วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2559

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์ Chapter 17:

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์
Pairing: (LevixEren)
Rate: พี่ระบุไม่ถูกค่ะ 55555
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
Story By: AkeRah , Trendy Blood
……………………………………………………………………………
Chapter 17


มือใหญ่รองรับกระแสน้ำเย็นที่สาดกระเซ็นออกมาจากน้ำพุจำลองอย่างเลื่อนลอย แม้จะไม่ได้ตรัสเอ่ยสิ่งใดออกมาแต่สีพระพักตร์บึ้งตึงและพระขนงที่ขมวดมุ่นก็เป็นหลักฐานชั้นดีที่บ่งบอกให้รู้ว่าบัดนี้นายเหนือหัวนั้นกำลังคุกรุ่นไปด้วยเพลิงแห่งโทสะถึงเพียงไหน ดูเหมือนว่าสายน้ำเย็นๆจะไม่ได้ช่วยให้อีกฝ่ายสงบพระทัยที่ร้อนรุ่มลงได้เลย เบลทรูทลอบถอนหายใจมองสบสายตาไรเนอร์เงียบๆอย่างรู้กัน นายเหนือหัวของพวกเขากำลังโกรธ.......และโกรธมากๆ ซึ่งมันน่าประหลาดใจยิ่งนักที่ตัวการซึ่งก่อความขุ่นข้องหมองพระทัยนั้นยังคงลอยนวลอยู่ได้ ถึงขั้นอยู่ดีมีสุขเสียด้วย เพราะเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ถูกกวนโทสะอย่างหนักหน่วงเช่นนั้นนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นองค์ฟาโรห์รีไวราเมสผู้เฉียบขาดและห้าวหาญเลือกที่จะเดินออกจากสถานการณ์นั้นมาสงบพระทัยเงียบๆ
เห็นทีทั่วทั้งผืนแผ่นดินทะเลทรายแห่งอียิปต์นี้คงจะมีเพียงเด็กหนุ่มร่างอวตารแห่งราเอเลนผู้นั้นเพียงเท่านั้นที่กล้าขึ้นเสียงงัดข้อกวนโทสะของฟาโรห์หนุ่มแล้วยังลอยหน้าลอยตาอยู่ในวังหลวงแห่งธีบส์นี้ได้อย่างครบสามสิบสอง
เสียงถอนหายใจยาวเหยียดอย่างปลงไม่ตกนั้นก็ใช่ว่าจะมีให้ได้ยินกันบ่อยๆเสียด้วย
“ฝ่าบาทจะเสด็จกลับที่ประทับเลยหรือไม่”
หากกลับไปยังที่พักแล้วต้องเจอกับเด็กหนุ่มผู้นั้นอาจทำให้บรรยากาศคุกรุ่นมากกว่าที่เป็นอยู่ก็เป็นได้
“พวกเจ้า......ออกไปกันก่อน ข้าต้องการอยู่เงียบๆ”
องครักษ์หนุ่มทั้งสองลอบสบตากันก่อนจะค้อมกายน้อมรับบัญชา
“พะยะค่ะ!!!

แต่นึกไม่ถึงว่าเอาเข้าจริงแล้วความเงียบกลับทำให้พระองค์ฟุ้งซ่านยิ่งกว่าเดิม ถ้อยคำเสียดสีน้ำเสียงชวนให้หงุดหงิดของเด็กหนุ่มผู้นั้น ทุกกิริยาและสีหน้ายังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำของพระองค์ ความรู้สึกปวดแปลบในอกหน่วงหนักให้รู้สึกราวกับมีหินก้อนใหญ่ถ่วงอยู่ในพระทัย นึกไม่ถึงว่าคำพูดเพียงไม่กี่คำจะส่งผลกระทบกับความรู้สึกของพระองค์ถึงเพียงนี้ โดยเฉพาะเมื่อคำพูดเหล่านั้นหลุดออกมาจากปากของเด็กหนุ่มร่างอวตาร
ฟาโรห์หนุ่มถอนหายใจยาวเหยียดก่อนจะตัดสินพระทัยเสด็จไปยังเขตพระราชฐานทิศตะวันตกแต่เพียงผู้เดียว ทุกก้าวย่างที่เสด็จผ่านเหล่าทหารและนางกำนัลต่างยอบกายถวายความเคารพเป็นทิวแถว ดูเหมือนว่าเรื่องที่พระองค์เสด็จมายังตำหนักในฝ่ายตะวันตกจะแพร่ไปถึงหูเหล่าสนมแล้วเพราะพวกนางต่างออกมารอต้อนรับพระองค์จนเต็มสองฝั่งระเบียงทางเดิน ฟาโรห์รีไวโบกพระหัตถ์รับการถวายความเคารพจากพวกนางอย่างขอไปที ในจำนวนสตรีสูงศักดิ์เหล่านี้มีหลายคนที่พระองค์รู้สึกคุ้นหน้าอยู่บ้างแต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าสตรีเหล่านั้นมีนามว่าอย่างไรแม้จะเคยใช้เวลาในยามค่ำคืนร่วมกันแต่สุดท้ายมันก็ผ่านไปเพียงเท่านั้น
“ฝ่าบาท”
หญิงสาวนางหนึ่งคุกเข่าลงเบื้องหน้าพระองค์นางใช้น้ำในคนโทที่แบกมาล้างพระบาทให้แก่พระองค์ด้วยมือเปล่าอย่างแผ่วเบา ฟาโรห์หนุ่มปล่อยให้หญิงสาวได้จัดการชำระล้างจนเสร็จจึงช่วยประคองนางยืนขึ้น
“ขอบใจเจ้ามาก ลุกขึ้นเถอะเพทร่า”
ฟาโรห์หนุ่มโบกพระหัตถ์ให้เหล่านางกำนัลมายกคนโทน้ำออกไปก่อนจะประคองพระสนมเอกให้ดำเนินเสด็จเคียงข้างไปกับพระองค์ เหล่าสนมและนางกำนัลที่เหลือจึงได้แต่ตามเสด็จเบื้องหลังทั้งคู่ไปโดยทิ้งระยะห่างไว้ช่วงหนึ่ง
“หากพระองค์ให้คนส่งข่าวมาก่อนว่าจะเสด็จหม่อมฉันคงได้เตรียมการต้อนรับเสด็จให้พร้อมยิ่งกว่านี้”
“ข้าไม่ได้ต้องการให้ทำอะไรเอิกเกริกถึงเพียงนั้น” อันที่จริงพระองค์ไม่ได้ตั้งใจจะเสด็จมาที่นี่ด้วยซ้ำแต่พอตระหนักได้ว่าหากพระองค์ไม่ประสงค์จะพบเด็กหนุ่มผู้นั้นก็เห็นเพียงแต่ต้องเสด็จมาที่นี่เพียงแห่งเดียว
“ฝ่าบาททรงประสงค์จะชมการแสดงอันใดหรือไม่เพคะ หม่อมฉันจะให้คนได้จัดเตรียม” สนมเอกเพทร่าเอ่ยถามพลางนำเสด็จฟาโรห์หนุ่มเข้าสู่ตำหนักที่พักของนาง ตราบเมื่อดำเนินมาถึงหน้าประตูตำหนักองค์ฟาโรห์จึงได้หยุดลงก่อนจะตรัสตอบด้วยสุระเสียงราบเรียบ
“อย่าได้ลำบากเจ้าถึงเพียงนั้นเลย ข้าเพียงแค่มาหาความสงบเงียบเพื่อผ่อนคลายเพียงเท่านั้น” ฟาโรห์รีไวเอ่ยตรัสพลางกุมมือนางเอาไว้ พระหัตถ์ใหญ่ลูบหลังมือหญิงสาวเบาๆก่อนจะแย้มสรวลแล้วตรัสเอ่ยกับนาง
“เจ้าก็พักผ่อนเสียเถอะเพทร่า”
หญิงสาวเหลือบมองพระพักตร์ที่แย้มสรวลให้กับนางแล้วเข้าใจในรับสั่งของฟาโรห์หนุ่มในทันที
“เพคะฝ่าบาท ” นางยอบกายถวายคำนับแด่ฟาโรห์หนุ่มแล้วคุกเข่าลงกับพื้นรอส่งเสด็จ เฝ้ามองแผ่นหลังกว้างที่ทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน เป็นความจริงที่องค์ฟาโรห์เหนือหัวได้เสด็จมายังตำหนักในฝั่งตะวันตกแห่งนี้ เพียงแต่วันนี้พระองค์ไม่ใช่ของนาง หญิงสาวก้มหน้าซ่อนน้ำตาที่รื้นเต็มขอบดวงตากลมโตแล้วเอ่ยไล่หลังฟาโรห์หนุ่มไป
“เพทร่าน้อมส่งเสด็จเพคะ”
ฟาโรห์หนุ่มลัดเลาะผ่านตำหนักน้อยใหญ่เข้าไปยังส่วนหลังสุด ตำหนักแห่งนี้แม้จะดูโอ่อ่าแต่กลับเงียบสนิท หากไม่มีกลิ่นหอมอ่อนๆของน้ำมันหอมระเหยโชยออกมาคงไม่แคล้วต้องมีคนคิดว่าที่แห่งนี้ร้างผู้คนเป็นแน่ เสียงกระดิ่งลมหน้าประตูส่งเสียงกรุ๋งกริ๋งยามเมื่อสายลมร้อนโชยผ่าน นางกำนัลสองนางที่เฝ้าอยู่หน้าประตูตำหนักชั้นในถวายคำนับก่อนจะนำเสด็จเข้าไปยังโถงชั้นใน ยิ่งเข้าไปใกล้กลิ่นน้ำมันหอมระเหยยิ่งอบอวลหอมกรุ่นมากขึ้น หญิงสาวร่างสูงโปร่งผิวสีแทนเข้มกำลังง่วนกับการแยกตากกลีบดอกไม้และไม้หอมหลากชนิดจนไม่ได้รู้สึกตัวว่าพระองค์เสด็จมาเยือน ฟาโรห์รีไวส่งสัญญาณให้นางกำนัลทั้งสองกลับออกไปเงียบๆก่อนจะเสด็จไปประทับนั่งบนแท่นบรรทมเฝ้ามองเสี้ยวหน้าเรียวเล็กของหญิงสาวนางนั้นต่อไป จวบจนเมื่อหญิงสาวหมุนกายกลับมาจึงได้เห็นว่ามีใครอีกคนนั่งมองนางอยู่เงียบๆเป็นนานสองนาน
“ฝ่าบาท!!!” หญิงสาวตัดพ้อด้วยความตกใจลูบอกปลอบขวัญตนเองเบาๆก่อนจะคุกเข่าถวายคำนับ
“มานี่สิ เนเฟอตารี”
หญิงสาวแย้มยิ้มก่อนจะลุกขึ้นเดินมาทรุดนั่งอยู่ข้างแทบพระบาทของพระองค์
“ทรงเสด็จเหตุใดไม่ยอมแจ้งข่าวมาก่อนเพคะ”
“ข้าแค่....เดินมาเรื่อยๆเท่านั้น”
หญิงสาวพยักหน้ารับไม่ต่อความแต่กลับเอื้อมมือไปสัมผัสข้อพระบาทของฟาโรห์หนุ่มพลางบีบคลึงเบาๆ
“พักนี้ต้องทรงเคร่งเครียดเกินไปเป็นแน่ ทั้งๆที่เพิ่งเสด็จกลับจากไปปราบกบฏทาสมาแท้ๆยังไม่อาจวางราชกิจหากหักโหมเกินไปพระวรกายจะได้รับผลกระทบไปด้วยนะเพคะ” หญิงสาวบอกกล่าวขณะที่ถอดรองพระบาทของฟาโรห์หนุ่มออกแล้วนวดคลึงคลายเส้นให้เบาๆ
“อืม.......”
ฟาโรห์หนุ่มส่งเสียงครางแผ่วอย่างพึงใจก่อนจะเอนพระวรกายราบลงกับแท่นบรรทมปล่อยให้พระสนมเนเฟอตารีปลดเปลื้องความปวดเมื่อยออกจากพระวรกาย หญิงสาวไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมาเพียงแค่ทำหน้าที่ของตนต่อไปเงียบๆด้วยนางเข้าใจดีว่าหากไม่ใช่เพราะต้องการจะหลีกหนีจากความยุ่งยากวุ่นวายพระทัย พระองค์ก็จะไม่ดั้นด้นเสด็จมายังตำหนักในส่วนหลังที่ห่างไกลผู้คนถึงเพียงนี้ ในเมื่อฝ่าบาทได้มอบความไว้วางพระทัยให้นางได้เป็นผู้ปลดเปลื้องความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าให้นางก็พร้อมที่จะทำอย่างเต็มที่
ความรู้สึกสบายจากการได้รับการนวดคลายความเมื่อยขบทำให้พระองค์รู้สึกง่วงงุนจนเผลอหลับไปกว่าจะตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเวลาพลบค่ำเสียแล้ว
“ตื่นแล้วเหรอเพคะฝ่าบาท” หญิงสาวที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างแท่นบรรทมเอ่ยด้วยรอยยิ้มสรวล
“อืม....ไม่ได้รู้สึกสบายแบบนี้มานานแล้ว”
“พระวรกายแข็งเกร็งถึงเพียงนั้นไม่ใช่เรื่องดีเลยนะเพคะ ความเครียดถือเป็นศัตรูร้าย พระองค์ควรจะหาเวลาพักผ่อนให้มากๆ เดี๋ยวหม่อมฉันจะให้คนนำน้ำมันหอมระเหยสูตรใหม่ไปถวายที่ตำหนัก”
“ขอบใจเจ้ามากเนเฟอตารี” ฟาโรห์รีไวตรัสตอบพร้อมกับยกพระหัตถ์ลูบเส้นผมหอมกรุ่นเรียบลื่นของหญิงสาวเบาๆ
“ทูลเชิญเสด็จสรงน้ำเพคะ”
ฟาโรห์หนุ่มพยักพระพักตร์รับก่อนจะเดินตัดออกไปยังฝั่งปีกซ้ายที่เป็นห้องสรงน้ำที่มีสระลอยกลีบดอกไม้ขนาดใหญ่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นโชยออกมา พระสนมเนเฟอตารีส่งสัญญาณให้เหล่านางกำนัลรอรับใช้ที่ด้านนอกก่อนจะปิดประตูและถวายการดูแลแก่ฟาโรห์หนุ่มด้วยตัวเอง นางปลดอาภรณ์ชิ้นแล้วชิ้นเล่าออกจากพระวรกายอย่างเบามือก่อนจะคุกเข่าลงก้มหน้านิ่งปล่อยให้พระองค์ที่เปลือยกายเสด็จลงไปแช่ในสระน้ำด้วยองค์เอง กระแสน้ำเย็นช่วยขับไล่ความเมื่อยขบออกจากร่างกายพระองค์ถอนหายใจยาวเหยียดหลับพระเนตรเอนกายพิงขอบสระเงียบๆ รู้สึกได้ว่ามีมือเรียวมาบีบนวดที่พระอังสา พระองค์เองก็ไม่ได้ตรัสขัดข้องสิ่งใดด้วยรู้ดีว่าเจ้าของมือนี้คือใคร
“รู้สึกดีหรือไม่พะยะค่ะ” แต่เสียงกระซิบที่ข้างพระกัณฑ์ทำให้พระองค์เบิกเนตรขึ้น ใบหน้าหวานแสนรั้นของเด็กหนุ่มร่างอวตารปรากฏขึ้นต่อหน้า
“เจ้า!!!......” อยากจะตรัสเอ่ยขานนามอีกฝ่ายออกไปแต่ก็เกรงว่าภาพที่เห็นจะเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น
“ทรงโปรดหรือไม่พะยะค่ะ กระหม่อมใช้น้ำมันหอมระเหยกลิ่นส้มมาช่วยนวดผ่อนคลายให้พระองค์ ลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ ปัดเป่าความวิตกกังวล ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต พระองค์จะได้บรรทมสนิทมากขึ้น”
“ขอแค่เจ้าไม่หาเรื่องชวนทะเลาะมาให้ข้าต้องปวดหัวก็ขอบใจมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำมันหอมระเหยนี่หรอก” ฟาโรห์หนุ่มตรัสค้อนแต่เอเลนกลับส่งเสียงหัวเราะตอบกลับ
“ถ้าเช่นนั้นก็คงไม่ทรงโปรดสินะ”
จู่ๆฟาโรห์หนุ่มก็ผุดยืนขึ้น ก่อนจะก้าวเสด็จขึ้นจากสระน้ำมาหยุดยืนอยู่ต่อหน้าเอเลนเงียบๆ เด็กหนุ่มที่คุกเข่าอยู่กับพื้นเงยหน้ามองร่างเปลือยเปล่าของพระองค์ด้วยรอยยิ้มกริ่ม นัยน์ตากลมโตแฝงแววขี้เล่นนิดๆ
“แต่งตัวให้ข้า” สิ้นสุระเสียงตรัสสั่งเอเลนจึงก้มหน้าลงตอบรับเสียงแผ่ว
“ตามแต่จะบัญชา”

“กระหม่อมได้ให้คนจัดเตรียมกระยาหารไว้พร้อมแล้ว หากทรงประสงค์ก็เสวยได้ทันทีพะยะค่ะ”
“อืม....ข้าหิวแล้ว”
ทันทีที่ก้าวเข้าสู่ห้องเสวยกลิ่นหอมหวานเย็นๆก็โชยอบอวลไปทั่วห้อง
“นี่กลิ่นอะไร ข้าไม่เคยได้กลิ่นแบบนี้มาก่อน มันหอมๆชวนให้สดชื่นดี”
“กลิ่นดอกพลัมมีเรียพะยะค่ะ สรรพคุณช่วยให้รู้สึกสงบ” เอเลนเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มกว้างก่อนจะเขยิบเข้าไปใกล้ฟาโรห์หนุ่มกระซิบเสียงแผ่วให้ได้ยินกันเพียงสองคน
“และกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ.......”
ฟาโรห์รีไวตวัดพระเนตรมองหน้าเอเลนในทันที ใบหน้างามนั้นยังคงยิ้มกริ่มยั่วเย้าแต่ไม่มีแววล้อเล่นแม้แต่น้อย พระองค์แสร้งกระแอมในลำคอที่แห้งผากลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะตรัสตอบ
“ไม่เลว....”
“เชิญประทับพะยะค่ะ” เอเลนดึงพระหัตถ์ของพระองค์ให้นั่งลงบนพระแท่นใกล้เครื่องเสวยพลางชม้ายตามองพระองค์เป็นระยะ ท่าทีเชิญชวนโจ่งแจ้งออกเสียขนาดนั้นหากจะบอกว่าพระองค์ไม่ทรงคิดทรงหวังสิ่งใดต่อท่าทีนั้นก็คงจะโกหก
กระยาหารคำแล้วคำเล่าถูกป้อนให้ถึงพระโอษฐ์ ฟาโรห์รีไวเสวยอาหารเหล่านั้นพลางทอดพระเนตรเสี้ยวหน้าเด็กหนุ่มข้างกายที่กำลังสาธยายรสชาติของอาหารบนโต๊ะอย่างออกรสออกชาติ
“เจ้าหายโกรธข้าแล้วหรือ”
มือบางที่กำลังจัดแจงป้อนอาหารอยู่ชะงัก ก่อนที่เจ้าตัวจะถอนหายใจยาวเหยียด
“ไม่ทรงโปรดกระยาหารหรือพะยะค่ะ ถึงได้ตรัสเรื่องนี้ขึ้นมา” เอเลนเอ่ยตอบหน้าหงิกและแทนที่จะป้อนอาหารคำนี้ให้กับฟาโรห์หนุ่มกลับส่งเข้าปากตัวเองแทน
“เพราะข้าเห็นเจ้าโกรธมากข้าจึงไม่คิดว่าเจ้าจะยอมมาปรนนิบัติข้าแบบนี้”
“แน่นอนว่าหม่อมฉันยังไม่หายโกรธ” เอเลนตอบเรื่อยเฉื่อยยกแก้วทรงสูงส่ายช้าๆก่อนจะจิบไวน์ในแก้วไปอึกหนึ่ง
“เพราะพระองค์เป็นฝ่ายผิดเต็มๆ และที่สำคัญ............” เอเลนหันมาสบตากับฟาโรห์รีไวรอยยิ้มหวานบนใบหน้าค่อยๆกลายเป็นบึ้งตึงก่อนจะสาดไวน์ในแก้วใส่พระพักตร์ฟาโรห์หนุ่มเต็มๆ
“เลิกฝันบ้าๆได้แล้ว เจ้าแก่ลามก!!!!


ร่างใหญ่สะดุ้งตื่นตกใจจนเกือบจะจมลงไปในสระน้ำ
“ฝ่าบาท ระวังเพคะ” พระสนมเนเฟอตาริรีบดึงฟาโรห์หนุ่มที่อยู่ในสระสรงน้ำเอาไว้ด้วยความตกใจ
ฟาโรห์รีไวกวาดพระเนตรดูรอบๆก็พบว่าพระองค์ยังคงอยู่ในห้องสรงน้ำที่เดิมไม่ได้ไปไหน หลังจากส่ายพระเศียรไล่ความมึนงงจึงเสด็จขึ้นจากน้ำ พระสนมเนเฟอตารีรีบเข้ามาจัดแจงแต่งองค์ทรงเครื่องให้อย่างรู้งาน
“จะเสวยหรือไม่เพคะ”
เมื่อทอดพระเนตรสำรับกระยาหารที่ถูกจัดเตรียมไว้แล้วก็อดหวนคิดถึงฝันเมื่อครู่นี้ขึ้นมาไม่ได้ สุดท้ายความอยากกระยาหารก็ลดลง
“ข้าไม่หิว”
พระสนมเนเฟอตารีเดินนำพระองค์เข้าสู่ห้องบรรทมที่เปิดหน้าต่างโล่งไว้ ม่านบางหลายชั้นที่ทับซ้อนกันช่วยลดแรงลมในยามดึกให้ไม่รุนแรงมากนักแต่ก็ทำให้ทั้งห้องโล่งโปร่งเย็นสบาย หลังจากถอดรองพระบาทแล้วก็ขึ้นไปเอนกายนอนลงบนแท่นบรรทมพลางครุ่นคิดถึงฝันเมื่อครู่นี้
ทั้งๆที่พระองค์ก็รู้ดีว่าท่าทีออดอ้อนเอาใจแบบนั้นย่อมไม่มีปรากฏเห็น แต่ก็ยังแอบหลอกองค์เองให้เชื่อว่าบุคคลในฝันนั้นเป็นเด็กหนุ่มร่างอวตารตัวจริง เพราะมันคงจะดีไม่น้อยหากเจ้าเด็กนั่นทิ้งความอวดดี ดื้อรั้น ยโสโอหังไม่เข้าท่าราวกับแมวป่าหันมาออดอ้อน หัวอ่อน ช่างออเซาะเหมือนแมวน้อยบ้างก็คงดี หากเป็นแบบนั้นความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์และเด็กหนุ่มผู้นั้นก็คงดำเนินไปในทิศทางที่ดีกว่านี้ แต่หากเปลี่ยนไปแบบนั้นจริงๆก็คงไม่ใช่ร่างอวตารที่สามารถดึงความสนใจของพระองค์ได้มากถึงเพียงนี้
สุดท้ายก็ไม่อาจเข้าใจว่าแท้จริงแล้วทรงประสงค์สิ่งใดกันแน่........ เด็กหนุ่มร่างอวตารผู้ชาญฉลาด เข้มแข็งแต่แสนรั้น หรือแมวน้อยน่ารักที่ดีแต่ออดอ้อนไปวันๆ
“ฝ่าบาทเพคะ......” เสียงเรียกแผ่วๆทำให้พระองค์ได้สติ ฟาโรห์หนุ่มเหลือบมองหญิงสาวที่ก้มตัวอยู่เหนือร่างของพระองค์ ใบหน้างามฉายแววพรั่นพรึงระคนตกใจเมื่อเห็นสิ่งที่นอนตัวอ่อนยวบอยู่ในมือเรียวคู่นั้น

เสียงหัวเราะชนิดไม่ว่าหน้าใครดังก้องไปทั่วทั้งเขตพระราชฐานฝั่งตะวันออก แต่เหมือนว่าทุกคนจะคุ้นเคยกับเจ้าของเสียงนี้ดีอยู่แล้วจึงไม่มีใครเปิดประตูห้องนอนเขวี้ยงรองเท้ามาอุดปากให้เจ้าตัวหุบปาก
“หากเจ้ายังไม่หยุดข้าจะตัดลิ้นเจ้าเสียเดี๋ยวนี้” ฟาโรห์หนุ่มตรัสเสียงเขียว สีพระพักตร์ยุ่งยากหงุดหงิดเป็นอย่างมาก
“ไม่เอาน่า ถ้าเจ้าตัดลิ้นข้าแล้วข้าจะเอาลิ้นที่ไหนไปหัวเราะสะใจแบบนี้ได้ล่ะ” ฮันจ์กล่าวตอบกลั้วหัวเราะพลางเช็ดน้ำตาออกจากหางตา เขาไม่ได้หัวเราะหนักขนาดนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ
“นี่ไม่ใช่เรื่องตลก” ฟาโรห์หนุ่มหรี่พระเนตรทอดมองมหานักบวชอย่างเอาเรื่อง
“อา....ใช่ๆ ไม่ตลกๆ เพราะนี่มันเป็นปัญหาของแผ่นดินเลยทีเดียว” ฮันจ์ตีหน้าขรึมเอ่ยตอบก่อนจะหลุดหัวเราะก๊ากออกมาอีกรอบ ก็แล้วจะไม่ให้เขาหัวเราะได้อย่างไรในเมื่อจู่ๆฟาโรห์จ้าวแห่งนักรักกลับมาเคาะประตูห้องเขากลางดึกเพื่อที่จะมาปรึกษาว่าเหตุใดนกเขาจึงไม่ขัน
“พอออกจากเนเฟอตารี ข้าก็ไปหามีเรียน่า แอริฟา แม้แต่เพทร่า ก็ได้ผลไม่ต่างกัน”
“สุดท้ายเจ้าก็เลยมาหาข้า....ไม่เอาน่ารีไวขนาดเจ้าไปหาบรรดาเมียๆทั้งหลายของเจ้ามาแล้วมันยังไม่ได้ผล แล้วเจ้าคิดว่ามาหานักบวชอย่างข้าแล้วมันจะขันขึ้นมาได้รึอย่างไร”
“เพราะอย่างนี้ข้าถึงได้มาปรึกษากับเจ้าว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับข้ากันแน่อย่างไรเล่า”
“บางทีร่างอวตารแห่งราอาจจะกำลังลงโทษเจ้าอยู่ก็เป็นได้ นี่ก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือถือเป็นการควบคุมประชากรไปในตัว” ฮันจ์เอ่ยกลั้วหัวเราะในขณะที่ฟาโรห์รีไวถลึงพระเนตรใส่
“แหมๆ อย่าเพิ่งโกรธน่า ของแบบนี้ใช่ว่าอยากให้มันตั้งมันก็จะตั้งได้เองทุกเมื่อเสียเมื่อไหร่ มันอยู่ที่สภาพจิตใจด้วยมิใช่หรือ เจ้าลองคิดทบทวนดูให้ดีๆว่าเจ้ากำลังกังวลกับสิ่งใด มีอะไรรบกวนจิตใจเจ้าอยู่หรือไม่”
เมื่อหวนคิดย้อนไป ณ ช่วงเวลานั้นพระองค์กำลังครุ่นคิดหมกมุ่นอยู่กับเรื่องของเด็กหนุ่มผู้นั้นอยู่จริงๆ ไม่ได้รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่ากำลังถูกปลุกเร้าอยู่
“บางที ข้าคงถูกเจ้าเด็กนั่นลงโทษจริงๆ” ฟาโรห์รีไวเอ่ยตอบพลางถอนหายใจยาว
“ข้า......เอาแต่ใจ ชอบสั่ง และขี้เก๊กอย่างที่เจ้าเด็กนั่นพูดจริงเหรอ”
“ไม่ผิดสักคำ” ฮันจ์พยักหน้ารับ ฟาโรห์รีไวยิ่งออกอาการฮึดฮัด
“แต่เจ้าเด็กนั่นก็อวดดี ดื้อรั้น พูดไม่รู้ฟังเหมือนกัน”
“ที่พูดมาก็ใช่ สิ่งเหล่านี้คือข้อเสียของพวกเจ้าทั้งคู่ แล้วข้อดีล่ะ เจ้าคิดว่าเอเลนดีอย่างไร” ฟาโรห์หนุ่มนิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะตรัสตอบ
“ฉลาด เข้มแข็ง รู้จักปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ มองโลกในแบบที่ควรจะเป็น อ่อนโยน............สวย”
“อาฮะ สวยก็นับเป็นข้อดีข้อหนึ่ง หมดแค่นี้ใช่มั้ย.....” ขณะที่ฟาโรห์รีไวกำลังจะตรัสตอบฮันจ์ก็ยกมือขึ้นห้าม
“เอาล่ะๆ ข้ารู้ว่าเขามีดีกว่านั้นเจ้าไม่ต้องบรรยาย” เมื่อพูดจบฮันจ์จึงหยิบกระดาษเปล่าขึ้นมาแผ่นหนึ่ง จุดน้ำหมึกลงไปหนึ่งหยด
“บอกข้าสิรีไว เจ้าเห็นอะไร”
“จุดดำ” ฟาโรห์หนุ่มตรัสตอบเสียงเรียบ จะเป็นอะไรไปได้ล่ะก็ในเมื่อเห็นๆกันอยู่
“เจ้าเห็นแค่นี้เหรอ ไม่เห็นอย่างอื่นอีกหรืออย่างไร” ฟาโรห์เพ่งพิจกระดาษแผ่นนั้นอีกครั้งแล้วจึงตรัสตอบ
“กระดาษ?”
“ใช่ เจ้ามาถูกทางแล้ว ยังมีกระดาษอีกด้วย แล้วทำไมเจ้าถึงได้ตอบว่าเจ้ามองเห็นจุดดำไม่ตอบว่าเห็นกระดาษล่ะ”
“ก็เพราะมันสะดุดตาข้ามากที่สุดน่ะสิ”
ฮันจ์ยิ้มรับคำตอบนั้นก่อนจะค่อยๆเผยรอยยิ้มออกมา
“เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าข้าจะบอกอะไร” เมื่อเห็นสีพระพักตร์ฉงนของอีกฝ่าย นักบวชหนุ่มจึงกล่าวต่อ
“เพราะมนุษย์เราเลือกที่จะจับผิดข้อเสียของคนก่อนที่จะมองข้อดีน่ะสิ ทั้งๆที่ข้อเสียมันเป็นจุดเล็กๆเพียงแค่นี้ ส่วนกระดาษที่เหลือทั้งหมดนี้คือข้อดีมนุษย์ก็เลือกที่จะมองข้ามกระดาษแผ่นนี้ไปมองเห็นจุดดำก่อนเป็นอันดับแรก คนเราทุกคนล้วนมีข้อดีและข้อเสียอยู่ในตัว หากจะมัวแต่ตั้งแง่ใส่กันไม่รู้จักมองในข้อดียอมรับในข้อเสียของอีกฝ่ายเจ้าคิดว่ามนุษย์เราจะอยู่ร่วมกันได้หรือ และที่สำคัญเมื่อเจ้ามองเห็นข้อเสียของคนอื่นแต่ไม่รู้จักมองเห็นข้อเสียของตนเองและแก้ไขมันเจ้าคิดว่ามนุษย์จะปรับตัวเข้าหากันได้อย่างนั้นหรือ ความเข้าใจซึ่งกันและกันเป็นหลักสำคัญในการปรองดอง เรียนรู้ที่จะมองข้อดีของผู้อื่น ยอมรับในข้อเสียของเขา แก้ไขจุดบกพร่องของตนและรอมชอมให้กันและกัน นี่เป็นหลักสำคัญในการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์ หากเจ้าจะมัวแต่ตั้งแง่ว่าเขาผิดเจ้าไม่ผิดก็เลิกคิดเรื่องที่จะคืนดีกันได้เลย เพราะถ้าหากมองในมุมของข้าที่เป็นคนนอกแล้วบอกเลยว่าพวกเจ้าสองคนผิดทั้งคู่ เพราะฉะนั้นก็จงไปคุยปรับความเข้าใจกันซะเรื่องขี้หมาขี้แมวพวกนี้ก็ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ไปได้ พวกเจ้านี่มันยังไงกันทะเลาะกันสองคนแล้วทำไมต้องเดือดร้อนข้าด้วยนะ” ฮันจ์บ่นกระปอดกระแปดเดินเข้าห้องนอนอย่างไม่สนใจ
“เจ้าว่าอย่างไรนะฮันจ์ เขาทำให้เจ้าเดือดร้อน......เด็กนั่นมาหาเจ้าหรือ”
“ใช่ มาถึงแล้วก็เอาแต่บ่นๆใส่ข้าไม่หยุด เรื่องที่บ่นมาก็มีแต่เรื่องเกี่ยวกับเจ้าทั้งนั้น ข้าก็พูดกับเขาอย่างที่พูดให้เจ้าฟังนี่แหละ จะคิดได้หรือไม่ข้าก็ไม่รู้หรอกนะ ที่เหลือพวกเจ้าก็ไปจัดการกันเองก็แล้วกัน”
“แล้วเขาอยู่ที่ไหน” ฟาโรห์หนุ่มตะโกนถามไล่หลังคนที่เดินเข้าห้องนอนไป ฮันจ์ตะโกนตอบกลับมา
“แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ เขาเป็นร่างอวตารแห่งเทพราเจ้าคิดว่าเขาจะไปอยู่ที่ไหนได้”


“ท่านต้องการอะไรจากผมกันแน่” เอเลนเงยหน้าจ้องมองรูปปั้นบูชาเทพราขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางวิหารศักดิ์สิทธิ์รำพึงเสียงแผ่ว
“ลากผมย้อนอดีตมาที่นี่ ผจญภัยศึกสงครามแล้วยังต้องมาต่อกรกับฟาโรห์หื่นกามบ้าอำนาจคนนั้น ท่านต้องการอะไรกัน”
เอเลนไม่นึกกลัวสักนิดที่จะต้องไปผจญศึกสงครามเพราะถึงอย่างไรเสียในประวัติศาสตร์ก็มีบันทึกไว้อยู่แล้วเขาย่อมรู้ดีว่าเรื่องจะเป็นไปในทิศทางไหน แต่ที่เขาหนักใจคือการที่ต้องมารับมือกับฟาโรห์จอมพลังหื่นกามบ้าอำนาจนี่สิจะต้องทำอย่างไร เพราะในหนังสือฉบับไหนก็ไม่มีเขียนบันทึกไว้เสียด้วย ร่างบางถอนหายใจยาวเหยียด
อย่างที่ฮันจ์พูดไว้ก็ไม่ผิดเรื่องที่ทะเลาะกันก่อนหน้านี้ช่างไร้สาระสิ้นดี จริงอยู่ที่ฟาโรห์นั่นชอบบงการเอาแต่ใจ แต่ตัวเขาเองก็ผิดเช่นกันก็ด้วยไอ้นิสัยดื้อรั้นไม่ยอมฟังใครที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดนี้แบบนี้นี่แหละ สรุปต่างคนต่างก็ผิดด้วยกันทั้งคู่ดูท่าอุปสรรคสำคัญที่ขวางกั้นระหว่างพวกเขาทั้งสองคนก็คือสิ่งที่เรียกว่าทิฐินี่แหละ หากต่างฝ่ายต่างวางมันลงได้คงคุยกันได้เข้าใจกว่านี้
“ต้องขอโทษสินะ........” ร่างบางรำพึงเสียงแผ่ว ด้วยนิสัยส่วนตัวของผู้ชายคนนั้นไม่มีทางเอ่ยขอโทษออกมาก่อนแน่ๆ แต่จะให้ทนอยู่กับความรู้สึกกดดันอัดอั้นต่างฝ่ายต่างหลบหน้ากันอยู่แบบนั้นก็คงไม่ไหว ถึงจะรู้สึกเสียหน้านิดหน่อยแต่ก็ไม่เป็นไร ดีกว่ามองหน้ากันไม่ติดเลย
เมื่อตัดสินใจได้จึงหันกายหมุนตัวจะออกจากวิหารแต่กลับพบว่าที่ประตูทางเข้ามีเงาร่างใหญ่ของชายคนหนึ่งขวางทางออกอยู่ เมื่อเจอกันโดยไม่ทันตั้งตัวต่างฝ่ายต่างรู้สึกเคอะเขินไม่น้อย ในขณะที่เอเลนกำลังตัดสินใจว่าจะหนีดีหรือไม่เงาร่างนั้นก็เป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาเสียก่อน เอเลนมองสบสายตากับชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ซึ่งเดินมาหยุดตรงหน้า แสงจันทร์ที่ส่องลอดผ่านบานหน้าต่างตกกระทบลงบนเสี้ยวหน้าเผยสีพระพักตร์จริงจังเด็ดเดี่ยวของฟาโรห์หนุ่มให้ได้เห็น เมื่อประจันหน้ากันทั้งสองต่างมองสบตากันนิ่งนานความเงียบที่ชวนให้อึดอัดโรยตัวล้อมรอบพวกเขาทั้งคู่เอาไว้ แม้จะพยายามหลบสายตาหลายครั้งแต่เอเลนก็รู้สึกได้ว่าฟาโรห์หนุ่มนั้นได้ทอดสายตามองจ้องตนอยู่ตลอด
ยิ่งได้มายืนอยู่ตรงหน้าแบบนี้ฟาโรห์รีไวก็ยิ่งรู้สึกได้ว่าช่างเป็นเรื่องยากเย็นเหลือเกินที่จะเอ่ยถ้อยคำขอโทษออกไป พระองค์ผิดพระองค์ยอมรับแต่เอเลนเองก็ผิดเช่นกัน แต่หากระหว่างพวกเขาทั้งสองไม่มีใครเอ่ยคำขอโทษออกไปสงครามเย็นนี้ก็จะดำเนินต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่และใจกว้างพอพระองค์จึงจะยินยอมอ่อนข้อให้ในแบบที่ไม่เคยยอมให้ผู้ใดมาก่อน
“ขอโทษ”
แต่กลับคาดไม่ถึงว่าเมื่อพระองค์ได้ตรัสเอ่ยออกไปแล้วอีกฝ่ายก็ได้กล่าวขอโทษออกมาในเวลาเดียวกัน
เมื่อต่างฝ่ายต่างได้พูดออกไปแล้วก็รู้สึกราวกับว่าหินก้อนยักษ์ที่ถ่วงอยู่ในอกได้ถูกตัดขาดออกไป บรรยากาศกดดันค่อยๆจางหายต่างฝ่ายต่างเก้อเขินราวกับทำอะไรไม่ถูก เอเลนเสมองแท่นบูชาข้างกายกัดริมฝีปากแน่นไม่ยอมสบสายตาในขณะที่ฟาโรห์หนุ่มเองก็ยกพระหัตถ์ลูบพระศอแก้เก้อท่าทางดูประหม่าไม่น้อย แม้แต่พระองค์เองยังรู้สึกแปลกพระทัยว่าเหตุใดจึงรู้สึกเคอะเขินได้ถึงเพียงนี้
ไม่ใช่การสารภาพรักเสียหน่อย.......
แต่สำหรับพระองค์แล้วนั้นการจะบอกรักใครสักคนนั้นย่อมทำได้ง่ายกว่ากล่าวขอโทษ เพราะด้วยฐานะของพระองค์หากจะตรัสขอโทษใครสักคนขึ้นมานั้นก็ต้องเป็นเพราะว่าเห็นคุณค่าและความสำคัญของคนผู้นั้นอย่างถึงที่สุดแล้ว เป็นบุคคลสำคัญที่ไม่อาจหักหาญน้ำใจและไม่อาจทำให้เสียใจได้
และคนผู้นั้นก็คือเด็กหนุ่มร่างอวตารผู้นี้............... บุคคลแรกและบุคคลเดียวที่ได้รับคำขอโทษจากพระองค์
“ช้าก่อน เจ้าอย่าเพิ่งพูดอะไรทั้งนั้น ข้ารู้แล้วว่าข้าผิด ข้าเอาแต่ใจจอมบงการขี้เก๊กข้ายอมรับว่าที่เจ้ากล่าวมานั้นจริงทุกประการ หากการกระทำของข้าทำให้เจ้าไม่พอใจข้าก็ขอโทษ แต่เจ้าเองก็ผิดเช่นกัน......”
“โอเค ยอมรับผิดแล้วที่ท่านว่ามาก็ถูกทั้งหมดนั่นแหละ ข้าก็ต้องขอโทษท่านเช่นกัน” เอเลนกล่าวตอบ
“ด้วยฐานะของข้าไม่เคยมีผู้ใดต่อต้านหรือแข็งข้อ เจ้าถือเป็นคนแรกที่กล้าทำแบบนี้”
“ในโลกของข้าเอง ทุกคนที่เกิดมาล้วนมีสิทธิ์มีเสียงเป็นของตนเอง เป็นจ้าวชีวิตของตนเอง ท่านก็ต้องเข้าใจว่าข้ายังต้องการเวลาในการปรับตัวกับการอยู่ที่นี่” เมื่อเอเลนกล่าวจบฟาโรห์รีไวจึงพยักพระพักตร์เป็นเชิงว่าเข้าใจ
“ถ้าเช่นนั้นเราพบกันครึ่งทางดีกว่า”
“อย่างไร”
“ต่อไปไม่ว่าฝ่าบาทประสงค์สิ่งใดจากกระหม่อมต้องถามความเห็นของกระหม่อมเสียก่อน ถ้าอยู่ในขอบเขตที่รับได้กระหม่อมจะไม่ขัด แต่หากกระหม่อมไม่เห็นชอบพระองค์จะต้องไม่บังคับและล้มเลิกรับสั่งนั้นไปในทันที” ฟาโรห์รีไวแสดงสีพระพักตร์ยุ่งยากออกมาอย่างชัดเจนแต่ก็ยังมิได้ขัดอะไร พระองค์รู้ดีว่าวิธีรับมือกับเด็กหนุ่มร่างอวตารที่ดีที่สุดคือต้องใจเย็น
“แล้วเจ้าล่ะ.....ครึ่งทางของเจ้าคืออย่างไร”
“หากพระองค์ไม่ทรงบังคับฝืนใจ กระหม่อมก็ขอรับรองได้ว่าจะไม่ดื้อรั้นกระด้างกระเดื่องใดๆต่อพระองค์อีก แต่หากพระองค์ไม่รักษาสัญญาก็อย่าได้หวังว่าจะได้อยู่อย่างสงบ กระหม่อมจะป่วนธีบส์จนถึงที่สุด” เอเลนเอ่ยด้วยรอยยิ้มร้าย ฟาโรห์หนุ่มตริตรองข้อตกลงนี้ แน่นอนว่าพระองค์เป็นฝ่ายเสียเปรียบแต่หากทำให้อีกฝ่ายยอมอ่อนข้อถึงขนาดที่อยู่ในโอวาทได้ก็เป็นเรื่องดีมิใช่หรือ
“ได้” พระองค์จึงตกปากรับคำโดยไม่ต้องดำริซ้ำสอง
“ก็ดี” เอเลนเอ่ยตอบอย่างโล่งใจพร้อมยิ้มให้ทั้งนัยน์ตา เมื่อทอดพระเนตรเห็นรอยยิ้มนั้นแล้วพระองค์ก็รู้สึกว่าข้อตกลงนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายนักหากมันจะทำให้เด็กหนุ่มผู้นี้แย้มสรวลเช่นนี้ให้กับพระองค์ได้มันย่อมคุ้มค่า
“ดีแล้วจริงๆ” เอเลนพึมพำขณะหันหลังกลับไปหลับตากล่าวคำอธิษฐานต่อองค์เทพราเงียบๆ
แสงจันทร์สีเหลืองนวลทอดผ่านบานหน้าต่างตกกระทบลงบนลำคองามระหง ท้ายทอยที่ระด้วยไรผมสั้นๆที่โผล่พ้นเสื้อผ้าเนื้อบางแลดูดึงดูดใจเป็นพิเศษ พระองค์สัมผัสได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“ที่แท้เป็นเจ้าจริงๆสินะที่กลั้นแกล้งข้า” ร่างใหญ่ก้าวเข้าประชิดโอบรัดร่างบางไว้แนบอกกระซิบเสียงพร่า
“กลั่นแกล้งอะไร”เอเลนงงเป็นไก่ตาแตก
“ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะทำอย่างไรข้าก็ไม่รู้สึกตื่นตัวแม้แต่น้อย แต่ทันทีที่ได้เอ่ยขอโทษเจ้าออกไปข้าก็เริ่มรู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันที” เมื่อตรัสจบก็ฝังคมเขี้ยวขบกัดลงบนท้ายทอยขาวเนียนของเด็กหนุ่มเต็มแรง เอเลนสะดุ้งด้วยความเจ็บ แต่นอกเหนือจากความเจ็บนั้นกลับเป็นความรู้สึกตกใจและปวดมวนช่องท้องราวกับมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านจากจุดที่โดนขบกัดแผ่ซ่านออกไปทั่วร่างเสียมากกว่า
บางสิ่งที่แข็งขืนดึงดันบดเบียดกับสะโพกของเด็กหนุ่ม เอเลนยิ่งสะดุ้งเกร็งตัวหนักกว่าเดิม เมื่อครู่เหมือนอีกฝ่ายจะบอกว่าตัวเขาเป็นสาเหตุที่ทำให้นกเขาไม่ขันแล้วไอ้สิ่งที่แข็งขันดุนดันสะโพกเขาอยู่ตอนนี้มันคือสากกะเบือหรือไงกัน เมื่อพยายามจะละตัวออกกลับกลายเป็นว่าถูกมือใหญ่พลิกจับให้หันหน้ามาสบตาเสียอย่างนั้น
“เป็นเพราะเจ้า” ฟาโรห์หนุ่มตรัสเสียงกระเส่าพร่า สีหน้าท่าทางแลดูทรมานเหลือแสน
ไม่ใช่ความผิดของผมเสียหน่อย!!! ..........เอเลนได้แต่ตะโกนตัดพ้อในใจไม่กล้าเอ่ยออกไปเพราะความตกใจ
“เจ้าต้องรับผิดชอบ” มือใหญ่กดมือเรียวของเด็กหนุ่มลงไปบนหว่างขาของตนให้สัมผัสส่วนที่แข็งขืนอยู่ใต้ร่มผ้านั้น แค่สัมผัสเบาๆฟาโรห์หนุ่มก็ถึงกับหลุดเสียงครางกระเส่า ร่างใหญ่โน้มกายซบหน้าลงบนซอกคอหอมกรุ่นของเด็กหนุ่มกระซิบเสียงพร่า
“ช่วยข้า......ทำให้ข้าที” แม้อยากจะหนีแต่ตัวกลับถูกจับล็อคไว้แน่น ดูท่าว่าหากเขาไม่ทำให้ไอ้ฟาโรห์หื่นกามนี่เสร็จสมอารมณ์หมายอีกฝ่ายคงไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆสินะ
“ได้โปรดเอเลน ทำให้ข้า” เสียงทุ้มเอ่ยกระซิบอย่างเว้าวอน เอเลนได้แต่หลับตาแน่นไม่กล้าก้มลงมองสิ่งของร้อนระอุที่ตนถูกบังคับให้กำไว้อยู่
“เอเลน........” เมื่อถูกลมหายใจอุ่นร้อนรินรดลงข้างใบหู ถูกเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงเว้าวอนร้องขอเพียงนั้นเอเลนก็ถึงกับสะท้านไปทั้งตัวก่อนจะตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว
เอาวะ!!! ทำให้ตัวเองก็เคยทำมาแล้ว ทำให้คนอื่นก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก.......
ร่างบางจึงตัดสินใจรูดรั้งวัตถุอันตรายร้อนฉ่าในมืออย่างเก้อเขิน ในทีแรกก็หลับตาปี๋แต่เมื่อรู้สึกถึงลมหายใจหอบหนักที่ข้างใบหูและน้ำเสียงหอบกระเส่าของอีกคนก็ทำให้เอเลนอดลืมตาขึ้นมองไม่ได้ แล้วเอเลนก็ต้องตกใจ
ไม่เคยเห็นสีพระพักตร์แบบนี้ของพระองค์มาก่อน....... จะว่าไปชั่วชีวิตนี้ก็อาจจะมีครั้งนี้ครั้งเดียวที่ได้เห็นสีหน้าเซ็กซี่ที่ชวนตะลึงของคนหน้านิ่งคนนี้ก็เป็นได้ เอเลนรูดรั้งมือเร็วและแรงขึ้นอยากจะรู้ว่าเมื่อไปถึงฝั่งฝันอีกฝ่ายจะแสดงสีหน้าชวนละอายได้ไปถึงขั้นไหน
ฟาโรห์หนุ่มตวัดแขนกอดร่างบางแน่นฝังหน้าลงกับไหล่บางราวกับต้องการจะหลอมหลวมเอเลนเข้าสู่อ้อมกอดของพระองค์ ยิ่งได้สัมผัสรสมืออุ่นๆกับกลิ่นกายละมุนของคนในอ้อมกอดแล้วยิ่งทำให้สติพระองค์เตลิดเปิดเปิงไปไกล แม้ใกล้จะถึงฝั่งฝันแต่พระองค์รู้ดีว่าแค่มือข้างนี้มันยังไม่เพียงพอ พระองค์ต้องการมากกว่านี้ ต้องการครอบครองเด็กหนุ่มมากกว่านี้ แต่ด้วยสถานะพิเศษที่พระองค์ทรงมอบให้ว่าเด็กหนุ่มร่างอวตารผู้นี้เป็นบุคคลที่ไม่อาจหักหาญน้ำใจและไม่อาจทำให้เสียใจจึงไม่อาจกระทำการสิ่งใดมากกว่านี้ได้
หยาดน้ำสีขาวขุ่นไหลปริ่มออกมาจากส่วนปลายก่อนจะพุ่งกระจายจนเลอะเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าของคนทั้งสอง บางส่วนกระเด็นขึ้นไปติดบนแก้มของเอเลนด้วยแต่เนื่องจากว่ามือเพิ่งไปจับนั่น......ของอีกคนมาเอเลนจึงไม่กล้าเช็ดออก ในตอนนั้นเองมือใหญ่เช็ดปาดคราบน้ำคาวออกจากแก้มให้พร้อมกับจุมพิตหนักๆลงไปบนแก้มเนียนอีกที ฟาโรห์รีไวหอบหายใจสะท้านซบหน้าผากทอดพระเนตรสบตากับเอเลนเงียบๆ ต่างฝ่ายต่างไร้ซึ่งคำพูด ก่อนที่เจ้าตัวจะเอื้อมมือไปโอบรั้งร่างบางของเด็กหนุ่มเข้าสู่อ้อมกอด เอเลนได้แต่ซบหน้าลงกับอกแกร่งอย่างจนด้วยคำพูดก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปเจอรูปสลักสักการะของเทพเจ้าแห่งรา จู่ๆเอเลนก็รู้สึกว่าดวงตาสุริยะเทพกำลังทอดมองลงมายังพวกเขาด้วยความขบขัน ร่างบางได้แต่ภาวนาในใจ


ได้โปรดอภัยให้กับความผิดพลาดครั้งนี้ของผมด้วยเถิด

7 ความคิดเห็น:

  1. ตาแก่เจ้าเล่ห์มาทำอะไรในวิหารศักดิ์สิทธิ์ฟร่ะ!!!! แล้วไอนกไม่ขันนั่นเพราะพี่แก่แล้วมากกว่าอย่ามาโบ๊ยย อย่ามาทำเสียงดนะเส่าเซ็กซี่มโนว่าตัวเองเป็นนักร้องบอยแบรนด์นะเฟร้ยยยยยย.....//สติคนแต่งพาทเอเลนกำลังกระเจิง

    ตอบลบ
  2. จะสิ้นลายก็วันนี้้ 555+
    "เป็นเพราะเจ้า" คงจะทนได้อีกไม่นานฟาโรห์เอ๋ยยยย!!!!

    ขอบคุณฮ้าาาาา

    ตอบลบ
  3. มันมาทำอะไรกันในวิหารศักดิ์สิทธิ์วะ อยากเป็นรูปปั้นในวิหารจุงเบยยยยยยยยยย

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. +1 ข้าเห็นด้วยกับท่านเป็นอย่างยิ่ง//เอามือกุมจมูกเพื่อไม่ให้เลือดไหลเพิ่ม

      ลบ
  4. โอ๊ยยย มาทำอะไรในวิหารศักสิทธิ์คะ!!! แถมยังต่อหน้าต่อตารูปปั้นสักการะอีก!!! 55555555555+
    ตลกตรงนกเขาไม่ขันนี่ล่ะ ถถถถถ แถมยังฝันนั่นอีก เป็นเอามาก ต่อไปเอเลนคงรอดยากน่าดู 55555

    ตอบลบ
  5. คือออ จะทนได้อีกสักกี่ Chap คะท่านฟาโรห์
    โหยย นี่อ่านไปกลั้นหายใจไป รู้สึกเว็กซี่ตามอ้ะ
    แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยย

    ตอบลบ
  6. ขำปัญหาระดับชาติของพี่เขานะคะ น้องมีอิทธิพลกับร่างกายขนาดนั้นเลยนะ

    ตอบลบ