Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์
Pairing: (LevixEren)
Rate: NC-17
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง
ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
Story By: AkeRah , Trendy Blood
………………………………………………………………………………………………..
Chapter 19:
บรรยากาศเคร่งเครียดกดดันแผ่ไปทั่วท้องพระโรงหลวง
สีพระพักตร์ดุดันเรียบเฉยที่เห็นอยู่เป็นนิจบัดนี้กลับดูบึ้งตึงเคร่งขรึมหนักขึ้นทุกทีขณะที่ฟังคำกล่าวรายงานถวายจากพระอนุชาร่วมสายพระโลหิต
“สายของข้าได้ให้การยืนยันมาแล้วว่าตอนนี้ฮิตไทต์เริ่มการสร้างเมืองขึ้นที่แคว้นคิชชูวัตนา”
มิคาสะกล่าวทูลขณะที่เสียงฮือฮาของเหล่าขุนนางชั้นสูงดังขึ้นกึกก้อง
ฟาโรห์รีไวราเมสยกพระหัตถ์ขึ้นปรามคนทั้งหมู่ก่อนจะตรัสถามเสียงเข้ม
“เป็นฝีมือของเมอร์ซิลลิสหรือ”
“หาใช่ไม่
ผู้ที่กระทำการครั้งนี้คือบุตรชายของเขา เจ้าชายมูวาตัลลิสที่สอง”
“เจ้าพวกนั้น
กล้ากระทำการอาจหาญถึงเพียงนี้เชียว” แววพระเนตรคมดุหรี่ลงอย่างมาดร้ายก่อนจะตรัสเอ่ยขึ้น
“อยู่ใกล้กับเมมฟิสมากทีเดียว”
“ไม่ใช่เรื่องดีแน่” มิคาสะพยักพักตร์รับ
“ฝ่าบาทโปรดทรงบัญชาด้วยเจ้าพวกฮิตไทต์กระทำการอุกอาจเพียงนี้ย่อมไม่ประสงค์ดี
พวกมันย่อมคิดหาทางบ่อนทำลายอียิปต์ของเราเป็นแน่” หนึ่งในขุนนางบริหารชั้นสูงบังคมทูลกราบกรานเสนอข้อคิดเห็นของตนพร้อมกับที่แม่ทัพนายหนึ่งก้าวออกมา
“หากพระองค์เห็นสมควรว่าฮิตไทต์เป็นภัยร้ายบ่อนทำลายที่ควรกำจัดให้สิ้นซาก
ขอได้โปรดทรงบัญชา
กระหม่อมกุนเธอร์และพี่น้องพร้อมถวายชีพนำทัพประกาศศึกนำชัยชนะมาสู่อียิปต์พะยะค่ะ”
ในขณะนั้นนายทหารอีกสองนายก็ได้คุกเข่าลงกล่าวทูลพร้อมกัน
“โปรดทรงบัญชาพะยะค่ะ!!!”
“กุนเธอร์ ออลโอ เอิร์ด พวกเจ้าสามคนลุกขึ้นก่อน”
ฟาโรห์หนุ่มตรัสเอ่ยกับแม่ทัพหนุ่มทั้งสามก่อนจะหันไปทอดพระเนตรหามหานักบวชหนุ่มที่ตีหน้าระรื่นอยู่ใกล้ๆ
“เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไรฮันจ์”
“หากฝ่าบาททรงตรัสถาม
กระหม่อมก็จะขอทูลตอบตามตรง........ เราอย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้จะไม่ดีกว่าหรือ”
เมื่อสิ้นเสียงของฮันจ์เหล่าขุนนางเริ่มออกเสียงต่อต้าน
แต่ก็จำต้องหุบปากโดยพลันเมื่อสบกับสายพระเนตรดุดันที่เขม้นมอง
“เรายังไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของเจ้าชายมูวาตัลลิสเสียด้วยซ้ำ
บางทีเขาอาจจะแค่กำลังสร้างที่พักผ่อนหย่อนใจอีกสักที่ก็เป็นได้
ก่อนจะกล่าวหาว่าเขาผิดร้าย ไยไม่ดูเจตนาเสียก่อน” ฮันจ์ตอบเสียงเรื่อยเฉื่อย
“หากไม่มีใจคิดร้ายกับเราเหตุใดจึงต้องยกกำลังไพร่พลมาปักหลักตั้งฐานใกล้กับดินแดนของเราถึงเพียงนี้เล่าท่านมหานักบวช”
ขุนนางเฒ่ารายหนึ่งเอ่ยเถียงแทบจะในทันที
และก็ตามมาด้วยเสียงแสดงความเห็นด้วยอีกมากมาย
“แล้วถ้าหากว่านี่เป็นกลลวงเล่า
หลอกล่อให้เราตื่นตระหนกจนจัดกำลังตั้งทัพ
แล้วสุดท้ายเจ้าพวกฮิตไทต์ก็ใช้เหตุผลเดียวกันนี้ย้อนกลับมาอ้างเพื่อทำศึกกับเรา
แบบนั้นจะไม่เสียหายยิ่งกว่าหรือ” ฮันจ์กล่าวพร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปมองฟาโรห์หนุ่มที่นั่งอยู่บนบัลลังก์
“ฝ่าบาทเห็นเป็นเช่นไร”
แน่นอนว่าในพระทัยของพระองค์นั้นคิดเห็นเช่นเดียวกันกับฮันจ์
หากนี่เป็นกลลวงของฝ่ายข้าศึกหลอกล่อเพื่อจะจุดชนวนสงครามเล่า
จากที่รบพุ่งกันมาหลายต่อครั้งแต่ละครั้งก็ไม่อาจหาบทสรุปผู้ชนะสงครามที่แท้จริงได้
สุดท้ายต่างฝ่ายต่างทำได้แค่ถอยทัพกลับไปฟื้นฟูกองกำลังของตนเพียงเท่านั้น
หากเบิกสมรภูมิตอนนี้จริงอียิปต์ที่เพิ่งจะผ่านพ้นความวุ่นวายของกบฏทาสมาได้ไม่นานนั้นย่อมมีความเสียหายตามมาไม่ใช่น้อย
“ที่ท่านฮันจ์พูดย่อมมีเหตุผล”
จู่ๆเด็กหนุ่มร่างอวตารก็ได้เอ่ยขึ้น
“หากหลีกเลี่ยงที่จะสู้รบได้ย่อมเป็นการดี
หากมีวิธีที่จะทำให้อียิปต์เสียหายน้อยที่สุดนั่นควรจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า ข้าคิดว่าเราควรจะหยั่งเชิงฝ่ายนั้นดูก่อน”
ฟาโรห์หนุ่มตวัดพระเนตรจ้องเอเลนอย่างสนใจพลางตรัสเร้า
“หากเจ้ามีอุบายอันใดก็จงกล่าวมาเถิดเอเลน”
“แม้การกระทำของเจ้าชายมูวาตัลลิสจะดูน่าสงสัยแต่หากไม่ทราบประสงค์ที่แท้จริงของอีกฝ่าย
จะกล่าวหาว่าร้ายกันลอยๆก็ดูจะใช่ที่ การที่อีกฝ่ายยกทัพมาตั้งหลักประชิดชายแดนเพื่อสร้างเมืองแบบนั้นฝ่ายเขาย่อมสามารถทำได้เพราะตราบใดที่คนของฮิตไทต์ยังไม่ล่วงล้ำเข้ามายังอาณาเขตดินแดนของอียิปต์ก็ไม่อาจถือว่าเป็นการรุกราน
ข้าขอเสนอให้ใช้วิธีทางการทูตจะดีกว่า หากการเจรจาได้ผลดี วิธีทางการทหารก็จะเป็นอันตกไป”
น้ำเสียงก้องกังวานเด็ดเดี่ยวของเอเลนสะท้อนก้องไปทั่วท้องพระโรง
“แต่หากทำเช่นนั้น
ฮิตไทต์จะไม่ดูถูกเอาเชียวหรือ ฟาโรห์รีไวราเมสผู้ยิ่งใหญ่แห่งอียิปต์ส่งราชทูตไปเจรจาตกลงความกับศัตรูคู่อาฆาตที่รบพุ่งกันมานานนับสิบปี”
หนึ่งในขุนนางชั้นสูงปรามาสอย่างว่าร้าย
เอเลนจึงปรายตามองสบกับขุนนางเฒ่าผู้นั้นก่อนจะเอ่ยตอบ
“ข้าว่าคนที่กำลังดูถูกองค์ฟาโรห์แท้จริงแล้วคงเป็นท่านเสียมากกว่า
วิธีทางการทูตไม่ใช่การยอมแพ้
แต่มันเป็นการที่ต่างฝ่ายต่างถอยกันคนละก้าวเพื่อสร้างพื้นที่ให้ทั้งสองฝ่ายได้เจรจาตกลงกัน
และยิ่งหากฝายเราเป็นฝ่ายเชื้อเชิญก่อนก็ยิ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงน้ำพระทัยขององค์ฟาโรห์ราเมสที่สองที่ยิ่งใหญ่ไพศาลเผื่อแผ่ไปถึงฝ่ายศัตรูให้ได้รับรู้ว่าพระองค์ทรงมีพระทัยกว้างขวางยิ่งนัก
พระปรีชาสามารถในการตริตรองถือเป็นหนึ่งในแผ่นดินคิดเห็นถึงประโยชน์ส่วนรวมจึงได้เลือกที่จะใช้สันติวิธีเช่นนี้หาใช่กราดเกรี้ยวใช้แต่พละกำลังเข้าห้ำหั่นเพียงอย่างเดียว
เพราะสุดท้ายแล้วการใช้กำลังก็ไม่สามารถตัดสินแพ้ชนะได้เสมอไป
หรือท่านมีความคิดเห็นต่างว่าการทำสงครามจะนำพาซึ่งความสงบสุขมาได้จริงหรือ”
เอเลนจิกสายตาตอกกลับชัดถ้อยชัดคำ แต่ในคำถามที่ดังก้องไปทั่วทั้งท้องพระโรงนั้นกลับมีเพียงความเงียบเป็นคำตอบ
ไม่มีผู้ใดแน่ใจว่าสงครามจะนำมาซึ่งชัยชนะและสันติ
และอีกทางหนึ่งก็ไม่มีผู้ใดแน่ใจว่าวิธีทางการทูตจะให้ผลที่ดีกว่าเช่นกัน
แต่ชั่วขณะนั้นกลับมีเสียงหัวเราะและตบมือจากมหานักบวชดังทำลายความเงียบขึ้น
“สมกับเป็นผู้ชี้ทางให้แก่อียิปต์
หลักแหลม......หลักแหลมเหลือเกินร่างอวตาร” ยิ่งฮันจ์หัวเราะเอิ้กอ้ากชอบใจก็ยิ่งทำให้เอเลนใจชื่นขึ้น
อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้หัวเดียวกระเทียมลีบ
ฟาโรห์รีไวราเมสครุ่นคิดอยู่ในพระทัยเงียบๆ
อย่างที่เอเลนกล่าวมาก็ดูมีเหตุผลดี บุ่มบ่ามรีบร้อนเปิดศึกสงครามไปก็ใช่ว่าจะได้เปรียบ
สู้หยั่งเชิงดูท่าทีอีกฝ่ายให้แน่ชัดระหว่างนั้นก็ถือโอกาสเตรียมความพร้อมไพร่พลกองทัพไปด้วยในตัว
หากวิธีทางการทูตใช้ไม่ได้ผลจริง
พระองค์ก็พร้อมที่จะเปลี่ยนไปใช้ยุทธวิธีการสงครามได้ในทันที
แบบนั้นยิ่งเป็นการซื้อเวลาให้พระองค์ได้มีโอกาสเตรียมกำลังรบดียิ่งขึ้น
แต่หากว่าทุกสิ่งจบได้ด้วยการเจรจาก็ถือว่าเป็นโชคดี จะติดก็แต่ปัญหาสำคัญ
ราชทูตที่จะส่งไปนั้นจะต้องไม่ใช่แค่ขุนนางธรรมดาทั่วไป
เพราะหากทำเช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการดูถูกกำลังของอีกฝ่ายราวกับไม่เห็นอยู่ในสายตา
แต่หากจะให้พระองค์เสด็จไปด้วยตัวเองนั้นย่อมไม่อาจทำได้เพราะนั่นก็เท่ากับว่าพระองค์ได้ส่งองค์เองไปเป็นเชลยให้แก่ข้าศึกถึงหน้าประตูบ้าน
คนผู้นั้นต้องเป็นบุคคลที่มีความสำคัญกับพระองค์อยู่ในระดับหนึ่งนั่นถึงจะเหมาะสมและคู่ควรต่อการเป็นราชทูตตัวแทนพระองค์ผูกสัมพันธไมตรี
จะต้องมีไหวพริบปฏิภาณแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเอาตัวรอดได้ในสถานการณ์คับขัน
ข้อจำกัดอันมากมายนี้นั้นช่างเป็นตัวเลือกที่เฟ้นหาได้ยากเสียเหลือเกิน
แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังทรงนึกถึงคนผู้หนึ่งอยู่ในพระทัย
แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจสลัดออกไปอย่างรวดเร็ว
ไม่!!! ไม่ได้เด็ดขาด.......ข้าไม่ยอมส่งเขาไปแน่
เป็นเขาไม่ได้เด็ดขาด!!!!
ในตอนนั้นเองสัมผัสอุ่นๆที่ข้อพระกรทำให้พระองค์ได้สติ
เอเลนที่บีบกระชับข้อพระกรของพระองค์กำลังจ้องมองฟาโรห์หนุ่มอยู่เงียบๆ
แม้ไม่มีถ้อยคำใดๆเอื้อนเอ่ยออกจากปากบางนั้นแต่ดวงตากลมโตสีทองอร่ามก็ได้อธิบายความคิดของเด็กหนุ่มร่างอวตารออกมาหมดแล้ว
เอเลนมองสบตากับองค์รีไวราเมสพลางพยักหน้าช้าๆแต่ฟาโรห์หนุ่มกลับครางเสียงต่ำ
“ไม่มีทาง.....ข้าไม่ยอมเด็ดขาด”
แม้เจ้าตัวจะยินยอมพร้อมใจไปด้วยตัวเองแต่พระองค์ก็มิอาจทำใจปล่อยให้เอเลนไปเสี่ยงอันตรายอยู่ในดินแดนของศัตรูได้
แม้เอเลนจะมีคุณสมบัติเหมาะสมทุกประการก็เถอะ
ถึงอย่างไรพระองค์ก็ไม่ประสงค์ที่จะให้คนสำคัญที่ไม่อาจหักหาญน้ำใจและไม่อาจทำให้เสียใจผู้นี้ต้องไปเสี่ยง
ปล่อยให้ไปไม่ได้เด็ดขาด!!!!
“ขอเวลาให้ข้าสักครู่ได้รึไม่
ข้ามีเรื่องที่จะปรึกษากับองค์ฟาโรห์........ตามลำพัง” จู่ๆเอเลนก็เอ่ยขึ้น
ในประโยคคำถามที่เอ่ยขึ้นมานั้นแฝงแววบีบบังคับอยู่กลายๆ
เหล่าขุนนางชั้นสูงต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กแต่ก็ยังไม่มีใครขยับตัว
“หากท่านร่างอวตารประสงค์เช่นนั้นพวกข้าก็มิอาจรบกวนได้อีก”
ฮันจ์ปั้นสีหน้าขรึมตอบเสียงเข้มอย่างที่ไม่ค่อยจะได้เห็นบ่อยนัก
ก่อนจะหันไปเอ่ยปากไล่เหล่าขุนนางออกจากท้องพระโรงไปจนหมดขณะที่ตัวเองก็ระเห็จออกจากห้องไปด้วย
จวบจนเมื่อประตูปิดลง เอเลนที่นั่งอยู่ข้างพระวรกายของฟาโรห์หนุ่มจึงลุกยืนขึ้นแล้วเดินไปคุกเข่าลงเบื้องหน้าบัลลังก์ทองคำขอองค์งรีไวราเมสพลางกล่าวเสียงเรียบ
“ฝ่าบาทในชีวิตของข้าไม่เคยคุกเข่าให้ผู้ใดมาก่อน
จวบจนวันนี้.......ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะทรงรับฟังความเห็นของข้าสักนิดได้หรือไม่”
“ไม่ต้องพูด ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการจะบอกอะไร
คำตอบของข้าคือไม่ตกลง ข้าไม่ยอมส่งเจ้าไปเป็นตัวแทนของข้าเด็ดขาด” องค์รีไวราเมสตรัสตอบเสียงเรียบพระพักตร์บึ้งตึงสะบัดหันทอดพระเนตรผ่านม่านหน้าต่างออกไปไกลไม่ยอมสบตาด้วยเกรงว่าหากพระองค์ทอดพระเนตรดวงตาสีทองคู่งามคู่นั้นไปแล้วอาจจะหลงมนต์สะกดจนเผลอโอนอ่อนตามไปได้
“ฝ่าบาท อย่าทรงดื้อรั้นเช่นนั้นเลยเราตกลงกันแล้วมิใช่หรือว่าจะยอมพบกันครึ่งทาง
พระองค์ควรจะยอมรับพิจารณาความคิดเห็นของข้าบ้าง”
เอเลนเอื้อนเอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนอย่างเหนื่อยใจ
น้ำเสียงเนือยๆราวกับอ่อนล้ายิ่งนักของเขาเรียกสายพระเนตรขององค์ฟาโรห์หนุ่มให้ทอดมองมาที่ตนเองจนได้
นับแต่วินาทีแรกที่ย้อนยุคกลับมาในยุคอียิปต์โบราณแห่งนี้เอเลนก็ได้แต่นึกสงสัยมาโดยตลอดว่าสาเหตุทั้งหมดมันเกิดจากอะไร
แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงชวนให้ขวัญหนีมาหลายต่อหลายครั้งเขาก็เริ่มที่จะเข้าใจทีละเล็กละน้อย
ที่เขาย้อนเวลามายังช่วงที่สำคัญในยุคของประวัติศาสตร์ทั้งยังพ่วงตำแหน่งร่างอวตารแห่งรามาทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจนั่นเป็นเพราะตัวเขานั้นแท้จริงแล้วก็คือกุญแจ
กุญแจสำคัญที่จะช่วยต่อเติมจิ๊กซอว์ส่วนสำคัญของประวัติศาสตร์ให้สมบูรณ์
แน่นอนเขารู้ดีว่าสงครามระหว่างฮิตไทต์และอียิปต์นั้นบทสรุปสุดท้ายแล้วมันจะจบลงเช่นไร
แต่หากเขาไม่ชี้นำหนทางให้แล้วอียิปต์และฮิตไทต์ยังจะต้องรบพุ่งต่างฝ่ายต่างเสียหายกันไปอีกนานเท่าไหร่
จะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะดำเนินไปได้ตามประวัติศาสตร์ อดีตที่เกิดขึ้นแล้วไม่อาจเปลี่ยนได้หน้าที่ของเขาไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงหน้าประวัติศาสตร์แต่เขาคือสื่อกลางสำคัญที่จะทำให้ประวัติศาสตร์ดำเนินไปตามแนวทางของมันต่างหาก
ไม่อาจปล่อยให้มีสิ่งใดผิดพลาดได้เพราะหากผิดพลาดแม้แต่เพียงน้อยประวัติศาสตร์ย่อมถูกเปลี่ยนแปลงไปในทันที
แม้จะไม่เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณนัก
แต่ความรู้ที่พ่อคอยกรอกหูอยู่ทุกวันก็ติดแน่นอยู่ในสมองไม่มีเลอะเลือน
เขาอยู่ที่นี่เวลานี้ในฐานะแสงสว่างแห่งอียิปต์เขาจะต้องทำให้อาณาจักรโบราณแห่งนี้กลายเป็นยุคทองเหมือนในหน้าประวัติศาสตร์
ทำให้ฟาโรห์หนุ่มผู้นี้เป็นฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มีชื่อจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์เป็นที่กล่าวขานไปนับพันนับหมื่นปีหลังจากนี้
ทั้งหมดทั้งมวลนี้คือสิ่งที่เขาจะต้องทำ
เมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้วเอเลนจึงกล่าวทูลกับองค์รีไวราเมสอีกครั้ง
“ฝ่าบาท ด้วยพระปรีชาของพระองค์ข้าคาดว่าฝ่าบาทคงตัดสินพระทัยได้แล้วว่าจะส่งผู้ใดไป
ข้าเองก็มีความเห็นพ้องต้องกันกับพระดำริของพระองค์”
“แต่ข้าไม่ให้เจ้าไป”
คำตอบกลับเรียบๆของฟาโรห์หนุ่มก็ทำเอาเอเลนคอตกไปได้เหมือนกัน
“ฝ่าบาทใช่ว่าข้าอยากจะทำตัวเป็นฮีโร่.......”
“ฮีโร่คืออะไร”ฟาโรห์หนุ่มตรัสถามพลางตีพระพักตร์ฉงน
“ข้าหมายถึงผู้กล้าน่ะ ใช่ว่าข้าอยากจะแสดงตนเป็นผู้กล้า
แต่ในฐานะร่างอวตารแห่งราผู้นำแสงสว่างและคำอวยพรมาสู่อียิปต์นี่คือหน้าที่ที่ข้าจะต้องทำ
ความลับของอนาคตข้ามิอาจทูลบอกพระองค์ได้ว่าจะเกิดสิ่งใดต่อไปแต่ขอเพียงแค่พระองค์ทรงเชื่อใจและเชื่อมั่นในตัวข้า
ข้ายินดีทำทุกทางเพื่อช่วยเหลือท่านและอียิปต์
ข้าขอรับรองว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะต้องออกมาเป็นที่พึงใจแก่ทั้งพระองค์และฮิตไทต์แน่
โปรดทรงมีรับสั่งให้ข้าเป็นราชทูตแทนพระองค์ไปยังแคว้นคิชชูวัตนาด้วยเถิด”
เมื่อกล่าวจบเอเลนก็ก้มหน้าลงรอฟังบัญชาเงียบๆด้วยใจตุ๊มๆต่อมๆ
“ใช่ว่าข้าจะไม่เข้าใจ” องค์รีไวราเมสตรัสตอบพลางหยัดพระวรกายลุกขึ้นจากบัลลังก์ดำเนินผ่านร่างบางที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าไป
“แต่เจ้ารู้ตัวหรือไม่เอเลนว่าเจ้ามีความสำคัญแค่ไหนไม่ใช่แค่กับอียิปต์เท่านั้น”
เสียงตรัสเอ่ยเงียบไปนิ่งนานจนเอเลนต้องหันหน้ากลับไปมองแล้วก็สบกับสายพระเนตรที่จ้องมองตนอยู่ก่อนแล้ว
“แต่เจ้าสำคัญกับข้ามาก”
ร่างใหญ่สาวพระบาทดำเนินมาประชิดคนที่คุกเข่าอยู่กับพื้น
พระหัตถ์ใหญ่เชยคางมนให้คนบนพื้นเงยหน้าขึ้นสบตา
“หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ข้าคงไม่อาจควบคุมตนเองได้
สุดท้ายก็หนีไม่พ้นสงครามอยู่ดี”
นาทีนั้นหัวใจของเด็กหนุ่มถึงกับกระตุกผิดจังหวะเต้นรัวเร็วขึ้นฉับพลัน
“ข้าจึงกำลังคิดว่าหากเปิดสงครามกับฮิตไทต์โดยตรงไปเลยจะรวดเร็วกว่า
เพราะถึงอย่างไรเสียเจ้าก็ยังอยู่ข้างกายข้า ข้าก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล”
“แต่แบบนั้นไม่ได้นะฝ่าบาท
หากทำเช่นนั้นประวัติศาสตร์ก็จะ...........” เอเลนหลุดร้องเสียงหลงแต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนกำลังหลุดปากอะไรไปจึงรีบปิดปากฉับ
“ไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ทำแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด”
“เจ้าเกลียดสงครามมากเชียวหรือเอเลน”
สุระเสียงทุ้มต่ำตรัสถามจริงจัง เอเลนพยักหน้ารับก่อนจะทูลตอบ
“สงครามไม่เคยนำพาซึ่งความสุข
มันมีแต่ความสูญเสียและเสียงร่ำไห้”
ฟาโรห์หนุ่มพยักพระพักตร์รับอย่างเข้าใจ
พระองค์ได้แต่ทอดถอนพระทัยออกมาเองเงียบๆ
“ฝ่าบาท........”
เอเลนกำลังจะเอ่ยทูลต่อแต่ก็ถูกห้ามไว้
“ให้ข้าคิดอะไรสักครู่
เจ้าอย่าเพิ่งพูดอะไรอีกเลย” ฟาโรห์หนุ่มตรัสเอ่ยพลางหลับพระเนตรลง
ทั่วทั้งท้องพระโรงจึงตกอยู่ในความเงียบโดยฉับพลัน
ด้านฝ่ายเอเลนเองก็ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงเสียด้วยซ้ำ
เป็นเวลาเนิ่นนานพอดูกว่าพระองค์จะตรัสขึ้น
“ไปพาอิลเซ่ออกมาเถอะ”
ม้าสีดำตัวใหญ่ควบตะบึงจนฝุ่นทรายฟุ้งตลบเอเลนกระชับผ้าโพกศีรษะปิดบังใบหน้าเอาไว้
มืออีกข้างที่ว่างก็กอดเอวคนที่ควบม้าห้อตะบึงอยู่ข้างหน้าเอาไว้แน่น
อิลเซ่ที่บินนำอยู่บนฟ้าส่งเสียงร้องเป็นสัญญาณนำทางเป็นระยะ
“ฝ่าบาทท่านช่วยช้าลงกว่านี้หน่อยได้หรือไม่
ไส้กระหม่อมจะทะลักออกมาจากปากแล้ว” ร่างบางพยายามตะโกนบอกคนที่อยู่ข้างหน้าแต่กลับกลายเป็นว่าถูกแรงลมพัดหายไปหมด
ด้วยความที่กลัวตกเอเลนจึงยิ่งกอดแน่นขึ้น
จวบจนเมื่อม้าเริ่มผ่อนฝีเท้าลงจนเริ่มเดินเหยาะๆเอเลนจึงได้เห็นว่าตนถูกพามายังโอเอซิสที่มาเมื่อก่อนหน้านี้อีกครั้ง
เมื่อลงจากหลังม้าฟาโรห์หนุ่มก็ลูบขนแผงคอของม้าตัวโปรดเบาๆ
“ไนยาลี เจ้าห้ามไปไกลนักล่ะ”
พระองค์ทรงตรัสกับมันก่อนจะปล่อยให้มันเดินไปเล็มหญ้าริมบึงน้ำไม่ไกลนัก
หลังจากนั้นก็ดำเนินไปริมบึงน้ำวักน้ำขึ้นล้างพระพักตร์และพระกรจนชุ่ม
ก่อนจะวักน้ำขึ้นดื่มอึกใหญ่
“มานี่สิ” แล้วจึงตรัสเรียกเด็กหนุ่มที่ยืนหน้าบึ้งอยู่ไม่ไกล
“ฝ่าบาท ท่านยังไม่ตอบตกลงกับข้าเลยนะ”
เอเลนบ่นกระเง้ากระงอดตีหน้าหงิกพลางเดินเข้ามาใกล้
องค์รีไวราเมสทอดพระเนตรใบหน้าหวานที่เปื้อนคราบฝุ่นทรายเป็นดวงๆของเด็กหนุ่มแล้วทรงสรวลเบาๆ
“นั่งลงยืนค้ำหัวข้าอยู่ได้”
ตรัสพลางดึงมือเรียวให้เด็กดื้อทรุดนั่งลงข้างกาย
พระหัตถ์ใหญ่ค่อยๆวักน้ำเช็ดใบหน้ามนที่เปรอะเปื้อนให้เด็กหนุ่มอย่างแผ่วเบาจนเกลี้ยงเกลา
เอเลนถึงกับตัวเกร็งทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ เมื่อเห็นท่าทีกึ่งปฏิเสธกึ่งยินยอมเช่นนั้นพระองค์ก็ยิ่งพอพระทัยขยับพระวรกายเข้าไปใกล้แล้วลูบไล้แก้มนิ่มๆของเด็กหนุ่มจนพอพระทัยแล้วจึงยอมปล่อยแต่โดยดี
“เสร็จแล้ว สะอาดไร้ที่ติ”
ตรัสเอ่ยพลางแย้มสรวลให้น้อยๆ
“ข.......ขอบพระทัย”
เอเลนเองก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูกก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ากำลังโดนความอ่อนโยนของใครอีกคนหลอกให้หลงประเด็นอีกแล้ว
“ฝ่าบาท พระองค์ยังไม่ทรงให้คำตอบกับข้าเลยนะ”
ฟาโรห์หนุ่มโบกพระหัตถ์ให้อย่างรำคาญก่อนจะเดินห่างออกไปอีกฝั่งของบึงน้ำที่มีหญ้าจำพวกต้นกกขึ้นอยู่เต็ม
เอเลนไม่อาจรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรอยู่ตรงนั้นแต่เห็นได้ชัดว่าองค์ฟาโรห์ไม่ต้องการที่จะตอบคำถามของเขาในตอนนี้เด็กหนุ่มจึงไม่อยากเซ้าซี้
เอเลนจึงได้แต่นั่งจุ้มปุ้กแช่เท้าเล่นน้ำในบึงรออยู่เงียบๆ
จู่ๆก็เล่นพาตัวเขามาที่นี่เงียบๆโดยไม่บอกอะไรเลย
คิดอะไรอยู่ไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิด
ใช้เวลาอยู่หลายอึดใจองค์รีไวราเมสจึงดำเนินย้อนกลับมาประทับนั่งแช่พระบาทอยู่ในน้ำข้างๆกันกับเด็กหนุ่ม
ร่างใหญ่ทอดพระเนตรมองน้ำในบึงเงียบๆอยู่หลายนาทีจึงตรัสเอ่ยออกมา
“เจ้าเคยได้ยินเรื่องเล่าของเทวีไอซิสและเทพโอซิริสหรือไม่”
“เรื่องความรักน่ะหรือ”
เอเลนเอียงหน้าเอ่ยถามซึ่งฟาโรห์หนุ่มก็แย้มสรวลรับ
พลางยื่นพระหัตถ์มากุมมือบางเอาไว้
“เทวีไอซิสและเทพโอซิริสเป็นพี่น้องกัน
แต่ทั้งสองตกหลุมรักกันและกันจึงได้แต่งงานกัน
เทพโอซิริสได้รับตำแหน่งเทพราชาขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งอียิปต์
แต่เทพเซตผู้เป็นน้องชายบังเกิดความอิจฉาริษยาแก่พระองค์จึงได้ทำการสังหารและแยกร่างของพระองค์ทิ้งกระจัดกระจายไปทั่วทั้งอียิปต์
แต่เทวีไอซิสก็พยายามตามหาร่างของพระองค์จนครบและคืนชีพพระองค์ขึ้นมาอีกครั้ง”
“ก็ใช่.......แต่มันมีเรื่องราวที่มากกว่านั้นอยู่อีกหน่อย”
องค์รีไวราเมสตรัสเอ่ยขึ้นเบาๆราวกับกำลังเล่านิทานให้เด็กน้อยฟัง
“ว่ากันว่าเทวีไอซิสและเทพโอซิริสต่างตกหลุมรักกันและกันตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของเทพนัต
แม้เมื่อเติบใหญ่มาทั้งสองพระองค์จะถูกเลี้ยงดูแยกกัน
แต่เทวีไอซิสก็ยังคงปลาบปลื้มในตัวพระเชษฐาไม่เสื่อมคลายความรักที่ก่อตัวในวัยเด็กตราตรึงประทับอยู่ในจิตใจทั้งสองจนกระทั่งเมื่อเติบใหญ่
ครั้งหนึ่งเมื่อเทพโอซิริสจะเสด็จไปเผยแพร่เกียรติคุณกับอาณาจักรต่างๆพระองค์จึงได้เดินทางเข้าสู่วิหารศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอพรกับองค์เทพราในครานั้นเทวีไอซิสก็ได้เสด็จไปพบกับพระองค์และได้มอบเสื้อเกราะสัมฤทธิ์ที่พระนางได้ถักทอขึ้นด้วยองค์เองให้แก่ชายที่นางรัก............และในที่สุดเมื่อความรักของทั้งสองสุกงอม
ทั้งสองพระองค์ได้เข้าพิธีแต่งงานกันต่อหน้าวิหารเทพรา ในกาลนั้นทั้งสองได้แลกแหวนคู่ให้แก่กันซึ่งแหวนคู่นั้นเป็นแหวนที่เทวีไอซิสทรงถักทอมาจากเส้นใยทองคำบริสุทธิ์ด้วยพระองค์เอง”
ขณะนั้นเอเลนก็รู้สึกว่ามือซ้ายที่ถูกกุมเอาไว้จู่ๆก็ถูกอะไรบางอย่างที่เล็กแต่ค่อนข้างแข็งสวมลงบนนิ้วนางของตน
“ให้แหวนคู่แทนคำสัญญา
แทนความซื่อสัตย์ชั่วนิรันดร์
แทนความรักที่ไม่มีวันสิ้นสุดตามลักษณะทรงกลมของแหวน”
องค์รีไวราเมสตรัสเอื่อยเฉื่อยพลางคลึงนิ้วนางของเอเลนเล่นเบาๆ เอเลนก้มมองสิ่งที่สวมประดับอยู่บนนิ้วของตนแล้วก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออกรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างจุกแน่นอยู่กลางอก
“เวลานี้ข้าไม่อาจหาทองสัมฤทธิ์มาทอเป็นแหวนให้แก่เจ้าได้
แต่ต้นกกก็ถือเป็นพืชที่แข็งแรง
แม้วันหนึ่งมันจะแห้งไปแต่แหวนต้นกกที่ข้าทอให้เจ้าวงนี้ก็จะไม่ผุสลายไปง่ายๆ
มันจะยังคงอยู่บนนิ้วของเจ้าตราบจนกว่าเจ้าจะถอดมันทิ้งด้วยตัวเจ้าเอง”
องค์รีไวราเมสตรัสกระซิบเสียงแผ่วด้วยรอยยิ้มละมุนก่อนจะโอบร่างบางที่นั่งนิ่งเข้าสู่อ้อมกอดแล้วจุมพิตขมับเนียนเบาๆ
เอเลนซุกหน้าลงกับพระอุระรู้สึกเต็มตื้นไปทั่วทั้งร่างจนพูดอะไรไม่ออก
มือเรียวได้แต่ลูบแหวนหญ้ากกที่ประดับอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของตนด้วยใจเลื่อนลอย รู้สึกไม่เข้าใจตนเองสักนิดว่าทำไมจู่ๆน้ำตาจึงได้ไหลออกมาอย่างไม่อาจอดกลั้นได้
จึงได้แต่ฝังหน้าลงกับร่างใหญ่ของฟาโรห์หนุ่มอยู่เงียบๆ
“เคยทำแบบนี้มาก่อนรึเปล่า” เด็กหนุ่มเอ่ยถามเสียงอู้อี้แทบฟังไม่ได้สรรพเสียจนองค์รีไวราเมสต้องเอียงพระกัณฐ์เข้าไปใกล้เพื่อฟังให้ชัดๆ
“นี่เป็นครั้งแรก” พระองค์ตรัสตอบพลางก้มลงจุมพิตท้ายทอยของเด็กหนุ่มก่อนจะตรัสอีกครั้ง
“และคงจะเป็นครั้งเดียวในชีวิต”
เอเลนจิกเล็บหยิบพระอุระด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะเงยหน้าที่มีตาแดงๆรื้นน้ำตาขึ้นมองพระพักตร์ของฟาโรห์หนุ่ม
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีเลย
อย่างน้อยสิ่งแรกที่ท่านจะต้องเรียนรู้คือเรื่องอะไรที่สมควรและไม่ควรทำต่อหน้ารูปปั้นศักดิ์สิทธิ์
เรื่องลามกแบบนั้นกลับไปทำในที่สำคัญแบบนั้นทีเรื่องสำคัญแบบนี้ไม่เห็นจะคิดได้บ้างเลย”
เจ้าเด็กปากดีเริ่มกลับมาแผลงฤทธิ์เทศนายืดยาวอีกแล้ว
องค์รีไวราเมสแย้มสรวลรับก่อนจะตรัสตอบขำๆ
“ก็ข้าคิดว่าหลังจากเหตุการณ์คืนนั้นเจ้าคงไม่อยากก้าวเท้าเข้าไปในวิหารศักดิ์สิทธิ์อีกพักใหญ่ๆ”
“ก็แล้วเพราะใครกันล่ะ เป็นเพราะท่านไม่ใช่รึไง”
“เอาล่ะๆ ถือว่าเป็นความผิดของข้าก็แล้วกัน”
สุดท้ายผู้สูงศักดิ์กว่าก็ยอมจำนน
“แล้วสรุปพระองค์จะยินยอมส่งกระหม่อมไปแคว้นคิชชูวัตนาหรือไม่”
สุดท้ายก็วกกลับเข้าสู่ประเด็นหลักจนได้
“ต่อให้มูวาตัลลิสแยกร่างเจ้าออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วโปรยไปทั่วอียิปต์
ข้าก็จะตามหาจนพบแล้วคืนชีพให้กับเจ้าอีกครั้งแล้วหลังจากนั้นค่อยกลับมาฉีกมูวาตัลลิสให้สิ้นซาก”
องค์รีไวราเมสตรัสเอ่ยพร้อมกับสรวลน้อยๆ ฝ่ายเอเลนกลับหน้าม่อยคอตกถอนหายใจยาว
“พอเลยๆ เลิกตรัสเรื่องน่ากลัวแบบนั้นได้แล้ว
หากเป็นอย่างที่พระองค์ว่าจริงหม่อมฉันก็คงเหลือแต่ชื่อแล้วล่ะ คงฟื้นคืนชีพไม่ได้หรอก”
เสียงหัวเราะดังก้องทั่วทั้งโอเอซิสยาวนาน
ดังมากเสียจนไนยาลีที่เล็มหญ้าอยู่ใกล้ๆต้องหันมามองคนทั้งสองที่หยอกล้อกันอยู่ด้วยความฉงนก่อนจะก้มหน้าก้มตาเล็มหญ้าต่อ
“เจ้าเด็กดื้อ เจ้านี่มันรั้นจริงๆ”
หนึ่งสัปดาห์ให้หลังเจ้าชายมูวาตัลลิสได้รับพระราชสาสน์จากองค์ฟาโรห์ราเมสเรื่องขอส่งราชทูตเพื่อเยี่ยมเยียน
โดยผู้แทนพระองค์ในครั้งนี้ก็คือร่างอวตารแห่งรา
แจนอ่านจดหมายที่อยู่ในมือใบหน้าคมคายพลันปรากฏรอยยิ้มกว้างขึ้น
กว้างขึ้นเรื่อยๆก่อนจะหลุดหัวเราะเสียงดังสนั่นจนมาร์โคที่อ่านตำรายุทธอยู่ใกล้ๆต้องเงยหน้าขึ้นมอง
“ดี!!! มาสิเอเลน.......ข้าจะต้อนรับเจ้าอย่างดีเลย”
ต่อเถอะได้โปรดดดดดดดด
ตอบลบรอคอยอย่างใจใจดใจจ่อ ฉันลุ้นนายอยู่นะเอเลนนนสู้เค้า
ตอบลบจะรอคะ. มาต่อเร็วๆนะคะ สนุกมากเลย
ตอบลบรออออเธฮอทุกกกวันน
ตอบลบรอนะคะ สู้ๆค่ะ
ตอบลบในที่สุดพี่เขาก็ได้ซีนพระเอกไม่ใช่ตาลุงแต่เป็นพระเอกหวานมากก
ตอบลบ