วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์ Chapter 12:

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์
Pairing: (LevixEren)
Rate: NC-17
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
Story By: AkeRah , Trendy Blood
………………………………………………………………………………………………..
Chapter 12:

 

                                เมื่อสักครู่เขาฟังไม่ผิดใช่ไหม? ธิดาของฟาโรห์ ลูกสาวของฟาโรห์รีไว? หัวสีน้ำตาลโครงไปมา จับต้นชนปลายถึงสิ่งที่ได้ยิน ตาแก่มักมากนั่นไข่ไม่เลือกที่จริงๆ ให้ตายสิ!! เสียงใสบ่นพึมพำในลำคอ
                เอเลนมองร่างของเด็กสาวที่วัยน่าไล่เลี่ยกับตนพลางถอนหายใจ หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบลทรูธจึงได้อุ้มพาตัวมือสังหารที่ดูเหมือนจะเป็นพระธิดาลับๆขององค์ฟาโรห์ด้วยนั่นมายังห้องรับรองที่เหลือในเขตพระราชฐาน ส่วนองค์ฟาโรห์ก็ยังคงดูวุ่นวายกับบางอย่างตอนนี้ถึงได้ทิ้งเขา เบเซท และเหล่าองครักษ์คนสนิทเบลทรูธไว้เฝ้าเด็กสาวในห้อง
                “นี่เบเซธ นายไม่ตะขิดตะขวงใจบ้างเลยเหรอ?” เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าอีกคนที่เป็นถึงโอรสโดยชอบธรรมดูไม่ทุกข์ร้อนอะไร
                เด็กหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งมองหน้าร่างอวตารด้วยแววตาสงสัย ก่อนจะพยักหน้าเข้าใจถึงเรื่องที่ถาม
                “ไม่เลยขอรับเอเลน เรื่องท่านพ่อมีสนมมากมายนี่ข้าพอรู้อยู่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกกับการจะเจอพี่น้องต่างมารดา ข้าออกจะตื่นเต้นเสียด้วยซ้ำที่จะรอนางฟื้นขึ้นมาเพื่อให้เราได้เสวนากัน”
                เอเลนตบลงบนบ่าเบเซธพลางดึงเข้ามากอด ไอฟาโรห์บ้านั่นไม่น่ามีลูกที่เป็นคนดีได้ขนาดนี้เลย เบเซธนายนี่มันเป็นคนดีจริงๆคงได้เชื้อแม่มาสินะ
                “อือ...”
                เสียงครางที่เริ่มรู้สึกตัวของเด็กสาวทำให้ทุกสายตาในห้องหันไปมอง เปลือกตาบางกระพริบถี่ๆก่อนจะลืมตาตื่นเต็มที่ ด้วยสัญชาตญาณเด็กสาวดีดตัวจากที่นอนโดยพลัน แต่เหมือนข้อเท้าจะแผลงด้วยความไม่ทันระวังตัวจึงทำให้ล้มลงไปที่เตียงอีกครั้ง นัยน์ตาสีฟ้าวาวโรจน์อย่างหวาดระแวง
                เบลทรูธเตรียมตั้งรับเผื่อเกิดอันตรายแต่เอเลนยกมือปรามไว้ เด็กหนุ่มรินน้ำที่วางไว้ยื่นให้เด็กสาว
                “ใจเย็นก่อนนะเธอน่ะ”
                ผัวะ!
                แก้วน้ำที่รินใส่ถูกปัดจากมือเด็กหนุ่มกลิ้งลงไปกองกำพื้น น้ำใสหกกระจายไปทั่วพื้นพรมในห้อง
                “ไม่จำเป็น ถ้าจะฆ่าข้าก็รีบทำเสียตอนนี้” แววตาสีฟ้าวาวโรจน์อย่างไม่เป็นมิตร
                “เบเซธ เบลทรูธ พวกนายสองคนออกไปก่อน”
                คำสั่งของเอเลนทำให้ทั้งสองแปลกใจและทัดทานแต่สีหน้าที่บอกว่าไม่เป็นไรและแววตาจริงจังนั่นทำให้เบลทรูธและเบเซธต่างต้องยอมออกจากห้องไปแต่โดยดี
                “ถ้ามีอะไรรีบเรียกพวกกระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ” เบลทรูธโค้งลา นัยน์ตาสีเข้มลอบมองใบหน้าเด็กสาวอย่างระแวงแต่ก็ต้องจำใจทำตามรับสั่งร่างอวตาร

                “เอาล่ะทีนี้ก็เหลือแค่เราสองคนแล้ว วางใจขึ้นบ้างหรือยัง?” เอเลนหันไปพูดคุยกับเด็กสาวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน
                “เจ้า ทำแบบนี้ทำไม ไม่ระวังตัวเลยรึไง เป็นถึงร่างอวตารแบบนี้” คนคนนี้ต้องการอะไรกันแน่ ทำแบบนี้เท่ากับเปิดทางให้ฆ่าตัวเองชัดๆ
                “ฉันแค่คิดว่ามีชายหนุ่มตั้ง 3 คนเฝ้าผู้หญิงตัวเล็กๆคนเดียวคงทำให้เธออึดอัดก็แค่นั่น อีกอย่างฉันอยากเชื่อใจเธอ” จากปฏิกิริยาของเด็กสาวที่ไม่แตกตื่นกับการถูกจัดเตรียมห้องพักแทนที่จะเป็นคุกใต้ดินให้แบบนี้ ดูเหมือนเจ้าตัวเองก็คงจะรู้เรื่องฐานะของตนเองอยู่บ้าง ทั้งๆอย่างนั้นคงมีเหตุที่ทำให้อยากลอบฆ่าเบเซธเป็นแน่แท้ หรือบางทีคงรวมถึงอง์ฟาโรห์และตัวเขาเองด้วย
                “งั้นเรามาทำความรู้จักกันดีกว่า ฉันชื่อเอเลน” แต่ถึงกระนั่นเอเลนก็คิดว่าในสายตาที่ดุดันของเด็กสาวตรงหน้าแม้เป็นนักฆ่าก็ไม่ได้น่ากลัว อย่างน้อยๆก็น่ากลัวน้อยกว่าฟาโรห์ที่คิดจะฆ่าเขาตั้งแต่แรกเจอ
                รู้ว่าไม่ควรไว้ใจ แต่การกระทำที่แปลกประหลาดของร่างอวตารทำให้เธอสนใจไม่น้อย สุดท้ายจึงยอมเอ่ยบอกชื่อตนไปอย่าง่ายดาย
                “ข้าชื่อแอนนี่”
                “โอเค แอนนี่ ตอนนี้เรารู้จักกันแล้ว ฉันไม่คิดจะไต่สวนเธอหรอกนะถ้าเธอไม่อยากเล่า เหตุผลที่เธออยากฆ่าเบเซธนั่นด้วย อันที่จริงถ้าเธอจะฆ่าไอฟาโรห์บ้ากามนั่นฉันจะสนับสนุนเต็มที่เลย”
แววตาสีอร่ามฉายประกายวาวราวกับที่บอกว่าจะฆ่าองค์ฟาโรห์นั่นเป็นเรื่องจริงที่ไม่ได้คิดเล่นๆ นั่นยิ่งทำให้มือสังหารแปลกใจยิ่งนัก ทั้งที่ร่างอวตารน่าจะเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดและปกป้ององค์ฟาโรห์ แต่นี่กลับอยากให้เธอกำจัดองค์ฟาโรห์เสียอย่างนั้น หรือนี่จะเป็นแผนการ?
                “ว่าแต่ แม่ของเธอล่ะ?” จำได้ว่าก่อนจะสลบไปสตรีตรงหน้าเอ่ยเรียกถึงท่านแม่ตั้งหลายครั้ง หลายครา
                แอนนี่เบือนหน้าหลบสายตาสีอร่ามก่อนจะจ้องกลับไปด้วยแววตาที่ไม่สบอารมณ์
                “ข้าไม่จำเป็นต้องตอบคำถามเจ้า ถ้าหวังจะล้วงข้อมูลล่ะก็ฆ่าข้าเสียให้สมกับเป็นคนลอบสังหาร หรือไม่ก็ส่งข้าไปทรมานเสีย อย่ามาเสียเวลาทำเยี่ยงนี้”
                “ฆ่าข้าซะ” เด็กสาวตะโกนคำราม ถ้าเธอตายไปซะทุกอย่างจะได้จบสิ้นเสียที
                เอเลนถอนหายใจพลางส่ายหน้าไปมา คนพวกนี้เป็นอะไรกัน เห็นเรื่องความตายเป็นเรื่องง่ายขนาดนั้นเชียว เอะอะก็คิดแต่เรื่องตาย เรื่องสงคราม ให้ตายสิไอพวกมนุษย์โบราญทั้งหลายเอ๊ย เข้าใจถึงสิทธิเสรีภาพ มนุษยธรรม อะไรแบบนี้กันบ้างไหม!!
                “จะฆ่าข้าก็รีบ!
                แปะ
            มือบางตบลงบนหน้าของเด็กสาวเบาๆ นัยน์ตาสีอร่ามมองไปยังนัยน์ตาสีฟ้าของเด็กสาวที่มองมาอย่างแปลกใจ
                “อย่าดูถูกชีวิตตัวเองนัก เธอรู้ไหมมีกี่คนที่ต้องดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดน่ะ ต่อให้จะเป็นขอทาน กบฏ สัตว์อื่นๆล้วนก็รักชีวิตตัวเองทั้งนั้น อย่าบอกให้ใครตัดสินชีวิตเธอง่ายๆแบบนี้รู้เปล่า”
                คำพูดของเอเลนราวกับทำให้แอนนี่ได้ฉุดคิด แน่นอนความตายสำหรับเธอไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะหลายครั้งที่เธอต้องดิ้นรนให้มีชีวิตรอด ทั้งๆที่คิดว่าคนที่อยู่สูงกว่าใครจะมองพวกเธอราวกับเป็นมดปลวกอย่างที่เคยเจอ แต่เด็กหนุ่มผู้ชื่อว่าร่างอวตารคนนี้กลับพูดถึงคุณค่าของชีวิตออกมาอย่างที่เธอไม่เคยได้เจอกับเหล่าผู้ที่จ้างวานเธอ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายโดยไม่คิดสนใจสิ่งมีชีวิตที่ชั้นต่ำกว่าตน
                “ท่านเป็นร่างอวตารแห่งอียิปต์จริงๆงั้นเหรอ?”
                เอเลนมองหน้าเด็กสาวพลางครุ่นคิด
                “บอกแล้วไงว่าชื่อเอเลน จะเป็นร่างอวตารหรือไม่มันสำคัญด้วยเหรอ?” ตำแหน่งและสิ่งที่ได้มาอย่างงงๆจนตอนนี้เขาก็ยังไม่คุ้นชิน และไม่เห็นที่จะเข้าใจเลยว่าการเป็นร่างอวตารนี้ยิ่งใหญ่ขนาดไหน เห็นมีแต่เรื่องวุ่นวายและปวดหัวเข้ามาไม่หยุดหย่อน อยากกลับไปเป็น เอเลน เยเกอร์ คนธรรมดาเสียมากกว่าด้วยซ้ำ
                “เจ้าช่างแปลกประหลาดนัก”
                “คนที่นี้ต่างหากที่แปลก” เอเลนตบลงบนบ่าของเด็กสาว ใบหน้ามนมองใบหน้าของแอนนี่ที่มองมาด้วยความฉงน
                “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าทำไมเธอถึงมาเป็นนักฆ่า แต่ถ้าเลิกได้ก็เลิกเถอะแม่เธอและคนสำคัญของเธอคงต้องเป็นห่วงแน่ๆ”
                “ข้าไม่มีผู้ใดให้คอยห่วงหรือกลับไป”
                เอเลนรู้สึกผิดที่ราวกับไปสะกิดเรื่องต้องห้ามในใจของเด็กสาว แต่ถึงอย่างนั้น นั่นไม่ใช่เหตุผลที่จะมาทำเรื่องอันตรายหรือเอาชีวิตไปทิ้งได้ง่ายๆ
                “...เออ..ขอโทษนะ ....แต่.. เออ อาจถือวิสาสะ แต่ฉันกับเธอตอนนี้รู้จักกันแล้วก็ถือว่าเป็นเพื่อนกัน ถ้าเธอมีอันตรายฉันคงรู้สึกไม่ดีเท่าไร อีกอย่างเธอต้องให้ความสำคัญกับตัวเองรู้ไหม อย่าบอกให้ใครฆ่าเธอง่ายๆหรือเอาชีวิตตัวเองไปทิ้งง่ายๆสิ”
                แอนนี่มองร่างอวตารที่ราวกับกำลังสั่งสอนเธออย่างจริงจัง น้ำเสียงและแววตานั่นเธอรับรู้ได้ว่าไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำเพื่อหวังผลประโยชน์จากเธอ ทั้งที่ไม่เคยเชื่อเรื่องทวยเทพหรือคำสอน เพราะรู้ดีว่าต่อให้ภาวนาจากก้นบึ้งของจิตใจเสียเท่าไรคำภาวนานั้นย่อมไม่เคยเกิดผล จะมีเพียงก็แต่สองมือที่พยายามไขว่คว้ามาโดยตลอด แต่ตอนนี้คำพูดของผู้ซึ่งเป็นตัวแทนแห่งเทพสุริยันต์ช่างชวนให้เคลิ้มตาม นัยน์ตาสีอร่ามที่แปลกประหลาดราวกับกำลังมองลึกเข้าไปในจิตใจ ทั้งที่ควรจะหวาดระแวง แต่ทำไมจิใจที่รู้สึกอบอุ่นราวกับถูกแสงอาทิตย์สาดส่องอย่างน่าประหลาด
                “เธอพักผ่อนอีกหน่อยแล้วกัน รุ่งเช้าเบเซธคงอยากที่จะรู้จักกับพี่สาวหรือไม่ก็น้องสาวร่วมสายเลือด”
                แอนนี่ส่งสายตาอย่างหวาดระแวง บุตรโดยชอบธรรมจะอยากรู้จักเธอไปทำไม?
                เอเลนหัวเราะขำกับท่าทางหวาดระแวงของเด็กสาวก่อนจะตบลงบนไหล่บางอีกครั้ง
                “ไม่จำเป็นต้องกังวล หมอนั่นเป็นคนดีกว่าที่เธอคิด ทั้งที่เธอหมายจะเอาชีวิตเบเซธ แต่เจ้านั่นบอกกลับดีใจที่ได้รู้จักพี่สาว หรืออาจะเป็นน้องสาวต่างมารดา ฉันก็ไม่ค่อยรู้อะไรหรอกนะ แต่ฉันว่าหมอนั่นดีใจจริงๆที่ได้พบเธอ”
                ร่างโปร่งของเด็กหนุ่มก้าวออกจากห้องโดยปล่อยให้เด็กสาวได้ใช้เวลายามค่ำคืนในการตัดสินใจ
                ทันที่ที่ออกมาจากห้องเบลทรูธและเบเซธต่างเข้ามาเพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของร่างอวตาร เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นทั้งสองจึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก
                “วันหลังอย่าบังคับกระหม่อมทำอะไรแบบนี้อีกนะพ่ะย่ะค่ะ เหมือนอายุกระหม่อมจะสั้นลงเลย” เบลทรูธบ่นอย่างหน่ายใจกับร่างอวตาร ถ้าเกิดนักฆ่าผู้นั่นอยู่ๆคิดจะสังหารร่างอวตารตอนที่อยู่สองต่อสองในห้อง เขาคิดไว้แล้วว่าพรุ่งนี้หัวเขาต้องหลุดจากบ่าเป็นแน่แท้
                “เอเลน ท่านไม่ระวังตัวเกินไปแล้ว อย่าลืมฐานะของท่านสิ” เบเซธตำหนิคนตรงหน้า หลายครั้งก็ไม่เข้าใจว่าคนคนนี้รู้ถึงสถานะของตัวเองบ้างรึเปล่า
                เอเลนมองทั้งสองก่อนจะหัวเราะขำขัน
                “เอาน่าตอนนี้ฉันก็ปลอดภัยดี อีกอย่างที่ฉันมั่นใจก็คิดไว้แล้วว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นพวกนายต้องช่วยฉันทันแน่ๆ และที่สำคัญ...” นัยน์ตาสีอร่ามมองไปยังประตูห้องของแอนนี่
                แววตาสีฟ้ายามเมื่อได้สบนั้นเขารู้สึกว่าเด็กสาวราวกับลูกสิงโตที่ได้รับบาดเจ็บ มีทั้งความหวาดระแวงและความกลัวมากกว่า แทนที่เขาจะเกรงกลัวเด็กสาวว่าเป็นนักฆ่า แต่เขากลับรู้สึกอยากยื่นมือเข้าไปหาเพื่อช่วยเหลือสัตว์ร้ายที่บาดเจ็บตัวนั้น.....
                เสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาในห้องอย่างแผ่วเบาแต่คนที่ยังไม่หลับและค่ำคืนที่เงียบสงัดก็รู้ได้ว่ามีผู้มาเยือน
                “นอกจากไข่ไปทั่วแล้วยังชอบทิ้งภาระให้คนอื่นอีกเหรอท่านน่ะ” เอเลนถากถางทันทีที่เห็นเจ้าของห้องบรรทมกลับมาในยามใกล้รุ่งสร่าง
                “จะต้องห่วงไปใยในเมื่อมีร่างอวตารผู้มากความสามารถคอยช่วยเหลือและสนับสนุนข้า” องค์ฟาโรห์ยิ้มกริ่มอย่างภูมิใจกับสิ่งที่ราชองครักษ์เบลทรูธรายงานยามเมื่อเขากลับมา
                นัยน์ตาสีอร่ามมององค์ฟาโรห์ราวกับคาดโทษ
                “ท่านน่ะควรระงับกามอารมณ์ไว้บ้างนะ ทำตัวแบบนี้เบเซธถึงได้มีอันตราย ถามจริงเถอะไม่กลัวว่าจะเกิดศึกสายเลือดบ้างรึไง?”
                มือหนาขององค์ฟาโรห์วางทาบทับลงบนผมสีน้ำตาล แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะไม่มีอารมณ์เล่นด้วย หัวนั่นจึงสะบัดหนีมือหนาที่วางทาบทับพร้อมทั้งตวัดตัวยืนขึ้นเมื่อฟาโรห์หนุ่มนั่งลงที่ข้างๆ
                “ห่วงข้าหรือ?” ฟาโรห์รีไวยิ้มกริ่มราวกับหยอกเหย้าร่างอวตารตรงหน้า ทำให้เอเลนยิ่งรู้สึกหมั่นไส้ฟาโรห์มักมาก
                “เปล่าเลย ที่ข้าห่วงคือเบเซธและประชาชนของท่านต่างหาก” ส่วนท่านน่ะจะไปตายให้จระเข้กินหรือโดนสิงโตงาบไปข้าก็ไม่สนหรอก
                คำตอบของเอเลนทำให้ฟาโรห์หนุ่มหัวเราะ และมันทำให้เด็กหนุ่มร่างอวตารยิ่งขมวดคิ้วไม่สบอารมณ์ หัวเราะบ้าอะไร?
                “ในที่สุดเจ้าก็เลือกฝ่ายธีบส์ของเรา บอกตามตรงแต่เดิมแววตาเจ้ามีความลังเลในการเป็นร่างอวตารและการช่วยสนับสนุนข้า แต่บัดนี้ยามเมื่อข้าได้ยินเจ้าพูดถึงเบเซธ ประชาราษฏร์แห่งกรุงธีปส์ รวมถึงการแสดงความสามารถต่างๆของเจ้า ณ. เหตุการณ์ครั้งนี้ ข้ามั่นใจแล้วว่าเจ้าเป็นร่างอวตารเพื่อข้าจริงๆเอเลน”
                ใบหน้ามนหน้าขึ้นสีทั้งรู้สึกโมโหและกรุ่นไปด้วยความรู้สึกอาย นี่ตกลงเจ้าฟาโรห์บ้านี่จงใจหลอกใช้เขาเพื่อพิสูจน์เจตนารมณ์ว่าเขาไม่มีอะไรแอบแฝงงั้นเรอะ ไอบ้านี่ที่บอกคิดจะฆ่าเขาก็คงจะไม่ลังเลเลยสินะ น่าโมโหชะมัด
                ทันทีที่จะตวัดตัวออกจากห้องก็ถูกมือใหญ่ของฟาโรห์หนุ่มฉุดรั้งตวัดลงนั่งลงบนตักแกร่งที่รองรับ
                “ปล่อยเลยไอตาแก่มักมาก” คำรามเสียงใส่ฟาโรห์ที่ยังคงยิ้มกริ่มอย่างน่าหมั่นไส้
                “ถ้ามีศึกสายเลือดจริงนับเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แต่อียิปต์ของเราการจะเป็นองค์ฟาโรห์ได้นั่นผู้ที่ตัดสินจะเป็นเหล่านักบวช ต่อให้มี่การทำการอุฉกรรจ์จริง มันผู้นั่นจักไม่ได้ปกครองอียิปต์ แต่โลหิตจะไหลลงสู่ไนล์เสียต่างหากเล่า” ฟาโรห์หนุ่มอธิบายพลางรัดลำตัวบางของเด็กหนุ่มที่พยายามดิ้นในอ้อนแขนให้แน่นขึ้น
                “ถึงอย่างนั้นเบเซธก็เสี่ยงอันตรายอยู่ดีไม่ใช่รึไง?” เอเลนดิ้นขลุกขลักพลางพยายามแกะแขนที่รัดแน่นให้ออก แต่ดูเหมือนแขนนั่นจะยิ่งรัดเอวเขาแน่นกว่าเดิม
                “ต่อให้ไม่มีศึกจากภายนอก ย่อมมีศึกภายใน ราชวงศ์แห่งเราใช่ว่าจะใสสะอาดเสียเมื่อไร เรื่องนั้นเบเซธย่อมรู้ดีที่สุด ข้าจึงอยากให้เขาเข้มแข็ง และยิ่งใหญ่กว่าใครเพื่อปกป้องตนเอง และประชาราษฏร์ในภายภาคหน้า”
                เอเลนมองสีหน้าจริงจังของฟาโรห์หนุ่ม ถึงจะมักมากแต่ดูเหมือนเขาจะรักและเอาใจใส่เบเซธตามแบบฉบับของเขาอย่างจริงจัง เขาที่ไม่เคยอยู่จุดสูงสุดมาก่อนไม่รู้หรอกนะว่าจะต้องพบเจอกับอะไร แต่ดูเหมือนองค์ฟาโรห์มักมากผู้นี้จะมีมุมที่อ่อนโยนอยู่ไม่น้อย
                “ข้ามีข่าวจะบอก เมื่ออาทิตย์ขึ้นเราจะเดินทางกลับธีปส์กัน”
                “เรื่องเจ้าหมูอ้วนฮัซซุสเรียบร้อยดีแล้วสินะ แสดงว่าที่ท่านหายไปคือไปตกลงกับตาเฒ่าโฮเทปสิท่า แบบนี้เราเพียงแค่แต่งตั้งผู้ปกครองคนใหม่แล้วส่งมาแทน อันที่จริงข้าคิดว่าโฮเทปควรเป็นผู้ช่วยผู้ปกครองคนใหม่เพราะเขารู้จักที่นี้ดี อีกทั้งเราจะได้แรงสนับสนุนจากประชาชนเพิ่มด้วย”
                เอเลนที่พยายามแกะมือคืมหนีบของฟาโรห์หนุ่มรู้สึกลิงโลดที่จะได้กลับไปยังธีปส์ ถึงจะรู้สึกว่าอยุ่ที่ไหนก็เหมือนกันแต่ที่ธีปส์เขาไปไหนมาไหนสบายกว่า อีกทั้งอย่างน้อยที่นั่นยังอากาศเย็นกว่าที่นี้อยู่บ้าง



                ขบวนกรีฑาทัพขององค์ฟาโรห์เคลื่อนพลกลับ ทิ้งไว้เพียงส่วนหนึ่งกับผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารกองหนึ่งเพื่อเป็นตัวแทนช่วยในการปกครองระหว่างรอส่งผู้ปกครองคนใหม่มา
                การเดินทางกลับในครั้งนี้ แอนนี่ถูกเชิญให้กลับไปยังธีปส์เช่นกัน แม้ตอนแรกจะดูอิดออดแต่เมื่อเอเลนบอกว่าอยากให้นางลองมาใช้ชีวิตที่ธีปส์ แอนนี่จึงตัดสินใจมาด้วยในฐานะผู้ติดตามพิเศษของร่างอวตาร ด้วยฐานันดรของแอนนี่ไม่อาจเปิดเผยต่อสาธารณะในขณะนี้ ฟาโรห์รีไวจึงปิดเงียบไว้เพื่อรอเวลาอันสมควร แต่ดูเหมือนแอนนี่เองนั่นก็ไม่คิดจะเปิดโปงฐานันดรหรือสนใจกับการเป็นพระธิดากษัตริย์เท่าใดนัก
                “ใกล้ถึงวังแล้วท่าแม่คงเสด็จออกมาต้อนรับเป็นแน่แท้” เบเซธเอ่ยอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นประตูเมืองอยู่ไม่ไกลจากปลายสายตา
                พูดถึงเสด็จแม่ จะว่าไปเขายังไม่เคยเจอแม่ของเบเซธเลย อีกทั้งตอนเคลื่อนทัพไปครั้งที่แล้วเหมือนว่าแม่ของเบเซธจะป่วยหรืออะไรเนี่ยแหละเลยทำให้เขาไม่ได้เจอ อยากรู้จักผู้หญิงที่สามารถดูแลเบเซธให้เป็นคนดีได้ขนาดนี้ถ้าได้เจอคงดีไม่น้อย
                ทันทีที่ขบวนทัพก้าวเข้าประตูเมืองเหล่าผู้คนต่างต้อนรับด้วยความอบอุ่นและชัยชนะ เสียงโห่ร้องอย่างยินดีดังระงม ผู้คนต่างโปรยดอกไม้เฉลิมฉลองต้อนรับเหล่าทหารกล้า และเหล่าฟาโรห์รวมถึงร่างสุริยันอย่างครึกครื้น
                เมื่อถึงประตูวังหญิงสาวร่างอรชรในชุดทรงเต็มยศมากมายแหละเหล่าเด็กหนุ่มสาวมากหน้าหลายตาต่างรอต้อนรับอย่างเนืองแน่น ร่างอรชรนางหนึ่งของหญิงสาวยืนเด่นเป็นสง่าท่ามกลางสตรีนางอื่น นางอยู่ในชุดแต่งกายชนชั้นสูงของอียิปต์อย่างเต็มยศ นัยน์ตาสีน้ำตาลอมส้มกรีดด้วยสีดำคลับตามแบบอียิปต์ เครื่องทรงที่สสวมใส่ดูหรูหรากว่าสตรีอื่นที่อยุ่รายล้อม เมื่ออาชาขององค์ฟาโรห์มาถึง สตรีผู้นั่นจึงก้าวลงจากบันไดไปรอรับต่อหน้าพระพักตร์ขององค์ฟาโรห์หนุ่ม
                “ขอต้อนรับการกลับมาเพคะองค์ฟาโรห์ผู้ยิ่งยง” ใบหน้าหวานใจดีราวกับเทพีไอซิสยิ้มละมุนต้อนรับฟาโรห์หนุ่ม
                “เสด็จแม่ขอบพระคุณที่ทรงออกมาต้อนรับ” เบเซธถวายความเคารพต่อหญิงสาวเบื้องหน้าก่อนจะฉีกยิ้มวก้างอย่างดีใจ
                นั่นคือแม่ของเบเซธงั้นเหรอ ดูสวยสง่าและใจดีเหมืนกับที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด เอเลนท่ยังคงอยู่บนรถม้ารู้สึกชื่นชมกับสตรีเบื้องหน้าที่เพิ่งได้เห็นเป็นคราแรก ร่างโปร่งค่อยๆก้าวลงจากรถม้าก่อนจะมายืนเบื้องหน้าของสตรีผู้สูงศักดิ์
                ใบหน้าหวานและผมสีน้ำตาลอมส้มที่ค่อยย่างกรายเข้ามานั่นเด็กหนุ่มยิ่งรู้สึกว่าสตรีตรงหน้าช่วงดูสวยงามและอ่อนหวานเสียจริง
                “เราเพิ่งได้เจอกันคราแรก ขออภัยท่านร่างอวตารที่ข้าไม่เคยได้ไปทักทาย เพราะร่างกายข้าไม่สู้ดีนัก” หญิงสาวถวายความเคารพต่อเด็กหนุ่มจนเอเลนต้องรีบทำความเคารพตอบอย่างเลิ่กลั่ก ให้ตายสิเขาไม่คุ้นชินกับการมีคนมาพิธีรีตองแบบนี้เสียที ยิ่งอีกฝ่ายมีบรรดาศักดิ์ขนาดนี้ด้วยแล้ว
                “เปล่าเลย ผมต่างหากที่เสียมารยาทไม่ได้ทักทายคุณเออ...”
                “พวกเจ้าทั้งสองเพิ่งเจอกันสินะ” ฟาโรห์หนุ่มแทรกกลางระหว่างทั้งคู่ มือหนาโอบร่างบางของหญิงผู้สูงศักดิ์เพื่อแนะนำอีกฝ่าย
                “สตรีผู้นี้คือเพทร่า สนมเอกของข้า”
                “ผมชื่อเอเลน ยินดีที่ได้พบคนงามเช่นคุณ” เอเลนถวายความเคารพสตรีสูงศักดิ์อีกครั้ง
                “ว่าแต่ท่านนี้เป็นสนมเอก แล้วมเหสี เออ คลีโอพัตตราของท่านล่ะ?” เอเลนหันมองหน้าชายหนุ่มอย่างแปลกใจที่ไม่เห็นผู้ที่เป็นใหญ่รองจากองค์ฟาโรห์ อีกทั้งสนมเอกยังดูเป็นบุคคลที่งดงามและเพียบพร้อมขนาดนี้ เขาจึงยิ่งอยากเห็นผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นราชินีแห่งลุ่มน้ำไนล์
                “ตำแหน่งนั้นยังคงว่าง” ตอบเพียงเท่านั้นก่อนจะโอบเอวบางของหญิงสาวเดินเข้ายังในวังที่ตระเตรียมงานฉลองรอรับ
                เอเลนเดินตามพลางเกาผมสีน้ำตาลอย่างแปลกใจ ทั้งที่มีสนมเอกและมีลูกตั้งมากมายแต่เหตุใดฟาโรห์มักมากถึงเว้นที่ให้กับตำแหน่งสตรีผู้ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นยอดดวงใจของฟาโรห์ หรือเพราะว่ายังไม่มีผู้ที่สามารถกุมหัวใจของกษัตริย์หนุ่มได้กันแน่?...

                เหล่านักกวีและนักดนตรีต่างบรรเลงและขับขานบทกวีชื่นชมความสามารถขององค์ฟาโรห์ต่างๆมากมาย อาหารและสุราถูกตระเตรียมเติมอย่างไม่หยุดหย่อน ฟาโรห์หนุ่มผู้เป็นประธานงานเลี้ยงนั่งอยู่บนบัลลังค์โดยมีเขาซึ่งเป็นร่างอวตารนั่งอยุ่ไม่ห่างกัน แต่บอกตามตรงเขาชักเริ่มอึดอัดกับงานเลี้ยง ก็เพราะว่าต้องมาดูฟาโรห์มักมากคลอเคลียกับเหล่าสนมที่ต่างเข้ามาปรนิบัติไม่หยุดหย่อน
                ดูนั่น มีทั้งหัวเราะต่อกระซิกกับสาวคนนั้น อีกสักพักก็ไปโอบไหล่สาวคนนี้ แถมไม่พอมีมาหอมแก้มกับสาวตรงนั้นอีก ให้ตายสิหมอนี่มันศัตรูตัวร้ายกาจของผู้หญิงและผู้ชายทั้งโลกจริงๆ มือที่จับแก้วโลหะกำแน่นอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกหงุดหงิดกับภาพตรงหน้าขนาดนี้ ทั้งใจที่ถูกบีบรัดจนอึดอัด อยากชกหน้าหมอนั่นสักเปรี้ยงเผื่อจะระบายความอัดอั้นตันใจนี้ได้บ้าง
                “อยากได้อะไรเพิ่มหรือไม่ท่านเอเลน?” เสียงหวานเอ่ยถามเด็กหนุ่มที่ตีหน้ามุ่ยบอกบุญไม่รับ
                “ท่านเพทร่า ท่านไม่เจ็บใจบ้างเหรอ?” ทั้งที่เป็นสนมเอกแต่ต้องมานั่งดูคนรักของตัวเองถูกหญิงสาวอื่นป้อล้อ ให้ตายสิแล้วเขาจะหงุดหงิดทำไมกันหรือเพราะอิจฉา?
                “ไม่เลยท่านเอเลน ความรักขององค์ฟาโรห์ที่ยิ่งใหญ่ข้ามิบังอาจเก็บไว้แต่เพียงผู้เดียว” เพทร่ายิ้มบางให้กับเด็กหนุ่มพร้อมทั้งมองไปยังองค์ฟาโรห์ที่ยังคงถูกหญิงสาวมากมายรายล้อมด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง
                ให้ตายสิผู้หญิงคนนี้ดีเกินไปแล้ว คิดไม่ออกเลยว่าการที่ต้องมองคนรักของตัวเองแบ่งความรักให้คนอื่นจะรู้สึกอย่างไร แต่ตัวเขาคงทนไม่ได้แน่ๆ ทั้งที่เป็นคนรักของเราแท้ๆทำไมถึงต้องแบ่งให้ผู้อื่นกัน แล้วทำไมเราต้องหงุดหงิดขนาดนี้!!
                “ขอโทษนะผมเดินทางมาเหนื่อยมากขอไปพักก่อน” ไม่รอช้าเด็กหนุ่มลุกจากงานเลี้ยงกลับเข้าไปยังเขตราชฐานส่วนพระองค์ทันที ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงหงุดหงิด  อีกทั้งทำไมถึงได้รู้สึกอึดอัดกับการเห็นคนมักมากแบบนั้นกับการกระทำป้อล้อที่น่าหมั่นไส้ ให้ตายสิอากาศร้อนของอียิปต์คงทำให้เขารู้สึกจะเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ
                ทั้งที่เข้ามาในห้องเพียงไม่นานเสียงฝีเท้าอีกคนก็ตามมา แม้ไม่ต้องหันไปมองก็พอเดาได้ว่าเป็นใคร เพราะห้องส่วนตัวแบบนี้คนที่เข้ามาได้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
                “ข้าเห็นเจ้าออกมาจากงานเลี้ยงจึงตามมา เหนื่อยแล้วรึ?”
                “เหอะ สนใจด้วยเหรอ? ไปคลุกคลีกับสาวในฮาเร็มของท่านไปชิ่วๆ” ว่าพลางกวักมือไล่โดยไม่หันไปมองหน้า ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงได้รู้สึกหงุดหงิดขนาดนี้
                “จริงสิ ข้าลืมคืนนี้ให้เจ้า” ฟาโรห์หนุ่มไม่สนใจปฏิกิริยาของร่างอวตาร พร้อมทั้งยื่นกระเป๋าเป้ให้กับเอเลน
                เอเลนหันปรายตามองก่อนจะทำตาโตด้วยความดีใจคว้าเอาเป้ของตนเองที่ลืมเสียสนิทว่าพกติดตัวมาด้วยในการมารอบนี้ เด็กหนุ่มเปิดกระเป๋าสำรวจสิ่งของต่างๆที่อยู่ภายใน ทั้งกล้อง โทรศัพท์มือถือ ที่ชาตแบต สมุดจดบันทึก เสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนบนเครื่องบิน ทั้งหมดยังคงอยุ่ครบ
                “ข้าให้ฮันจ์สำรวจของแปลกๆพวกนั่น แม้แต่หมอนั่นยังไม่เข้าใจว่ามันคือสิ่งใด โดยเฉพาะบันทึกนั่นมีภาษาที่ประหลาดนัก ตกลงเจ้ามาจากที่ใดกัน?”
                “นี่นายแอบเอาของฉันไปค้นโดยไม่ขออนุญาตเหรอ ถึงว่าทำไมหาไม่เจอนึกว่าตกอยู่ที่โลกนั้นซะอีก” เด็กหนุ่มบ่นพลางหยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่ตอนนี้แบตหมดขึ้นมาแล้วเสียบสายชาตเข้ากับแบตสำรอง ดีนะที่พกแบตสำรองไว้ ผ่านมาหลายวันขนาดนี้ต่อให้ที่นี้ไม่มีอินเตอร์เนต ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์แต่แบตเตอรี่ก็ยังหมดได้อยู่ดี
                “นี่มันเป็นของดินแดนเทพไงนายไม่รู้จักก็ไม่แปลกหรอก” เอเลนลองเปิดโทรศํพท์สมาร์ทโฟนของตนเองและต้องถอนหายใจ ก็รู้อยุ่แล้วล่ะว่ายุคนี้คงไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ แต่พอเปิดมาเจอความจริงแบบนี้ก็รู้สึกหมดหวังเหมือนกันล่ะนะ
                รีไวที่มองเด็กหนุ่มสำรวจข้าวของที่ได้คืน ฟาโรห์หนุ่มเดินเข้ามาใกล้พลางหยิบสมุดบันทึกของเจ้าตัวแล้วชี้ไปยังภาษาเยอรมันที่เขาไม่เข้าใจในสมุดให้เอเลนดู เอเลนมองคนถือวิสาสะเปิดสมุดเขาพลางขมวดคิ้วมุ่น
                “นี่คือภาษาใดกัน แม้แต่ฮันจ์ที่ช่ำชองหลายภาษายังไม่อาจรู้ความหมาย”
                เอเลนคว้าสมุดของตนเองคืนมาก่อนจะอธิบายให้คนยุคโบราญที่กำลังสนใจข้าวของของเขาฟัง
                “นี่มันภาษาบ้านเกิดฉัน อ่า... สำหรับนายก็ต้องเรียกว่าภาษาดินแดนเทพล่ะนะ ไม่แปลกใจหรอกที่คนที่นี้จะไม่รู้จักน่ะ” พูดพลางหยิบสมุดบันทึกของตนเข้ากระเป๋าเป้ มือหนาของรีไวคว้าบันทึกนั่นอีกครั้ง เอเลนจึงพยายามยื้อกลับมาแต่ฟาโรห์ไม่ยอมปล่อยบันทึกโดยง่าย
                นัยน์ตาสีราตรีกวาดดูข้อความต่างๆในบันทึกอย่างสนใจก่อนจะตวัดหน้ามองใบหน้ามนที่ยังคงมองเขาด้วยแววตาไม่สบอารมณ์
                “เจ้าสอนภาษาเทพให้ข้าได้หรือไม่?”
                “หา?” นี่เขาไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม ไอฟาโรห์นี่อยากให้เขาสอนภาษาเยอรมัน จะว่าก็ว่าเถอะไม่ใช่กงการอะไรของเขาที่ต้องสอนเสียหน่อย
                “ไม่เห็นจำเป็นต้องสอน นายจะอยากรู้ไปทำไม?” ถ้าเขาเขียนด่าไอฟาโรห์บ้านี่ลงบันทึกหมอนี่จะได้อ่านไม่ออกแบบนี้ก็ดีแล้ว
                “ข้าขอสั่งให้เจ้าสอนภาษาเทพของเจ้าให้ข้า หรือจะให้ข้าศึกษาภาษาเทพผ่านทางร่างกายเจ้าแทน?” ฟาโรห์หนุ่มส่งสายตาเจ้าเล่ห์และรอยยิ้มที่ทำเอาเอเลนรู้สึกขนลุกซู่
                ไอฟาโรห์บ้านี่คิดจะสำรวจอะไรร่างกายเขากัน เรียนภาษานะเว้ยไม่ใช่สรีระวิทยา!!
                “ตกลงจะเอาอย่างไรหรืออยากให้ข้าเรียนรู้จากภาษากาย?” ฟาโรห์หนุ่มยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนเอเลนต้องใช้สองมือดันใบหน้าเจ้าเล่ห์ที่รดลมหายใจอุ่นๆใส่หน้าเขาออก
                “เออ สอนก็ได้ แล้วพอเลยนะไอท่าทางแบบนั้นไว้ไปใช้กับผู้หญิงของนายเหอะ!” ตอบตกลงไปอย่างนึกรำคาญ ให้ตายสิ ยังไงเขาก็รู้สึกชอบหมอนี่ไม่ลงจริงๆ
                ถึงแม้เหตุการณ์กบฏทาสที่เกิดขึ้นจะทำให้เขาร็สึกมององค์ฟาโรห์เปลี่ยนแปลงไป ทั้งรู้สึกชื่นชมในความสามารถโดยเฉพาะความหน้าด้าน และการตัดสินใจที่แน่วแน่ จนระหว่างการเดินทางเขาจึงอยากช่วยสนับสนุน ยิ่งเห็นเหล่าประชาชนและทหารต่างเชื่อมั่นในบุรุษ จึงทำมห้เขาอยากรู้จักมุมมองต่างๆของฟาโรห์ดู แต่ตอนนี้เริ่มรู้สึกไม่อยากเห็นหน้าตาหล่อเหลาที่ดูกวนประสาทนี้เสียเลย
                อยากกลับบ้านใจจะขาดแล้วทำยังไงถึงจะได้กลับเนี่ย!? นัยน์ตาสีอร่ามพลันเห็นช่องล็อคกุญแจบนกระเป๋าเป้ที่ฟาโรห์หนุ่มเอามาคืน มือบางกำลูกกุญแจที่แอบซ่อนไว้
บางที... ไม่แน่....
                ไม่รอช้าเด็กหนุ่มลองไขกุญแจทองคำกับตัวล็อคของกระเป๋าเป้ตนเองทันที พลันแสงสีทองสว่างวาบห่อหุ้มร่างกายบาง ฟาโรห์หนุ่มใช้แขนบังตาประกายเจิดจ้าที่ส่องออกมาโอบล้อมร่างบาง
                “เดี๋ยว เจ้าจะไปไหน!?” ฟาโรห์หนุ่มตวาดถามมือหนาเอื้อมหวังคว้าร่างของเด็กหนุ่ม แต่ราวกับโดนกระแสไฟฟ้าช็อตจนต้องชักมือตนกลับ
                “ไปล่ะนะตาแก่มักมาก” ไม่พูดเปล่าเอเลนหันมาโบกมือลาพลางยิ้มอย่างสะมจจนเห็นฟันขาว ก่อนจะแลบลิ้นปลิ้นตาให้กับองค์ฟาโรห์หนุ่ม
                “เจ้าเด็กเหลือขอนี่!
                เสียงคำรามสุดท้ายจากองค์ฟาโรห์ที่เอเลนได้ยิน แสงสว่างสีทองที่โอบล้อมเด็กหนุ่มหายวับไปต่อหน้าฟาโรห์รีไว นัยน์ตาสีราตรีมองพื้นห้องที่ว่างเปล่าอย่างหัวเสียก่อนจะสบถออกมา


                แสงสีทองสว่างวาบขึ้นอีกครั้งพร้อมทั้งเอเลนที่ตอนนี้กลับมายังห้องน้ำที่เกิดเหตุ เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่งปัดก้นของตนเองที่ร่วงหล่นกระแทกอย่างแรงกับพื้นห้องน้ำ ใบหน้ามนมองสำรวจรอบๆก่อนจะมองในกระจกที่ตอนนี้นัยน์ตาสีอร่ามแปรเปลี่ยนกลับเป็นสีเขียวมรกตตามเดิม
                “เยสสส! กลับมาสักที” เด็กหนุ่มกระตุกแขนด้วยท่าทางดีใจ
                ตกลงมันเป็นเควสเกมส์จริงรึไงเนี่ย พอทำภารกิจเสร็จเขาถึงได้กลับบ้านมา เอเลนมองกุญแจทองคำที่อยู่ในมืออย่างรู้สึกหวาดผวา ให้ตายสินี่มันกุญแจผีชัดๆ ทั้งที่ทิ้งไปแล้วยังอุตส่าห์ตามหลอกหลอน ราวกับว่าเขาเป็นผู้ที่ถูกเลือกงั้นแหละ และเหมือนกับว่าจะมีเพียงแค่เขาที่ใช้กุญแจดอกนี้ได้ เอเลนโยนกุญแจทองคำใส่กระเป๋าเป้ก่อนจะจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดโลกปัจจุบัน ถือว่าโชคดีที่เขาเตรียมชุดสำรองไว้ในกระเป๋า เขาไม่อยากเดินโทงเทงในชุดผ้าฝ้ายโปร่งสบายในที่สาธารณะด้วยหรอกนะ
                ทันทีที่เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเสร็จ โทรศัพท์ที่ชาตอยุ่ก็ดังขึ้น เด็กหนุ่มรีบกดรับเมื่อเห็นว่าเป็นบิดาของตนโทรมา
                “หายไปอยู่ที่ไหนมาลูก รู้ไหมว่าพ่อเป็นห่วงขนาดไหนที่มิคาสะโทรมาบอกว่าลูกไม่ได้ไปเอเธนส์!!
                เสียงคริชาราวกับคนสติแตกทั้งถามไถ่และตำหนีบุตรชายของตน เมื่อเด็กหนุ่มมองวันและเวลาที่โชว์ในโทรศัพท์จึงเห็นว่าเขาหายไปถึงหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งเป็นสัปดาห์ที่เขาควรต้องไปสนุกสุดเหวี่ยงที่เอเธนส์แต่กลับต้องไปจัดการกบฏทาสในยุค2000 ปีที่แล้ว
                “ขอโทษทีพ่อ พอดีผมเปลี่ยนแผนกระทันหัน ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง” เด็กหนุ่มเอ่ยขอโทษบิดาก่อนจะพยายามหาเรื่องอธิบาย ใครจะไปเชื่อว่าช่วงที่หายไปเขาไปอยู่ในโลก 2000 ปีก่อนกันล่ะ
                “ให้ตายสิเอเลน ลูกอย่าลืมโทรหามิคาสะและอาร์มินรู้ไหมสองคนนั้นเป็นห่วงลูกมาก และช่วยเก็บกระเป๋าที่โหลดไปเอเธนส์ของลูกไว้ด้วย”
                “เข้าใจแล้วครับ ขอโทษอีกครั้งที่ทำให้เป็นห่วง”
                เมื่อวางสายจากคริชาเอเลนจึงโทรหามิคาสะเพื่อนคนสนิทเพือขอโทษและขอบคุณที่จัดการเรื่องสัมภาระให้ เด็กหนุ่มเดินมายังอาคารผู้โดยสารเพื่อรอรถที่คริชาขับมารับ เด็กหนุ่มรื้อกระเป๋าหยิบกุญแจทองคำขึ้นมาอีกครั้ง ไอกุญแจผีบ้าๆนี่ทำให้เขาวุ่นวายชะมัด ของแบบนี้ทิ้งไปคงจะดีกว่า ไม่รอช้าเอเลนจัดการโยนกุญแจทองคำลงถังขยะของสนามบินทันที
                ขอโทษนะพ่อก็รู้อยู่หรอกว่ากุญแจโบราณนี้มีค่าขนาดไหน... แต่ถ้าต้องไปที่แบบนั้นอีกกลัวว่าจะเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่าๆ
                ทีนี้ก็ เกมโอเวอร์แล้ว ผมไม่ขอกลับไปที่นั่นอีกเด็ดขาด ลาก่อนตาแก่ลามกมักมาก.......


               

                ปิดเทอมฤดูร้อนที่น่าตื่นตาตื่นใจ และไม่น่าจดจำเท่าไรนักก็จบลง ทั้งที่ช่วงปิดฤดูร้อนเพียงหนึ่งเดือนกว่าแต่เอเลนรู้สึกว่าชีวิตเขาได้ผจญภัยมาเป็นปีๆ เมื่อถึงเปิดเทอมในที่สุดเขาก็ได้กลับสู่ชีวิตปกติที่ประเทศเยอรมัน ในรั้วมหาวิทยาลัยอีกครั้ง
                กระเป๋าใบใหญ่ถูกเข็นเข้าห้องพักประจำหอพักชายของมหาวิทยาลัย เด็กหนุ่มโยนกระเป๋าเป้ใบเก่งของตนเองขึ้นเตียงก่อนจะล้มลงไปนอนหงายอย่างหมดแรง ในที่สุดก็ได้กลับเยอรมันประเทศบ้านเกิด เรื่องวุ่นๆคงไม่เกิดขึ้นอีก อย่างน้อยกุญแจก็ทิ้งไปแล้ว แต่ใช่ว่าต่อให้ทิ้งไปก็จะไม่ตามกลับมา จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเอเลนคาดการณ์ได้อย่างหนึ่ง
                กุญแจทองคำจะมาโผล่เมื่อถึงเวลาสมควร และจะมีปฏิกิริยายามเมื่อบางอย่างทำให้เขาต้องไปยังดินแดนอันไกลโพ้นนั้น ราวกับจงใจและมีคนควบคุมอยู่เบื้องหลัง และเพราะอย่างนั้นตั้งแต่กลับมาเขาจึงเตรียมมือรับสถานการณ์ทุกอย่าง ตอนนี้ตัวเขาพกทั้งกรรไกร คัตเตอร์ หรือแม้กระทั่งคลิปกระดาษ เขาถึงขั้นไปหาตำราวิธีสะเดาะกุญแจช่วงเวลาพักที่เหลืออยู่ก่อนเปิดเรียน คราวนี้แหละต่อให้เป็นประตูแบบไหนเขาจะต้องไขออกไปได้แน่นอน เด็กหนุ่มกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ พลางมองกระเป๋าเป้อีกใบที่เตรียมไว้ซึ่งแปะกระดาษโน้ตไว้ว่ากระเป๋ายามฉุกเฉิน
                กระเป๋าฉุกเฉินที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์การเดินป่า ทั้งไฟฉาย มีดพก แบตโทรศัพท์สำรองห้าก้อน ที่ชาตแบตเตอรี่อีกสามก้อน กล้องถ่ายรูปโพลาลอย หนังสือประวัติศาสตร์เรื่องเล่าอียิปต์ รวมถึงหนังสือการเรียนรู้ภาษาเยอรมันสำหรับเด็ก... ..

4 ความคิดเห็น:

  1. ยิ่งอ่านยิ่งฟิน จะบอกว่าติดงอมแงมเลยก็เป็นได้555555

    ตอบลบ
  2. มาต่อไวๆนะค่ะติดมากเลย

    ตอบลบ
  3. หมั่นไส้พระเอกกับฮาเร็มของเขามากค่ะตบเข่าฉาดน้องกลับบ้านต่อหน้าต่อตา ตอนนี้เจ้าเด็กแพนิคกุญแจไปแล้วเอ็นดูหนังสือสอนภาษา5555 อย่าให้พี่้เขารู้เรื่องกุญแจนะได้ทุบทิ้งกลายเป็นนิทานเช้าประมงกับนางเงือกแน่

    ตอบลบ