วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2559

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์ Chapter 15:


Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์
Pairing: (LevixEren)
Rate: NC-17
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
Story By: AkeRah , Trendy Blood
………………………………………………………………………………………………..
Chapter 15:

 


“โอ้วววววววววววว นี่คือพระกรุณาของมหาเทพราโดยแท้ ในที่สุดท่านก็กลับมา!!!!”  น้ำเสียงโหวกเหวกโวยวายดังก้องทั่วทั้งมหาวิหารก่อนที่มหานักบวชผู้ทรงภูมิจะปรากฏกายขึ้น
“ใช่....นับเป็นพระกรุณาของมหาเทพราโดยแท้ที่ทำให้ข้ากลับมาได้” มิคาสะกล่าวกับนักบวชที่วิ่งเข้ามาป้วนเปี้ยนล้อมหน้าล้อมหลังอย่างสนอกสนใจ
“ท่านแทบจะไม่เปลี่ยนไปเลย ยังหล่อเหลาบึกบึนเช่นเดิม” ฮันจ์เอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้างพลางฟาดกำปั้นลงบนอกของมิคาสะดังปั่กๆ
“ท่านเองก็เช่นกัน ยังคง.......พุ่งพล่านพลังล้นเหลือเช่นเดิม” แม้ในใจอยากจะบอกว่าคุ้มคลั่งก็เถอะ
“ได้ยินว่าท่านเองเพิ่งจะกลับมาจากดินแดนเทพข้าอยากจะได้ยินเรื่องราวการผจญภัยที่แสนตื่นเต้นของท่านเหลือเกิน พอจะสละเวลาให้ข้าสักครู่ได้หรือไม่ ข้าอยากจะฟังเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ที่ท่านหายตัวไปจนกระทั่งกลับมา” ฮันจ์กล่าวขณะที่รุนหลังมิคาสะเดินเข้าสู่มหาวิหารไปด้วยกัน
“เอ่อ...ย่อมได้เพียงแต่ข้าเพิ่งมาถึง อย่างน้อยๆให้ข้าได้.......” มิคาสะเอ่ยขณะที่เหลียวหลังกลับมามองเอเลนราวกับต้องการจะกล่าวอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่อาจขัดฮันจ์ได้
“มีอะไรเราเข้าไปคุยกันข้างในย่อมได้น่า”
“เจ้าควรจะให้ความร่วมมือแก่เขาแต่โดยดีนะน้องข้า ส่วนข้ามีเรื่องที่ต้องทำนิดหน่อย.........กับร่างอวตารของข้า” ฟาโรห์หนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้มมุมปากแสนเจ้าเล่ห์ก่อนจะถือโอกาสโอบเอวบางของเด็กหนุ่มร่างอวตารเดินออกจากวิหารมาพร้อมกัน
“ช้าก่อน!!! มีเรื่องอะไรที่ต้องทำกัน” เอเลนบิดตัวพยายามสะบัดกายออกจากวงแขนแกร่งที่ชอบเกาะแกะตนเองอยู่ไม่ห่างแต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าถูกอีกฝ่ายอุ้มแบกพาดบ่าเสียอย่างนั้น
“ก็เรื่องที่เราตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้” ฟาโรห์หนุ่มยังตรัสเรื่อยเฉื่อยด้วยน้ำเสียงที่ราวกับสบายอารมณ์นัก
“ห๊ะ.....” แล้วมันเรื่องไหนกัน เอเลนนึกไม่ออกเลยจริงๆ
“เจ้า......ต้องสอนภาษาของแดนเทพให้แก่ข้า”

รีไวราเมสจ้องมองสมุดภาพสีสันฉูดฉาดหลายเล่มที่วางอยู่ตรงหน้าคู่กับเจ้าเครื่องสี่เหลี่ยมแปลกตาขนาดท่าฝ่ามือแล้วก็ต้องเอ่ยปากถามเด็กหนุ่มตัวแสบที่ลอยหน้าลอยตาอยู่ข้างๆ
“เจ้าของพวกนี้น่ะหรือที่จะช่วยให้ข้าเรียนรู้ภาษาเทพได้”
“ใช่” เอเลนตอบด้วยรอยยิ้มกว้างหน้าตาท่าทางมั่นใจมาก
“อันที่จริงแล้วมันก็ต้องเรียนกันที่โรงเรียนน่ะนะ แต่ก็มีหลายคนที่เล่าเรียนด้วยตัวเองก็มี”
“โรงเรียน? เป็นสถานที่แบบไหนกัน”
“ก็เป็นสถานที่ที่ให้ความรู้แก่คนทั่วไป แบ่งออกเป็นหลายๆระดับทั้งเด็กเล็ก เด็กโต ผู้ใหญ่ ที่โลกของข้าค่อนข้างเปิดกว้างยิ่งกว่าที่นี่ทุกๆคนมีสิทธิ์เข้าถึงองค์ความรู้ได้ ไม่ได้จำกัดไว้แค่พวกนักบวชหรือหน่อเนื้อเชื้อพระวงศ์หรอกนะ เพราะยิ่งประชากรมีการศึกษามากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ดินแดนของพวกเขารุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆน่ะสิ”
“สถานที่ที่ให้ความรู้แก่คนทั่วไปอย่างนั้นหรือ.......” ฟาโรห์หนุ่มถึงกับตีพระพักตร์ยุ่งอย่างครุ่นคิดก่อนจะตรัสถามต่อ
“แล้วเจ้าจะให้ข้าเริ่มเรียนรู้ได้อย่างไรกัน”
“ต้องเริ่มจากสิ่งนี้ก่อน” เอลนเปิดสมุดภาพเล่มแรกขึ้นพลางลากเก้าอี้ขยับเข้าไปนั่งข้างฟาโรห์หนุ่ม
“ภาษาที่ท่านกำลังจะเรียนนี้คือภาษาดอยทซ์เป็นภาษาประจำบ้านเกิดของข้า ข้าจะอธิบายให้ฟังคร่าวๆนะ มันมีตัวอักษรทั้งหมด26ตัว ตัวอักษรพิเศษอีก4ตัว พยัญชนะอีก21ตัว และยังมีสระเดี่ยวสระผสม.........”
รีไวราเมสลอบมองเสี้ยวหน้าของเด็กหนุ่มที่กำลังตั้งอกตั้งใจอธิบายความรู้พื้นฐานให้เขาฟังอย่างขะมักเขม้นชนิดที่เรียกได้ว่าเสียงใสที่เอื้อนเอ่ยนั้นลอยเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวาอย่างเพลิดเพลินไม่เหลือสิ่งใดไว้ให้คิดใคร่ครวญแม้แต่น้อย และยิ่งรู้สึกขัดหทัยมากยิ่งขึ้นเมื่อเห็นปอยผมเล็กๆตกระข้างแก้มขาวชวนมองของเด็กหนุ่ม มันดูขัดหูขัดตาเสียจนเจ้าตัวเผลอยกหัตถ์ปัดออกให้อย่างลืมตัว และนั่นก็ทำให้ริมฝีปากบางที่กำลังพล่ามจำนรรจาได้หยุดชะงัก
“ท่านเข้าใจที่ข้าพูดรึเปล่า” เอเลนหันมาสบตาพร้อมทั้งเอ่ยถามอีกฝ่ายเสียงเขียว ฟาโรห์หนุ่มกระพริบตาปริบๆก่อนจะยิ้มรับอย่างยอมจำนน
“ไม่......ไม่เข้าใจเลย”
คำตอบของฟาโรห์หนุ่มถึงกับทำให้เอเลนต้องกลอกตามองบน
“งั้นเริ่มจากนี่ก่อน” เอเลนกล่าวพลางเลื่อนสมุดภาพตัวอักษรไปตรงหน้าพร้อมทั้งยัดดินสอใส่มือใหญ่
“สิ่งนี้คือ.......” ฟาโรห์นุ่มตีพระพักตร์ฉงน
“นี่เรียกว่าดินสอ ท่านแค่ใช้สิ่งนี้ลากตามเส้นรอยประไปทีละตัวท่านก็จะได้ตัวอักษรออกมา” เอเลนกล่าวพลางกุมมือใหญ่ของฟาโรห์หนุ่มจรดปลายดินสอลงบนสมุดหัดเขียนตัวอักษรทีละตัวก่อนจะปล่อยให้อีกฝ่ายได้ลองเขียนด้วยตัวเอง
“อ๊ะ!!! ออกนอกเส้นเสียแล้ว” ฟาโรห์หนุ่มอุทานดังลั่นราวกับเสียดายยิ่งนัก เอเลนยิ้มขันสีหน้าของอีกฝ่ายก่อนจะส่งยางลบไปให้
“ไม่เป็นไร แค่ใช้สิ่งนี้ลบท่านก็เขียนใหม่ได้แล้ว” กล่าวพลางลบลายเส้นยึกยือนั้นให้ก่อนจะปล่อยให้เจ้าตัวได้ลองเขียนใหม่อีกครั้ง เมื่อเห็นท่าทางตั้งอกตั้งใจแบบนั้นก็ยิ่งรู้สึกขำหนักขึ้น
........................ฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่ก็มีมุมน็อตหลุดขำๆกับเขาเหมือนกันแฮะ
“ท่านลองออกเสียงไปด้วยสิ”
รีไวถึงกับต้องหันขวับมามองเด็กหนุ่มข้างกาย  นี่นอกจากเขียนแล้วยังต้องพูดไปด้วยอีกหรือ........
เอเลนหลุดหัวเราะสีหน้าราวกับจะประท้วงขององค์ฟาโรห์หนุ่มหนึ่งยก ก่อนจะหยิบสมาร์ทโฟนมาเปิดโปรแกรมสอนภาษาออกเสียงให้อีกฝ่ายฟัง
ยิ่งได้ยินว่าเจ้าเครื่องสี่เหลี่ยมประหลาดนี้มีเสียงเปล่งออกมาก็ยิ่งทำให้พระพักตร์ของฟาโรห์หนุ่มฉงนหนักยิ่งขึ้น และเมื่อได้ยินเสียงบุคคลที่สามแทรกขึ้นมาเบลทรูทและไรเนอร์ที่เฝ้าอารักขาอยู่ข้างกายต่างก็ชักดาบออกมาพร้อมกันอย่างระแวดระวัง
“ไม่มีอะไรๆ ใจเย็น......เสียงจากโทรศัพท์น่ะ ไม่มีใครทั้งนั้นไม่ต้องตกใจ” ท่าทีตื่นตระหนกของทั้งสามหนุ่มทำให้เอเลนตกใจจนหลุดขำอีกรอบ
“ท่านลองออกเสียงไปด้วย เขียนไปด้วยจะช่วยให้จำได้ง่ายขึ้นนะ”
รีไวราเมสยอมทำตามที่เอเลนบอกแต่โดยดี ทุกครั้งที่มือใหญ่เขียนตัวอักษรได้หนึ่งตัวฟาโรห์หนุ่มก็จะออกเสียงพยัญชนะตัวนั้นไปด้วยอย่างตั้งอกตั้งใจ ในขณะที่รีไวกำลังขะมักเขม้นกับการฝึกเขียนและออกเสียงตัวอักษรอยู่นั้นได้เกิดไฟสว่างวาบชนิดที่ทำให้เขาต้องหลับตาขึ้นมาจากข้างกาย
“นี่เจ้าทำอะไร!!!” ถึงกับตวาดเสียงเข้มด้วยความตื่นตระหนก
“ใจเย็นๆ” เอเลนยิ้มกว้างพลางโบกกระดาษสี่เหลี่ยมแผ่นเล็กในมือ
“นี่ไง” มือเรียวยื่นกระดาษสี่เหลี่ยมที่เป็นภาพถ่ายใบหน้าด้านข้างของฟาโรห์หนุ่มให้เจ้าตัวดู
“นี่เจ้าใช้เวทย์มนต์สะกดวิญญาณข้ารึ!!!” สุระเสียงตรัสเอ่ยแสดงความกร้าวอย่างเห็นได้ชัด
“เดี๋ยวๆ ใครเขาสะกดวิญญาณท่านกัน ข้าแค่ถ่ายรูปท่านไว้ต่างหาก”
“ถ่ายรูป?”
“ใช่ ด้วยสิ่งนี้” เอเลนชูกล้องโพลารอยด์ให้ดู
“นี่เรียกว่ากล้อง มันเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราเก็บภาพความทรงจำในช่วงเวลานั้นๆได้สะดวกและง่ายยิ่งกว่าการวาดภาพเสียอีกนะ”
รีไว เบลทรูทและไรเนอร์ต่างเข้ามามุงดูกล้องโพลารอยด์ด้วยความสนใจ
“ท่านแน่ใจหรือว่าวิญญาณของเราจะไม่ถูกดูดเข้าไปในกระดาษแผ่นนี้ด้วย มันช่างดูสมจริงยิ่งนัก” เบลทรูทเอ่ยถามด้วยความฉงน เอเลนหัวเราะลั่น
“ย่อมไม่ใช่อย่างแน่นอน เอาล่ะ พวกท่านไปยืนประจำที่กันก่อนสิ” เอเลนหันไปโบกมือจัดที่จัดทางให้ทหารหนุ่มทั้งสองก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกไปยืนอยู่หน้าบัลลังก์ทรงงานของฟาโรห์หนุ่ม
“พวกท่านนิ่งไว้ก่อน มองมาทางข้าที่กล้องตัวนี้ นิ่งไว้ๆ.............ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้เบลทรูท ทำตัวตามสบายๆแต่นิ่งไว้ก็พอ” เอเลนมองผ่านเลนส์กล้องไปยังชายหนุ่มหน้านิ่งที่นั่งอยู่บนบัลลังก์สูงสุด
“ฝ่าบาท........ยิ้มด้วย” เอเลนเอ่ยกระเซ้าฟาโรห์หนุ่ม
“ข้าต้องยิ้มให้กับเจ้ากล้องนั่นด้วยหรือ” รีไวราเมสตรัสค้อน สีหน้ายิ่งด้านชาหนักยิ่งขึ้น
“คิดเสียว่าท่านยิ้มให้ข้าก็แล้วกัน....นะ.....น๊า.......”
เอเลนเอ่ยกระเง้ากระงอดเสียงเล็กเสียงน้อยหลอกล่อจนกระทั่งฟาโรห์หนุ่มหลุดเผยรอยยิ้มเล็กๆมาได้ในที่สุดเด็กหนุ่มถึงกับเผลอหลุดยิ้มตาม และเมื่อเห็นรอยยิ้มกว้างที่ราวกับเด็กหนุ่มร่างอวตารส่งมาให้ตนก็ยิ่งทำให้รอยยิ้มของรีไวเจิดจรัสยิ่งขึ้น ไม่รอช้าเอเลนรีบกดปุ่มบันทึกภาพเอาไว้ในทันที แสงแฟลชสว่างวาบจนไรเนอร์ต้องหลับตาปี๋ เบลทรูทถึงกับทิ้งดาบยกมือสองข้างขึ้นปิดตาตัวเองครวญครางเสียงแผ่ว
“ขอโทษๆ.....นี่ไงได้แล้ว” เอเลนหัวเราะร่วนเอ่ยกลั้วหัวเราะก่อนจะส่งภาพให้ทั้งสามคนดู ไรเนอร์ส่งเสียงครางด้วยความตื่นเต้น
“นี่คงเป็นเวทย์มนต์ของเทพสินะ”
“ใช่ เวทย์มนต์ของแท้เลยล่ะ” เอเลนยิ่งอำทั้งสามคนหนักยิ่งขึ้น
“แล้วภาพนี้ ใส่เจ้าเข้าไปด้วยมิได้หรอกหรือ” รีไวตรัสถามเอเลนเสียงเรียบก่อนที่เอเลนจะนึกอะไรขึ้นมาได้
“ได้สิย่อมได้อยู่แล้ว แต่ต้องช่วยกันหน่อยนะ”
เอเลนจัดแจงให้ทหารหนุ่มทั้งสองช่วยกันยกชั้นวางแจกันไปตั้งไว้กลางห้องแล้ววางกล้องโพลารอยด์ตั้งไว้ตรงนั้น ยกเก้าอี้สองตัวไปวางไว้ชิดกันให้รีไวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งส่วนเบลทรูทและไรเนอร์ไปยืนที่ว่างข้างๆเก้าอี้ทั้งสองแทน ด้านฝ่ายเอเลนจัดแจงตั้งเวลาปรับมุมองศากล้องก่อนจะรีบวิ่งกลับมานั่งที่เก้าอี้ข้างกันกับรีไวพร้อมนับถอยหลังไปด้วยดังๆ
“ห้า.......สี่.........ยิ้มด้วยนะ”
เมื่อนับถึงสองเด็กหนุ่มก็หย่อนก้นลงนั่งพอดิบพอดี
“หนึ่ง........” มือใหญ่เอื้อมมากุมมือเรียวที่วางอยู่บนตักของเด็กหนุ่มเอาไว้ เมื่อเอเลนหันไปมองด้านข้างก็เห็นว่าฟาโรห์หนุ่มนั้นมองมาที่ตนด้วยรอยยิ้มบาง รอยยิ้มของฟาโรห์หนุ่มเรียกรอยยิ้มงามของเอเลนมาประดับบนใบหน้าได้อย่างง่ายดายแล้วแสงแฟลชก็สว่างวาบขึ้น

“อ่า....................นี่คงเป็นภาพที่น่าอับอายที่สุดในประวัติศาสตร์อียิปต์เป็นแน่” เอเลนมองภาพที่เพิ่งถ่ายเสร็จพลางบ่นไม่หยุด
“ภาพนี้งดงามที่สุดแล้ว” รีไวราเมสกล่าวพลางแย่งภาพในมือเด็กหนุ่มมาดูด้วยรอยยิ้มกริ่ม
“จริงขอรับ” ไรเนอร์เห็นด้วยอย่างถึงที่สุดส่วนเบลทรูทได้แต่ยิ้มอ่อนอยู่ข้างๆ
รีไวมองภาพในมือด้วยรอยยิ้มชอบใจ ภาพที่ปรากฏนั้นเป็นภาพเขาจับมือเด็กหนุ่มร่างอวตารที่นั่งเคียงข้างกันใบหน้าทั้งสองหันสบตากันพร้อมด้วยรอยยิ้มที่วาดผ่านดวงตาและริมฝีปาก มีเบลทรูทที่ยิ้มเปิ่นและไรเนอร์ที่ยิ้มอ่อนโยนยืนอยู่ขนาบข้าง
“นี่เป็นภาพที่งดงามยากจะหาสิ่งใดเปรียบได้แล้ว” ฟาโรห์หนุ่มยิ้มกริ่มโบกภาพในมือผ่านหน้าเด็กหนุ่มที่ตีหน้ามึนนั่งอยู่ข้างๆอย่างชอบใจราวกับเด็กเล็กที่ได้ของเล่นชิ้นโปรด
“เอาเถอะ ถ้าท่านคิดว่างั้นก็ตามใจแล้วกัน.......หมดเวลาพักแล้วเร็วเข้ามาต่อบทเรียนของท่านให้จบแล้วข้าจะทดสอบท่านด้วยการให้เขียนตัวอักษรตามที่ข้าออกเสียง” เมื่อสิ้นเสียงเอเลน พระพักตร์แช่มชื่นของฟาโรห์หนุ่มก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที
“ถ่ายอีกมิได้หรือ ให้ข้าถ่ายรูปเจ้าบ้าง”
“ย่อมได้ แต่ต้องหลังจากที่ท่านทำแบบทดสอบของข้าผ่าน ข้าจะให้ท่านถ่ายรูปข้าหนึ่งใบ”
“ไม่ว่าข้าจะถ่ายรูปอะไรเจ้าก็ต้องยอม”
“ได้....” เอเลนตอบรับอย่างไม่ใส่ใจขณะที่เขียนอะไรบางอย่างลงใต้รูปโพลารอยด์ใบนั้น
“สัญญา?” รีไวเอ่ยถามพลางก้มมองสิ่งที่เด็กหนุ่มเขียนแล้วก็พบว่ามันเป็นภาษาดอยทซ์
“ไม่ผิดแม้แต่คำ” เอเลนตอบรับเสียงหนักแน่น ฟาโรห์หนุ่มเผยยิ้มร้ายกาจก่อนตรัสเสียงเข้ม
“ถ้าเช่นนั้นมาต่อกันได้เลย”

เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงเอเลนนั่งเฝ้ารีไวราเมสฝึกเขียนตัวอักษรจนรู้สึกเบื่อมากถึงมากที่สุดจึงควานเอากระเป๋าเป้มารื้อหาหูฟังก่อนจะเสียบเข้าโทรศัพท์ฟังเพลงแก้เบื่อเสียเลย ขณะที่กำลังเคลิ้มๆก็รู้สึกถึงแรงสะกิดที่ข้างกาย ฟาโรห์หนุ่มตรัสอะไรบางอย่างที่เอเลนไม่ได้ยินเด็กหนุ่มจึงถอดหูฟังออกข้างหนึ่ง
“อะไรนะ”
“ข้าถามว่าเจ้าทำอะไรอยู่” ฟาโรห์หนุ่มชักพระพักตร์ไม่พอใจ
“ฟังเพลงแก้เบื่อน่ะ”
“เจ้าเครื่องนี่นอกจากจะสอนหนังสือได้ มันยังร้องเพลงได้อีกหรือ”
“ได้สิ....ได้หลายภาษาหลายแนวด้วยนะ ท่านลองฟังสิ” ว่าพลางยัดหูฟังข้างหนึ่งใส่ให้ฟาโรห์หนุ่ม
เสียงเครื่องดนตรีหนักๆและเสียงรัวเร็วฟังดูปวดประสาททำให้ฟาโรห์หนุ่มต้องปัดหูฟังออกแทบไม่ทัน
“นี่มันเสียงอะไรกัน อย่างกับอยู่ในสงครามไม่มีผิด” รีไวราเมสตรัสพลางขมวดขนงแน่น
“ท่านไม่ชอบหรือ นี่มันดนตรีฟังก์ร็อคเชียวนะ สะใจโจ๋จะตาย” เอเลนตอบค้อนที่อีกฝ่ายไม่ชอบดนตรีแนวโปรดของตน
“ช่างเป็นเสียงที่ปวดประสาทยิ่งนัก” รีไวยังคงไม่เห็นชอบอยู่ดี
“งั้นท่านดูตรงนี้ นี่เป็นโปรแกรมเล่นเพลง แค่กดตรงนี้เพลงจะเล่นเมื่อกดซ้ำเพลงจะหยุดแล้วถ้าไม่ชอบเพลงนี้ท่านก็กดตรงนี้เพื่อให้มันเล่นเพลงต่อไปแต่พอกดตรงนี้มันก็จะย้อนกลับไปเล่นเพลงก่อนหน้านี้ให้ ท่านลองทำดู” เอเลนกล่าวพลางยื่นหูฟังอีกข้างพร้อมกับสมาร์ทโฟนกลับไปให้ฟาโรห์หนุ่ม
รีไวราเมสนิ่งมองโทรศัพท์ในมืออีกฝ่ายชั่วครู่ก่อนจะรับมาถือไว้อย่างเก้ๆกังๆ ด้วยความไม่รู้มือใหญ่พลันไปกดปุ่มเร่งเสียงจนสุดเข้าโดยไม่ตั้งใจ
“บ้าไปแล้ว!!! เสียงระคายหูเยี่ยงนี้หากนำไปเปิดในสงครามกองทัพฮิตไตน์ต้องตกใจจนหนีเตลิดไปเป็นแน่”
“ไม่ขนาดนั้นหรอก ท่านแค่กดตรงนี้เสียงมันก็จะเบาลงแล้ว มันปรับเสียงได้นะ”
รีไวลองทำตามที่เอเลนสอนก่อนจะตรัสรำพึงออกมา
“เจ้าเครื่องนี่ ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก หรือนี่คืออาวุธวิเศษของเจ้า” ฟาโรห์หนุ่มตรัสถามด้วยความฉงน ขณะที่กดเลือกเพลงผ่านเจ้าพวกเพลงโหวกเหวกชวนปวดหูไปเรื่อยๆ
“ไม่ใช่อาวุธหรอก ก็แค่โทรศัพท์น่ะที่จริงเอาไว้ใช้สื่อสาร แต่นอกจากนั้นก็ยังทำได้อีกหลายอย่าง มีเจ้านี่ก็สะดวกดี” เอเลนเอ่ยอธิบายด้วยรอยยิ้มขณะที่นั่งมองฟาโรห์เจ้าอารมณ์ทะเลาะตบตีกับสมาร์ทโฟนในมืออย่างหงุดหงิด
จนกระทั่งเสียงอินโทรบรรเลงเปียโนเบาๆดังขึ้นฟาโรห์หนุ่มจึงได้หยุดมือลง เสียงกีตาร์บรรเลงควบคู่กับเสียงเปียโนคลอกันก่อนจะมีเสียงหวานใสของหญิงสาวร้องขึ้นมา ในตอนนั้นเอเลนสังเกตเห็นว่ารีไวนั้นนิ่งสนิทราวกับกำลังตั้งใจฟังอย่างเต็มที่
ที่แท้ก็ชอบฟังแนวบัลลาดสบายๆแบบนี้น่ะหรือ..............
รีไวนิ่งฟังเสียงเพลงที่คลอออกมาอย่างตั้งอกตั้งใจเขาไม่อาจเข้าใจได้ว่าเนื้อหาในเพลงนั้นเกี่ยวข้องกับอะไร แต่ในตอนนี้รู้สึกว่าช่างไพเราะติดหูเสียเหลือเกิน และในตอนนั้นเองเด็กหนุ่มร่างอวตารที่นั่งอยู่ข้างกายเขาก็ได้ร้องเพลงคลอไปด้วยเบาๆ
Denn es spielt ein Orchester in mir,
wenn ich dich nur seh, sind da tausend Melodien.
Und ich will es nicht mehr hören, ich kann nicht mehr,
denn du gehörst zu ihr, doch in all dem Lärm hier,
spielt ein Orchester in mir
ในตอนนั้นเองรีไวได้กดหยุดเพลงนั้นลง
“เจ้าร้องเป็นหรอกหรือ” ฟาโรห์หนุ่มตรัสถามอย่างสนอกสนใจ ซึ่งเอเลนก็ได้พยักหน้ารับ
“แปลความหมายให้ข้าฟังได้หรือไม่” เอเลนยิ้มรับก่อนจะเอ่ยคำแปลออกมา
และเสียงออเคสตร้าก็บรรเลงในตัวฉัน แค่ฉันเห็นเธอเท่านั้นล่ะ จากเสียงเดียวก็เพิ่มขึ้นเป็นพันเมโลดี้ และฉันไม่อยากจะได้ยินมันอีกแล้ว ฉันไม่สามารถอีกแล้ว เพราะเธอเป็นของเขา และถึงมันจะเป็นอย่างนั้น วงออเคสตร้าก็ยังบรรเลงในตัวฉันต่อไป.....”
เมื่อได้ยินคำแปลนั้นฟาโรห์หนุ่มก็นิ่งไปสักพักก่อนตรัสขึ้น
“มันเป็นเพลงรักที่ไม่สมหวังอย่างนั้นหรอกหรือ......”
“ถึงจะรู้ว่าคนผู้นั้นมีคนในดวงใจอยู่แล้วแต่ก็เลือกที่จะรักต่อไป” เอเลนสรุปเนื้อความโดยรวมให้อีกฝ่ายฟัง
“เจ้าจะแปลทั้งเพลงได้รึไม่” แทนคำตอบนั้นเอเลนพลันยิ้มกริ่มพลางส่ายหน้า
“ทำไมท่านไม่ตั้งใจเรียนแล้วแปลมันด้วยตัวเองเสียล่ะ”
รีไวนิ่งคิดไปชั่วครู่ขณะเดียวกันก็กดเปิดเพลง Orchester in mir ขึ้นมาฟังอีกครั้งจนจบก่อนจะตรัสอย่างมั่นใจ
“ข้าพร้อมแล้วสำหรับการทดสอบของเจ้า” เอเลนยิ้มรับพลางยื่นกระดาษเปล่าและดินสอส่งให้ฟาโรห์หนุ่มด้วยรอยยิ้ม
“อักษรตัวแรกคือ.......”


ณ วิหารศักดิ์สิทธิ์
“ช่างเป็นโลกที่แปลกพิสดารยิ่งนัก ผู้คนในดินแดนเทพต่างเดินทางด้วยเรือที่ติดล้อและเรือที่บินบนท้องฟ้าได้เช่นนั้นหรือ” ฮันจ์เปิดปากถามด้วยความสนอกสนใจ
“ดินแดนแห่งนั้นมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายหลายอย่างที่ท่านนึกไม่ถึงทีเดียวล่ะท่านฮันจ์”
“ข้าอยากจะไปเยือนไปดูให้เห็นด้วยตาตนเองยิ่งนัก” ฮันจ์กล่าวด้วยแววตาที่ดูกระหายใคร่รู้ขึ้นมาเสียจนมิคาสะต้องขยับถอยออกห่างไปสองก้าว
“แต่ข้าเกรงว่าหากไม่ใช่ประสงค์ของเทพราแล้วก็คงไม่มีทางไปได้ง่ายๆ” มิคาสะกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนคล้ายกับเห็นใจ
“อาจเป็นอย่างที่ท่านกล่าวก็เป็นได้” ฮันจ์กล่าวพลางทำคอตกมิคาสะจึงช่วยตบไหล่ให้กำลังใจอีกฝ่ายเบาๆ
“ว่าแต่ท่านบอกว่าผ่านประตูมาไม่ทราบว่าประตูนั้นเป็นอย่างไรกัน”
มิคาสะมองซ้ายมองขวาก่อนจะขยับเข้าไปกระซิบกับนักบวชหนุ่มสองคน
“ข้าค้นพบประตูนั้นในห้องใต้ดินภายใต้สุสานของพี่ข้า”
“สุสานของรี.........” ฮันจ์ทำตาโตโวยวายขึ้นแต่ถูกมิคาสะปิดปากไว้
“อย่าได้เสียงดังไปมันถูกซ่อนไว้ในห้องใต้ฐานโลงพระศพของเขา ข้าไม่แน่ใจว่าอาจเป็นประสงค์ของเขาหรือมหาเทพราที่ต้องการปิดเรื่องนี้เป็นความลับก็เป็นได้ ทางที่ดีอย่าปล่อยให้เรื่องนี้แพร่งพรายให้คนนอกหรือฝ่ายศัตรูล่วงรู้จะเป็นการดีกว่า” ฮันจ์พยักหน้ารับเรียบๆก่อนจะเอ่ยตอบ
“หากเป็นเช่นนั้นท่านพอจะแสดงให้ข้าดูได้หรือไม่ว่าประตูที่ท่านผ่านมามีลักษณะเป็นเยี่ยงไร”
มิคาสะพยักหน้ารับพลางหยิบปากกาขนนกร่างภาพประตูสุริยะเทพที่ตนพบให้ฮันจ์ดูพลางอธิบายลักษณะคร่าวๆรวมทั้งคาถาสลักเบิกทางที่ถูกลงอาคมไว้อีกด้วย ฮันจ์รับฟังเงียบๆพยายามจดจำทำความเข้าใจพลางใช้สมองไม่หยุดพลางหมายมั่นปั้นมือในใจ
มีทาง............ยังพอมีทาง.............
ประตูสุริยะเทพ ข้าจะสร้างขึ้นมาให้ดู!!!!



เอเลนกวาดตามองตัวอักษรที่ถูกเขียนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยบนกระดาษในมือพลางถอนหายใจอย่างจำยอม
“เป็นอย่างไร ข้าเขียนถูกต้องทุกตัวใช่หรือไม่”
“ก็....อืม ใช้ได้” เด็กหนุ่มตอบรับไปแบบส่งๆ
“ถ้าเช่นนั้นเรื่องที่เราตกลงกันไว้ เจ้าต้องทำตาม”
“แน่นอนอยู่แล้ว จะถ่ายที่ไหนตรงนี้เลยย่อมได้” เอเลนเอ่ยพลางผายมือออกกว้างแต่กลับถูกฟาโรห์หนุ่มจับจูงมือเดินออกจากห้องทรงอักษรไปด้วยกัน
“ต้องไปถ่ายตรงที่ที่วิวดีกว่านี้.....ตามข้ามา”


“ขึ้นมาได้แล้ว เร็วเข้า!!!” เสียงทุ้มนุ่มของฟาโรห์หนุ่มดังกังวานไปทั่วทั้งห้อง แต่เสียงที่ดังตอบกลับมามีเพียงเสียงน้ำจ๋อมแจ๋มเบาๆ
“เจ้าจะผิดสัญญาหรือ”
เด็กหนุ่มที่มุดตัวอยู่ใต้น้ำโผล่ศีรษะขึ้นมาแค่ส่วนตาส่ายหน้าดิก
“ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นมาเสียเถิดเด็กน้อย ทำตามสัญญาของเจ้าอย่าได้อิดออด” ฟาโรห์หนุ่มตรัสกลั้วหัวเราะ ขณะที่เอเลนได้แต่หน้าแดงฮึดฮัดอยู่ใต้น้ำ
จะไม่ให้เด็กหนุ่มรู้สึกโมโหได้อย่างไรในเมื่ออีกฝ่ายเล่นบอกเขาว่าอยากถ่ายรูปนู้ดของเขา
“ขอผ้าสักผืนก็ไม่ได้เชียวหรือ” เด็กหนุ่มร้องประท้วง
“ถ้ามีผ้าปกปิดแล้วจะเรียกว่าภาพเปลือยได้อย่างไร อย่ามัวแต่ลูกไม้สัญญาย่อมเป็นสัญญา มิใช่หรือ”
“แต่.........แต่มัน......” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงแผ่วค่อยๆจมร่างลงใต้น้ำช้าๆ ในจังหวะนั้นเองผ้าโปร่งผืนเล็กได้ถูกโยนลงไปในน้ำ ร่างบางรีบคว้าไว้ในทันที
“ข้าเมตตาเจ้าได้เพียงเท่านี้” ฟาโรห์หนุ่มตรัสกลั้วหัวเราะสะใจที่กลั่นแกล้งอีกฝ่ายได้
“ขึ้นมาได้แล้ว อย่าอิดออด หรือเจ้าอยากจะเปลือยกายอยู่ในนี้ยั่วยวนข้าไปทั้งคืนข้าก็ไม่ขัด”
ดังนั้นร่างบางจึงตัดสินใจตะกายตัวขึ้นไปบนขอบสระน้ำ ใช้ผ้าโปร่งผืนเล็กบางพันปิดส่วนสงวนด้านล่างเอาไว้ แต่ด้วยขนาดผ้าที่เล็กแม้จะพยายามปกปิดอย่างไรมันก็ทำได้อย่างหมิ่นเหม่ และเมื่อมันเปียกน้ำผืนผ้าจึงยิ่งแนบสนิทไปตามร่างกายและจุดสงวนจนเห็นรูปร่างเด่นชัดจุดจินตนาการให้ผู้พบเห็นว่าภายใต้ผ้าผืนบางนั้นมีร่างกายที่งดงามเพียงใดซุกซ่อนอยู่ ด้วยความกระดากอายเอเลนจึงเลือกที่จะก้มมองน้ำในสระแล้วหลับตาแทนที่จะมองกล้อง
รีไวมองภาพเด็กหนุ่มร่างเปลือยที่กลายร่างเป็นเทพแห่งวารีผู้ก่อกำเนิดขึ้นจากสายน้ำตรงหน้า ไอน้ำพวยพุ่งขึ้นจากสระราวกับอยู่ในแดนสวรรค์ ผิวกายขาวนวลฉ่ำน้ำพราวระยับ เสี้ยวหน้าที่แสดงท่าทีเฉยชาแต่กลับแดงเรื่อน้อยๆนั้นงดงามราวกับเทพเทวาที่ไม่อนาทรร้อนใจต่อเรื่องราวหรือผู้คนใดๆในโลกหล้า เลอค่า ชวนดึงดูดให้หลงใหลได้อย่างง่าย มือใหญ่กดชัตเตอร์ถ่ายภาพงดงามนั้นไว้ในฉับพลัน เมื่อได้ภาพที่งดงามแล้วก็ได้แต่เหม่อมองภาพของร่างอวตารตรงหน้านิ่งนานก่อนจะเปลื้องอาภรณ์ลงไปในสระน้ำอย่างเงียบเชียบ
“ถ่ายรึยังเนี่ย” เป็นเวลานานพอควร เอเลนที่หลับตาโพสท่าอยู่จึงได้เอ่ยถามขึ้น จวบจนกระทั่งรู้สึกสัมผัสอุ่นๆที่บั้นเอวจึงสะดุ้งลืมตาขึ้น
“ข้าถ่ายรูปเจ้าเสร็จแล้ว แต่ตอนนี้ข้ากำลังใช้ดวงตาของข้าถ่ายภาพงดงามของเจ้าไว้ในความทรงจำของข้าอยู่” ฟาโรห์หนุ่มที่ดำน้ำมาหาเขากล่าวเสียงต่ำขณะที่เกาะขอบสระลอยคอพิงร่างอยู่บนตักพิศมองใบหน้างามของเด็กหนุ่มร่างอวตารใกล้ๆ เอเลนที่กำลังเก้อเขินได้แต่ปัดสองแขนของฟาโรห์หนุ่มที่วางเท้าอยู่บนหน้าตักของตนออกไปพลางออกแรงถีบอีกฝ่ายให้จมลงไปในน้ำ แต่คาดไม่ถึงว่ามือใหญ่กลับกระชากเอาผ้าผืนน้อยนั้นหลุดติดมือไปด้วย
“อ๊ะ!!!” เด็กหนุ่มจึงต้องกระโจนร่างตามลงไปในน้ำอีกคน
“เอาคืนมา” เอเลนเอ่ยเสียงเขียวแต่รีไวกลับลอยคอว่ายน้ำหนีไปอีกฟาก
“ถ้าอยากได้ก็เข้ามาเอา” ตรัสพลางแกว่งผ้าผืนน้อยไปมาอย่างย่ามใจ
“ก็บอกว่าให้เอามา...” เอเลนว่ายน้ำไล่ตามอีกฝ่ายพยายามแย่งผ้ากลับมาอย่างไม่คิดชีวิตแต่กลับถูกรีไวรวบตัวสวมกอดเอาไว้
“ภาพเมื่อครู่นี้ว่างดงามแล้วแต่เจ้าในยามที่ไร้อาภรณ์ห่มกายกลับงดงามยิ่งกว่า” ฟาโรห์หนุ่มกระซิบข้างหูพลางพลิกจับร่างเด็กหนุ่มในอ้อมกอดให้หันมาสบตากับตน เอเลนหน้าง้ำบ่นอย่างไม่พอใจ
“ท่านมันขี้โกง....” เมื่อบ่นหนึ่งคำก็ถูกชิงจูบเบาๆไปหนึ่งดอก
“ชอบเอาเปรียบอยู่เรื่อย....” เมื่อพูดจบก็ถูกจูบอีกครั้ง เด็กหนุ่มถึงกับตีหน้ายุ่งกัดริมฝีปากกับความหน้ามึนของอีกฝ่าย
“เจ้าบ่นข้าหนึ่งครั้ง ข้าจูบหนึ่งที.....เจ้าบ่นสองครั้ง ข้าจึงจูบสองที.....”
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายตรัสอย่างนั้นเอเลนจึงได้แต่เงียบ เก็บกักความไม่พอใจเอาไว้เงียบๆแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถูกรีไวจูบอยู่ดี
“นี่ท่าน......ข้ายังไม่ได้บ่นให้ท่านเลยนะ” เด็กหนุ่มตวาดเสียงเขียว
รีไวยิ้มกริ่มมองหน้าแดงระเรื่อด้วยความเก้อเขินและโมโหของเด็กหนุ่มอย่างพึงใจก่อนจะตรัสตอบ
“เพราะเจ้าทำหน้าว่าอยากให้ข้าจูบ”
“ใช่ที่ไหนกัน!!!” เอเลนโวยวายลั่นก่อนจะพยายามขืนตัวออกห่างอีกฝ่าย
“ใช่สิเพราะเจ้ากำลังทำอยู่” ว่าแล้วก็จุมพิตแก้มใสแถมไปอีกทีก่อนจะปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ
“ท่านมันตาแก่ลามก!!!” ร่างบางเปิดปากด่าอีกครั้งก่อนจะมุดหายดำลงไปในน้ำ รีไวราเมสหัวเราะร่วนเสียงทุ้มก้องกังวานไปทั่วทั้งห้องสรงน้ำก่อนจะตรัสเสียงดังฟังชัดแล้วมุดหายดำตามลงไปในสระอีกคน
“ที่ด่านี่เพราะอยากให้ข้าจูบอีกสินะ เจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอกเอเลน”













6 ความคิดเห็น:

  1. มันโครตฟิน~ มาต่อนะค่ะ

    ตอบลบ
  2. ง่อออ ชอบบบ ฟินมากกก อยากอ่านต่ออ

    ตอบลบ
  3. ง่อออ ชอบบบ ฟินมากกก อยากอ่านต่ออ

    ตอบลบ
  4. คืออ่านไปยิ้มไป ขำไป โอ้ยยย
    มันโคตร ฟิน จริง ๆ อ่ะ

    ตอบลบ
  5. ลุง...ไม่สิพี่เขาจริงจังกับโหมดกามใส่น้องมากผู้ชายเย็นชาอะไรใครทำเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น เอาลูกเอาเต้าเขามากักตัวเนียนเชียว ตลกน้องอำเรื่องของวิเศษเหมือนป่านะโก๊ะ555

    ตอบลบ
  6. ลุง...ไม่สิพี่เขาจริงจังกับโหมดกามใส่น้องมากผู้ชายเย็นชาอะไรใครทำเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น เอาลูกเอาเต้าเขามากักตัวเนียนเชียว ตลกน้องอำเรื่องของวิเศษเหมือนป่านะโก๊ะ555

    ตอบลบ