Attack On
Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์
Pairing: (LevixEren)
Rate: NC-17
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง
ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
Story By: AkeRah , Trendy Blood
………………………………………………………………………………………………..
เบเซทกระพริบตาปริบๆมองคนที่อยู่ๆก็บุกเข้ามาห้องเขา
อีกทั้งไม่พูดอะไรได้แต่เดินดุ่มๆไปที่เตียงแล้วเอาผ้าขึ้นมาพันรอบกาย
ตอนนี้เลยมีสภาพราวกับดักแด้ขนาดใหญ่ที่มุมเตียง
“ท่านเอเลนไปที่วิหารได้ความอย่างไรบ้างไหมขอรับ?”
ด้วยความสงสัยเบเซทจึงถามออกไป
จำได้ว่าช่วงหัวค่ำที่เดินสวนทางกันอีกฝ่ายกำลังเดินทางไปที่วิหารเทพรา
“ม... ไม่ ไม่มี ไม่มีอะไรทั้งนั้น!!”
เสียงปฏิเสธเป็นพัลวันดังอู้อี้รอดออกมาจากก้อนดักแด้มุมเตียง
เบเซทมองคนที่ยังคงมุดหน้าอยู่ในผ้าห่มโดยไม่มีทีท่าว่าจะออกมานั่งคุยกับเขาโดยง่าย
ราวกับกำลังจะกลบฝังตัวเองให้หายไปกับเตียงเสียงอย่างนั้น
เมื่อรออีกสักพักก็ยังคงเห็นว่าร่างอวตารแห่งราไม่มีทีท่าที่จะขยับเขยื้อนตัว
เบเซทจึงเลิกให้ความสนใจ
เพราะดูยังไงท่าทางแบบนั้นคงไม่แคล้วได้ทะเลาะกับเสด็จพ่อของเขาอีกเป็นแน่แท้
“ถ้าท่านไม่ว่าอะไรข้าขอตัวไปสรงน้ำก่อนนะขอรับ
ถ้าท่านพึงประสงค์จะอยู่ที่นี้ก่อนข้าก็ยินดี” เบเซทไม่ชวนเอเลนไปสรงน้ำด้วยกลิ่นหอมที่แตะจมูกเมื่อร่างโปร่งนั่นวิ่งผ่านก่อนมุดเข้าไปที่มุมเตียงทำให้รู้ว่าเจ้าตัวคงชำระร่างกายเรียบร้อยแล้ว
เบเซทออกไปทำกิจส่วนตัวเหลือเพียงเด็กหนุ่มร่างอวตารที่ยังคงมุดอยู่ในผ้าราวกับอยากตัดขาดออกจากโลกภายนอก
ร่างโปร่งพลิกตัวไปมาก่อนจะพยายามสลัดความคิดและภาพของฟาโรห์หนุ่มเมื่อสักครู่ให้หลุดออกจากความคิด
ไอพ่อบ้าและคุณแม่ที่อยู่บนสวรรค์ตอนนี้ผม
นายเอเลน เยเกอร์ นอกจากจะข้ามมิติข้ามเวลาย้อนยุคมาในโลกอียิปต์สองพันกว่าปีแล้ว
ตอนนี้ผมยังมีประสบการณ์จับ...ของคนอื่นที่ไม่ใช่ของตัวเองด้วย!! อายุที่เข้าสู่ช่วงวัย19ปี
ไม่คิดไม่ฝันว่าประสบการณ์ครั้งแรกจะมาเกิดในโลกยุคโบราณแถมอีกฝ่ายยังเป็นฟาโรห์น่าไม่อายหื่นกาม
ไหนจะที่เกิดเหตุยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ภายในวิหารแห่งเทพรา
ให้ตายสิไอความรู้สึกอุ่นๆและหยุ่นๆยังติดที่มืออยู่เลยแม้จะไปอาบน้ำล้างมาแล้วก็เถอะ
แต่ตอนนี้พอคิดว่ามือนี้ไปจับอะไรมาจะยกขึ้นมาขยี้ผมของตัวเองยังไม่กล้าทำเลย!!
เพราะอย่างนั้นเจ้าตัวจึงได้แต่เอาหัวสีน้ำตาลกระแทกกับหมอนขนนกของเบเซทไปมา
ใบหน้าหวานขึ้นสีสุกปลั่งยามเมื่อเหตุการณ์ที่ผ่านไปเพียงชั่วครู่ยังคงฝังในหัวยากจะสลัดหลุด
นับว่าโชคดีที่พอรู้สึกตัวปุ๊บเขาก็รีบวิ่งหนีออกมาจากวิหารตรงเข้าห้องอาบน้ำแล้วเผ่นมาที่ห้องเบเซทด้วยเกรงว่าถ้ากลับไปยังห้องนอนใหญ่อันเป็นที่ประทับขององค์ฟาโรห์และที่พักของเขาเมื่อมาที่นี้กลายๆ
เจ้าฟาโรห์บ้านั่นจะกลับมาพักที่ห้องของตนเอง ตอนนี้เรียกว่ายังไม่พร้อมที่จะมองหน้าหมอนั่นสุดๆ
แล้วไหนจะไอความรู้สึกหวั่นวิตกระคนใจที่เต้นโครมครามนี้อีก
ถ้าโผล่ไปเจอฟาโรห์บ้านั่นอีกรอบเขาต้องทำอะไรไม่ถูกแน่ๆ!!
เพราะมัวแต่คิดเรื่องเปื่อยหรือเจอเรื่องที่ทำให้ตกใจมากเกินไป
เลยไม่รู้ว่าเปลือกตาปิดลงเมื่อไร และร่างที่ดิ้นไปมาก็หยุดนิ่งพร้อมเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอ
เจ้าของห้องที่ทำภารกิจส่วนตัวเสร็จเมื่อมาถึงก็พบก้อนดักแด้ที่คลายส่วนศีรษะออก
พร้อมทั้งใบหน้าของเด็กหนุ่มร่างอวตารที่หลับตาพริ้มอย่างไม่รู้สึกตัว
ด้วยเกรงว่าจะรบกวนเอเลนเด็กหนุ่มจึงตั้งใจจะรีบเข้านอนเร็วกว่าทุกวัน
เมื่อมือจะเอื้อมไปดับตะเกียงที่โต๊ะทรงอักษรมือของใครอีกคนก็แตะลงที่มือของเด็กหนุ่ม
เมื่อหันไปมองก็เจอกับใบหน้าของคนคุ้นเคย
ฟาโรห์ใช้มือแตะที่ริมฝีปากตัวเองเบาๆเป็นนัยบอกให้อีกฝ่ายอย่าส่งเสียงดัง
ร่างที่ไม่สูงนักแต่แข็งแกร่งเดินอย่างแผ่วเบาเข้าไปใกล้กับที่นอนของลูกชายตนเองที่บัดนี้มีเป้าหมายนอนหลับอย่างสบายอยู่บนนั้น
ฟาโรห์หนุ่มช้อนคนที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวขึ้นมาก่อนจะเดินออกจากห้องไป
เหลือแต่เบเซทที่มองแล้วได้แต่ทำตาปริบๆ พร้อมข้อสงสัยในใจ
“ไหนท่านฮันจ์บอกทั้งสองทะเลาะกันมิใช่หรือ?”
ยิ่งบรรยกาศละมุนจากเสด็จพ่อของเขาที่หาได้ยากยิ่ง ยิ่งทำให้เบเซทแปลกพระทัย
ตกลงว่าทะเลาะกันแล้วก็คืนดีกันแล้วกระมัง เขาคงสรุปได้เพียงเท่านี้.....
ช่วงเวลาที่ดึกสงัดแม้จะเป็นเขตราชฐานขององค์ฟาโรห์ที่มีเวรยามแน่นหนา
แต่เมื่อมาในเขตส่วนพระองค์ยังทางเดินที่เชื่อมไปยังส่วนห้องบรรทมขององค์ฟาโรห์เหล่าทหารยามจึงเบาบาง
เหตุด้วยว่าองค์ฟาโรห์ไม่ชอบที่ให้ใครรุกล่ำอาณาเขตส่วนตัว ถ้าไม่ใช่เรื่องด่วนหรือผู้ที่มีอภิสิทธิ์ใกล้เคียงจะไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้ามาที่พำนักส่วนพระองค์แห่งนี้
และเมื่อมีผู้กล้าที่จะเข้ามาในยามวิกาลที่ดึกสงัดถ้าไม่ใช่มือสังหาร
ก็จะมีเพียงแต่คนที่ไม่เกรงกลัวต่ออาญาเฉกเช่นอนุชาของรีไว
“ดูเหมือนพวกท่านจะแก้ข้อกังขาในใจกันได้แล้ว”
มิคาสะโค้งคำนับแด่ฟาโรห์รีไวก่อนจะเบนสายตาไปมองยังร่างของเด็กหนุ่มที่อยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย
เมื่อเห็นเจ้าน้องชายตัวดียืนขวางทางเบื้องหน้าฟาโรห์หนุ่มกระชับร่างอวตารในอ้อมแขนมากขึ้นก่อนจะกระแอมเป็นเชิงถามอีกฝ่ายถึงการมาดักรอเขาที่ทางเดิน
มิคาสะเหลือบตามองอีกฝ่ายถึงกระนั้นร่างของชายหนุ่มยังคงยืนอยุ่ที่เดิมไม่หลีกทางให้ผู้เป็นเจ้าของเขตราชฐาน
“ตลอดมามีหลายอย่างที่ข้าไม่พอใจในตัวท่าน
ทั้งเรื่องนิสัย ความลำพองใจ อีกทั้งยังนิสัยมากรักจนน่าหน่าย”
ฟาโรห์รีไวมองพระอนุชานิ่งงัน
ไม่บ่อยนักที่เจ้าน้องชายหน้าตายของเขาจะพูดอะไรนอกจากการพยักหน้ารับคำสั่งและต่อปากต่อคำกับเขา
แต่สีหน้าจริงจังของมิคาสะทำให้เขารอฟังอย่างใจเย็น
“แต่ท่านก็เป็นฟาโรห์ที่ควรค่าแก่การเคารพและศรัทธาของเหล่าทหาร
อำมาตย์ นักบวช ประชาชน............ รวมถึงข้า....”
เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่มิคาสะจะเอ่ยชมเขาแบบนี้
แต่ท่าทางที่ยังคงมองมาอย่างนิ่งงันทำให้เขารู้สึกแปลกใจ คิ้วคมจึงขมวดมุ่นราวกับกำลังมองให้ทะลุในตัวของพระอนุชาเบื้องหน้า
“ปกติข้าเชื่อมั่นในไหวพริบ
ความฉลาด ยอมทำตามคำสั่งที่ท่านมอบหมายอย่างไม่มีข้อกังขา ทั้งมวลนั้นเป็นเพราะข้าเชื่อมั่นว่าท่านมองทุกอย่างได้อย่างถูกต้อง
และข้าไม่คิดสนใจเรื่องส่วนตัวของท่านแม้แต่น้อย เพียงแต่...
เอเลนนั่นเป็นมิตรสหายที่สำคัญของข้า
และข้าไม่อยากให้คนสำคัญของข้าต้องเจ็บปวดกับการกระทำของผู้ที่ข้าศรัทธา”
แววตาสีรัตติกาลจ้องมองยังองค์รามเมสอย่างจริงจัง ฟาโรห์หนุ่มที่มองอย่างนิ่งงัน
พระพักต์ค่อยๆแย้มสรวลบางเบา
“เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินเรื่องแบบนี้จากเจ้า
ดูเหมือนร่างอวตารจะสำคัญต่อเจ้ามากสินะมิคาสะ”
ฟาโรห์หนุ่มเดินตรงไปยังทางเดินทำให้ผู้ที่ขวางทางต้องจำใจเอียงตัวหลบอีกฝ่าย
“ในเมื่อท่านเป็นผู้ที่เอ่ยออกมาเอง ข้าก็จะยอมรับ...
สำหรับข้าเอเลนคือสหายที่สำคัญเกินกว่าที่ข้าจะให้เป็นสิ่งเร้าความสนุกของท่านได้”
ฟาโรห์หนุ่มชะงักฝ่าเท้าก่อนจะเอี้ยวตัวมองน้องชายร่วมสายเลือดที่ยังคงจ้องมองเขาอย่างดุดัน
“ข้าหวังที่จะยังเป็นพี่ชายที่เจ้าศรัทธา
แต่เรื่องที่ทำให้เจ้าเด็กนี่จะปวดใจหรือไม่นั้น ตัวข้าเองไม่อาจรับปาก
เจ้าก็รู้ดีว่าต่อให้ความเจ็บปวดนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากข้าโดยตรง
แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าไม่ใช่เพราะข้า”
ก่อนที่จะย่างก้าวต่อไปฟาโรห์หนุ่มหันหน้าเข้าเผชิญกับพระอนุชาอีกครั้ง
“ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ไว้ ร่างอวตาร...
ไม่สิเอเลนนั่นข้าเองก็ให้ความสำคัญไม่ต่างกับเจ้าเช่นกัน”
มิคาสะมองแผ่นหลังที่เดินลับหายไปยังห้องบรรทม
ใบหน้านิ่งงันที่ยากจะแสดงอารมณ์เผยรอยยิ้มจางๆ
ถึงแม้คนผู้นั้นจะยังคงทำตัวเป็นพี่ชายที่ไม่น่าเคารพในสายตาน้องชายอย่างเขา
แต่ในฐานะของฟาโรห์แล้วเขายอมรับและศรัทธาพี่ชายผู้นี้จากใจ
และสิ่งหนึ่งที่เขาเชื่อมั่นในตัวผู้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์แห่งอียิปต์อย่างไม่มีข้อกังขาก็คือ
สิ่งที่องค์รามเมสตรัสล้วนเชื่อถือได้
โครม!!
ทันทีที่ก้าวมาถึงเตียงแทนที่คนที่อุ้มเขามาจะวางเขาลงบนเตียงดีๆกลับโยนเขาเสียอย่างนั้น
และนั่นทำให้ใบหน้าหวานที่หลับตาพริ้มเมื่อครู่มองอีกฝ่ายอย่างหาเรื่อง
“ถ้าจะทำกันแบบนี้วันหลังไม่ต้องแบกมาเลยจะเป็นพระคุณกว่า!”
ทันทีที่ลืมตาสิ่งแรกที่หลุดออกจากปากร่างอวตารก็ยังคงไม่พ้นพูดจาหาเรื่องเขา
“เจ้ารู้สึกตัวตั้งแต่เมื่อไร?”
แต่คำถามที่องค์ฟาโรห์ถามทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งโหย่ง
จากที่ลูบหัวตัวเองป้อยๆเลยเปลี่ยนมาเกาที่แก้มของตนเองก่อนจะหัวเราะแห้งๆให้คนถาม
ไอฟาโรห์บ้านี่รู้ว่าเขาตื่นอยู่งั้นเหรอ? แต่จะว่าก็ว่าเถอะสถานการณ์ใอสักครู่จะให้เขาอยู่ๆลืมตาโผล่งระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังคุยเรื่องจริงจังได้ยังไง?
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่มีทีท่าจะตอบฟาโรห์จึงเขม่นมองพร้อมส่งความรู้สึกกดดันให้เด็กหนุ่มที่พยายามเบนหลบสายตาได้แต่ถอนหายใจ
“ก็.... ตั้งแต่ท่านแบกผมมาได้สักพักแล้วเจอมิคาสะนั่นแหละ...”
เออเรียกว่าตั้งแต่ต้นเลยก็ได้ล่ะนะ
“ไม่เลวนี่เจ้าหนู แอบฟังผู้ใหญ่สนทนากันมันไม่ดีรู้ไหม
เจ้าสมควรโดนลงโทษ”
“ลงโทษ? เดี๋ยวสิคนที่ไปแบกผมมามันก็คุณเองนะ!”
ฟาโรห์รีไวไม่ว่าเปล่าจับเจ้าตัวดีเข้ามาใกล้มายิ่งขึ้น เมื่อใบหน้าคมคายนั่นเขยิบเข้ามาใกล้เด็กหนุ่ม
เอเลนจึงหลับตาแน่นก่อนจะคว้าหมอนขนนกที่อยู่ใกล้มือขึ้นคั่นกลางระหว่างเขากับองค์รามเมสที่มองมาอย่างแปลกใจเล็กน้อย
และดูเหมือนพอเขาออกแรงดันอีกฝ่าย
เจ้าผู้ใหญ่โลกสองพันปีนี่ก็ยอมปล่อยเขาออกโดยง่ายทำให้เขาไปนั่งที่ปลายเตียงพร้อมส่งสายตาหวาดระแวงมอง
พอเห็นท่าเหมือนสัตว์ตัวเล็กที่หาที่กำบังพร้อมทั้งพยายามขู่ฟ่อราวกับลูกแมวอย่างนั้นทำให้คนชอบแกล้งหัวเราะขำก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงใหญ่ราวกับหมดแรง
“วันนี้ข้าหมดแรงที่จะต่อกรกับเจ้าแล้ว อีกอย่างเจ้าเองก็ยอมลงทุนช่วยบำบัดอารมณ์ของข้าแล้วนี้นะ”
องค์รามเมสส่งยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมทั้งเลียริมฝีปากของตนเองราวกับหยอกเย้าอีกฝ่าย
ให้ตายสิอยากเอาหมอนนี่อุดหน้าไอตาแก่เจ้าเล่ห์บ้านั้นให้ขาดอากาศหายใจตายไปเลย!!
“เอากุญแจคืนผมมาซะ ถือเป็นของตอบแทนเรื่องวันนี้”
แม้จะอายแสนอายแถมกระดากปากที่จะเอ่ยถึง แต่ในเมื่อเขาเสียหายอยู่คนเดียวแบบนี้
มันต้องได้อะไรคืนมาบ้างสิ!
“ข้าว่าเคยบอกแล้วนะ
ถ้าเจ้าอยากได้กุญแจคืนก็หัดอ้อนข้าดูหน่อยจะเป็นไรไป?”
ผู้ถือไพ่เหนือกว่ายังคงยิ้มกริ่มยั่วอีกฝ่าย
ใบหน้าที่ขึ้นสีจากอายกลายเป็นเริ่มโมโหเจ้าตาแก่บ้านี่อีกครั้ง
ให้ตายสิถ้าอยากให้อ้อนก็ได้ เขาจะอ้อนให้ดูก็ได้!!
เอเลนหันหลังหลบสายตาองค์ฟาโรห์ก่อนจะไปสูดอากาศเข้าเต็มปอดเพื่อตั้งสติ
ก่อนจะหันหน้าเข้ามาเผชิญคนขี้แกล้งอีกครั้ง
สองมือของเอเลนประสานกันก่อนเด็กหนุ่มจะพยายามเค้นยิ้มที่คิดว่าดูดีที่สุดในชีวิตให้อีกฝ่าย
“ท่านฟาโรห์ผู้เกรียงไกร
ได้โปรดมอบกุญแจคืนให้ข้าน้อยผู้ต่ำต้อยเถอะนะขอรับ”
ฟาโรห์รีไวมองอีกฝ่ายนิ่งจนเด็กหนุ่มหงื่อตก
แต่ไม่นานนักความรู้สึกอยากถีบไอฟาโรห์บ้านี่ก็มาแทนที่เมื่ออยู่ๆองค์รามเมสก็หัวเราะเสียยกใหญ่
“เดี๋ยวสิ นี่ท่านหัวเราะอะไรของท่านเนี่ย!!” คนที่ไม่รู้ว่ารอยยิ้มและท่าทางเมื่อสักครู่นั่นฝืนขนาดไหนจึงได้แต่ตะโกนถาม
ทั้งโยนหมอนใส่อีกฝ่ายที่ยังหัวเราะจนเด็กหนุ่มได้แต่แอบแช่งในใจให้ฟาโรห์บ้านี้หัวเราะจนตกเตียง
“แน่ใจหรือว่าท่าทางเมื่อสักครู่เป็นการออดอ้อน
ข้าคิดว่าเป็นลูกแมวที่จงใจข่มขวัญศัตรูเสียอีก”
นี่เขาคิดว่าเขาพยายามเค้นยิ้มที่ดูดีที่สุดแล้วนะ
แต่ไอฟาโรห์บ้านี่กลับบอกว่าเขาเป็นลูกแมวขู่ฟ่อๆเสียได้ ในเมื่อจะหัวเราะขนาดนี้
อีกทั้งเขาไม่เห็นจะได้อะไรตอบแทนกับความรู้สึกทั้งมวลที่เสียไปเลยแบบนี้
เขาหนีกลับไปอยู่ห้องเบเซทเหมือนเดิมยังจะรู้สึกดีเสียกว่า...
ทันทีที่จะก้าวลงจากเตียงมือแกร่งคว้ารอบเอวเด็กหนุ่มให้ล้มลงมานอนที่เตียงข้างเขา
ใบหน้ามนของเด็กหนุ่มได้แต่เบ้ปากมองมน
อย่างไม่สนใจสายตาขององค์รามเมสที่จ้องมองมาพร้อมรอยยิ้มบางอย่างพึงใจ
“เจ้านี่ช่างแปลก ทั้งที่เพิ่งทำให้ข้าโมโห แต่ไม่นานนักก็ทำให้ข้าหัวเราะได้”
“นายบ้าหรือไงเดี๋ยวก็โมโหเดี๋ยวก็หัวเราะน่ะ?”
คนที่ยังคงอยู่ในอารมณ์งอนว่าตัวเองเสียเปรียบได้แต่พองลมให้แก้มมองหน้าอีกฝ่ายและหมั่นไส้รอยยิ้มที่อีกฝ่ายมอบให้
“เราสัญญาว่าจะเสวนากันดีแล้วไม่ใช่รึ ที่วิหารศักดิ์สิทธิ์น่ะ”
ยิ่งเจ้าตัวดีพองลมในแก้มยิ่งทำให้อยากรู้ว่าแก้มนั้นจะนุ่มขนาดไหน
รีไวรามเมสจึงจับแก้มเอเลนยืดออก
“อัน เอ็บ อะ (มันเจ็บนะ)”
เพราะถูกยืดแก้มทำให้พูดออกมาไม่เป็นภาษา
เอเลนจึงปัดมืออีกฝ่ายออกก่อนจะถูแก้มตัวเองป้อยๆ พร้อมทั้งเถียงกลับในใจ
วิหารศักดิสิทธิ์มันจะเสื่อมเพราะเรื่องที่คุณท่านทำไปนั่นแหละ สำนึกซะมั่งสิ!
สองแขนของฟาโรห์กระชับร่างเด็กหนุ่มให้เข้าแนบชิดกายมากยิ่งขึ้น
เอเลนเหลือบตามองอีกฝ่ายก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
“ท่านน่ะก็เลิกกวนประสาทผมเสียสิ จะได้พูดจาดีๆกันได้บ้าง”
“อา.... เวลาเห็นเจ้าโกรธแล้วข้าสนุกดีน่ะ”
“นี่ท่าน!”
มือหนาตบลงบนศีรษะสีน้ำตาลของอีกฝ่ายเพื่อให้ใจเย็นลง
ก่อนจะตรัสต่อ
“ข้าบอกแล้วว่าจะพูดดีๆกับเจ้า ข้าก็จะพยายามทำตามนั้น”
“อือ” เอเลนนอนนิ่งๆให้อีกฝ่ายโอบกอดเช่นทุกครั้ง
ไม่เข้าใจเลยว่าตาลุงฟาโรห์นี่เห็นเขาเป็นหมอนข้างหรือไงกัน ทั้งที่ห้องมีออกตั้งมากมาย
แทนที่จะให้ห้องส่วนตัวเขาแต่กลับให้มาใช้ห้องร่วมกับองค์ฟาโรห์
“สำหรับของตอบแทนเรื่องวันนี้ข้ามีให้เจ้าแน่....แต่ไม่ใช่กุญแจของเข้าหรอกนะ
อยู่กับข้าอีกสักพักก่อนคงได้ใช่ไหมเอเลน?” น้ำเสียงที่ราวกับออดอ้อนชวนให้เด็กหนุ่มรู้สึกจั๊กจี้
เป็นอีกครั้งของคืนนี้ที่ใบหน้ารู้สึกร้อนผ่าวอย่างน่าประหลาด
“ก็ได้
แต่ถ้าต้องคืนมานะเพราะผมต้องกลับไปเรียนไม่อย่างนั้นพ่อเอาผมตายแน่ๆ”
เด็กหนุ่มดึงหมอนขนนกมากอดไว้เพราะใช้แขนของฟาโรห์ต่างหมอนหนุน ใบหน้ามนได้แต่ซุกหน้าลงบนหมอนขนนกโดยมีใบหน้าของอีกคนซุกลงบนไหล่ของเขาอย่างคุ้นเคย
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จอยู่ๆเขาก็ถูกฟาโรห์แบก
หรือที่จริงควรเรียกว่าหิ้วออกจากโต๊ะเสวยที่กำลังทานอยู่กับเบเซทขึ้นม้าสีดำตัวใหญ่
พอรู้สึกตัวอีกทีตอนนี้เขาก็ขึ้นมาอยู่บนเนินสูง
เอเลนมองฟาโรห์ที่จ้องมองลงไปยังโอเอซิสเบื้องล่าง
ไม่รู้ว่าทำไมหมอนี่ถึงพาเขามาแบบนี้ แต่เพราะเพิ่งเกิดเรื่องแบบนั้นในวิหารเทพรา
เอเลนจึงอดคิดไม่ได้ว่าไอฟาโรห์บ้านี่คงไม่ได้อยากลองอะไรแปลกๆกลางจ้าตะวันจ้าที่โอเอซิสไรแบบนี้หรอกนะ
ถ้าทำงั้นจริงเขาจะย้ายไปนอนกับเบเซทหรือไม่ก็มิคาสะถาวรเลยคอยดู
“ดูเหมือนจะไม่มีคนอื่นนอกจากเราแล้วสินะแถวนี้”
อยุ่คำพูดขององค์ฟาโรห์ยิ่งทำให้คนคิดมากยิ่งคิดลึกเข้าไปการใหญ่
เดี๋ยวนะคุณพี่ คุณพี่จะทำอะไรทำไมถึงต้องทำในที่ลับตาคน
แล้วทำไมถึงต้องระแวงว่าจะมีคนมาเห็นด้วยครับ? สองมือของเอเลนจับอานม้าไว้แน่นราวกับเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียว
ถ้าเกิดไอตาแก่บ้านี่คืดเรื่องหื่นกามขึ้นมาอย่างน้อยเขาจะได้ควบม้าหนีกลับเข้าเมืองได้
ฟาโรห์รีไวหันมาสบตากับเด็กหนุ่มที่มองเขาอย่างหวาดระแวง
ไม่บอกก็พอเดาได้ว่าเจ้าเด็กนี่คงคิดอะไรที่เตลิดไปไกลน่าดู ที่จริงก็ไม่ได้อยากทำให้ผิดหวังหรอกนะ
แต่เขาพามาที่นี้ไม่ได้มาเพื่อการนั้นเสียหน่อย
รีไมรามเมสยกมือขึ้นก่อนจะเป่าส่งสัญญาณให้กับบางสิ่ง
นัยน์ตาสีขี้เถ้าใช้มือบังแดดก่อนจะมองขึ้นยังท้องฟ้าที่พระอาทิตย์ฉายแสงกล้า
เพียงไม่นานจุดสีดำก็โผล่ขึ้นมาจากทางอาทิตย์ฉายแสง
เมื่อจุดสีดำนั้นมาใกล้เรื่อยๆเด็กหนุ่มถึงกับตาลุกวาวอย่างตื่นเต้น
เพราะนั้นคือเหยี่ยวทะเลทราย
เจ้าเหยี่ยวทะเลทรายบินวนเหนือศีรษะของเขาและฟาโรห์รามเมส
เมื่อฟาโรห์รีไวยกแขนขึ้นเจ้าเหยี่ยวทะเลทรายจึงร่อนลงเกาะที่กำไลทองคำของอีกฝ่ายอย่างรู้งาน
“สัตว์เลี้ยงของท่านเหรอ?” เอเลนเดินเข้ามาชมเหยี่ยวที่เกาะบนกำไลทองคำขององค์ฟาโรห์
นัยน์ตาสีอร่ามทอประกายอย่างสนใจ
บ่อยครั้งที่เขาจะเห็นชนชาวทะเลทรายเลี้ยงเหยี่ยวไว้เป็นสัตว์เลี้ยงและมันทำให้เขารู้สึกว่าเป็นอะไรที่เท่มากและหลายครั้งที่เขาเคยขอพ่อให้หาเหยี่ยวทะเลทรายมาให้เขาบ้าง
แต่ผู้เป็นบิดามักปฏิเสธด้วยเหตุผลที่เขาไม่อาจเถียงได้
เพราะถึงแม้จะเป็นนักวิจัยที่ใช้เวลาอยู๋ในทะเลาทราย
แต่สถนที่ที่เขาอยู่นั้นไม่แน่นอน อีกทั้งต้องเดินทางบ่อยๆ
การที่นำนกต่างถิ่นไปด้วยทั้งเรื่องกฏหมายคุ้มครอง
การขออนุญาตก็เป็นสิ่งที่ยุ่งยากมาก อีกทั้งการปรับตัวในสถานที่ต่างๆทำให้เขาจึงได้แต่มองและขอเข้าไปเล่นด้วยเป็นครั้งคราวกับกองคาราวานที่บังเอิญผ่านมา
“เคยเป็นของข้าต่างหาก”
ใบหน้ามนมององค์ฟาโรห์อย่างแปลกใจ
เคยเป็นขององค์รามเมสแล้วตอนนี้เป็นของใคร?
ใบหน้าสงสัยนั่นทำให้รีไวรู้ว่าอีกฝ่ายคิดเช่นไร ฟาโรห์หนุ่มเดินไปที่อานม้าก่อนจะโยนสิ่งที่อยุ๋ภายในนั้นให้กับเด็กหนุ่ม
เอเลนมองหลอกแขนหนังที่อีกฝ่ายส่งมา ใบหน้ามนเงยหน้ามองชายหนุ่ม
รีไวจึงพยักหน้าให้เป็นเชิงบอกให้เอเลนสวมปลอกแขนนั้นเสีย
ทันทีที่เด็กหนุ่มสวมใส่ปลอกแขน ฟาโรห์รีไวจึงหันไปมองที่เจ้าเหยี่ยวทะเลทรายอีกครั้งก่อนจะพยักหน้าให้
ราวกับเจ้าเหยี่ยวเจ้าใจคำสั่งของผู้เป็นนายมันจึงผละจากกำไลทองคำไปยังปลอกแขนหนังที่เอเลนสวมใส่
“บัดนี้มันเป็นของเจ้า เอเลนผู้เป็นร่างอวตารแห่งรา”
ได้ยินดังนั้นนัยน์ตากลมโตยิ่งเบิกตากว้างโตกว่าเดิม
นัยน์ตาสีอร่ามทอประกายก่อนจะส่งยิ้มกว้างให้องค์รามเมส
รอยยิ้มที่เพิ่งได้ยลเป็นครั้งแรกจากร่างอวตารแห่งสุริยันต์
“ท่านให้ผมจริงๆเหรอ สุดยอด! ขอบคุณนะครับ”
เด็กหนุ่มยังคงยิ้มร่าโดยไม่รู้เลยว่ามีคนที่ต้องยกมือขึ้นมาถูใบหน้าของตนเองด้วยซ่อนอารมณ์บางอย่างที่ไม่อยากให้อีกฝ่ายได้เห็น
“แล้วเจ้านี่ชื่ออะไรงั้นเหรอ?”
เอเลนเขย่าแขนถามชายหนุ่มจ้อ
ที่เมื่อวานเจ้าเด็กนี่พยายามแสร้งออดอ้อนเขาแต่ไม่เป็นงานซ้ำยังทำหน้าตลกจนเขากลั้นหัวเราะไม่หยุด
แต่ดูตอนนี้สิเจ้าตัวดีไม่รู้เลยใช่ไหมว่ากำลังทำหน้าราวกับอ้อนเขาโดยไม่รู้ตัวอยู่แบบนี้
“นามนั้นคือ อิลเซ่”
“อิลเซ่ ชื่อเพราะมาก” เอเลนเกาคางเจ้าเหยี่ยวทะเลทราย
เจ้าเหยี่ยวเมื่อโดนนายใหม่เรียกชื่อก็เอาหัวเข้าไปถูไถกับแก้มนุ่มของเด็กหนุ่มราวกับออดอ้อนและบอกว่าชื่อนั้นคือชื่อของมัน
“ถือเป็นของขวัญและของตอบแทนเรื่องเมื่อวาน
เจ้าพอใจใช่หรือไม่?”
เอเลนเอียงคอมองชายหนุ่มก่อนจะยิ้มกว้างให้อีกครั้ง
“ผมยกโทษให้ แต่คราวหลังท่านอย่าทำอะไรบ้าๆอีกล่ะ”
เด็กหนุ่มยังคงหยอกล้อกับเหยี่ยมทะเลทรายอย่างไม่รู้สึกเบื่อกับของขวัญที่ได้มา
ไม่คิดว่าการเอาใจผู้อื่นจะง่ายและน่าพึงใจถึงเพียงนี้
อาจเป็นเพราะทุกครั้งมีแต่ผู้ที่คอยเอาใจเขากระมัง
ครั้งนี้เลยเรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่เขาได้ทำให้ผู้อื่นได้พึงใจ
รีไวจัดเตรียมอานม้าเมื่อเห็นว่าควรที่จะกลับไปยังวังได้เสียที
เพราะพระอาทิตย์ยามนี้เริ่มใกล้เที่ยงวันเข้าทุกที
เสียงม้าที่ควบมาทำให้ชายหนุ่มชะงักก่อนจะดึงกริซคู่ใจที่เหน็บมาแล้วดันร่างของเด็กหนุ่มไปด้านหลัง
แต่เมื่อเห็นว่าผู้ที่ควบอาชาสีดำอีกตัวมานั่นเป็นอนุชา
องค์รามเมสจึงเก็บกริซเข้าที่เอวเช่นเดิม
“ทำไมถึงร้อนรน ไม่สมเป็นเจ้าเลยมิคาสะ”
ชายหนุ่มหอบหายใจชั่วครู๋
ดูเหมือนมิคาสะจะรีบเร่งควบม้าตามหาเขา อีกทั้งสีหน้าที่จริงจังนั้นทำให้รีไวเริ่มรู้สึกกังวลจนพระขนงขมวดมุ่น
“สายของข้ารายงานมา
ฮิตไทต์เริ่มสร้างเมืองอยู่ไม่ไกลจากกรุงธีปส์ของเรา”
ก็ยังคงรักษาความหื่นเบาๆ ประนึงเกลือรักษาความเค็มนะคะท่านฟาโรห์
ตอบลบแอร๊ยยย มีความฟินนน ฉํนรักเค้าอ่ะ ท่านฟาโรห์
มาต่อไวๆนะค่ะ จะรออออ สนุกมากกก
ตอบลบ