสำหรับยุคนี้ถือเป็นเรื่องที่อัศจรรย์
และคนยุคนี้นอกจากจะสรรเสริญเทิดทูลเทพเจ้าของเขาแล้ว ล้วนยังเกรงกลัวหากทำเทพโกรธ
ถึงแม้เขาจะเป็นตัวแทนเทพแห่งอียิปต์แต่ความหวั่นเกรงสมมุติเทพนั่นส่งผลไปถึงอาณาจักรอื่นๆเช่นกัน
“อีกข้อ
เจ้าจำเรื่องที่เราเรียนกันที่ดินแดนเทพได้ไหม เออ จะว่าอย่างไรดีมันคล้ายๆกับการจดบันทึกคำพยากรณ์น่ะ”
เอเลนพยายามหาคำอธิบาย
เขาไม่แน่ใจว่ามิคาสะที่หลุดไปยังโลกอนาคตแล้วย้อนกลับมาในอดีตอีกครั้งจะเข้าเรื่องมิติเวลาหรือไม่
แต่การที่มิคาสะเรียกเยอรมันยุคของเขาว่าเป็นดินแดนเทพ
บางทีคงยังไม่เข้าใจเรื่องมิติเวลา
“ข้านึกออก
เรื่องคำพยากรณ์หลากหลาย อีกทั้งยานพาหนะที่แปลกตามากมาย แต่มีสิ่งหนึ่งที่แปลกไป”
มิคาสะขมวดคิ้วอีกครั้งก่อนจะนวดที่ขมับของตัวเอง
เอเลนมองเพื่อนสนิทที่มีสีหน้ากังวลก่อนจะลูบผมสีดำราวกับปลอบใจอีกครั้ง
มิคาสะจึงหันมามองหน้าร่างอวตารก่อนจะถอนหายใจ
“ตอนที่ข้าอยู่ที่นั้นข้าอ่านบันทึกเกี่ยวกับอียิปต์มากมาย
มีทั้งเรื่องที่น่าตกใจและหวาดหวั่น ตอนนั้นข้าจำได้ว่าวิ่งไปถามอาร์มินและเหล่าผู้ทรงความรู้หลายต่อหลายครั้ง
แต่ที่น่าแปลก ตั้งแต่ข้ากลับมาหวังจะจดบันทึกเรื่องราวคำพยากรณ์ในดินแดนเทพ แต่.....ข้านึกไม่ออก
ราวกับม่านหมอกมาปกคลุมความนึกคิดของข้าไว้”
เอเลนมองมิคาสะนิ่งงัน
เอเลนพยายามรวบรวมความนึกคิดเกี่ยวกับเรื่องโลกอียิปต์โบราณในหัวของเขาแล้วพบว่าเขายังคงจำมันได้
แม้จะไม่แม่นยำแต่ก็ยังคงนึกออกบางทีคงเพราะเขาเป็นคนของโลกยุคปัจจุบัน แต่มิคาสะที่เป็นคนในอดีตแต่ได้รับรู้เรื่องราวต่างๆเมื่อกลับมายังโลกเดิม
บางสิ่งบางอย่างคงพยายามปิดกั้นความรู้และความนึกคิดของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่นาน
อาจเป็นผลพวงที่เกิดจากการย้อนเวลาก็เป็นได้
คล้ายกับที่มิคาสะสามารถอ่านภาษาเยอรมันได้ทันทีที่ไปถึงโลกอนาคต แต่เมื่อย้อนเวลากลับมากลับไม่สามารถอ่านได้อย่างคุ้นเคย
และตัวเขาที่สามารถอ่านและรู้ภาษาอียิปต์โบราณได้ราวกับเป็นภาษาบ้านเกิดของตนเอง
“เอาเป็นว่าฉันรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปก็แล้วกัน
ฉันคงบอกอะไรมากไม่ได้ เอาเป็นว่านายไม่ต้องห่วง” เอเลนตบลงบนบ่าของเพื่อนสนิทก่อนจะฉีกยิ้มกว้างให้
“แล้วอีกข้อ
ถ้าเกิดอะไรขึ้นฉันสามารถหนีกลับดินแดงเทพได้” เด็กหนุ่มยิ้มกริ่ม
ถึงไอฟาโรห์บ้านั่นจะเอากุญแจเขาไปเพราะอยากให้เขาอยู่ที่นี้สักพัก
แต่เมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้วันนี้ตาแก่บ้านั่นต้องเอากุญแจมาคืนเขาแน่นอน
สิ่งที่เอเลนเดาไว้ไม่ผิด
หลังจากประชุมยาวนานสิ้นสุดลง
ฟาโรห์รามเมสก็ตรงไปยังห้องเก็บสมบัติส่วนพระองค์ในท้องพระคลัง
เอเลนที่รออยู่ในห้องคาดว่าคนว่าราชการยาวนานคงเริ่มหิวแล้วจึงให้เหล่าข้ารับใช้จัดเตรียมเครื่องเสวยรอองค์ฟาโรห์รามเมส
เมื่อฟาโรห์หนุ่มกลับมายังห้องบรรทมส่วนพระองค์กลิ่นหอมของอาหารที่ตระเตรียมไว้ลอยเข้านาสิก
องค์รามเมสแปลกพระทัยเล็กน้อยเมื่อมีผู้กราบทูลว่าร่างอวตารเป็นผู้ตระเตรียมรองรับเมื่อพระองค์เสด็จมาเยือน
“แปลกนักที่เจ้าตระเตรียมสำรับให้ข้าเช่นนี้”
องค์รามเมสส่งสายตาระแวงไปยังร่างบางที่อยู่เบื้องหน้าซึ่งกำลังรินเหล้าองุ่นลงในถ้วย
ความฝันเมื่อครั้งก่อนยังคงหลอกหลอนพระองค์จนไม่อาจเชื่อว่าตกลงนี่พระองค์กำลังนิมิตไปเองหรือเป็นเรื่องจริงกันแน่?
คนถูกหาว่าทำตัวแปลกได้แต่เหลือบตามองก่อนจะยื่นแก้วสำริตที่ใส่เหล้าองุ่นให้
“ถือว่าช่วงโปรโมชั่นที่ท่านต้องทำงานหนัก”
รีไวรามเมสรับแก้วสำริดก่อนจะดื่มเหล้าหงุ่นให้ชุ่มคอ
ใบหน้าคมทำหน้าสงสัยสักครู่ก่อนเอ่ยถาม
“อะไรคือช่วงโปรโมชั่น?”
เด็กหนุ่มร่างอวตารเกาผมสีน้ำตาลของตนพลางคิดคำอธิบายง่ายๆที่คนโบราญจะเข้าใจ
“ก็แบบ...
เป็นช่วงที่ฉันจะทำตัวดีๆกับนาย เอ๊ย กับท่านน่ะ”
ได้ยินแบบนั้นคนขี้แกล้งจึงยกยิ้มขำให้เด็กหนุ่มก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างชอบใจพลางประทับยังที่ประจำเพื่อเตรียมเสวย
“ข้าชักชอบช่วงโปรโมชั่นนี่เสียแล้วสิ
บอกหน่อยว่าจะมีนานไหมหรือทำอย่างไรถึงได้ช่วงโปรโมชั่นนี้อีก?” องค์รามเมสถามอย่างใคร่รู้ก่อนจะจัดการหยิบกระยาหารตรงหน้าเข้าปาก
จากท่าทางของเด็กหนุ่มทำให้เขารู้ว่านี่คงไม่ใช่นิมิตอย่างครั้งที่แล้ว
และเพราะอย่างนั้นถ้าอีกฝ่ายจะยอมป้อนอาหารให้เขามีหวังอาหารคงเย็นชืด
หรือไม่ก็คงเน่าบูดเป็นแน่
“ถ้ามีบ่อยมันก็ไม่ใช่โปรโมชั่นสิ
ระยะเวลาขึ้นอยู่กับการกระทำของท่านนั่นแหละ”
เอเลนขี้เกียจอธิบายจึงตัดบทแล้วนั่งที่ประจำอีกฝั่งเพื่อเริ่มทานอาหารเช่นกัน
เพราะมัวแต่รอตัวเขาจึงยังไม่ได้ทานมื้อเย็นเข่นกัน
“แขนของเจ้าไปโดนอะไรมา?”
รีไวคิ้วขมวดมุ่นเมื่อเห็นผ้าพันแผลบนแขนของอีกฝ่าย
เอเลนมองตามสายตาคมก่อนจะนึกขึ้นได้เกี่ยวกับแผลถากๆของตน
เด็กหนุ่มจึงแกะผ้าพันแผลออกก่อนจะแสดงให้คนขี้สงสัยดูว่าไม่มีอะไรต้องห่วง
เพราะเป็นแผลที่เบามากจนตอนนี้แทบไม่เห็นร่องรอยถ้าไม่สังเกตดีๆ
“กิ่งไม้บาดเทาน่ะ
มิคาสะเลยพันแขนให้ทั้งที่บอกไม่ต้องก็ได้” หาข้อแก้ต่างเพื่อตัดปัญหา
ถ้าองค์รามเมสรู้ว่ามิคาสะเอากริซมาถากแขนเขาเพื่อสอนให้เขารู้จักระวังและห่วงชีวิตตัวเองมากขึ้น
คนอารมณ์ร้อนคงไม่วายไปหาเรื่องอนุชา
รีไวรามเมสพยักหน้ารับ
แม้ไม่อาจเชื่อว่าเป็นรอยจากกิ่งไม้
เพราะรอยแผลแม้เพียงเล็กน้อยแต่กลับดูเนียนราวของมีคมบาด ถึงกระนั้นก็ไม่เอ่ยถามย้ำด้วยหตุที่รู้ว่าเจ้าตัวคงไม่อยากตอบ
“แล้วตกลงข้อสรุปของท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
เมื่อทานอาหารไปได้สักพัก คนที่รอฟังฝลสรุปจึงเอ่ยถาม
องค์รามเมสดื่มเหล้าองุ่นก่อนจะจ้องมองใบหน้าหวานเบื้องหน้าอีกครั้ง
“เจ้าไม่เปลี่ยนใจแน่ใช่หรือไม่เอเลน?”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะยกยิ้มให้องค์รามเมส
ที่ถามย้ำเพียงแค่ถ้าคนตรงหน้าเปลี่ยนใจขึ้นมารีไวยินดีที่จะเปลี่ยนผู้ที่จะทำหน้าที่แทน
แต่ในเมื่อเป็นความปรารถนาของคนรั้น
อีกทั้งยังเป็นผลดีต่ออียิปต์เขาจึงไม่อาจใช้อารมณ์ส่วนตัวในการตัดสิน
มีแต่ต้องเคารพการตัดสินใจที่เกิด และเตรียมรับผลที่ตามมา
“เจ้าหนูมานี่หน่อย”
รีไวรามเมสกวักมือเรียกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
เอเลนเลิ่กคิ้วมองเป็นเชิงถาม
“ผมยังกินข้าวไม่เสร็จเลย”
ตอนนี้เขายังคงเคี้ยวเนื้อไก่และแป้งที่ทานอยู่เต็มปาก
แล้วจะให้เขาลุกไปหาแบบนี้เขาก็ไม่ได้กินต่อน่ะสิ
คนห่วงกินยังคงไม่ยอมขยับทั้งยังเคี้ยวตุ้ยๆในปากอย่างไม่สนใจสายตาคมที่จ้องมองมาราวกับออกคำสั่งนิดๆ
“ถ้ามีอะไรก็พูดมาสิคร๊าบบ
จ้องแบบนี้กระผมก็อ่านสีหน้าท่านไม่ออกหรอกนะ”
เอเลนยกน้ำขึ้นดื่มก่อนจะมองกลับไปด้วยสายตายียวน
เพราะรู้อยู่แล้วว่าที่เรียกไปอย่างไรก็ไม่พ้นอยากลวนลามเขาแน่ๆ
แล้วเรื่องอะไรที่เขาจะเดินเข้าไปหาเสือที่จ้องจะขย้ำแบบนั้น
“ก็ได้
ในเมื่อเจ้าไม่เข้ามา งั้นข้าจะเป็นฝ่ายไปหาเจ้าเอง”
คนใจร้อนไม่อยากรออีกต่อไปจึงลุกขึ้นไปนั่งเบียดอีกฝั่งอย่างจงใจ
ทำเอาเด็กหนุ่มที่กำลังกินองุ่นแทบสำลัก
“อะไรขอ...ง..เฮ้ย!”
ก่อนจะได้ถามจบร่างที่นั่งอยู่ก็ถูกยกขึ้นก่อนจะวางทับตักคนถือวิสาสะเข้ามาประชิดตัว
ฟาโรห์หนุ่มเกยคางไว้บนไหล่ของเอเลน
“ทำตัวเป็นคนขี้เหงาไปได้นะท่าน”
แม้จะบ่นเด็กหนุ่มก็ไม่อิดออดปล่อยให้คนเจ้าเล่ห์นั่งกอดตัวเองพลางปากก็ยังคงเคี้ยวองุ่นรสหวานต่อไป
“อีกไม่นานข้าคงเหงาที่เจ้าต้องไปอยู่ต่างแดน”
คำพูดของฟาโรห์หนุ่มทำเอาองุ่นติดคอเอเลน
เด็กหนุ่มทุบอกตัวเองก่อนจะพยายามฝืนกลื่นองุ่นลงไป
“ถ้าเหงาก็ไปหาเหล่าภรรยาของท่านสิ
ไม่ก็ทำตัวเป็นพ่อที่ดีโดยให้เวลาลูกๆบ้างเป็นไง?” เด็กหนุ่มเสนอ ถึงกระนั่นนัยน์ตาสีอร่ามก็ไม่อาจหันไปมองใบหน้าอีกฝ่าย
เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเขาเองมีสีหน้าอย่างไรเช่นกัน
ความรู้สึกที่ปั่นป่วนเริ่มกลับมาอีกครั้ง
“นั่นสินะ...”
ลมหายใจอุ่นเป่ารดที่ต้นคอของร่างอวตารก่อนสันจมูกจะกดทับกับแก้มนิ่มของอีกฝ่าย
“เลิกเล่นได้แล้ว ผมจะกินข้าว”
หาข้ออ้างไปอย่างนั้นทั้งที่เขารู้สึกอิ่มจนไม่อาจยัดอะไรลงไปในท้องได้แล้ว
ฟาโรห์หนุ่มหาได้สนใจด้วยรู้ดีว่าปริมาณอาหารที่เจ้าตัวดีทานไปคงทำให้ร่างอวตารอิ่มแล้ว
แต่รีไวรามเมสจึงอุ้มร่างอวตารก่อนจะตรงไปยังเตียงขนาดใหญ่ที่อยู่ถัดไปอีกฝั่งของโต๊ะทานอาหาร
“เฮ้ย
เดี๋ยวนี่ท่านจะทำอะไรเนี่ย!?” เด็กหนุ่มแตกตื่นอีกครั้ง ยิ่งเมื่อถูกวางลงบนเตียง
เอเลนรีบหยิบหมอนมากอดไว้ก่อนจะจ้องเขม่งองค์ฟาโรห์อย่างระแวดระวัง
ฟาโรห์รีไวจับข้อมือของเด็กหนุ่มก่อนจะดึงเข้าหาตนเอง
คนที่อ่อนแอกว่าจึงเซลงกระทบกับอกกำยำอย่างง่ายดาย
“ข้าขอสั่งเจ้าร่างอวตาร”
พอได้ยินว่าเป็นคำสั่งจากอารมณ์เตลิดที่ตกใจเริ่มเป็นหงุดหงิด
พอจะอ้าปากเถียงใบหน้ามนที่มองสบพระพักตร์จริงจังขององค์ฟาโรห์ทำให้เอเลนกลืนคำพูดลงคอ
“ข้าขอสั่งเจ้าเอเลน
ร่างอวตารแห่งรา นอกจากข้าเพียงผู้นี้แล้วอย่าให้ผู้ใดทำร้ายหรือสังหารเจ้าได้”
เด็กหนุ่มมองอย่างตกตะลึงก่อนจะยกยิ้มแล้วหัวเราะออกมาเสียยกใหญ่
ให้ตายสิเป็นคำสั่งที่แปลกที่สุดเท่าที่เขาเคยได้รับมาเลย
แต่นี่คงเป็นความห่วงใยในแบบขององค์ฟาโรห์
เอเลนหันมายิ้มให้บุรุษเบื้องหน้าก่อนจะโค้งคำนับให้
“น้อมรับคำสั่งผ่าบาท
น้อมรับด้วยใจและเกียรติเลย”
เมื่อเห็นว่าคนรั้นยอมรับคำสั่งตนเอง
รีไวจึงหยิบกุญแจทองคำที่ริบมาจากเจ้าตัวคืนให้
ชายหนุ่มจับมือเอเลนขึ้นมาก่อนจะวางกุญแจไว้ในมือแล้วกุมไว้แน่น
“หากมีอันตรายเจ้าจงกลับไปยังดินแดนเทพของเจ้าเสีย
นี่เป็นคำสั่ง”
คนเจ้าเล่ห์ยังคงออกคำสั่งที่เอเลนรู้สึกขำ
คำสั่งที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและรู้สึกจั๊กจี้ที่หัวใจแปลก
ไม่ทันได้คิดราวกับทำไปตามสัญชาตญาน มือหยาบที่กอบกุมตนไว้เด็กหนุ่มจึงดึงเข้าหา
เพราะส่วนสูงที่มีมากกว่าเอเลนจึงจุมพิตลงบนหน้าผากของชายหนุ่ม
เมื่อรู้สึกตัวว่าทำสิ่งใดลงไปเด็กหนุ่มจึงผละออก
ผู้ที่ถูกกระทำได้แต่มองอย่างแปลกใจไปยังใบหน้าหวาน
เมื่อเห็นว่าองค์ฟาโรห์ยังคงนิ่งค้างหัวใจตัวดีก็เต้นระส่ำจนทำเอาเขาพูดตะกุกตะกัก
“ก.. ก็.. แบบ ..เออ ...
ช่วงโปรโมชั่นไง”
เจ้าตัวดีที่รู้สึกอยู่ไม่สุขทั้งยังความรู้สึกกระสับกระส่ายแปลกๆจึงหวังหาทางหนี
ร่างบางจึงเขยิบตัวหมายจะลงจากเตียงแล้วไปหาที่สงบสติอารมณ์
แต่โดนมืออีกฝ่ายคว้าไว้
แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทำให้ใบหน้าองค์รามเมสดูน่าลุ่มหลงกว่าทุกครั้ง
อาจเป็นเพราะบรรยกาศในคือพระจันทร์เสี้ยวเช่นนี้
ใบหน้าที่เขยิบเข้ามาใกล้จึงดูน่าหลงใหลจนไม่ผละออก
อีกทั้งยังเขยิบเข้าหาอีกฝ่ายด้วยตนเอง เมื่อริมฝีปากทั้งสองสัมผัสกันอย่างแผ่วเบา
กลับปากนุ่มของเด็กหนุ่มก็เผยอออกอย่างว่าง่าย ลิ้นร้อนของอีกฝ่ายจึงสอดแทรกรุกล้ำ
ลิ้นเล็กที่มักดึงดันปฏิเสธตอบรับอีกฝ่ายอย่างเต็มใจแม้จะไม่ประสาแต่กลับเชื้อเชิญให้รู้สึกหวานล้ำดื่มด่ำราวน้ำผึ้งรสเลิศ
สองมือบางที่ทุกครั้งมักดันหรือผลักออกกลับวางไว้บนไหล่หนานิ่งงันก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นโอบกอดอีกฝ่ายให้แนบชิดมากยิ่งขึ้น
เสียงของคืนที่เงียบสงัดแจ่มชัดไปด้วยเสียงแลกเปลี่ยนความหวานที่ชื้อแฉะจากริมฝีปากของทั้งสอง
แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่จูบกับองค์ฟาโรห์รีไว
แต่เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มตอบรับอย่างเต็มใจ
เมื่อริมฝีปากทั้งสองผละออกเอเลนได้แต่ซุกกับแผงอกแกร่งเบื้องหน้า
หวังให้อกของชายหนุ่มช่วยปิดบังใบหน้าที่ตอนนี้เขารู้สึกว่าต้องแสดงสีหน้าที่น่าอายอยู่แน่ๆ
“นี่ก็เป็นโปรโมชั่นของเจ้าใช่รึเปล่า”
“อ..อืม”
รีไวรามเมสลูบผมสีน้ำตาลแผ่วเบา
ดูเหมือนเขาจะติดใจกับสถานการณ์ที่เจ้าหนูนี่บอกว่าเป็นโปรโมชั่นเสียแล้ว
เย้!!! มาต่อแล้ว หูบบบดีใจอ้ะ
ตอบลบเป็นฉากจูบที่ ฮอลลลลล หวานมดขึ้นจอ อิอิ
ฟินนนไปเบา ๆ "อย่าให้ใครมาฆ่าเจ้าได้นอกจากข้า" ว้าย ๆๆ ไรอ้ะคุณฟาโรห์
จิกหมอนนนขาดแล่ววววว
ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ
ตอบลบมาอัพเร็วๆนะค่ะ
มาส่องตลอด ๆ สู้นะคะ
ตอบลบ