วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2559

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์ Chapter 13:


Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์
Pairing: (LevixEren)
Rate: NC-17
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
Story By: AkeRah , Trendy Blood
………………………………………………………………………………………………..
Chapter 13:

 


“อ้าว!!! นี่กลับมาถึงแล้วเหรอ”
“อา.....”
เสียงเปิดประตูดังขึ้นเพื่อนสนิทร่างเล็กแบกกระเป๋าใบโตเดินเข้ามาในห้องพร้อมทั้งเอ่ยทักทาย เอเลนส่งเสียงครางตอบรับอย่างเกียจคร้านก่อนจะหลับตาพลิกตัวนอนกอดหมอนข้างอย่างเพลียๆ
“มันเกิดอะไรขึ้น ที่นัดกันไว้ว่าจะไปเจอกันที่เอเธนส์ แล้วทำไมถึงได้เงียบหายไปเลยน่ะ”
“ก็หลายอย่างน่ะ..........คงจะเล่าวันเดียวไม่จบหรอก” เอเลนงึมงำตอบเสียงยานคาง ขณะที่อาร์มินลากกระเป๋าเดินทางไปหน้าตู้เก็บของใบใหญ่ที่มีสายยูคล้องไว้
“ล็อคสายยูไว้ด้วยเหรอ” อาร์มินเอ่ยถามขณะที่เคาะแม่กุญแจสีทองที่คล้องโซ่เบาๆ
“อืม ก็ไม่อยู่กันเป็นเดือน ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า” เอเลนเอ่ยตอบพร้อมกับโยนกุญแจพวงใหญ่ที่วางไว้บนโต๊ะหนังสือข้างเตียงไปให้อาร์มินซึ่งรับไว้ได้อย่างแม่นยำ เด็กหนุ่มผมทองคลำลูกกุญแจทุกดอกพร้อมกับเอ่ยถาม
“ดอกไหน”
“ดอกที่เล็กที่สุดนั่นแหละ”
อาร์มินกวาดสายตามองกุญแจพวงใหญ่ก่อนจะไปสะดุดสายตาเข้ากับกุญแจโบราณดอกเล็กสีทอง ในใจพลันคิดไปว่าคงจะเป็นดอกนี้เพราะแม่กุญแจเองก็เป็นสีทองเช่นกัน แต่เมื่อเสียบลูกกุญแจเข้าไปแล้วแม้จะบิดไขอย่างไรก็ไขไม่ได้สักที
“ใช่ดอกนี้แน่เหรอเอเลน” อาร์มินเอ่ยถามพร้อมกับออกแรงบิดกุญแจหนักขึ้นจนน่ากลัวว่าลูกกุญแจจะหักเสียก่อน
“ก็ดอก........” เอเลนพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะถลึงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นลูกกุญแจที่เสียบคาอยู่ ร่างบางถลันตัวลงจากเตียงนอนจนหน้าแทบคว่ำโวยวายเสียงดัง
“ไม่!!! ไม่ใช่ดอกนั้น”
อาร์มินที่ตกใจเสียงตวาดของเอเลนรีบผละมือออกจากลูกกุญแจ ในขณะที่เอเลนถลันตัวเข้ามาคว้าลูกกุญแจหมายจะดึงออกมา แต่ความอุ่นร้อนจากลูกกุญแจกลับลามเลียตั้งแต่ปลายนิ้วลุกลามไปจนทั่วทั้งตัวแสงสีทองเจิดจ้าบาดตากลบบรรยากาศเงียบเหงาในห้องพักไปจนมิด
ไม่จริงน่า......ไม่.....ไม่ใช่ตอนนี้นะ..............ไม่!!!!!!!!!!!!!
เอเลนได้แต่แหกปากกรีดร้องในใจอย่างสุดเสียงกับความซวยของตัวเองก่อนที่ทั้งตัวจะถูกดูดเข้าไปในห้วงมิติแห่งแสง จวบจนเมื่อแสงสว่างเจิดจ้าจางหายไปอาร์มินจึงได้สติ เด็กหนุ่มกวาดตามองรอบห้องหาเพื่อนสนิทที่เมื่อครู่ยังยืนอยู่ตรงหน้าเขาแต่บัดนี้กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมกับแสงประหลาดนั่น
“อ......เอเลน?”


สิ้นลำแสงสีทองกระจ่างเอเลนพลันพบว่าตัวเองกลับมาอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่คุ้นเคยอีกครั้ง คุ้นเคยมากๆเสียด้วย สวนสวยราวกับโอเอซิสขนาดเล็กที่ปราศจากผู้คนแห่งนี้จะเป็นที่ใดได้หากไม่ใช่เขตพระราชฐานชั้นในของพระราชวังแห่งธีบส์
ชิบหาย!!!
เด็กหนุ่มร่างบางกัดปากสบถเสียงเบา ทำไมเขาถึงได้ซวยจับพลัดจับผลูย้อนเวลากลับมาอีกแล้ว ยิ่งข้าวของไม่มีอะไรติดตัวมาสักอย่างมีทางเดียวคงต้องหาทางหลบไปจากที่นี่ก่อนหาประตูสักบานที่พอจะเสียบลูกกุญแจเข้าไปได้แล้วกลับไปสู่โลกปัจจุบัน มันจะติดก็แต่ไอ้บานประตูหน้าต่างในวังแห่งนี้มันใช้แบบดานเหล็กขัดทั้งหมดนี่สิแล้วจะไปหาบานประตูที่ลั่นกลอนกุญแจจากไหนได้กัน
เด็กหนุ่มค่อยๆลัดเลาะออกจากสวนอย่างระมัดระวัง เอเลนอยู่ที่นี่นานพอจะรู้ทางหนีทีไล่ในพระราชวังแห่งนี้ดีพอสมควรการจะหลบหลีกเวรยามย่อมไม่ใช่เรื่องยาก
แต่ใครเลยจะรู้ว่าการปรากฏกายอย่างกะทันหันของเด็กหนุ่มร่างอวตารนั้นอยู่ภายใต้สายตาของบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งตั้งแต่ต้นแล้ว
“ยังคิดว่าเจ้าจะหนีพ้นอีกหรือ”
ชายหนุ่มร่างกำยำสาวเท้าเข้าประชิด วงแขนใหญ่กำรวบเอาต้นคอของเด็กหนุ่มควบคุมไว้ในกำมือ เอเลนถึงกับสะดุ้งแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ออกแรงอย่างเต็มที่แต่การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของอีกคนก็ทำให้เขาตกใจ
“ไม่ได้หนีสักหน่อย” เด็กหนุ่มบิดตัวร้องเย้วๆ แต่คนที่แรงเยอะกว่าก็หาได้สนใจ ฟาโรห์หนุ่มหิ้วคอหนุ่มน้อยเดินมาตามทางเงียบๆไม่พูดไม่จา
สีหน้าถมึงทึงของฟาโรห์เหนือหัวทำให้เหล่าทหารยามต่างหวาดผวา ยิ่งมองเห็นว่าเด็กหนุ่มที่ดิ้นเร่าอยู่ในกำมือของพระองค์นั้นเป็นใครก็ยิ่งไม่มีใครกล้าสอดมือเข้าไปยุ่ง ทุกคนต่างปิดปากเงียบปล่อยให้คนทั้งคู่เดินผ่านไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ประตูห้องนอนถูกถีบเปิดออกอย่างรุนแรงก่อนจะกระแทกปิดด้วยตัวมันเอง เอเลนถูกจับโยนขึ้นไปบนเตียงโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงตามด้วยร่างใหญ่ของฟาโรห์หนุ่มที่ปีนขึ้นไปนั่งคร่อมทับบนตัวเขา
อีกแล้ว......ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ต้องมาลงเอยที่ห้องนอน จบลงที่เตียงหลังนี้ทุกที ไม่มีที่อื่นแล้วหรือไงนะ!!! ....
เอเลนได้แต่ร้องท้วงในใจ แต่กว่าจะตั้งตัวได้มือเรียวทั้งสองข้างก็ถูกตรวนเข้ากับโซ่เหล็กขึงพรืดไว้กับเสาเตียงเสียแล้ว แม้ช่วงปิดเทอมที่ผ่านมาเอเลนจะได้ฝึกปรือการสะเดาะกุญแจในรูปแบบต่างๆจนเรียกได้ว่าแทบจะเชี่ยวชาญ แต่ใครจะนึกว่าเขาจะถูกขังไว้กับโซ่ตรวนติดกับเตียงในท่าทางที่ล่อแหลมเช่นนี้ แล้วอีแบบนี้จะหนีออกไปได้ยังไงกัน
“คนประเภทไหนที่มันมีตรวนกุญแจมือเหล็กเก็บไว้ใต้เตียงตัวเองกัน” เอเลนที่แม้มือสองข้างจะถูกตรึงและร่างถูกทับไว้ก็ยังมีปากที่ว่างพอจะต่อล้อต่อเถียงได้อยู่ทั้งร้องทั้งดิ้นไม่ยอมหยุด แต่ฟาโรห์หนุ่มก็ทำเพียงแค่กอดอกนั่งทับเอวเขาและจ้องมองเขาดิ้นอยู่เงียบๆจนเหนื่อยหยุดไปเอง
ร่างบางถึงกับนอนแผ่กับเตียงอย่างหมดแรง ร่างกายที่ถูกทับนั้นอึดอัดเสียจนต้องเผยอกลีบปากบางสีเชอร์รี่ขึ้นหายใจ เม็ดเหงื่อซึมตามไรผมจนเปียกชุ่มล้อมกรอบใบหน้าเรียวชวนเอ็นดู ดวงตากลมโตสีทองอร่ามถลึงตาจ้องมองมาที่ฟาโรห์หนุ่มอย่างหงุดหงิด ในคราแรกรีไวเองก็เกือบจะเผลอตัวปาดปอยผมชื้นเหงื่อที่ระแก้มเนียนของอีกฝ่ายให้ด้วยความเอ็นดูแล้ว แต่เห็นแววตารั้นๆกับท่าทางต่อต้านดื้อดึงแบบนั้นของอีกฝ่ายเขาก็อดไม่ได้ที่จะสั่งสอน ฟาโรห์หนุ่มจึงเก็บมือกอดอกจ้องมองคนที่เอาแต่ต่อต้านเงียบๆ ใช้ความสงบของตนสยบการต่อต้านของอีกฝ่าย
จ้องมองอีกฝ่ายเงียบๆด้วยความประหลาดใจ ไม่น่าเชื่อว่าใบหน้างามนี้จะแสดงอารมณ์ออกมาได้อย่างหลากหลายเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ประเดี๋ยวหงุดหงิด เดี๋ยวโกรธขึ้ง แต่ฉับพลันก็แสดงสีหน้าน้อยอกน้อยใจออกมาเสียในทีนั้น ฟาโรห์หนุ่มอดสงสัยไม่ได้จริงๆว่าร่างอวตารของเขานั้นกำลังคิดอะไรอยู่
ยอมรับว่าช่วงหลายเดือนที่ไม่เห็นหน้าเด็กหนุ่มผู้นี้เขาถึงกับไม่เป็นอันกินอันนอน แม้จะให้ฮันจ์ทำพิธีอัญเชิญหรือพยายามติดต่อกับทวยเทพอย่างไรก็ไร้ผล แต่จู่ๆเด็กหนุ่มก็ปรากฏกายขึ้นมาตรงหน้าจะปล่อยให้หนีไปได้อีกหรือ อีกอย่างการได้เฝ้ามองสีหน้าหงุดหงิดกระเง้ากระงอดของอีกฝ่ายแบบนี้มันก็เพลินดี บอกตามตรงว่าเขาไม่เคยรู้สึกเบื่อเลยสักนิดเวลาที่มีเด็กหนุ่มผู้นี้อยู่ข้างกาย
เมื่อรู้สึกเหนื่อยเอเลนจึงทำได้เพียงแต่เล่นเกมจ้องตากับเขาเงียบๆก่อนที่แก้มเนียนจะเริ่มแดงเรื่อขึ้นน้อยๆจนตัวเองต้องเป็นฝ่ายเบนสายตาหนีไปเสียก่อน นั่นทำให้เอเลนไม่อาจเห็นรอยยิ้มละมุนของฟาโรห์หนุ่มได้ในขณะนั้น
“คนอย่างข้า.......ที่เก็บเอาไว้ใช้กับเจ้าโดยเฉพาะอย่างไรล่ะ” ริมฝีปากหยักก้มลงกระซิบชิดใบหูของเด็กหนุ่ม น้ำเสียงยั่วเย้าอีกทั้งลมหายใจร้อนผ่าวกลับทำให้เด็กหนุ่มใต้ร่างออกอาการขวยเขินหนักขึ้น เด็กหนุ่มหลับตาปี๋กัดริมฝีปากตนเองแน่นด้วยความกระดากอาย
“ลุกออกไปเถอะ หนักจะตาย ร้อน อึดอัด หายใจไม่ออก” เอเลนบ่นกระปอดกระแปด
รีไวมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเอเลนที่หลับตาแน่นไม่ยอมสบตากับตนเองแล้วพาลให้นึกอยากรังแกคนตรงหน้าขึ้นมาตงิดๆ
“หากเจ้าร้อนข้าจะช่วยคลายร้อนให้” ฟาโรห์หนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้มร้ายกาจ มือใหญ่ค่อยๆริดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเอเลนออกอย่างใจเย็น ลูบไล้ผิวเนื้อเนียนนุ่มของร่างอวตารอย่างย่ามใจ
“หากเจ้าจะหมดลมหายใจ ข้าจะช่วยต่อให้”
มือใหญ่พลันบีบใบหน้าเรียวให้หันมาสบกับตนพร้อมกับทาบริมฝีปากลงจุมพิตกลีบปากบางช่างเถียงของคนดื้อรั้นด้วยความจาบจ้วง จุมพิตเร่าร้อนปลุกเร้าไฟแห่งสิเน่หาที่เด็กหนุ่มไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน รสสัมผัสของผู้มากประสบการณ์ได้แต่ทำให้เอเลนเผลอไผลไปกับการปรนเปรอของฝ่ายนั้น
รีไวที่ถูกสัมผัสหวานล้ำแผ่ซ่านตั้งแต่ปลายลิ้นแทงทะลุเข้าสู่หัวใจจนเต้นระรัวผละจากกลีบปากบางมาด้วยความเสียดาย ก้มมองเด็กหนุ่มร่างอวตารที่สายตาเลื่อนลอยพลางเอ่ยถามเสียงเบา
“เจ้ายังรู้สึกหายใจไม่ออกอีกหรือไม่”
เอเลนเกือบจะพยักหน้าในทีแรกแต่สุดท้ายก็ส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพัลวัน รีไวจึงก้มลงจุมพิตปลายจมูกรั้นของร่างบางเบาๆ
“ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว แต่ในที่สุดเจ้าก็กลับมา” ฟาโรห์หนุ่มพึมพำเสียงแผ่วขณะที่ซบพักตร์ลงกับแผ่นอกเปลือยของเด็กหนุ่มใต้ร่าง นอนฟังเสียงหัวใจที่เต้นระรัวของเอเลนอย่างตั้งอกตั้งใจ
“ก็ว่าจะไม่มาอีกแล้วล่ะ แต่ก็..............ช่างมันเถอะ” เอเลนเอ่ยตอบพลางถอนหายใจอย่างปลงตก ในขณะนั้นเอง รีไวได้หยัดกายขึ้นสบตากับเอเลนตรงๆแล้วตรัสสั่งเสียงเข้ม
“นับแต่นี้เป็นต้นไป หากข้าไม่อนุญาตเจ้าไม่มีสิทธิ์ไปไหนห่างไกลจากข้าอีก”
“เรามาตกลงกันก่อนดีกว่ามั้ย” เอเลนเอ่ยขัดพร้อมกับกระชากข้อมือตัวเองให้รีไวดู
“เอานี่ออกไปด้วย มันรู้สึกไม่ดีเลยที่ถูกตรึงแบบนี้”
“ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าจนกว่าเจ้าจะรับปาก”
“พบกันครึ่งทางดีกว่า ปล่อยก่อน ท่านเล่นทับอยู่แบบนี้ถึงอยากจะหนีก็ใช่ว่าข้าจะไปไหนได้” เห็นดังนั้นฟาโรห์หนุ่มจึงยอมปลดตรวนออกจากข้อมือของเอเลนแต่โดยดี
“อย่างแรกที่ท่านต้องรู้ ข้าไม่ใช่คนของโลกนี้จะให้อยู่ที่นี่ตลอดมันเป็นไปไม่ได้”
“แต่ในเมื่อเจ้าเป็นร่างอวตารที่เทพราส่งมาเพื่อข้าแล้วเหตุใดจะอยู่กับข้าตลอดไปไม่ได้”
“ที่.....เอ่อ....ที่โลกเทพข้ายังมีภารกิจอีกหลายอย่างที่ต้องทำ ข้ายังต้องเรียนหนังสือ และถ้าหากข้าใช้เวลาอยู่ที่นี่ทั้งหมดจนเวลาเรียนไม่ครบข้าก็จะเรียนไม่จบแล้วเมื่อนั้นพ่อของข้าต้องเล่นข้าจนตายแน่”
“เป็นเทพเจ้าก็ยังต้องร่ำเรียนอีกหรือ”
“ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือมนุษย์ก็ต้องขวนขวายหาความรู้กันทั้งนั้น”
“แล้วถ้าเช่นนั้นเจ้าต้องการให้ข้าทำเช่นใด” ฟาโรห์หนุ่มตรัสถามร่างอวตารเสียงเข้มด้วยความหงุดหงิดเล็กๆที่ถูกขัดใจ
“ประการแรก ท่านต้องปล่อยให้ข้ากลับไปยังโลกของข้าได้ เมื่อข้าต้องการ”
“ไม่ใช่เมื่อเจ้าต้องการ แต่ต้องเป็นเมื่อข้าเห็นชอบเท่านั้น........หากเจ้าไม่ตกลงก็อย่าได้คิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าได้กลับไป” เอเลนที่กำลังจะอ้าปากเถียงจำต้องปิดปากสนิทตีหน้าอูมขึ้นมาแทน
“ตกลงหรือไม่”
“..................ก็ได้” ร่างบางตอบเสียงสะบัด ก่อนจะเสนอข้อตกลงข้อที่สองขึ้นมา
“ประการที่สอง ห้ามลวนลามข้าเพราะข้าไม่เต็มใจ”
“หากเจ้าเต็มใจคือข้าทำได้สินะ” ฟาโรห์ตอบด้วยรอยยิ้มกริ่มก่อนจะตีหน้าขึงขัง
“นั่นมันก็แล้วแต่อารมณ์ของข้าอยู่ดี เจ้าจะเต็มใจหรือไม่ย่อมไม่ใช่เครื่องตัดสิน สรุปว่าประการแรกข้ายอมรับได้แต่ทุกครั้งต้องผ่านการเห็นชอบจากข้าเท่านั้น ส่วนประการที่สอง ข้าจะดูเป็นสถานการณ์ไป” รีไวราเมสยิ้มกริ่มด้วยความพึงพอใจเพราะข้อตกลงนี้เขาได้เปรียบเห็นๆ เอเลนจึงทำได้เพียงแค่ตวัดสายตามองเขาอย่างโกรธๆเพียงเท่านั้น
“ก็ดีกว่าไม่ได้กลับล่ะน่า” ร่างบางบ่นพึมพำเสียงเบา
“ก็ได้ ถ้าเช่นนั้นครั้งนี้ท่านต้องปล่อยให้ข้ากลับไปก่อน เพราะยังมีของอีกหลายอย่างที่ข้าไม่ได้ถือติดมือมาด้วย ข้าต้องกลับไปเอามา”
“ไม่ได้คืนนี้เจ้าต้องอยู่กับข้าที่นี่” ฟาโรห์หนุ่มกล่าวพลางรวบกอดร่างบางแล้วล้มลงนอนบนเตียงด้วยกัน
“เดี๋ยว!!! ตกลงกันแล้วนี่ ทำไมกลับคำเสียล่ะ” เอเลนร้องประท้วงขณะที่พยายามดันร่างที่กอดรัดตนอยู่ออกให้ห่าง
“ข้าบอกว่าคืนนี้เจ้าต้องอยู่กับข้า พรุ่งนี้ข้าจะอนุญาตให้เจ้ากลับไปได้ แต่ไปแล้วต้องรีบกลับมาในทันที กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ เจ้าเองก็เป็นเทพคงไม่กลืนน้ำลายตัวเองง่ายๆใช่หรือไม่”
“รู้แล้วน่า” เอเลนตอบรับเสียงเบามองหน้าคนที่สวมกอดเงียบๆ
“ทำไม มองหน้าข้าแบบนี้ หรือว่าเจ้าจะหลงเสน่ห์รูปโฉมของข้าเสียแล้ว” รีไวยิ้มเย้ากระเซ้าถามคนในอ้อมกอดเสียงเบา
“เปล่า แค่คิดว่าท่านนี่มันเจ้าเล่ห์เหมือนหน้าตาไม่ผิดจริงๆ” ฟาโรห์หนุ่มหัวเราะในลำคอรับถ้อยคำเหน็บแนมด้วยความเปรมปรีดิ์
“หลับตาเสียเถิดเอเลน คืนนี้เจ้าได้ผ้าห่มพิเศษอย่างข้าโอบอุ้มกายในแบบที่ไม่เคยมีสตรีนางใดในธีบส์ได้รับ ข้ารับรองได้ว่าคืนนี้เจ้าจะต้องหลับฝันหวานเป็นแน่” เอเลนพลิกกายหันหลังให้กับคนที่กอดตนด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะเหน็บไปอีกดอก
“เรื่องหลงตัวเองนี่ท่านก็คงเป็นที่หนึ่งในธีบส์แน่ๆ”
ฟาโรห์หนุ่มหัวเราะหนักจนแผ่นอกกระเพื่อม แผงอกแน่นมัดกล้ามเสียดสีกับแผ่นหลังของเอเลนเบาๆ
“ข้าหลงตัวเองย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก เกรงก็แต่เจ้าจะมาหลงข้าจนโงหัวไม่ขึ้นอีกคนก็เท่านั้น”
“เฮอะ หลับตาแล้วเชิญฝันเปียกไปเองคนเดียวเสียเถอะฝ่าบาท”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าควรจะฝันถึงเจ้าในร่างเปลือยเป็นไง หรือจะมีแค่ผ้าห่มผืนบางคลุมบั้นท้ายไว้อย่างหมิ่นเหม่ดี อืม.....แต่เมื่อครู่เจ้าที่ถูกโซ่ตรวนตรึงไว้กับเตียงก็น่ามองไม่หยอก ถ้าหากข้าค่อยๆเปลื้องอาภรณ์ของเจ้าออกช้าๆทีละชิ้นมันคง........”
เอเลนยกมือปิดหูก่อนจะซุกหน้าลงกับหมอนนุ่มสบถเสียงอู้อี้
“ตาแก่ลามก!!!!

เมื่อรุ่งเช้ามาเยือน รีไวราเมสได้พาร่างอวตารมุ่งหน้าไปยังมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์แต่เช้าตรู่ ที่แห่งนั้นฮันจ์และเหล่านักบวชได้ตั้งขบวนรอรับทั้งคู่เอาไว้แล้ว ที่ห้องบวงสรวงชั้นในผู้ที่เข้าไปได้มีเพียงเชื้อพระวงค์และมหานักบวชประจำวิหารเท่านั้น ในห้องประกอบพิธีจึงมีเพียงแค่ รีไว เอเลน และฮันจ์เพียงเท่านั้น
“ท่านพาข้ามาที่นี่ทำไม” เอเลนเอ่ยถามด้วยความฉงน
“ข้าจะให้ฮันจ์ศึกษาเวทย์มนต์ที่เจ้าใช้ เอาไว้เมื่อตอนที่เจ้าคิดตลบหลังข้าหากไม่ยอมกลับมา ข้าจะได้ไปลากตัวเจ้ากลับมาเอง”
“ต่อให้เป็นท่านฮันจ์ก็ไม่อาจทำได้หรอก” เอเลนหัวเราะร่วน
“ก็คงต้องลองดูเสียแล้วล่ะท่านร่างอวตาร” ฮันจ์ยิ้มเย็นหยิบแว่นตากันลมที่สวมอยู่บนศีรษะโล้นเลี่ยนของตนขึ้นสวมใส่ด้วยสีหน้าขึงขัง
เอเลนยักไหล่ยิ้มกริ่มเดินวนรอบห้องพิธีหนึ่งรอบจนพบกับช่องสลักกุญแจเล็กๆบนดานหน้าต่าง มือเรียวหยิบสร้อยทองที่ห้อยกุญแจดอกเล็กสีทองเปล่งประกายขึ้นมาให้รีไวและฮันจ์ได้ยลพร้อมกับรอยยิ้มงามที่กว้างยิ่งขึ้น
“นี่คือเวทย์มนต์ของข้า” เอเลนเสียบกุญแจเข้าไปในรูสลักและบิดจนเกิดเสียงดังคลิกในจังหวะที่รีไวพุ่งปราดเข้าประชิด
“ช้าก่อน!!!” แสงสีทองเจิดจ้าส่องสว่างวาบอย่างฉับพลัน เอเลนหลับตาลงปล่อยให้ลำแสงเจิดจ้าอาบไล้กลืนกินร่างกายอย่างคุ้นเคย
เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าตนกลับมาที่ห้องพักแล้ว อาร์มินที่ดูเหมือนจะอดหลับอดนอนทั้งคืนจ้องมองมาที่เขาพลางชี้นิ้วมาอย่างตื่นตระหนก
“อาร์มิน ฉันอธิบายได้”
“อ.....เอเลน......ข......ข้างหลัง.......”
เมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าร่างใหญ่ของฟาโรห์หนุ่มยืนโงนเงนอยู่ด้านหลัง
“ฮ......เฮ้ย!!!” เด็กหนุ่มทั้งสองรีบถลันตัวเข้าไปช้อนรับร่างใหญ่ที่กำลังจะล้มฟาดพื้นลงก่อน
“ทำไมร้อนอย่างกับไฟแบบนี้” อาร์มินเอ่ยถามสีหน้าตื่นตระหนก
“ไม่รู้ พาไปที่เตียงก่อน” ทั้งสองคนช่วยกันลากร่างของรีไวราเมสขึ้นไปนอนพักบนเตียงของเอเลน
“เดี๋ยวฉันไปเอาน้ำมาให้”
อาร์มินกล่าวกับเอเลนที่กำลังเปลื้องอาภรณ์ของฟาโรห์หนุ่มออกอย่างคุ้นเคย เมื่อเอเลนรับผ้าชุบน้ำมาจากอาร์มินจึงรีบเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้กับฟาโรห์หนุ่มจนกระทั่งอุณหภูมิกายคลายตัวลง สีหน้าคนนอนหลับดูสุขสบายขึ้นทั้งสองจึงเริ่มเบาใจ เอเลนกระชับผ้าห่มคลุมร่างเปลือยของฟาโรห์หนุ่มแล้วจึงหันไปสบตากับอาร์มิน
“เอเลน...........นายมีคำอธิบายใช่มั้ย”
เอเลนถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเอ่ยตอบตามตรง
“อันที่จริงแล้ว เรื่องทั้งหมดมันเริ่มต้นมาจากพีระมิดที่หุบเขากษัตริย์ในเมืองลักซอร์.................”


“อา..............งดงาม..................ช่างงดงามอะไรเช่นนี้!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” ฮันจ์ถึงกับส่งเสียงโห่ร้องด้วยความปีติดังลั่นมหาวิหาร
“งดงาม ช่างงดงาม สมบูรณ์แบบ”
แน่นอนว่าในแสงเจิดจ้านั้นเขาได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่าง เห็นโพรงหนอนขนาดใหญ่ที่เปิดช่องว่างระหว่างมิติอยู่เบื้องหน้า เห็นร่างอวตารถูกดูดกลืนเข้าไปในโพรงนั้นและสุดท้ายเห็นรีไวกระโจนร่างตามเอเลนเข้าไปติดๆก่อนที่โพรงหนอนจะปิดลง มนุษย์ธรรมดาไม่อาจมองลำแสงแห่งเทพได้โดยตรง แต่เขาซึ่งคลุกคลีอยู่ในวงการนี้มีหรือจะไม่รู้วิธีป้องกัน แว่นตาที่ลงอาคมพิเศษนี้สามารถมองผ่านลำแสงแห่งเทพได้เป็นอย่างดี เขารู้ว่าเวทย์มนต์ที่เอเลนใช้คือการเปิดช่องว่างระหว่างมิติ แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่าสถานที่ที่สองคนนั้นเดินทางไปนั้นเป็นที่ใดกันแน่
“ฮะฮะฮะฮ่า........รีบๆกลับมาเล่าให้ข้าฟังเร็วๆนะรีไว”


“หมายความว่าเขาคือ ฟาโรห์รีไวราเมสที่สองแห่งอียิปต์ราชวงค์ใหม่จริงๆน่ะเหรอ”
“ใช่”
“และนายก็ทะลุเวลาย้อนอดีตไปช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดของอียิปต์จริงๆ ด้วยกุญแจดอกนั้น”
“ใช่.......และฉันยังได้อยู่ในเหตุการณ์กบฏทาสด้วยนะ ฟาโรห์หื่นกามคนนี้ก็เป็นคนที่ใช้ได้ทีเดียว” เอเลนเอ่ยตอบเสียงขรึม
“อย่ามาล้อเล่นน่า ก็เขาเป็นฟาโรห์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อียิปต์เชียวนะ...........................อู้ว.....ยิ่งใหญ่จริงๆ”
เอเลนมองตามสายตาของอาร์มินที่มองเลยไปด้านหลังของเขาก่อนจะปะทะเข้ากับร่างเปลือยของใครบางคนในระยะประชิด เครื่องเพศสมชายชาตรีที่แกว่งไกวอยู่ต่อหน้าอยู่ในระดับสายตาของเด็กหนุ่มพอดิบพอดี เอเลนคว้าอาภรณ์ของฟาโรห์หนุ่มโยนไปใส่อีกฝ่ายด้วยความโมโหกึ่งขวยเขิน
“ใส่เสื้อผ้าสักทีเถอะ อุจาดตาชะมัด”
แต่คนที่แก้ผ้าล่อนจ้อนก็ดูจะไม่สะทกสะท้านเอาเสียเลย ฟาโรห์หนุ่มแก้ผ้าเดินโทงๆสำรวจห้องของพวกเขาอย่างสนอกสนใจ
“ไม่เป็นไร ถ้าฉันแข็งแกร่งและรูปงามได้อย่างพระองค์ฉันก็ไม่อายที่จะแก้ผ้าแล้วออกไปเดินกลางสนามบาสหรอกนะ ดูไลน์กล้ามเนื้อบนร่างของพระองค์สิ งดงามจนทั้งโลกต้องยอมสยบ” อาร์มินเอ่ยชื่นชมจนตาลอยในขณะที่เอเลนทำหน้าแหวะอยู่ข้างๆ รีไวที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างเฝ้ามองกลุ่มนักศึกษาที่เล่นบาสอยู่สนามด้านล่างถอดรัดข้อทองคำของตนออกแล้วโยนให้กับอาร์มิน
“พูดได้ดี นี่คือรางวัลของเจ้า”
“ขอบพระทัย” อาร์มินยิ้มกริ่มลูบๆคลำๆกำไลทองคำจนตาวาว
“เอาล่ะ รู้แล้วว่าใหญ่ แต่ใส่เสื้อผ้าสักทีเถอะ!!! บ้าเอ้ย มีแต่พวกบ้าบอประสาทกลับทั้งนั้น” เอเลนหลุดสบถออกมาชุดใหญ่ เมื่อเห็นท่าทางหัวเสียของเด็กหนุ่มร่างอวตาร รีไวจึงยินยอมสวมใส่อาภรณ์ของตนแต่โดยดี
“เด็กหนุ่มผู้นี้คือใครกัน” รีไวตรัสถามเมื่อสวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย
“เขาเป็นเพื่อน......คือเป็นเทพเหมือนกันกับข้า อาร์มินเป็นเทพแห่งปัญญา” เอเลนตอบอึกอักพร้อมสะกิดอาร์มินที่งงเต๊กให้เออออห่อหมกไปด้วย รีไวจ้องมองเด็กหนุ่มทั้งสองเงียบๆก่อนจะเอ่ยขึ้น
“น่าแปลกใจที่ราไม่ส่งเขาไปให้ข้าแทนเจ้า เทพแห่งปัญญาที่ปราดเปรื่องคงจะมีประโยชน์มากกว่าร่างอวตารที่พูดไม่รู้ฟังอย่างเจ้าเยอะ” สิ้นถ้อยคำของฟาโรห์หนุ่มเอเลนถึงกับฉุนกึก
“เปลี่ยนตัวยังทันนะ” เอเลนสะบัดเสียงตอบอย่างไม่พอใจในขณะที่อาร์มินส่ายหน้าดิกไม่ยอม
“ข้าก็แค่ล้อเจ้าเล่น ไหนล่ะของที่เจ้าจะกลับมาเอา” ฟาโรห์หนุ่มยิ้มกริ่มพอใจที่ยั่วโมโหเอเลนได้สำเร็จตรัสกลั้วหัวเราะ
“ก็กำลังจะเอานี่แหละ” เอเลนตอบพลางคว้าเอากระเป๋าฉุกเฉินแบกสะพายขึ้นบ่า
“แค่นั้นหรือ” รีไวที่กำลังสนอกสนใจกับกรอบรูปถ่ายของเอเลนที่ตั้งไว้ที่หัวเตียงเอ่ยถามพร้อมกับสีหน้าฉงน
“แค่นี้แหละ กลับกันได้แล้วน่า” เอเลนตอบเสียงแข็งพร้อมกับควักดอกกุญแจออกมาไขเข้าไปตรงๆที่รูล็อคกุญแจประตูตู้เสื้อผ้า แสงสีทองเจิดจ้าส่องสว่างออกมาทั่วห้อง
รีไวคว้ากรอบรูปที่ใส่รูปถ่ายของเอเลนติดมือไปด้วยแล้วหันไปบอกลากับอาร์มิน
“แล้วพบกันใหม่ เทพแห่งปัญญาอาร์มิน” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเลือนหายไปพร้อมกับแสงสีทองที่ดับวูบลง อาร์มินได้แต่ยิ้มแห้งๆโบกมือให้กับประตูตู้เสื้อผ้าคนเดียว
“บายฮะ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบพระองค์”

หลังจากผ่านการเดินทางผ่านห้วงมิติมาอย่างทรมาน รีไวก็ได้โผล่ขึ้นที่ใจกลางน้ำพุของมหาวิหารพร้อมๆกับเอเลน ร่างกายที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วงจากการเดินทางข้ามมิติถึงกับชาดิกร้อนระอุราวกับอยู่ในธารลาวา แต่หลังจากที่แช่น้ำเย็นสักครู่ความเจ็บปวดก็เริ่มทุเลาลง ฟาโรห์หนุ่มลืมตาขึ้นช้าๆจึงพบกับใบหน้าของเด็กหนุ่มร่างอวตารที่มองมาด้วยความเป็นห่วง
“ท่าน......ไม่เป็นไรนะ”
“ข้าสบายดี” ตรัสพร้อมกับหยัดกายลุกขึ้น
“ก็รู้ว่าไปไม่ได้แล้วจะตามไปด้วยทำไม”
“ครั้งก่อนข้าพลาดไป แต่ครานี้ไม่ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรข้าก็จะไม่ยอมพลาด” รีไวกล่าวพร้อมกับเอื้อมแขนไปโอบเอวบางรั้งร่างเอเลนเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด
“ข้าไม่ยอมให้เจ้าหนีข้าไปอีกแน่ ข้าจะตามเจ้าไปให้ถึงที่สุดแม้ที่แห่งนั้นจะเป็นประตูนรกก็ไม่อาจขวางข้าได้” มือใหญ่ลูบไล้แก้มเนียนแผ่วเบาจนคนที่ถูกสัมผัสถึงกับเคลิบเคลิ้มไปกับดวงตาดำขลับที่มีมนต์ขลังของฟาโรห์หนุ่ม
“เพราะเหตุนั้น.................ข้าจะเก็บกุญแจดอกนี้เอาไว้เอง” เมื่อเห็นว่าเอเลนกำลังเผลอไผลมือใหญ่จึงฉวยเอากุญแจดอกเล็กที่เด็กหนุ่มถือไว้มาคล้องคอตัวเองแทน เอเลนที่กำลังเบลอๆถึงกับสะดุ้ง
“เดี๋ยว!!! ท่านเอาไปไม่ได้นะ”
“ข้าจะเก็บกุญแจดอกนี้ไว้ หากเจ้าคิดจะกลับแดนเทพเมื่อไหร่ ต้องขออนุญาตกับข้าเป็นการส่วนตัวเท่านั้น ส่วนจะได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับความพยายามของเจ้าเอง ตามที่ตกลงกันไว้” รีไวส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ไปให้ร่างอวตารหนุ่มก่อนจะกระโจนร่างออกจากบ่อน้ำพุแล้วหันกลับไปพูดกับเอเลนอีกครั้ง
“ถ้าเจ้าอยากให้ข้าใจอ่อน ก็ต้องอ้อนข้าให้มากเข้าไว้ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วก็อย่าหวังว่าจะได้กลับไปยังดินแดนเทพอีกเลย”
เอเลนได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่ร่างใหญ่ที่เดินห่างออกไป
พลาดอีกแล้ว เสียรู้อีกแล้ว พอจะเคลิ้มเข้าหน่อยก็ต้องหาเรื่องมาให้หงุดหงิดใจทุกที สุดท้ายก็ได้แต่ตะโกนกร้าวระบายความขุ่นเคืองในใจออกมาเท่านั้น
“ไอ้แก่ลามกเจ้าเล่ห์!!!!



2 ความคิดเห็น:

  1. เลอค่า~ รอเรื่องนี้มาตลอดเลยกรี้ดดดดดดด~!!! มรต่อนะค่าาาา

    ตอบลบ
  2. น้องต้องกลับไปเรียนนะคะคุณพี่ เด็กคืออนาคตของชาติ ถ้าพี่เปลี่ยนชื่อเป็นชาติแม่ก็จะให้น้องเป๋นอนาคตของพี่ (เล่นอะไร) น้องจะได้กลับไหมนางฟ้าตัวน้อยๆเสียท่าปีศาจแล้วว

    ตอบลบ