วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์ Chapter 16:

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์
Pairing: (LevixEren)
Rate: NC-17
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
Story By: AkeRah , Trendy Blood
……………………………………………………………………………
Chapter 16

 
          เสียงหัวเราะของหญิงสาวมากมายดังผ่านสายลมเช่นเดียวกับกลิ่นหอมรัญจวนของมวลบุปผาท่ามกลางสวนดอกไม้ในปราสาทหินที่องอาจ มาร์โกค่อยๆเดินไล่ตามเสียงสรวลเฮฮาที่ดังลอดมาจนเสียงนั่นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ถึงได้พบกับบุคคลที่กำลังตามหา รัชทยาทแห่งดินแดนฮิตไทต์อาณาจักรอันรุ่งโรจน์แห่งตะวันออก
                แจนพักผ่อนหย่อนอารมณ์บนตักนุ่มของสตรีนางหนึ่งท่ามกลางลานหินที่รายล้อมไปด้วยดอกไม้นานาชนิด เหล่าสตรีมากหน้าหลายตาต่างรายล้อมเจ้าชายหนุ่มรูปงาม ทั้งหัวเราะต่อกระซิก บ้างก็ขับขานทำนองเพลงขับกล่อม
                “ทูลกระหม่อม ท่านให้ข้าไปส่งข่าวที่แดนไกล แต่ตัวท่านกลับผ่อนคลายสบายอารมณ์เยี่ยงนี้เห็นจะเป็นการเอาเปรียบไปหน่อยกระมังมาร์โกถอนหายใจก่อนจะมองด้วยสายตาขุ่นเคืองนิดๆ
                “ข้าเห็นว่าสุขภาพของเจ้าไม่สู้ดีนัก การได้ออกเหงื่อเสียบ้างอาจช่วยให้เจ้ารู้สึกดีขึ้นผู้เป็นนายหยอกพลางกลั้วหัวเราะ
                เจ้าชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งก่อนจะยกมือไล่เหล่าสาวสวยหลายนางที่รายล้อมให้กลับไป เมื่อเห็นว่าทั่วทั้งสวนกว้างไร้วี่แววผู้คน แจนจึงพยักหน้าให้องครักษ์คนสนิทรายงาน
                “ดูเหมือนร่างอวตารแห่งอียิปต์ได้กลับมาแล้วเมื่อไม่กี่วันมานี้
                คำรายงานที่ได้ฟังทำให้แจนถึงขั้นฉีกยิ้มกว้างด้วยแววตาเป็นประกายราวกับเด็กหนุ่มที่ได้ของชิ้นโปรดที่เฝ้ารอมานาน
                “และพระอนุชาขององค์ฟาโรห์ที่หายสาบสูญไปเมื่อหลายปีก่อนก็ได้กลับมาแล้วเช่นกัน
                คำกล่าวรายงานต่อมาทำให้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอยุ่นั่นถมึงทึงขึ้นมาทันที
                “เจ้าหมายถึงมิคาสะ อนุชาของฟาโรห์รีไวที่หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อสามปีก่อนน่ะรึ?” ถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
                นัยน์ตาสีนิลสบพระพักต์อีกฝ่ายก่อนจะพยักหน้ารับอย่างจริงจังว่าที่กล่าวไปนั่นเป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้อย่างแน่แท้
                “ดูเหมือนข้าอาจต้องไตร่ตรองการณ์ให้ดีอีกครั้ง...... ตอนนี้เทพคงอวยชัยแด่ไนล์ แต่ข้ามั่นใจว่าอีกไม่นานคงมีเทพที่อวยชัยแด่ฮิตไทต์ของเราเช่นกัน
                แววตาของเจ้าชายหนุ่มทอประกายไปด้วยความหวังและมุ่งมั่น ทำให้มาร์โกรู้สึกอุ่นใจมากขึ้น ด้วยรู้ดีว่าเจ้าชายแจนแม้จะชอบแสดงทีท่าไม่เอาไหนแต่แท้จริงแล้วกลับซ่อนคมเขี้ยวต่างๆไว้มากมาย
                “จริงสิกระหม่อมเกือบลืม...ท่านแม่ทัพและเหล่าไพร่พลที่ส่งไปยังทิศใต้กลับมาแล้วนะพะย่ะค่ะ
                “โทมัสกลับมาแล้วงั้นรึ!! อีกไม่นานเทพีฮัตตูซาแห่งชัยชนะคงอวยชัยเราเจ้าชายแจนยิ้มกว้างก่อนจะรีบวิ่งนำหน้าไปยังท้องพระโรงที่คาดว่าแม่ทัพโทมัสน่าจะกำลังทูลรายงานเสด็จพ่อของตน

                ทันทีที่ถึงท้องพระโรงชายหนุ่มผมสีเข้มรูปร่างล่ำสันก็เดินสวนออกมาทันที เพียงแค่มองแวบเดียวแจนก็รู้ทันทีว่าเป็นบุคคลที่ตามหา เจ้าชายหนุ่มรีบเร่งฝีเท้าและดูเหมือนอีกฝ่ายเห็นการมาของเขาเช่นกัน ร่างที่กำลังเดินออกจากท้องพระโรงจึงหยุดยืนรอ สองขาที่ก้าวอย่างรวดเร็วเมื่อใกล้ถึงจากขาที่ก้าวพลันเปลี่ยนเป็นกระโดดเข้าหา พร้อมทั้งสองแขนที่โอบไหล่อย่างสนิทสนม
                “โทมัสท่านกลับมาเร็วกว่าที่ข้าคาดไว้เสียอีกเจ้าชายหนุ่มตะโกนเสียงดังด้วยความดีใจ
                “ข้าเกรงว่าถ้าข้าหายไปนาน จะมีคนที่โดดเรียนและมัวแต่ไปเที่ยวเล่นให้เหล่าเสนาบดีได้ทรงเวียนเศียรชายหนุ่มหยอกเหย้าก่อนจะโค้งศรีษะทำความเคารพเจ้าชายหนุ่มทันทีที่สองแขนที่โอบรอบนั้นผละออก
                “ข้าไม่ใช่เด็กแล้วเสียหน่อย รู้น่าว่าอะไรควรหรือไม่ควรแจนเบ้ปากเถียงคนรู้ทัน ก็จริงที่เขาชอบหนีไปเที่ยวเล่นโดยเฉพาะเที่ยวต่างเมือง แต่เรื่องการเรียนเขาก็ไม่เคยทิ้ง อย่างน้อยเขาก็ถือเป็นศิษย์ที่น่าภาคภูมิของเหล่าอาจารย์
                “ข้ารู้ดีองค์ชาย ท่านจะเป็นกษัติร์ยผู้ยิ่งยงเช่นเดียวกับพระบิดาของท่านแม้รู้ดีว่าองค์ชายที่เขาพร่ำสอนมาแต่น้อยจะชอบเที่ยวเล่น แต่แท้จริงแล้วมักคิดวางแผนเรื่องต่างๆภายใต้ท่าทางที่ดูเตร็ดเตร่ไปวันๆ
                “เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ช่วงที่ท่านไม่อยู่หลายเดือนข้ามีสิ่งที่น่าสนใจจะเล่าให้ท่านฟังแจนดึงแขนของคนอายุมากกว่าให้เดินตามมาด้วยกัน
                โทมัสมองหน้าเจ้าชายที่ตอนนี้เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างไม่ปิดบังก่อนจะมองหน้ามาร์โกที่ได้แต่ส่งยิ้มให้เขาอย่างน่าสงสัย ถ้าอยากรู้คงมีแต่ต้องตามองค์ชายเจ้าปัญหาของเขาไปเพื่อเสวนา
                แจนลากโทมัส หนึ่งในสี่แม่ทัพใหญ่แห่งฮิตไทต์เข้ามายังห้องบรรทมส่วนตัว มาร์โกสำรวจประตูทั้งซ้ายและขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผู้ใดในบริเวณนี้ก่อนจะปิดประตูลงให้แน่นหนา เมื่อมาถึงในห้องเจ้าชายหนุ่มกุลีกุจรเคลียโต๊ะหินที่มีแก้วน้ำและของจิปาถะมากมายออกก่อนจะวางแผนที่ขนาดใหญ่ลงที่กลางห้อง
                “นี่องค์ชายคงไม่ได้อยากให้ข้าช่วยแนะวิชาภูมิศาสตร์เพื่อไปตอบคำถามของพระบิดาท่านใช่ไหม?” แม่ทัพแห่งทิศใต้เลิ่กคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ จากคิ้วที่เลิ่กอย่างแปลกใจต้องเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วด้วยความสงสัยกับแผนที่ทางภูมิศาสตร์ที่วางอยู่บนโต๊ะ และมีเครื่องหมายต่างๆมากมาย เขาผู้ซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ย่อมคุ้นเคยกับเครื่องหมายในแผนที่เป็นอย่างดี เพราะล้วนแล้วแต่เป็นสัญลักษณ์ที่ใช้สำหรับวางแผนในการออกศึก
                “นี่คือกลแผนศึกเก่าของท่านพ่อที่เคยร่วมรบกับองค์รามเมสรีไวเมื่อครั้งก่อนเจ้าชายหนุ่มสบกับหน้าเหล่าคนสนิทก่อนจะแย้มยิ้ม
                “แน่นอนเรารู้กันดีว่า ท่านพ่อไม่แพ้ แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าชนะ
                สงครามที่คาเดซระหว่าง พระเจ้าเมอร์ซิลิสที่หนึ่ง และรัชทายาทรีไว ที่บัดนี้คือ ฟาโรห์รีไว รามเมสที่สอง รบกันนานอยู่หลายปีไม่มีผู้ใดแพ้หรือผู้ใดชนะ ทั้งสองจึงทำสัญญาปากเปล่ากลับไปยังดินแดนเพื่อฟื้นฟู อีกทั้งถ้ายังคงดิ้นรนรบกับต่ออาจเกิดความสูญเสียที่ไม่คุ้มค่าต่อทั้งสองฝ่ายมากมายนัก
                “ท่านจะหยิบยกแผนการรบเก่านี้ขึ้นมาทำไมรึองค์ชาย?” โทมัสเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้
                ประกายตาสีเปลือกไม้วาววับราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นภายใน
                “เป็นที่รู้กันดีว่าอนาโตเลียของเรากำลังเป็นที่เกรงขามซึ่งทำให้มหาอำนาจแห่งแม่น้ำไนล์รู้สึกสั่นคลอนได้ แต่ถึงจะเรียกได้ว่าเราทำสัญญาปากเปล่ากันในศึกครั้งก่อน แต่เราต่างก็รู้ดีว่าองค์ฟาโรห์รามเสสที่สอง และพระบิดาของเราต่างก็ระแวงซึ่งกัน อีกทั้งยังหวังครอบครองอณาจักรของอีกฝ่ายอยู่เป็นนิตย์
                แม่ทัพโทมัสมองหน้าเจ้าชายหนุ่มที่ตอนนี้เหมือนกับเห็นหนทางแห่งการนำมาสู้ชัยชนะของราชวงศ์ ใบหน้าสูงวัยเริ่มผุดรอยยิ้มบางบนใบหน้ายิ่งรู้สึกเปรมปรีดิ์กับท่าทีที่เชื่อมั่นในดวงตาขององค์ชายหนุ่ม รัชทยาทแห่งฮิตไทต์
                “ท่านเจอสิ่งใดที่น่าสนใจ หรือมีกลอุบายใดกันองค์ชาย?” ท่าทางที่มาดมั่นนั่นยิ่งทำให้หัวใจของนายพลผู้ผ่านสมรภูมิมามากมายเริ่มเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น
                องค์ชายแจนยื่นมือไปข้างหน้า หน้าต่างที่เปิดอยู่และอาทิตย์ที่กำลังส่องแสงแรงกล้าเปล่งรัศมีขจรไปทั่วอาณาบริเวณ มือใหญ่กางออกก่อนจำกำแน่นราวกับไขว่คว้าแสงอาทิตย์มาไว้ในมือ คำตอบที่ได้ฟังจากปากองค์ชายยิ่งทำให้โทมัสรู้สึกฉงน
                “ข้าจักทำให้สุริยันแห่งอียิปต์ดับลง และเมื่อนั่นเทพีแห่งชัยชนะจักถือกำเนิด


                “ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดพวกเจ้าถึงมาอยู่ที่นี้ด้วย?” นัยน์ตาสีขี้เถ้ามองอย่างขุ่นเคือง เมื่อบัดนี้ในห้องทรงอักษรส่วนพระองค์มีพระอนุชาที่ทำสีหน้าถมึงทึงกับนักบวช หรือควรเรียกว่านักบวชนอกรีต อย่างฮันจ์ อยู่ภายในห้อง
                “ผมเรียกมิคาสะมาเองนั้นแหละ ภาษาเทพที่ท่านบอกอยากเรียนหมอนี่คงพอสอนท่านได้เอเลนตอบหน้าตายกับฟาโรห์หนุ่มที่ทำท่าไม่พอพระทัยอย่างไม่ปิดบัง
                “ส่วนไอนักบวชที่ท่านถามน่ะ ก็แค่ผลพวงที่ตามมาเอเลนมองนักบวชหนุ่มหัวโล้นที่สำรวจข้าวของของเขาอย่างไม่มีการขอ นักบวชที่เคยเกือบจับเขาย่างสด พูดก็พูดเถอะ เขาไม่ค่อยอยากเข้าใกล้ไอหมอนี่เท่าไร พอๆกับไอฟาโรห์ที่ทำท่าเหมือนเด็กเอาแต่ใจที่นั่งอยู่ตรงหน้า
                “ข้าสั่งให้เจ้าสอน ไม่ได้สั่งให้อนุชาข้ามาสอนข้าเสียหน่อยฟาโรห์รีไวส่งสายตาไม่เป็นมิตรกับอนุชาที่นั่งถัดอยู่ข้างกาย
                มิคาสะเหลือบตามองฟาโรห์หนุ่มก่อนจะเค้นยิ้มดูแคลนให้คนเอาแต่ใจ
                เอเลนถอนหายใจอย่างปลงๆ ไอเจ้าฟาโรห์บ้านี่พอไม่ได้ดั่งใจก็จะขู่ฆ่าเขาบ้าง ออกคำสั่งเขาบ้าง หนักสุดก็ทั้งลวนลามและแกล้งเขาเนี่ยแหละ ตกลงนี่มันฟาโรห์ผู้ยิ่งยงแห่งอียิปต์จริงๆหรือหมอนี่ไปขู่ให้พวกสถาปานิกผู้จารึกกำแพง จารึกประวัติศาสตร์ผิดๆกัน?
                “ไม่ได้บอกว่าจะไม่สอน แค่ให้มิคาสะมาช่วย เพราะไงหมอนั่นก็เคยไปเยือนดินแดนเทพน่าจะช่วยได้ อีกอย่างอยู่กันหลายคนก็ปลอดภัยดีนัยน์ตาสีอร่ามมองค้อนไปยังองค์ฟาโรห์หนุ่ม
                ถ้ามีมิคาสะอยู่ด้วยยังอุ่นใจได้ว่าอย่างน้อยถ้าเขาเผลอตบปากรับคำคำขอแปลกๆของไอฟาโรห์บ้านี่อีกจะได้มีคนคอยช่วยเตือนสติเขาบ้าง
                “เออท่านเอเลนมิคาสะยกมือเหมือนกับต้องการจะถามบางอย่าง
                นี่ก็อีกสิ่งหนึ่งที่เขารำคาญและไม่คุ้นเอาเสียเลย
                “มิคาสะฉันบอกนายแล้วไงว่าไม่ต้องเติมท่าน เพื่อนกันเรียกแบบนี้ฉันจั๊กจี้ใบหน้าหวานตีหน้าดุใส่อีกฝ่ายที่ได้แต่ทำตัวเก้ๆกังไม่ถูกกับการหาสรรพนาม
                “ขอโทษด้วย เพียงแต่ข้าจะบอกเจ้าว่าหนังสือพวกนี้ข้าอ่านไม่เข้าใจเลย
                “นายจะไม่เข้าใจได้ไง ตอนสอบนายยังทำได้เลยนี่?” เอเลนถามอย่างแปลกใจ ตอนสอบเข้ามหาลัย Freie (ไฟเออ) ด้วยกันคะแนนของมิคาสะและอาร์มินเรียกไดก้ว่าสูงมาก
                “ข้าจำได้ว่าสามารถอ่านได้อย่างคล่องแคล่วที่ดินแดนเทพ แต่บัดนี้ เข้าใจเพียงแค่บางอักขระเท่านั้นมิคาสะขมวดคิ้วมุ่นพยายามพลิกหนังสือในมือไปมาอย่างแปลกใจ
                เอเลนเกาผมสีน้ำตาลของตนก่อนจะถอนหายใจออกมา เกือบลืมไปว่าเขาที่ไม่ได้เชี่ยวชาญภาษาอียิปต์เท่าไรนักโดยเฉพาะภาษาอียิปต์โบราณ แต่กลับเข้าใจถึงขนาดสนทนาโต้ตอบ และอ่านเขียน ราวกับภาษาเยอรมันบ้านเกิด คงเพราะความผิดแปลกที่เกิดขึ้นเมื่อข้ามมิติเวลา มิคาสะเองก็คงเป็นเช่นเดียวกัน เมื่ออยู่ที่เบอลินประเทศเยอรมันในศตวรรษที 21 ด้วยร่างกายที่แปรเปลี่ยนสภาพคงทำให้เข้าใจถึงภาษาปัจจุบันของพวกเขาได้ถึงขนาดอ่านออก เขียนได้ กระทั่งสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกันได้
                "อย่างน้อยก็ยังพอจำได้ ถ้าพยายามคงใช้ได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนเดิม" เอเลนวางมือบนไหล่หนาของมิคาสะ อีกอย่างมิคาสะหัวดีขนาดที่เรียนรู้เรื่องต่างๆในโลกของเขาจนสอบติดได้นับว่าไม่ธรรมดา ถ้าใช้เวลาไม่นาน
                มิคาสะยิ้มน้อยๆให้กับร่างอวตาร นัยน์ตาสีราตรีที่แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนยากที่จะพบเห็นของเจ้าชายหนุ่มที่ขึ้นชื่อเรื่องการทำศึกสงครามทำให้ฟาโรห์รู้สึกแปลกพระทัยกับสายตาของพระอนุชายามมองไปยังเด็กหนุ่มอวตารแห่งรา สายตานั่นราวกับสะกิดความร้อนรุ่มในอกของมหาราชันย์อย่างแปลกประหลาด
                "ข้ามีเรื่องที่สงสัยมานาน" มิคาสะยกมืออีกครั้งเพื่อตั้งคำถาม


ลังเลมองสมุดคัดลายมือตัวอักษรภาษาเยอรมันสักครู่ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยออกมา
                "ในเมื่อเอเลนเป็นร่างอวตารแห่งรา..."
                คำถามของพระอนุชาที่เกริ่นทำให้องค์ฟาโรห์วางดินสอที่กำลังคัดตัวอักษรในมือลงและหันมาให้ความสนใจกับคำถามของพระอนุชา แต่รอสักพักมิคาสะก็ดูเหมือนยังลังเลที่จะถามต่อ กษัตริย์หนุ่มผู้ไม่ค่อยจะมีความอดทนรอเท่าไรนักจึงเริ่มหงุดหงิด
                "แล้วอย่างไร เจ้ามีข้อกังขาอันใดรึ? หรือเจ้าไม่อยากให้เอเลนเป็นร่างอวตารผู้เป็นเทพของปวงประชาแล้วอยากจักเก็บไว้แต่เพียงผู้เดียวหรืออย่างไร?" คำพูดจาที่เหน็บแนมว่าร้ายออกมาจากปากองค์ฟาโรห์ทำให้ฮันจ์มองมาอย่างแปลกใจ
                ฮันจ์ที่อยู่กับทั้งสองมาตั้งแต่จำความได้มักเห็นทั้งสองมีปากเสียงและหาเรื่องแข่งขันกันอยู่เป็นนิตย์ แต่เขาสาบานได้ว่าองค์รามเมสรีไวไม่เคยจะตีสีหน้าจริงจังเช่นวันนี้ ทุกครั้งจะเป็นการหยอกล้อที่นึกสนุกเสียมากกว่า
            "ฉันไม่ใช่คนของใครทั้งนั้น พวกนายช่วยเข้าใจสักทีได้ไหมว่าชีวิตของฉันก็คือของฉันน่ะ" เอเลนที่อยู่ตรงกลางของทั้งสองมองหน้าทั้งสองคนที่ต่างมองกันตาไม่กระพริบ ไอเจ้าพวกนี้ทะเลาะกันเหมือนเด็กๆแย่งพี่เลี้ยงคนเดียวกันไปได้ ไอฟาโรห์นี่อายุก็ไม่ใช่น้อยๆยังทำตัวเป็นเด็กหวงของอีก
                "แล้วนายมีข้อสงสัยอะไรมิคาสะ?" เอเลนถามย้ำเมื่อเห็นว่ามิคาสะยังคงมีท่าทีลังเล
                เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างรอคำพูดของตน มิคาสะเลยต้องตัดสินใจยอมถามเรื่องที่สงสัยออก
                "ตั้งแต่กลับมาข้าคิดมาสักพักแล้วว่า ในเมื่อเอเลนเป็นร่างอวตารส่วนท่าน..." มิคาสะเหลือบตามองฟาโรห์หนุ่มที่ยังคงส่งสายตาไม่เป็นมิตรมาให้
                "เจ้าจะอ้ำอึ้งอันใด ข้ากับเอเลนมีอะไรที่เจ้าสงสัยงั้นรึ หรือแท้จริงมีอะไรบางอย่างคลางแคลงใจเจ้ากันแน่?"
                ฟาโรห์หนุ่มเริ่มอารมณ์กรุ่นขึ้นอีกครั้ง ยิ่งเห็นท่าทางอ้ำอึ้งของน้องชายยิ่งทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด
                "ข้าแค่สงสัยว่าพวกเราหน่อเนื้อเชื้อไขกษัติร์ยผู้เปรียบดั่งบุตรแห่งรา ถ้าเอเลนเป็นร่างอวตารแห่งราไม่เท่ากับว่าแท้จริงแล้วมีศักดิ์เป็นบิดาของพวกเราไม่ใช่หรือ?
                คำถามของมิคาสะทำให้ทั่วทั้งห้องทรงอักษรเกิดความเงียบสงบ แม้แต่เสียงลมที่ดังพัดผ่านหน้าต่างยังได้ยินแจ่มชัด ท่ามกลางความสงบเสียงหัวเราะหนึ่งก็ดังลั่นอย่างไม่ใจ
                "ฮ่า ฮ่า ฮ่า !! "
                ฮันจ์ระเบิดเสียงหัวเราะจนลงไปกลิ้งอยู่กับพื้น เวลาที่เหมือนถูกหยุดไปชั่วขณะจึงได้ดำเนินขึ้น เอเลนทำหนังสือการฝึกภาษาเยอรมันเบื้องต้นหลุดลงจากมือ ฟาโรห์รีไวถึงกับสีหน้าไร้สีเลือดไปชั่วขณะ เหล่าทหารราชองครักษ์เบลทรูธและไรเนอร์พยายามฝืนกลืนก้อนหัวเราะลงลำคอด้วยเกรงว่าผู้เป็นนายเนื้อหัวอาจทำโทษพวกเขาภายหลัง
                "เป็นเรื่องที่น่าสนใจนัก" ฮันจ์ที่พยายามปาดน้ำตาออกจากหางตาปรบมือชอบใจก่อนจะเดินเข้ามาใกล้โต๊ะทรงงาน
                "จริงอย่างที่ท่านว่า ในเมื่อท่านเอเลนเป็นอวตารแห่งรา ก็ต้องนับว่าฟาโรห์รีไว รามเมส เป็นบุตรของท่าน" ฮันจ์มองหน้าทั้งสองที่บัดนี้สีหน้าทั้งหวาดวิตกและรู้สึกกล้ำกลืนจนต้องหัวเราะออกมาอีกระลอกใหญ่
                "ไม่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ฉันไม่มีวันที่จะรับไอฟาโรห์นรกแตกนั่นเป็นลูกแน่นอน!!!" เอเลนที่เหมือนสติเริ่มหลุดบอกปัดปฏิเสธเป็นพัลวัล
                "ทั้งอยากฆ่าตั้งแต่เจอ ถ้าไม่รับปากก็จะควักลูกตา อีกทั้งยังมักมาก ลวนลามคนอื่น เจ้าชู้หน้าไม่อาย เอาแต่ใจตัวเองเป็นที่สุด ไอคนแบบนี้แค่คิดว่าเป็นเพื่อนก็แทบอยากจะตัดขาดกันแล้ว ถ้าเป็นลูกบอกเลยคงเอาโยนลงเหวตั้งแต่เด็ก!!"
                "ทำเป็นพูดดีไป เจ้าต่างหากที่ส่งสายตาเชื้อเชิญข้า คนอย่างเจ้าไม่มีทางมีบุตรที่องอาจและเก่งกล้าสามารถอย่างข้าได้หรอก เจ้ามันดีแต่โวยวายและบ้าบิ่น" ฟาโรห์รีไวที่นั่งฟังอยู่นานเริ่มโต้กลับ
                "ถือดีแบบนี้ไง คิดว่าเป็นฟาโรห์แล้วจะตัดสินใจใครก็ได้หรือไงเจ้าตาแก่จอมเจ้าเล่ห์ขี้โกง!!"
                "เจ้าต่างหากที่ทั้งถือดี อวดดี พูดไม่รู้ฟัง!"
                "นายมันเป็นพวกเอาแต่ใจชอบสั่ง แล้วยังขี้เก๊ก!"
                "เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังพูดอยู่กับใคร ต่อให้เป็นร่างอวตารถ้าจองหองนักข้าก็ลงโทษเจ้าได้เช่นกัน!"
                "ผมไม่เคยบอกอยากเป็นร่างอวตาร ถ้ารำคาญนักก็เอากุญแจคืนมาและผมจะได้ไม่กลับมาที่นี้อีก!"
                ตึง!!
                กำปั้นของฟาโรห์ทุบลงบนโต๊ะไม้เสียงสนั่น ภายในห้องเงียบสงบอีกครั้งแม้แต่ฮันจ์ยังหยุดนิ่งค้างมองทั้งสอง นัยน์ตาสีขี้เถ้าของฟาโรห์หนุ่มขุ่นเคืองมองเด็กหนุ่มร่างอวตารราวกับอยากกินเลือดกินเนื้อ เอเลนเองก็มองสบสายตาดุดันนั่นด้วยดวงตาดื้อรั้นอย่างไม่เกรงกลัว เขาไม่ผิดเสียหน่อยที่พูดไปทั้งหมดก็เรื่องจริงทั้งนั้น ขณะที่ทั่วทั้งห้องตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดที่คาดว่าอาจต้องมีคนบาดเจ็บหรือตายเกิดขึ้นแน่ๆ องค์ฟาโรห์ก็เป็นฝ่ายเดินออกจากห้องไป องครักษ์ประจำกายทั้งสองเห็นดั่งนั้นจึงรีบเดินตามนายเหนือหัวไปอย่างห่างๆเพราะเกรงว่าถ้าเข้าไปใกล้เช่นทุกทีในเวลานี้คงไม่เป็นอันดีนัก
                เอเลนมองประตูที่ร่างสันทัดของฟาโรห์หนุ่มเดินจากไป อารมณ์คุกรุ่นที่มีเมื่อสักครู่แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกบีบแน่นอยู่ในอก ใบหน้ามนหยิบหนังสือภาษาเยอรมันที่ตกลงบนพื้นขึ้นวางบนโต๊ะก่อนจะโบกมือให้คนอื่นภายในห้องและเดินไปอีกทางกับที่องค์ฟาโรห์เสด็จ การเรียนของวันนี้จึงจบลงอย่างช่วยไม่ได้ มิคาสะหันมองหน้าฮันจ์ที่ได้แต่เกาท้ายทอยตัวเอง
                "ข้าคงไม่ได้พูดอะไรผิดใช่ไหม?"
                ฮันจ์ได้แต่ยักไหล่แล้วถอนหายใจ ด้วยไม่รู้ว่าควรตอบคำถามของมิคาสะเช่นไร เหตุที่ทั้งสองทะเลาะกันที่จริงเรียกได้ว่าเพราะเป็นความดื้อรั้นของทั้งคู่เสียมากกว่า...

                น้ำพุในเขตพระราชฐานเหล่านางกำนัลต่างนำคนโฑตักน้ำในบ่อน้ำพุเพื่อลำเลียงไปยังห้องเครื่องของราชวัง เพราะระบบชลประทานที่ดีทำให้เหล่านางกำนัลไม่ต้องเดินทางไปตักน้ำในแม่น้ำที่อยู่ห่างไกลออกไปในเขตราชฐาน นอกจากนี้ลานน้ำพุกลางเขตพระราชฐานนี้ยังเป็นจุดนัดพบพูดคุยของเหล่านางกำนัลจากส่วนต่างๆมาเสวนาแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันทั้งเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป หรือแม้กระทั่งเรื่องความลับที่ตนได้ไปรู้มาอาจจะเห็นด้วยตาตนเองหรือบังเอิญพบเจอ เรียกได้ว่าเหล่านางกำนัลเป็นผู้ที่รู้เรื่องทุกอย่างในวังหลวงเป็นอย่างดีก็ว่าได้
                "ยามเมื่อท่านร่างอวตารเสด็จมาองค์ฟาโรห์ไม่ไปเยือนนายข้าเลยแม้แต่น้อย"
                "เมื่อหลายเดือนก่อนท่านเนเฟอร์ตารียังทรงเป็นที่โปรดปราน แต่บัดนี้ไม่เห็นแม้แต่เงาที่มาเยือน"
                "มหาดเล็กฝั่งซ้ายเสนอธิดาเข้ามาถวายตัวเมื่อหลายวันก่อน ตอนนี้สาสน์นั้นยังไม่มีวี่แววว่าองค์ฟาโรห์จะตอบรับ ทั้งที่แต่ก่อนเสนอสาสน์ช่วงเช้า บ่ายข้าก็เห็นขบวนส่งตัวที่หน้าวังแล้ว"
                "แต่มิใช่ว่าจะไม่แวะเวียนไปหา อาจเพราะมีเรื่องสำคัญยามเมื่อท่านร่างอวตารมาจึงไม่มีเวลาไปหานายของพวกเรา แต่ช่วงที่ท่านร่างอวตารทรงกลับไป องค์ฟาโรห์ก็ยังแวะเวียนไปหานายของเรา"
                "นั่นก็จริงของเจ้า แต่เดี๋ยวนี้ข้าเห็นองค์ฟาโรห์น้อยครั้งนัก นายข้าก็หวั่นว่าจะไม่เป็นที่โปรดปราน หลายครั้งที่ข้าเห็นนางแต่งทรงรอแต่องค์ฟาโรห์ก็ไม่เสด็จ"
                "องค์ฟาโรห์คิดสิ่งใดอยู่พวกเราก็ไม่อาจรู้ได้ สงสารแต่ผู้เป็นนาย แต่ที่น่าแปลกทั้งที่ท่านเพทร่าเป็นที่โปรดปราน แต่เหตุใดถึงไม่ได้ขึ้นเป็นมเหสีกัน?"
                "อย่างที่เจ้ากล่าว ไม่อาจรู้ว่าแท้จริงแล้วองค์ฟาโรห์ของเราทรงคิดการใดอยู่กันแน่..."
                เสียงเสวนาของเหล่ากำนัลสาวต่างแลกเปลี่ยนวิจารณ์ไปต่างๆนานาอย่างสนุกสนานเพลิดเพลินจนไม่ทันสังเกตเลยว่า บุคคลที่ถูกกล่าวถึงอยู่ไม่ไกลนัก และเมื่อหันไปเจอสตรีผู้งามสง่ากำลังถือคนโฑใบเล็กก้มลงตักน้ำในน้ำพุ สุรเสียงที่เจียวจาวพลางเงียบลงเมื่อสตรีผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมาแล้วเพียงส่งยิ้มบางให้เหล่านางกำนัลที่บัดนี้หน้าแทบไร้สีเลือด
                "....ท่าน เพทร่า เหตุใดที่ทรงมาตักน้ำด้วยองค์เองล่ะเพคะ?"
                นางกำนัลที่อยู่ถัดไปไม่ไกลนักค่อยๆเอ่ยถาม ในใจเหล่านางกำนัลต่างภาวนาขอให้หญิงสาวไม่เอาความถึงแม้จะไม่ได้พูดเรื่องเสียหายแต่การเอานายตนมาพูดถึงนั่นไม่เป็นเรื่องที่ควร เพียงแค่รับสั่งเหล่านางกำนัลในบริเวณนี้ก็ต้องรับโทษสถานหนักกันแล้ว
                "ข้าเพียงอยากมาตักน้ำด้วยตนเองเพื่อนำไปมอบให้กับบุตรชายของข้าเท่านั้น" เพทร่ายิ้มตอบพลางจัดวางคนโฑที่รินน้ำจนเต็มในถาดทองคำ หญิงสาวเยื้องก้าวเดินจากลานน้ำพุแต่ก่อนที่จะออกพ้นซุ้มประตูโค้ง ใบหน้าหวานงามสง่าเอี้ยวหันมองเหล่านางกำนังที่ยังคงยืนตัวแข็งราวกับถูกสาปให้กลายเป็นหิน
                "เสียงลมของที่นี้ค่อนข้างอื้ออึง เวลาจะพูดกับใครช่างลำบากที่ต้องตะโกน อีกทั้งยังจับไม่ได้ความ ไว้ถ้ามีโอกาสข้าจะลองเสนอลานพักผ่อนสำหรับนางกำนัลให้ได้ร่วมเสวนายามว่างต่อองค์รามเมส"
                เมื่อสตรีผู้สูงศักดิ์เดินจากไปเหล่านางกำนัลได้แต่ถอนหายใจออกมา ก่อนจะซับเหงื่อเย็นที่ผุดพรายบนใบหน้าแล้วรีบจัดการตักน้ำใส่ภาชนะของแต่ละคนที่เตรียมมานำกลับไปยังเจ้านายของตน เรียกได้ว่าคำพูดขององค์สนมเอกนั่นทำเอาเหล่านางกำนัลต่างถอนหายใจอย่างโล่งอกแต่ใช่ว่าจะหายใจได้ทั่วท้อง เหล่านางกำนัลสาวรุ่นใหม่ที่เข้ามาคงตีความได้เพียงว่าเรื่องที่ได้ยินในวันนี้ท่านเพทร่าจะทำเป็นหูทวนลมฟังไม่ได้ศัพท์ว่ามีคนนำนายมาพูดถึง แต่กับเหล่านางกำนัลที่อยู่ทำงานมานานรู้ดีว่าประโยคถัดมาที่นายเหนือหัวกล่าวว่า ถ้ามีโอกาสจะเสนอต่อองค์ฟาโรห์ นั่นหมายถึงนัยที่แฝงได้ว่า ถ้าเกิดเหตุเช่นนี้คงมิวายที่เรื่องนำนายมาเอ่ยถึงจะถูกทูลแจ้ง...

                เพทร่าเดินไปตามทางลานหินอ่อนที่คุ้นเคย ใบหน้าหวานหยุดมองทิวทัศน์ของสวนกลางเขตราชฐานฝั่งตะวันออกซึ่งเป็นส่วนของเหล่าสนมคนโปรดขององค์ฟาโรห์ ราชวังแห่งนี้แปลนโดยมีส่วนนอกเป็นสถานที่ราชการว่าการต่างๆขององค์ฟาโรห์และเหล่าเสนาบดี เมื่อเข้ามาชั้นในจะแบ่งเป็นสี่ทิศราวกับเมืองขนาดเล็กที่รายล้อมไปด้วยอาคารหิน ฝั่งเหนือคือที่อยู่ส่วนพระองค์ขององค์รีไวรามเมส ซึ่งถ้าไม่มีรับสั่งไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปได้โดยพละการ แม้กระทั่งสนมเอกอย่างเพทร่าหากไม่มีเหตุอันควรก็ไม่สามารถที่จะไปยังราชฐานทางทิศเหนือ ทิศตะวันออกเป็นที่พำนักของเหล่านักบวช ซึ่งจะมีห้องบูชาขนาดใหญ่และห้องหนังสือต่างๆมากมาย อีกทั้งลานกว้างสำหรับใช้ประกอบพิธีกรรม เรียกได้ว่าราชฐานฝั่งตะวันออกมีขนาดใหญ่รองลงมาจากฝั่งเหนือผู้ซึ่งเป็นที่พำนักขององค์ฟาโรห์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น อีกด้านราชฐานฝั่งตะวันตกเป็นที่อยู่ของเหล่านางกำนัล และนางสนมทั้งหลายที่ถูกถวายตัวเข้ามาในวัง ราชฐานส่วนนี้จะถูกประดับประดาตกแต่งด้วยสวนหย่อมที่มีอยู่มากมายกว่าในเขตราชฐานอื่นๆ อีกทั้งยังมีลานน้ำพุขนาดใหญ่ที่สุดสำหรับเป็นส่วนกลางของฝั่งตะวันตกให้เหล่าหญิงสาวได้ใช้เป็นสถานที่พักผ่อน และเป็นฝั่งที่ดูแลเรื่องห้องเครื่องและอาหารต่างๆสำหรับเหล่าผู้คนที่อยู่ในเขตราชฐานทั้งหมด สุดท้ายราชฐานทางฝั่งใต้จะเป็นสถานที่ทำงานของเหล่าเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย เป็นสถานที่ทำการภายในซึ่งมีเวรยามคุ้มกันอย่างหนาแน่นรองลงมาจากทางฝั่งเหนือ
                เพทร่ามองไปยังอาคารหินสูงสง่าที่ตั้งมั่นราชฐานทิศเหนือ แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นสนมเอกและมีบุตรชายที่เป็นถึงรัชทายาทอันดับหนึ่ง แต่นางไม่เคยได้เหยียบเข้าไปยังราชฐานทางทิศเหนือโดยรับสั่งของ รีไว ราเมส เลยสักครั้ง จะมีเพียงก็แต่เบเซธบุตรชาย ผู้เป็นรัชทายาทพานางเข้าไปชมความงามของราชฐานทิศเหนือเป็นครั้งคราว แต่ตอนนี้ดูเหมือนทั้งเบเซธและองค์ฟาโรห์ต่างยุ่งราชกิจจนไม่เยือนอาคารทิศอื่นๆ อยู่แต่เพียงในอาคารราชฐานทิศเหนือ เช่นเดียวกับร่างอวตารที่โผล่มาเมื่อไรไม่มีผู้ใดทราบ แต่ได้เข้าไปอยู่ในเขตราชฐานทิศเหนือ และเข้าออกได้โดยไม่มีรับสั่ง แม้จะรู้ดีว่าไม่อาจเทียบเพราะอีกฝ่ายเป็นถึงร่างอวตารแห่งสุริยะเทพ แต่เกิดม่านหมอกในจิตใจที่ยากจะปัดเป่าได้
                "เออขอโทษนะครับดูเหมือนผมจะหลงทาง"
                เสียงทักที่เอ่ยขึ้นทำให้เพทร่าหลุดออกจากพวัง ใบหน้าหวานหันมองเด็กหนุ่มร่างอวตารที่ยืนเก้ๆกังอยู่ไม่ไกลนัก
                "ท่านเพทร่านี่เอง ดีจังที่เจอคนที่น่าจะช่วยได้" เอเลนถอนหายใจอย่างโล่งอก เขานึกว่าจะต้องติดอยู่ในนี้ไปจนตายเสียแล้ว ให้ตายสิเพิ่งได้เดินออกมาแบบไม่มีคนติดตามเป็นครั้งแรก อีกทั้งมัวแต่โมโหไอฟาโรห์บ้านั่น พอรู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ในอาคารที่ไม่คุ้นเคยเสียแล้ว
                "ท่านเอเลน มีธุระอันใดในราชฐานฝั่งตะวันตกนี่หรือเพคะ?" หญิงสาวเอียงคอมองอย่างสงสัย อีกทั้งวันนี้ดูเหมือนร่างอวตารจะไม่มีผู้คนติดตาม ทั้งที่ทุกครั้งเด็กหนุ่มผู้นี้จะมีผู้คนรายล้อมอยู่มากมาย
                "คือผมหลงทางน่ะครับ เดินมาแบบไม่ทันได้ดูอะไรเลย พอรู้ตัวก็มาอยู่ที่นี้แล้วดีจังที่ได้เจอคุณท่านเพทร่า" เด็กหนุ่มอธิบายพลางหัวเราะแห้งๆให้หญิงสาว
                "ท่านคงไม่เคยเสด็จมาอาคารตะวันตกสินะเพคะ ที่นี้เป็นที่อยู่ของเหล่านางสนมและนางกำนัลขององค์ฟาโรห์ ถ้าท่านจะกลับไปยังอาคารฝั่งเหนือเพียงแต่เดินตามทางนี้ผ่านซุ้มประตูและสวนกั้นระหว่างอาคารสักพัก ทานจะเจอประตูทางเข้าของอาคารเหนือ" เพทร่าอธิบายพลางชี้เส้นทางกลับให้เด็กหนุ่ม
                เอเลนมองตามทางเดินหินสีขาวที่ทอดยาวไปไกลแล้วพยักหน้ารับรัวๆ นี่เขาเดินเรื่อยเปื่อยมาไกลขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย เมื่อกี้ท่านเพทร่าบอกว่าเป็นอาคารของนางสนมและนางกำนัล ถ้าให้เรียกให้ถูกก็คือเป็นฮาเร็มไอฟาโรห์บ้านั่นสินะ น่าหมั่นไส้ชะมัด
                ท่าทางที่ไม่ปิดบังและสีหน้าที่เหยเกของเอเลนทำให้เพทร่ารู้สึกแปลกใจ
                "ดูเหมือนท่านยังไม่อยากกลับไปยังอาคารฝั่งเหนือ มีเหตุอันใดที่ข้าจะพอรับฟังได้หรือไม่?" เพทร่าเสนอตนให้กับเด็กหนุ่ม การที่เธอเจอกับร่างอวตารโดยบังเอิญนับเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง พอสบโอกาสก็อยากที่จะรู้จักเด็กหนุ่มผู้นี้ให้มากขึ้น
                เอเลนมีสีหน้าลังเลชั่วครู่ก่อนจะนั่งพิงเสาหินที่ตรงทางเดิน
                "ผมก็ยังไม่อยากกลับไปเจอหน้าไอฟาโรห์งี่เง่านั่นเหมือนกัน"
                เพทร่าแปลกใจกับท่าทางของเด็กหนุ่ม หญิงสาวจึงนั่งลงข้างแล้วรอฟังอย่างใจเย็น เอเลนเงยหน้ามองท้องฟ้าคราม เมฆขาวค่อยๆเคลื่อนคล้อยอย่างเชื่องช้าราวกับเวลาค่อยๆไหลผ่านอย่างไม่สิ้นสุด สักพักเสียงของเด็กหนุ่มก็เอ่ยถึงสิ่งที่อยู่ภายใน
                "ฟาโรห์รีไว คนนั้นเขาเป็นคนยังไงกันแน่?" นัยน์ตาสีอร่ามยังคงเหม่อมองท้องฟ้าราวกับสิ่งที่เอ่ยขึ้นแค่เปรยผ่านสายลม แต่หญิงสาวที่อยู่ด้วยรู้ดีว่าตอนนี้เด็กหนุ่มรู้สึกอย่างไร ราวกับมองภาพสะท้อนของตนเมื่อวันวานยามเมื่อเข้ามาสู่วังหลวงแห่งธีปส์ เด็กสาววัยแรกแย้มที่เฝ้าเพียรถามว่ามหาบุรุษผู้เป็นสวามีเป็นคนเช่นไร...
                "ท่านผู้นั้นมีสิ่งที่ต้องแบกรับอย่างมากมาย ทั้งเรื่องของบ้านเมืองและเรื่องราษฎร เป็นผู้อยู่เหนือคนทั้งปวง กลับกันก็เป็นผู้ที่เสียสละเพื่อประชาชนของพระองค์เช่นกัน"
                "ท่านเคยบอกว่าความรักของฟาโรห์นั้นมากมายจนไม่อาจเก็บไว้ ท่านคิดเช่นนั้นจริงๆหรือ?" เอเลนค่อยๆหันมาสบกับใบหน้าของหญิงสาวผู้ขึ้นชื่อว่าคนโปรดของมหากษัติรย์
                เพทร่ายิ้มอ่อนโยนให้กับเด็กหนุ่มก่อนจะพยักหน้ารับ
                "ความรักขององค์ฟาโรห์นั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะเก็บไว้ได้แต่เพียงผู้เดียว แค่ได้รับความรักจากพระองค์นั่นก็เป็นพระมหากรุณาต่อข้ามากแล้ว"
                "แต่ถ้าบุรุษนั้นไม่ใช่องค์ฟาโรห์ แต่เป็นชายธรรมดา เป็นสามีของท่าน ทั้งที่ควรเชิดชูท่านแต่เพียงผู้เดียวแต่กลับมีหญิงอื่นมากมาย ท่านยังคิดว่านั่นเป็นความรักที่ต้องเผื่อแผ่งั้นหรือ?"
                คนโฑน้ำที่ตั้งใจว่าจะนำไปให้เบเซธเห็นทีน้ำเย็นจากบ่อน้ำพุคงต้องนำมาดื่มคลายความร้อนของวันนี้ให้กับร่างอวตารเสียแล้ว คิดดังนั้นเพทร่าจึงรินน้ำเย็นใส่แก้วสำริดยื่นให้กับเด็กหนุ่ม
                "บางครั้งสิ่งที่ต้องทำคือเพียงหน้าที่ ความรักของบุรุษอย่างองค์ฟาโรห์นั่นยิ่งใหญ่และเผื่อแผ่ไพศาล ข้าทำตามหน้าที่ แต่ใจนั้นยังคงเป็นของข้า ใจซึ่งเป็นอิสระไร้พันธะใด"
                "ท่านเป็นสตรีที่งดงามและเข้มแข็ง น่าเสียดายที่ต้องมาอยู่กับฟาโรห์หลายใจนั่น" เอเลนดื่มน้ำรวดเดียวจนหมดก่อนจะยื่นแก้วสำริดคืนหญิงสาว
                ใจที่เป็นอิสระไร้ซึ่งพันธะใด เพราะเหตุนี้จึงทำให้เหล่าหญิงสาวมากมายยอมรับในการกระทำเจ้าชู้ของตาแก่นั้นได้อย่างนั้นเหรอ? สำหรับเขาแล้วเขาไม่ได้มีความรักที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ไม่สามารถที่จะเผื่อแผ่ความรักนั้นให้ใครได้ บางทีในโลกนี้เขาคงเป็นคนที่เห็นแก่ตัว แต่นั้นเพราะเขาเคยเห็นความรักหนึ่งเดียวที่แนบแน่นและไม่แปรผันจากพ่อของเขาที่มีต่อมารดาที่จากไป และนั่นเลยทำให้เขาอยากมีรักเดียวที่แม้จะไม่สุขสมหวังหรือเจ็บปวดเพียงใด แต่มันมีคุณค่าพอที่จะรักษาไว้ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต ทั้งๆที่คิดอย่างนั้นมาตลอดพอมาเจอเจ้าตาแก่มักมากที่เห็นความรู้สึกคนอื่นเป็นแค่ของเล่นเยี่ยงนี้ คิดทีไรก็รู้สึกชวนให้อารมณ์คุกรุ่นทุกทีสิน่า อีกทั้งยังเจ้าเล่ห์เกินจะรับมือ แล้วยังไม่รับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง ไม่อยากยอมรับแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสัมผัสของริมฝีปากที่คอยกลั่นแกล้งเขานั่นมันทำให้รู้สึกจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
                "ท่านเพทร่า ท่านรักฟาโรห์ของท่านรึเปล่า?" นัยน์ตาสีอร่ามมองใบหน้าของหญิงสาวอย่างตั้งใจรอฟังคำตอบ
                เพทร่ายิ้มบางให้เด็กหนุ่มอีกครั้ง
                "ฟาโรห์ผู้นั้นเป็นผู้ที่มอบความรัก แต่ไม่อาจเป็นผู้ที่สามารถรักตอบได้"
                ฟาโรห์รีไวคือผู้ที่มอบความรัก แต่เป็นผู้ที่ไม่อาจรักตอบ เพราะใจของพระองค์นั้นราวหลุมลึกที่ไม่สิ้นสุด แม้จะรักตอบเพียงใดแต่ก็ไม่อาจถูกเติมเต็ม ผู้ที่อยู่ในวังวนนี้เข้าใจตรงจุดนี้ เช่นเดียวกับเอเลนที่เข้าใจความหมายของหญิงสาวที่ไม่อาจรักตอบองค์ฟาโรห์ได้เช่นกัน
                รักคนที่ไม่ได้รักเราแล้วย่อมเหมือนเทน้ำลงบนทราย แล้วทรายที่กว้างใหญ่ขององค์ฟาโรห์รีไวต่อให้เอาลำน้ำแดงทั้งสายมาเทคงจะแห้งเหือดมองไม่เห็นแม้แต่น้อย
                หญิงสาวขอตัวเดินกลับไปยังห้องของตนแล้ว เอเลนยังคงนั่งมองท้องฟ้าอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน นัยน์ตาสีอร่ามมองท้องฟ้าที่บัดนี้แสงอาทิตย์เริ่มเบาบางลง
                ถ้าตอนนี้มีกุญแจคงหาทางไปสงบจิตสงบใจที่โลกของเขาได้ แต่ตอนนี้กุญแจก็โดนยึดไปแล้ว อีกทั้งยังไม่อยากเห็นหน้าเจ้าฟาโรห์บ้านั่นให้เสียอารมณ์ สิ่งที่ทำได้คงมีเพียงปล่อยใจให้เป็นอิสระอย่าให้ถูกจับต้องได้ ถ้าใจเป็นอิสระคงสามารถทำหน้าที่ที่ถูกยัดเยียดนี้ได้ตามที่อีกฝ่ายคาดหวัง แล้วเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นเขาจะได้กลับไปยังดินแดนของตนเองแล้วตัดขาดจากตาแก่บ้ากามนั่นเสียที

                "เอเลนมาอยู่นี่เอง"
                นัยน์ตาสีอร่ามละออกจากท้องฟ้ามองบุรุษที่เดินย่างเข้ามาหา
                "นายเองก็มาหาสาวๆในฮาเร็มนี่เมือนกันเหรอมิคาสะ" เอเลนลุกขึ้นยืนใช้สองมือปัดฝุ่นทรายที่ติดอยู่ตามชุดผ้าออก ดูเหมือนการมีคนรักมากมายจะเป็นธรรมเนียมของสมัยนี้จริงๆ อย่างมิคาสะที่ตอนอยู่โลกของเขาไม่เคยสนใจใคร เรียกได้ว่าแทบไม่สนใจสิ่งมีชีวิตยกเว้นแต่คุณลุง คุณป้าอัคเคอร์มันและเขากับอาร์มินแล้ว คนอื่นๆที่เข้ามาหาแทบไม่อยู่ในสายตาทั้งสิ้น
                "ข้าไม่สนใจเหล่าคนรักของพี่ชายข้าหรอก"
                "งั้นนายต้องจัดหาฮาเร็มของนายเองแล้วล่ะ เป็นราชวงศ์ที่ใช้ผู้หญิงเปลืองชะมัด" เอเลนถอนหายใจอย่างนึกปลง ในเมื่อเป็นรสนิยมของคนสมัยนี้เขาคงไม่มีสิทธิไปพร่ำบ่นสอนอะไรหรอก
                "ข้าไม่สนใจเรื่องมีคนรักมากมายเช่นพี่ชาย สำหรับข้าแล้วตัวข้ามีเพียงหนึ่ง ใจนี้ก็มีเพียงหนึ่ง ถ้าจักมอบให้ผู้ใดข้าก็อยากที่จะมอบทั้งหมดทั้งมวลของข้าให้ผู้นั้น และจักขอปกป้องดูแลตราบจนจิตวิญญาณข้าสูญไปกับผืนทราย"
                เอเลนมองมิคาสะด้วยแววตาชื่นชม ในสมัยนี้ยังมีคนที่คิดเช่นเดียวกับเขา ไม่คิดเลยว่ามิคาสะที่เป็นน้องชายของคนมักมากอีกทั้งยังถูกเลี้ยงมาคล้ายๆกันนั้นกลับมีความคิดที่สวนทางเรื่องคนรักกับฟาโรห์รีไว
                "เยี่ยมเลย ฉันมั่นใจว่าคนรักของนายต้องเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก" เอเลนฉีกยิ้มกว้างก่อนชกเบาๆที่ไหล่ของมิคาสะ
                นัยน์ตาสีอร่ามสบกับนัยน์ตาสีราตรีที่ยังคงจ้องมองมา เอเลนเบนหลบสายตาที่จ้องมองมาก่อนจะเหลือบมองสายตาของบุรุษตรงหน้าอีกครั้ง แต่สายตาที่มองอย่างอ่อนโยนอย่างนั้นก็ยังคงจับจ้องที่เขา...
                เดี๋ยวนะ... นี่เขาไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่ไหม? คงไม่ใช่ว่า..... เอเลนเขยิบตัวไปมา แต่สายตาของมิคาสะก็ยังมองตามเขาอยู่เช่นนั้น เด็กหนุ่มเดินไปทางขวา สายตานั้นก็จับจ้องตามเขา เมื่อไปทางซ้ายสายตานั้นก็ยังคงจับจ้องเขาอยู่ สุดท้ายเด็กหนุ่มจึงเดินถอยหลังมูนวอล์คก่อนจะหมุนตัวเพื่อให้แน่ใจ แล้วคำตอบที่ได้ก็คือ...
                ชัดเลย.... นี่มันเหมือนพล็อตเกมส์จีบสาวที่เขาเคยเล่นมาก่อน เหมือนฉากน้ำเน่าที่นางเอกกำลังสับสนแล้วอยู่ๆพระเอกก็โผล่มาพูดอ้อมๆทำให้ใจเต้นโครมคราม เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่ใช่นางเอก แต่กำลังใจเต้นโครมครามแน่นอน ไม่ใช่เพราะประทับใจนะ แต่กำลังหวั่นวิตกสุดขั้วอยู่ต่างหากล่ะ!!
                "..... ฉัน... ฉันว่าบางทีในฮาเร็มของพี่ชายนายอาจมีสาวที่นายกำลังตามหาอยุ่ก็ได้นะ!!" ไม่พูดเปล่าเอเลนพยายามเดินออกจากทางเดินเพื่อหวังจะกลับไปยังอาคารฝั่งเหนือ เด็กหนุ่มเบี่ยงตัวหลบร่างกายใหญ่โตของมิคาสะด้วยความรู้สึกเกร็ง สองขาที่ค่อยๆก้าวเริ่มเร็วขึ้นจนแปรเปลี่ยนเป็นวิ่ง
                ไม่ตลกแล้วนะ นี่ทำไมเขาย้อนยุคมาแล้วถึงได้มาป็อปปูล่าในหมู่ผู้ชายล่ะ!! อีกอย่างในโลกเขามิคาสะเป็นผู้หญิงถ้าเกิดสถานการณ์แบบเมื่อสักครู่มันคงทำให้เขารู้สึกเป็นพระเอกที่น่าอิจฉาอยู่หรอกนะ แต่ตอนนี่หมอนั่นเป็นผู้ชายทั้งท่อนบน ท่อนล่าง แล้วเขามาโลกนี้ก็เปลี่ยนแค่สีลูกตานะเฮ้ย!!! ไม่ได้เปลี่ยนสรีระเช่นเดียวกับอดีตเพื่อนสาว
                เอเลนที่วิ่งหนีออกมาเหลือบมองไปทางด้านหลัง ต้องเรียกว่าสมกับเป็นหน่วยสืบราชการลับ เพราะหมอนั่นวิ่งตามเขามาแต่เสียงฝีเท้าเรียกได้ว่าเงียบกริบ หรือเสียงฝีเท้าเขาที่ตอนนี้ดังสนั่นไปทั่วลานกว้างกลบเสียงนั่นกันแน่ การที่หมอนั่นจริงจังแล้วชัดเจนมันก็ดีอยู่หรอกนะ แต่จริงจังมาขนาดนี้เขาก็หาวิธีรับมือไม่ถูกหรอกนะเว้ยเฮ้ย!!!!




4 ความคิดเห็น:

  1. มาต่อด้วยน้าาาสนุกๆ

    ตอบลบ
  2. มาต่อด้วยน้าาาสนุกๆ

    ตอบลบ
  3. อ๊ากกกกกก มิคาสะคือบับอบอุ่นละมุนดีมากค่ะ
    ต้องแรกว่าเห้ยอยากเปนผญของเฮียแต่ตอนนี้เปนของมิคาสะดีใจกว่าเยอะ โอ๊ยเอเลนที่หนูป๊อบกับผชก็เพราะหนูเปนเคะยั่วไงลูก เฮียก็อย่าเจ้าชู้ให้มันมาก รักเดียวใจเดียวให้เหมาะกับบทพระเอกหน่อย นี่โดนมิคาสะแย่งซีนไปเยอะเลยอ่ะ
    ป.ล.ใครได้สองพี่น้องนี้เป็นผัวได้คือดีงาม แถมอีกสามลูกชาย ทหาร ศัตรู(แจน) อยากให้หนูอาร์มินหลงมาบ้างจังแต่ไปโผล่ที่ของแจนไรเงี้ย // โดนแจนจับกดตั้งแต่วันแรกเพราะคิดว่าเป็นผญ (ไม่ใช่ม้างงงงงง5555555)

    ตอบลบ
  4. คือแบบ อร๊ายยยยยยยย!! ชอบมากกกกก
    ต่อๆๆ รอมานาน เพิ่งเห็นนนน

    ตอบลบ