วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์ Chapter 11:

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์
Pairing: (LevixEren)
Rate: NC-17
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
Story By: AkeRah , Trendy Blood
………………………………………………………………………………………………..
Chapter 11:

 

เด็กหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นมาเมื่อรู้สึกถึงมวลอากาศเย็นที่ต้องผิวกาย แม้จะมีผ้าห่มขนสัตว์ผืนหน้าคลุมกายเพื่อให้ความอบอุ่นแต่เมื่อขาดไออุ่นจากกายเนื้อของใครอีกคนที่เคยกกกอดอยู่เคียงข้างก็ทำให้เด็กหนุ่มถึงกับหนาวสะท้าน ดวงตากลมโตสีอำพันเหลือบมองนอกหน้าต่างด้วยความง่วงงุน ดวงจันทร์ลอยกระจ่างสูงเด่นกว่าค่อนฟ้าในยามค่ำคืนที่มืดสนิท คาดว่านี่คงเป็นเวลาดึกสงัดมากแล้ว เมื่อสัมผัสฟูกนอนนุ่มว่างเปล่าที่อยู่ข้างกายยังคงสัมผัสได้ถึงไออุ่นน้อยๆ
คงออกไปได้ไม่นาน......... เมื่อคิดได้ดังนั้นร่างบางจึงตวัดกายขึ้นจากที่นอนหยิบผ้าคลุมผืนหน้าขึ้นห่มพันร่างกายเพื่ออำพรางตัวและป้องกันมวลอากาศเย็นจัดในยามค่ำคืนอย่างรีบร้อนก่อนจะไปหยุดแอบมองที่ริมหน้าต่างลงไปยังลานกว้างหน้าคฤหาสน์ซึ่งทันได้เห็นแผ่นหลังของฟาโรห์หนุ่มเดินหายลับไปกับทหารคู่ใจทั้งสองนายอย่างเงียบเชียบ
ไม่รอช้า........เอเลนตัดสินใจสะกดรอยตามชายหนุ่มทั้งสามไปทันที
“ฝ่าบาท ในเมื่อพวกเราได้เบาะแสหัวหน้ากลุ่มกบฏแล้ว เหตุใดไม่ทรงรับสั่งให้พวกกระหม่อมนำกำลังไปบุกทำลายเสียให้ราบเลยพะยะค่ะ” เบลทรูทที่เดินตามหลังเอ่ยถามนายเหนือหัวเสียงเบา แต่ด้วยกลางดึกเป็นช่วงเวลาที่เงียบสงัดเสียงที่ตั้งใจจะผ่อนเบาให้มากที่สุดก็ยังคงกังวานแผ่วอยู่ดี
“เราต่างรู้ดีว่าทาสเหล่านี้ไม่พอใจสภาพเป็นอยู่ที่ยากไร้เช่นนี้มาเป็นเวลานานคลื่นใต้น้ำความคิดกระด้างกระเดื่องย่อมมีสะสม แต่ภายใต้การปกครองของข้าย่อมไม่มีทาสผู้ใดกล้าเป็นปฏิปักษ์อย่างเปิดเผยเป็นแน่ ที่พวกเขาก่อจลาจลขึ้นในเวลานี้ย่อมต้องมีเบื้องหลัง”
“ฝ่าบาทจะทรงให้พวกกระหม่อมไปจับตัวคนเหล่านั้นมาเพื่อสอบสวนหรือไม่พะยะค่ะ” ไรเนอร์เอ่ยสวนขึ้นขณะที่ฟาโรห์หนุ่มยกมือขึ้นเป็นเชิงปราม
“ไม่จำเป็น ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง” เสียงทุ้มกังวานเอื้อนเอ่ยอย่างไม่อนาทรร้อนใจ
“ฝ่าบาทจะเสด็จด้วยองค์เองหรือพะยะค่ะ ลอบเข้าไปในรังศัตรูเพียงลำพังเช่นนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่” ทหารหนุ่มทั้งสองเอ่ยทักท้วงแต่ดูเหมือนจะไม่มีสิ่งใดขัดขวางความตั้งใจของฟาโรห์หนุ่มได้เสียแล้ว
“พวกเขาไม่อาจล่วงรู้ว่าข้าลอบปะปนอยู่ในกองกำลังของเราเพลานี้ย่อมต้องเป็นเรื่องดี ตัวข้าเพียงผู้เดียวสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ พวกเจ้านึกเป็นห่วงความปลอดภัยของข้าแต่ไม่คิดหรือว่าผู้ที่เสี่ยงอันตรายที่สุดในเพลานี้คือใครกัน”
“องค์ชายเบเซธและร่างอวตารแห่งรา” ทหารหนุ่มทั้งสองรำพึงเสียงแผ่ว รีไวพยักหน้ารับอย่างพึงใจ
“ถูกต้อง หน้าที่ของพวกเจ้าคือการอารักขาโอรสของข้าและร่างอวตาร การเดินทางครั้งนี้ถือได้ว่ามีความเสี่ยงอย่างใหญ่หลวงข้าไม่อาจวางใจได้โดยง่าย”
แน่นอนหนึ่งคนคือลูกในไส้ ส่วนอีกหนึ่งนั้น.........
ใบหน้าคมคายหล่อเหลาทอดมองไปยังหน้าต่างสูงของห้องบรรทมที่เพิ่งจะจากมาอย่างเงียบเชียบ
อีกหนึ่งนั้น คือเด็กหนุ่มที่สร้างผลกระทบให้หัวใจดวงนี้ต้องเต้นกระหน่ำรัวด้วยความหวามไหวครั้งแล้วครั้งเล่า แม้จะพานพบกันได้เพียงไม่นานแต่ระยะเวลาสั้นๆที่ได้อยู่ร่วมกันผ่านเหตุวิกฤตการณ์ต่างๆมาพร้อมกันครั้งแล้วครั้งเล่า ตัวเขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเด็กหนุ่มผู้เป็นร่างอวตารแห่งเทพราผู้นั้นได้เข้าครอบครองพื้นที่ในหัวใจเขาไปทีละเล็กทีละน้อย ในคราแรกที่ประสบพบพักตร์จำต้องยอมรับว่าใบหน้างามชวนพิศหมดจดนั้นถูกใจเขาอยู่มาก แต่หลังจากได้ชิดใกล้สัมผัสบรรยากาศสดใสนุ่มนวลราวกับแสงตะวันยามย่ำรุ่งที่แผ่อวลรอบกายความฉลาดเฉลียวไหวพริบที่เป็นดั่งอาวุธร้ายของเจ้าตัวกลีบปากงามที่มีฝีปากจัดจ้านที่เอาแต่เหน็บแนมเขาอยู่ทุกครั้งที่สบโอกาส แต่ถึงกระนั้นดวงตากลมโตสีทองอร่ามก็ยังคอยแต่จะฉายแววแห่งความเป็นห่วงเป็นไยให้ได้พบเห็นอยู่บ่อยครั้ง ก็แล้วในเมื่อเป็นเช่นนี้จะไม่ให้เขานึกรักได้อย่างไร
“ฝ่าบาท แต่ความปลอดภัยของพระองค์ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง.....ข้าบาทคิดว่า......”
“ข้า!!! ดูแลตัวเองได้........พวกเจ้าก็รู้จักข้าไม่ใช่หรือ” ฟาโรห์หนุ่มตรัสเน้นคำพร้อมกับจ้องมองนายทหารคู่ใจเป็นเชิงถาม เบลทรูทและไรเนอร์ไม่อาจมีสิ่งใดโต้เถียงได้ แน่นอนพวกเขาทั้งสองต่างย่อมรู้ว่านายเหนือหัวนั้นแข็งแกร่งและทรงปรีชาสามารถเพียงใด สมญาจอมกษัตริย์แห่งลุ่มน้ำไนล์ไม่ใช่สิ่งที่จะตั้งให้ใครขึ้นมาได้ลอยๆ แน่นอนคำเรียกขานยกย่องนั้นย่อมต้องมาจากบารมีของพระองค์เองโดยแท้
เมื่อหมดทางจะทัดทานนายทหารหนุ่มทั้งสองจึงคุกเข่าลงรับคำบัญชา
“กระหม่อมรับบัญชา”
“ขอฝ่าบาทโปรดระวังพระวรกายด้วย”
ทหารหนุ่มผู้เปรียบเสมือนแขนซ้ายขวาทั้งสองทำความเคารพด้วยความนบนอบก่อนจะเดินย้อนกลับไปทำหน้าที่ เอเลนที่แอบอยู่หลังต้นปาล์มยักษ์พยายามทำตัวให้แนบกลืนไปกับเงามืดยามเมื่อไรเนอร์และเบลทรูทเดินผ่านก่อนจะเริ่มสะกดรอยตามร่างแกร่งของฟาโรห์หนุ่มที่เดินออกจากคฤหาสน์ไปอย่างเงียบเชียบ ฝีเท้าของชายหนุ่มที่เดินนำอยู่ด้านหน้านั้นแลดูเนิบนาบแต่กลับมั่นคง และในความมั่นคงนั้นกลับเงียบเชียบอย่างน่าประหลาด ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังก้าวเดินด้วยท่วงท่าสบายๆแต่ถึงอย่างนั้นเอเลนกลับต้องเร่งฝีเท้าขึ้นจนเกือบเป็นวิ่งเหยาะๆเพื่อที่จะได้ตามให้ทันจนเอเลนได้แต่นึกบ่นในใจว่าอีกฝ่ายไปแอบฝึกวิชาบาทาไร้เงามาหรือยังไงกัน แต่หลังจากเสียสมาธิไปชั่วครู่วิ่งตัดผ่านตรอกแคบๆมาอีกที แผ่นหลังของฟาโรห์หนุ่มที่เขาสะกดรอยตามมาเมื่อครู่นี้ก็หายไปเสียแล้ว

ไม่ใช่จะไม่รู้สึกตัว ตั้งแต่ออกจากคฤหาสน์ของฮัสซุสรีไวก็รู้สึกตัวนานแล้วว่ามีคนแอบตาม และดูเหมือนคนที่ลอบสะกดรอยนั้นจะไม่ได้มีความเชี่ยวชาญอันใดแม้แต่น้อยเขาจึงได้หลอกล่อคนผู้นั้นให้ออกมาอีกทางจากจุดมุ่งหมายเดิมที่คิดจะลอบไปสืบข่าวยังรังของพวกทาสเขาจำต้องจัดการกับคนผู้นี้เสียก่อน หลังจากที่เร่งฝีเท้าแล้วแอบกายเร้นตัวในเงามืดของตรอกเล็กๆได้สักครู่ร่างโปร่งที่วิ่งทะเล่อทะล่าตามมาก็ปรากฏแก่ลานสายตา มือใหญ่เอื้อมออกไปหาลำคอของร่างในชุดคลุมอย่างเงียบเชียบ แขนซ้ายรวบตัวแขนขวากดแน่นลงบนหลอดลมอย่างรุนแรงเหยื่อที่ไม่ทันระวังตัวไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้ส่งเสียงร้องเสียด้วยซ้ำ มือเรียวปัดป่ายไปมาอย่างทรมานข่วนแขนเขาไม่หยุด เจ้าตัวคงกำลังพยายามจะพูดอะไรบางอย่างแต่แรงกดที่คอก็ลิดรอนทั้งสุระเสียงและอากาศหายใจจนส่งเสียงออกมาได้แค่ อ่อก.....อ่อก.....อย่างทรมาน
รีไวดึงร่างของผู้ต้องสงสัยเข้ามาในตรอกแคบๆดันให้ติดกำแพงแล้วใช้ร่างหนาหนักของตนกดทับร่างโปร่งที่กำลังดิ้นรนอย่างทรมาน ขณะที่มือใหญ่หมายจะหักลำคอระหงให้แหลกคามือ จมูกพลันได้กลิ่นที่คุ้นเคยกรุ่นกำจายมาจากร่างในอ้อมกอดบางเบา กลิ่นอันคุ้นเคยนี้เป็นกลิ่นหอมเฉพาะของร่างที่เขาเพิ่งจะนอนกอดไปเมื่อไม่กี่เพลานี้อย่างแน่นอน ฟาโรห์หนุ่มรีบผละมืออย่างตื่นตระหนกพร้อมกับกระชากผ้าคลุมศีรษะของผู้ต้องสงสัยออกเพื่อดูหน้าแล้วก็ต้องเบิกตาโพลงด้วยความตกใจก่อนจะขมวดคิ้วมุ่นชักสีหน้าเคร่งเครียด
“เจ้า!!!.......เจ็บมากหรือไม่” เอ่ยถามเสียงขุ่นพร้อมกับที่มือใหญ่เชยคางเรียวพิศมองรอยมือสีแดงรอบลำคอระหงของคนที่เอาแต่ไอถี่กระชั้นหอบหายใจกอบโกยอากาศจนหน้าดำหน้าแดง แต่ฝ่ายเอเลนยังไม่อาจเอื้อนเอ่ยอันใดได้จึงได้แต่โบกมือให้เขาเป็นพัลวัน ร่างบางถึงกับทรุดนั่งยองๆลงกับพื้นๆ
“ดีขึ้นแล้วหรือยัง” แม้จะชักสีหน้าบึ้งตึงแต่ในสุระเสียงที่ตรัสถามก็ยังเต็มไปด้วยความห่วงใย มือใหญ่ช่วยลูบแผ่นหลังบางให้เบาๆ
“ไม่......ไม่เป็นไร” เอเลนเอ่ยตอบเสียงแหบแห้งและยังไอโขลกอีกหลายครั้ง
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เป็นอะไรมากฟาโรห์หนุ่มจึงยืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูงกอดอกก้มมองตัวยุ่งที่แอบสะกดรอยตามเขามาด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่ในใจกลับคุกรุ่นไปด้วยความโกรธจนอยากจะจับมาลงโทษตีก้นให้หนักๆมือสักทีสองที
“ไยเจ้าจึงสะกดรอยตามข้าออกมา” คนถามปั้นเสียงเข้มตีหน้านิ่งหวังข่มขู่คนตรงหน้าให้รู้สำนึก
“ข้า......ข้าตื่นมาไม่เจอท่านก็เลยตามออกมา” เอเลนก้มหน้าตอบเสียงเบา ในใจนึกหงุดหงิดตัวเองไม่น้อย ทั้งที่คิดว่าแอบตามรอยมาอย่างเงียบเชียบแล้วอีกฝ่ายยังจับเขาได้
“กลับไปซะ”
“แต่ท่านจะเข้าไปสืบข่าวในรังกบฏของพวกทาสแต่เพียงผู้เดียว ข้าไม่อาจวางใจ” เอเลนเค้นเสียงตอบในต้นประโยคก่อนจะค่อยๆเบาเสียงลงในส่วนท้ายแต่ถึงกระนั้นรีไวก็ยังคงได้ยินอย่างชัดเจน
“เด็กโง่ ที่ไม่อาจวางใจได้คือเจ้าต่างหากกลับไปซะ เบลทรูทและไรเนอร์รับคำสั่งอารักขาเจ้ากับเบเซ็ทจากข้าแล้วเจ้าไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่ อยู่ที่คฤหาสน์เจ้าจะปลอดภัย”
“แต่อยู่กับท่านข้าก็ปลอดภัยเช่นกัน!!!” เด็กหนุ่มโพล่งเสียงตอบขึ้นมาเสียงดังทำให้ฟาโรห์หนุ่มที่กำลังจะก้าวออกจากตรอกไปต้องชะงักแล้วหันกลับมามองเด็กหนุ่มร่างบางที่เอาแต่นั่งยองๆก้มหน้าก้มตาบ่นนั่นบ่นนี่อยู่กับพื้น
“ให้ข้าไปกับท่านยังจะดีกว่าปล่อยให้ท่านไปคนเดียว อีกอย่างข้ารู้ว่าหากอยู่กับท่านย่อมไม่มีภัยอันตรายมากล้ำกราย ต่อให้บุกไปถึงรังศัตรูท่านก็ยังปกป้องข้าได้.........ข้ารู้” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอดแฝงแววออดอ้อนเป็นนัย แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้าก้มตารีไวจึงไม่อาจรู้ได้ว่าอีกคนคิดสิ่งใดอยู่ ฟาโรห์หนุ่มทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้นข้างหนึ่งพลางเชยคางเรียวให้ใบหน้าชวนพิศของร่างโปร่งมองสบตากับตนชัดๆเอ่ยเสียงเบาราวจะกระซิบ
“แน่นอนว่าข้าย่อมต้องปกป้องเจ้าสุดกำลังแต่ถึงอย่างนั้นที่นั่นก็อันตรายเกินกว่าที่ข้าจะยอมให้เจ้าไปเสี่ยง”
“แต่หากท่านจะให้ข้าย้อนกลับไปเพียงผู้เดียวนั่นก็เสี่ยงเช่นกัน สู้ให้ข้าไปพร้อมกับท่านยังจะปลอดภัยกว่า” เอเลนเอ่ยตอบเสียงเบาพร้อมกับช้อนตามอง ดวงตากลมโตสุกใสจ้องมองนิ่งนาน รีไวมองสบดวงตาคู่สวยก่อนจะนึกโทษอีกคนในใจ
หน้าสิ่วหน้าขวานเยี่ยงนั้นมีเจ้าอยู่ใกล้ๆรังแต่จะทำให้ข้าเสียสมาธิสิไม่ว่า..........
ร่างใหญ่ถอนหายใจอย่างหนักหน่วงก่อนจะเอื้อมมือไปไปดึงผ้าคลุมขึ้นคลุมศีรษะให้คนที่นั่งยองๆอยู่กับพื้นอย่างมิดชิดก่อนจะเดินนำออกจากตรอกไป
“จำไว้ว่าเจ้าต้องคอยอยู่ข้างหลังตามติดข้าไว้อย่าได้ห่างแม้เพียงก้าว เข้าใจหรือไม่”
“ทราบแล้ว” เอเลนรับคำด้วยใบหน้าระรื่น เสียดายยิ่งนักที่รีไวไม่ได้หันกลับมามอง ถ้าเช่นนั้นแล้วฟาโรห์หนุ่มคงต้องได้เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ประดับพราวระยับอยู่บนใบหน้าของเด็กหนุ่มร่างอวตารแห่งราเป็นแน่แท้
ในเมื่อเส้นทางที่รีไวใช้เมื่อครู่นี้เป็นเส้นทางหลอก บัดนี้ทั้งคู่จึงต้องเดินย้อนเส้นทางออกไปทางตะวันตกลัดเลาะไปทางตรอกแคบๆที่คดเคี้ยวไปอย่างเงียบเชียบ มือใหญ่คอยจับข้อมือบางรั้งร่างโปร่งให้แนบกายโดยตลอดเพื่อความปลอดภัยมีบ่อยครั้งที่เอเลนอยากจะเอ่ยปากพูดกับเขาแต่เขาก็ต้องส่งสัญญาณให้เด็กหนุ่มคอยเงียบไว้พร้อมทั้งขยับริมฝีปากช้าๆให้อีกฝ่ายอ่านได้ชัดๆ
อย่าเสียงดัง ตอนนี้เราอยู่ในเขตศัตรู......
เอเลนพยักหน้าเข้าใจเขาได้ในทันทีเขาปิดปากสนิทและเดินตามหลังฟาโรห์หนุ่มไปเงียบๆ ประตูไม้เก่าซอมซ่อที่มีรูปสลักหินนกอินทรีย์วางประดับอยู่เบื้องหน้าปรากฏแก่สายตา รีไวส่งสัญญาณมือให้เอเลนหยุดรอเขาอยู่ในตรอกมืดๆขณะที่ตัวเองค่อยๆพลิ้วกายไปหยุดอยู่เบื้องหน้าประตูไม้เก่าซอมซ่ออย่างเงียบเชียบ เอเลนที่แอบอยู่ในตรอกแคบค่อยๆเยี่ยมหน้าออกมามองฟาโรห์หนุ่มอย่างอยากรู้อยากเห็น ในคราแรกเอเลนนึกว่ารีไวจะพังประตูไม้บานนั้นเข้าไปเสียอีก แต่เขากลับไปหยุดยืนอยู่หน้ารูปสลักอินทรีย์แล้วออกแรงบิดมันให้หมุนช้าๆกำแพงหินที่อยู่ด้านหลังพลันปรากฏช่องว่างเล็กๆพอที่จะให้หนึ่งคนตะแคงตัวเข้าไปขึ้นมารีไวผลุบหายเข้าไปด้านในชั่วครู่ก่อนจะโผล่ออกมาเรียกเอเลนให้ตามเข้าไป เดินผ่านช่องแคบๆมาได้เพียงชั่วครู่พวกเขาก็ทะลุออกมาถึงลานกว้างที่ปูด้วยใบปาล์มแห้งจนเต็มลาน แม้จะมีกำแพงสูงใหญ่รอบด้านแต่ส่วนที่ควรจะเป็นหลังคากลับเปิดโล่งกลุ่มเมฆบดบังแสงจันทร์ทำให้ทัศนะวิสัยโดยรอบไม่ชัดแจ้งนัก รีไวเริ่มระวังตัวทันที เขากันเอเลนให้หลบอยู่ในช่องแคบเล็กๆที่เดินเข้ามาก่อนจะค่อยๆก้าวเท้าลงไปเหยียบบนลานนั้นช้าๆทันทีที่ก้าวลงไปเพียงก้าวแรกขาซ้ายก็จมลงไปในกองใบปาล์มแห้งจนเกือบครึ่งแข้ง ใบหน้าคมขมวดคิ้วมุ่นเมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติ มือใหญ่ชักดาบรูปทรงจันทร์เสี้ยวบนบั้นเอวออกจากฝักทันที ในจังหวะนั้นทาสร่างใหญ่ที่ซุ่มอยู่ใต้กองใบปาล์มแห้งสามคนก็โผล่พรวดขึ้นมาจากพื้นชักอาวุธตรงเข้าฟาดฟันกับฟาโรห์หนุ่ม เอเลนรีบถดตัวกลับเข้ามาในช่องนึกเจ็บใจตัวเองที่ไม่พกอาวุธอะไรติดตัวออกมาเลยสักชิ้น ร่างโปร่งค่อยๆถอยย้อนกลับออกไปที่ทางออกแต่ถอยไปได้เพียงสองก้าวก็รู้สึกเหมือนกับเป็นทางตัน เอเลนค่อยๆหันกลับไปมองที่ด้านหลังช้าๆก็พบกับชายร่างใหญ่ปิดหน้าปิดตายืนขวางอยู่ ตามสัญชาตญาณเด็กหนุ่มรีบก้มตัวหลบวงแขนใหญ่ที่หมายจะรวบตัวเองไว้ในทันที ในจังหวะเดียวกันนั้นก็ปล่อยหมัดฮุกเข้าที่กลางลิ้นปี่ ทะลวงสีข้างด้านซ้าย เกร็งฝ่ามือใช้สันข้างสับเข้าที่คอหอยของอีกฝ่ายอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ร่างสูงใหญ่ของทาสผู้ขบถโงนเงนเล็กน้อยก่อนจะล้มตึงลง เอเลนปลดดาบที่บั้นเอวอีกฝ่ายรอจังหวะที่เห็นช่องว่างกลิ้งตัวออกไปสมทบกับรีไวทันทีที่สบโอกาส
“กลับเข้าไป!!!” ฟาโรห์หนุ่มตวาดเสียงกร้าวขณะที่รับดาบที่ฟันลงมาจากด้านหลังของเขาไว้ได้อย่างฉิวเฉียด
“ข้าแค่อยากช่วย!!!” เอเลนตะโกนตอบขณะที่ชักดาบรับมือกับหนึ่งในสามขบถที่เล่นงานรีไวอยู่อย่างเก้ๆกังๆ เพียงรับมือได้ไม่กี่ดาบกลับกลายเป็นว่าเจ้าตัวเกิดสะดุดกิ่งปาล์มจนหงายหลังล้มลงกับพื้นเสียเอง
เมื่อเห็นว่าเอเลนเพลี่ยงพล้ำผู้ที่ร้อนใจที่สุดนั้นก็ไม่พ้นฟาโรห์หนุ่ม รีไวตวัดดาบกระหน่ำฟันใส่นักรบขบถทั้งสองไม่ยั้งไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามได้โต้กลับก่อนจะวาดดาบสุดท้ายตวัดฟันแผ่นอกและแผ่นหลังของฝ่ายตรงข้ามไปคนละดาบด้วยมิได้หมายจะเอาชีวิตแต่ก็เล่นงานคนสองคนให้ลงไปนอนกองกับพื้นได้ก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายหันไปโจมตีทาสหนุ่มที่เล่นงานเอเลนแทน เห็นได้ชัดว่าไฟโทสะของฟาโรห์หนุ่มนั้นคุกรุ่นถึงเพียงใดทุกฝีดาบที่ตวัดฟาดฟันลงไปนั้นรวดเร็วและหนักหน่วง ทุกดาบนั้นล้วนหวังผลจะเอาชีวิตทั้งสิ้น เอเลนจึงไม่แปลกใจเลยสักนิดว่าเหตุใดเบเซ็ทจึงได้เชี่ยวชาญการใช้ดาบถึงเพียงนี้ ขณะที่ดาบสุดท้ายหมายจะหั่นคอคู่ต่อสู้กลับมีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นก่อน
“ช้าก่อนฝ่าบาท!!!
ดาบที่กำลังจะบั่นคอพลันหยุดชะงักโดยฉับพลัน รีไวตวัดตามองตามต้นเสียงด้วยสายตากราดเกรี้ยว เจ้าของเสียงคือชายแก่ชาวทาสผู้ถือไม้เท้าผู้หนึ่ง ฝ่ายนั้นค่อยๆเดินออกจากตรอกมืดอีกฟากเข้ามาใกล้เขาช้าๆ ด้านหลังชายผู้นั้นมีทาสหนุ่มร่างกำยำอีกสองคนเดินตามหลัง
“หากยังทรงกริ้วที่ลูกหลานของกระหม่อมทำร้ายคนของพระองค์ก็ทรงโปรดอภัย พวกเขาต่างคิดว่าฝ่าบาทเป็นผู้บุกรุก หาได้ทราบไม่ว่าพระองค์ทรงเป็นจอมฟาโรห์ผู้ยิ่งยงแห่งธีบส์”
เมื่อได้ฟังดังนั้นทาสหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายถึงกับเข่าอ่อนทรุดฮวบลงกับพื้น
“เมื่อเสด็จมาถึงที่นี่ไม่แคล้วว่าคงมีกิจสำคัญ ทูลเชิญตามกระหม่อมมาฝังนี้เถิด” ทาสผู้ชราเดินลับหายเข้าไปยังตรอกทางเดินอีกฟาก เอเลนที่เดินตามรั้งชายเสื้อรีไวเอาไว้แน่นเพื่อที่จะปราม แต่มือใหญ่กลับตบลงบนหลังมือเรียวเบาๆก่อนจะคว้ามากุมไว้แล้วจับจูงร่างบางให้เดินไปด้วยกันคิดไม่ถึงว่าตรอกแคบๆแห่งนี้จะเป็นทางเดินที่ทอดยาวไปสู่ห้องใต้ดินขนาดใหญ่ ทาสผู้เฒ่านั่งลงเบื้องหลังโต๊ะไม้ตัวเล็กส่วนรีไวและเอเลนนั่งลงฝั่งตรงข้าม ทาสที่เหลือต่างยืนล้อมพวกเขาเอาไว้เป็นวง
“ขอประธานอภัยที่กระหม่อมมิอาจรับรองฝ่าบาทอย่างสมพระเกียรติ ในเมื่อพระองค์เสด็จมาเยี่ยมเยียนในยามวิกาลเช่นนี้คงมิอาจเตรียมต้อนรับได้ทัน” ทาสผู้ชรากล่าวด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
“เจ้าชื่ออะไร” รีไวตวัดเสียงถามผู้ที่นั่งอีกฝั่งเสียงกร้าว
“กระหม่อมมีนามว่า โฮเท็ป พะยะค่ะ”
“ท่านเป็นผู้นำสินะ” เอเลนเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้าง
“ถูกต้องแล้วท่านร่างอวตาร”
“ข้าอยากจะถามถึงสาเหตุของเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น”
“กราบทูลตามตรงทุกสิ่งทุกอย่างนั้นฝ่าบาทควรจะทราบดีอยู่แล้ว พวกเราชาวทาสแค่เรียกร้องในสิทธิอันชอบธรรม” โฮเท็ปกล่าวด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
“แล้วสิทธิอันชอบธรรมที่ข้ามอบให้แก่พวกเจ้ายังไม่เพียงพออีกหรือ”
“สิทธิที่พระองค์ทรงมอบให้นั้นย่อมเพียงพอ........แต่มิอาจทั่วถึง”
“ที่เป็นเช่นนั้นก็เป็นเพราะเจ้าหมูอ้วนฮัสซุส เพราะมันนำงบหลวงที่ฝ่าบาททรงประธานให้มาใช้โดยมิชอบ บัดนี้ทุกอย่างกระจ่างแล้วองค์ชายเบเซ็ทผู้ถือพระราชโองการจากองค์ฟาโรห์รีไวราเมสได้ทรงสั่งลงโทษคนผิดไปแล้ว ข้ารับรองได้ว่านับจากนี้ไปชีวิตความเป็นอยู่ของชาวทาสที่นี่จะต้องดีขึ้น นี่ยังไม่เพียงพออีกหรือท่านโฮเท็ป”
รีไวเหลือบสายตามองเด็กหนุ่มข้างตัวที่ถือวิสาสะทำตัวเป็นทูตเจรจาต่อรองให้กับเขา ในคราแรกก็คิดจะห้ามไว้หากแต่ฟังคำพูดคำจาดูแล้วก็เข้าทีจึงมิเอ่ยทัดทาน
“พวกท่านต่างก็ลงหลักปักฐานใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนแห่งทาสนี่มาแล้วหลายรุ่นหากไม่ใช่เพราะได้อานิสงค์จากความยิ่งใหญ่เกรียงไกรแห่งกรุงธีบส์ หากไม่ใช่เพราะบารมีแผ่ไพศาลขององค์ฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่ มีหรือที่เมืองทาสเล็กๆที่อยู่ติดรอยต่อชายแดนระหว่างแคว้นเช่นนี้จะยังอยู่อย่างสงบสุขได้” เอเลนยังคงเอ่ยต่อไปด้วยน้ำเสียงเรียบลื่นเสนาะหู แม้น้ำเสียงจะนุ่มนวลชวนฟัง แต่สีหน้าท่าทางนั้นกลับดูจริงจังขึงขังชวนให้คนฟังนั้นรู้สึกคล้อยตาม รีไวเท้าคางพิศมองสีหน้าท่าทางเคร่งขรึมของเด็กหนุ่มร่างอวตารที่ไม่ใคร่จะได้เห็นบ่อยนักอย่างเพลิดเพลินจนแทบจะไม่ได้ตั้งใจฟังเนื้อความที่ฝ่ายนั้นพูดแม้แต่น้อย
“หากคิดจะทำลายแล้ว เพียงแค่ฝ่าบาทตรัสพระสุระเสียงสั้นๆ ดินแดนทุระกันดารแห่งนี้ย่อมต้องพังราบไม่เหลือชิ้นดี แต่ที่พระองค์ยังทรงให้โอกาสถึงกับเสด็จมาตรวจตราด้วยพระองค์เองเช่นนี้ หากมิใช่เป็นเพราะพระองค์ทรงเป็นถึงจอมกษัตริย์เป็นฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่และเปี่ยมด้วยจิตใจเมตตาปกครองพสกนิกรทั่วหล้าอย่างเท่าเทียม จะมีจอมกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่ไหนอีกที่จะทรงปฏิบัติเช่นองค์ฟาโรห์ราเมสได้” เอเลนกล่าวเสียงเนิบด้วยรอยยิ้มน้อยๆแต่ในใจกลับรู้สึกกระดากปากยิ่งนักที่จะต้องมาเอ่ยชื่นชมฟาโรห์หื่นกามต่อหน้าต่อตา แต่หากไม่แสดงให้พวกกบฏพวกนี้ได้เห็นว่าแม้แต่เขาผู้เป็นตัวแทนร่างอวตารแห่งเทพ เป็นภาชนะแห่งราจุติมายังดินแดนแห่งธีบส์ยังต้องเคารพนบนอบต่อบารมีอันยิ่งใหญ่ของฟาโรห์หื่นกามผู้นี้แล้ว ก็คงไม่อาจทำให้ทาสที่กำลังเดือดดาลจากการถูกเอารัดเอาเปรียบนั้นคล้อยตามได้ เอเลนตวัดตามองใบหน้าที่ซึมเหงื่อของผู้เฒ่าโฮเท็ปด้วยอาการลำพองในใจเมื่อเห็นปลาเริ่มติดกับก่อนจะเอ่ยต่อ
“หรือแท้จริงแล้ว เบื้องหลังการกระด้างกระเดื่องของชนกลุ่มทาสครานี้จะไม่ได้เกิดจากแนวคิดของพวกท่านเอง หากแต่เป็นเพราะมีผู้มีอำนาจอื่นอยู่เบื้องหลัง และหากเป็นเช่นนั้นจริงผู้ที่หนุนหลังนั้นก็คงไม่แคล้วว่าจะต้องเป็นอาณาจักรใหญ่ที่เป็นปฏิปักษ์ทำสงครามกับเรามานานปีอย่างฮิตไตน์..........ข้าเดาถูกหรือไม่” เอเลนเอียงคอแสร้งถามด้วยสีหน้าฉงนทั้งๆที่ต่างก็รู้คำตอบดีอยู่แล้ว แต่ความเงียบของหัวหน้ากลุ่มทาสก็ทำให้เขามั่นใจมากยิ่งขึ้นไปอีก
รีไวเหลือบมองสีหน้าโฮเท็ปที่ถูกเอเลนกดดันจนไม่อาจโต้กลับได้ ก่อนจะเบือนสายตามาจ้องมองเด็กหนุ่มร่างอวตารแห่งราด้วยนัยน์ตาพราวระยับอย่างถูกใจ
ละครฉากนี้กำลังสนุก.......................
“อา........คงเป็นความจริงสินะ” เอเลนเอ่ยเสียงแผ่วแสร้งทำสีหน้าทดท้อทอดถอนใจ
“ในเมื่อท่านได้เลือกแล้ว เห็นทีถึงข้าพูดอะไรต่อไปก็คงไม่มีประโยชน์ ข้าคงไม่อาจช่วยอะไรพวกท่านได้อีก” เอเลนเหลือบสายตามองหัวหน้าทาสด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะก้มหน้าทำคอตก
ในขณะนั้นเองฟาโรห์หนุ่มที่นั่งอยู่ข้างตัวได้ลุกยืนขึ้นเต็มความสูงเอ่ยเสียงกร้าว
“สงคราม!!!” ฟาโรห์หนุ่มเอ่ยเสียงเข้มจนเอเลนถึงกับสะดุ้งเฮือก น้ำเสียงสะท้อนก้องในห้องลับใต้ดินอยู่หลายครั้งก่อนจะแผ่วหายไป
“ในเมื่อพวกเจ้าได้เลือกข้างแล้วก็จงบอกพวกมัน หากพวกมันต้องการสงครามข้าจะหยิบยื่นให้ แต่จงจำไว้สมรภูมิแห่งแรกที่ธีบส์จะประกาศชัยชนะเหนือฮิตไตน์จะต้องเป็นที่นี่ ดินแดนทาสแห่งนี้ ข้าจะใช้เลือดของพวกฮิตไตน์อาบปฐพีที่แห้งแล้งกันดารให้ชุ่มโชกไปด้วยสีแดงฉาน ความร้อนแรงแห่งทะเลทรายจะโหมระอุไปด้วยไฟเพลิงแห่งสงคราม กลิ่นคาวเลือดจะคลุ้งเข้มข้นยิ่งกว่าม่านหมอกแห่งรัตติกาล และเมื่อถึงครานั้นพวกเจ้าจะได้รู้สำนึกว่าการเป็นปฏิปักษ์ต่อข้าจะได้ผลเช่นไร”
เมื่อกล่าวจบเรือนร่างแข็งแกร่งของฟาโรห์หนุ่มได้ผินกายออกไปจากห้อง แต่ก่อนที่จะพ้นขอบประตู โฮเท็ปที่นิ่งเงียบอยู่นานได้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“มือสังหาร.......”
รีไวและเอเลนลอบสบตากันก่อนจะหันไปมองโฮเท็ปด้วยสายตาเย็นเยียบ
“อันดับแรกคือแผนก่อกวนจลาจลเพื่อสร้างความสนใจ อันดับต่อไปคือมือสังหาร เป้าหมายหลักคือองค์ฟาโรห์ราเมส หากแต่เมื่อพระองค์มิได้เสด็จเยือนด้วยองค์เองเป้าหมายย่อมต้องเปลี่ยน”
สีหน้ารีไวเริ่มขมวดมุ่นหนักขึ้นเรื่อยๆด้วยความโกรธกริ้วจวบจนเมื่อเอเลนร้องขึ้นอย่างตื่นตระหนก
“เบเซ็ท!!!!

ในห้องบรรทมที่เงียบสงัดร่างโปรงบางของเด็กสาวผู้สวมหน้ากากอนูบิสปิดบังใบหน้าลัดเลาะผ่านหลังคาห้อยโหนตามขื่อคานพุ่งตัวเข้าไปในหน้าต่างอย่างเงียบเชียบ ร่างเล็กบางกลิ้งตัวมาหยุดอยู่ข้างเตียงที่ซึ่งมีร่างสูงโปร่งของเจ้าชายหนุ่มบรรทมหลับสนิท มือเรียวยาวชักดาบวงเสี้ยวเดือนออกจากแผ่นหลังอย่างเงียบเชียบ แม้จะเป็นดาบที่มีขนาดเล็กและบางเฉียบแต่ความคมของมันกลับสะท้อนแสงจันทร์วาวระยับ และแสงวาบนั้นก็ตกกระทบลงบนใบหน้าทำให้คนที่กำลังหลับพลันรู้สึกตัว เบเซ็ทกลิ้งตัวลงจากที่นอนเป็นจังหวะเดียวกับที่ดาบยาวพุ่งปักลงกับหมอน เมื่อตั้งตัวติดเบเซ็ทถีบเตียงทั้งหลังไปชนกับมือสังหารพร้อมทั้งชักดาบออกมา
“ฝ่าบาท!!!” เสียงเอะอะจากภายในทำให้ไรเนอร์เปิดประตูเข้ามาด้วยความรีบร้อน เมื่อเห็นว่าเจ้าชายหนุ่มประจันหน้าอยู่กับมือสังหารนิรนามจึงตะโกนขึ้นสุดเสียง
“มือสังหาร!!! คุ้มครองท่านร่างอวตาร”
เบลทรูทที่เฝ้าอยู่หน้าห้องเอเลนถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปกลับเจอเพียงความว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้หรือรื้อค้น เตียงนอนที่เย็นเฉียบบ่งบอกให้รู้ว่าไม่มีใครใช้งานมันเป็นเวลาพอควร ร่างสูงรีบวิ่งไปสมทบที่ห้องบรรทมของเจ้าชายเบเซ็ทในทันที
“ท่านร่างอวตารหายตัวไป”
มาถึงก็เห็นเบเซ็ทและไรเนอร์กำลังรับมือกับมือสังหารอยู่ ขณะที่ตั้งใจจะเข้าไปร่วมสมทบกลับกลายเป็นว่าฝ่ายที่ลอบเข้ามาดันหนีหายกระโดดออกไปทางหน้าต่างเสียก่อน
“จับมัน!!!” เบเซ็ทตะโกนกร้าวสั่งทหารเวรยามที่อยู่ด้านล่างให้ล้อมจับก่อนจะกระโดดหน้าต่างตามลงไป เบลทรูทและไรเนอร์จึงกระโดดตามลงไปติดๆ

เสียงหอบหายใจสะท้านดังก้องไปทั่วทั้งถนนที่เงียบสงัด เอเลนถึงกับต้องอ้าปากวิ่งห้อเต็มฝีเท้าในใจอยากตะโกนเรียกร่างใหญ่ที่วิ่งนำหน้าอยู่หลายสิบเมตรให้รอก่อนแต่สิ่งที่ตะโกนออกมาได้กลับเป็น
“ไป......ไปเลย......ไม่ต้องรอข้า” พอสิ้นเสียงของเขาเรือนร่างแข็งแกร่งของฟาโรห์หนุ่มก็วิ่งลับหายไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว
เอเลนหยุดยืนหอบหายใจอยู่พักใหญ่ก่อนจะเริ่มออกวิ่งอีกครั้ง
“ใจดำชะมัด บอกให้ไปก็ไปจริงแฮะ”


เสียงฝีดาบประกันและเสียงต่อสู้ดังลั่นอยู่เบื้องหน้า แม้โฮเท็ปจะยอมรับสารภาพแต่โดยดีว่าส่งมือสังหารเข้าไปแต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้บอกว่าจำนวนมีมากเท่าไหร่ และด้วยความร้อนใจยิ่งทำให้รีไวเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น แต่แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่ามือสังหารที่ส่งมานั้นมีเพียงผู้เดียว
ท่ามกลางทหารรักษาการณ์ที่ชุลมุนกันอยู่ยกใหญ่ มีร่างเพรียวบางเพียงหนึ่งที่ยืนหยัดต่อสู้กับทหารทั้งกลุ่มอย่างทุ่มสุดชีวิต แม้จะมีร่างกายที่เล็กและบอบบางแต่จุดด้อยของร่างนั้นกลับกลายเป็นส่วนได้เปรียบเมื่อเทียบกับพวกทหารร่างใหญ่เพราะมือสังหารผู้นั้นเคลื่อนไหวได้อย่างว่องไวแม้จะเสียเปรียบในด้านพละกำลังแต่ทุกท่วงท่าที่ออกลวดลายมานั้นก็หวังผลถึงตาย เบเซ็ทปลอดภัยอยู่ภายใต้การอารักขาของเบลทรูทและไรเนอร์แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจปล่อยให้มือสังหารผู้นี้หลุดรอดออกไปได้ ฟาโรห์หนุ่มเดินฝ่าวงล้อมทหารอย่างองอาจ หมัดขวากำแน่นพุ่งเข้าสู่วงล้อมการต่อสู้ก่อนจะอาศัยจังหวะที่มือสังหารเปิดช่องโหว่ซัดหมัดขวาเข้าที่ใบหน้าซึ่งสวมหน้ากากอนูบิสเต็มแรง ร่างเล็กนั้นถึงกับลอยละลิ่วโค้งไปตกลงกับพื้นห่างออกไปสองสามเมตร ความเงียบเข้าปกคลุมลานกว้างโดยฉับพลัน เอเลนที่เพิ่งจะวิ่งมาถึงร้องโวยวายดังลั่น
“เดี๋ยว!!! นี่ชกผู้หญิงเหรอ” เอเลนหายใจหอบหนักเอ่ยถามเสียงสะบัดขณะที่รั้งแขนฟาโรห์หนุ่มไว้
“ถ้าเจ้ายังจำได้ว่าสตรีนางนั้นเป็นมือสังหาร ก็อย่าได้นึกบ่น” รีไวเอ่ยเสียงเหี้ยมสะบัดแขนออกจากมือเรียวแล้วย่างสามขุมเข้าไปหาร่างเล็กเพรียวที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น เอเลนรีบวิ่งมาขวางหน้ากางแขนกันรีไวเอาไว้ทันที
“หยุดๆ ข้าจะดูนางเอง” เอเลนบอกขณะที่ทรุดตัวลงนั่งข้างหญิงสาวที่นอนนิ่งอยู่
“ระวังหัวของเจ้าเอาไว้ให้ดีล่ะ” รีไวเอ่ยประชดแต่ก็ยังยอมปล่อยให้ร่างบางเข้าใกล้มือสังหารนางนั้นแต่โดยดีด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายไม่เหลือเรี่ยวแรงจะทำอะไรได้อีกแล้ว
“เฮ้......ได้ยินรึเปล่า” เอเลนเขย่าไหล่เธอเบาๆ มือสังหารสาวปรือตาขึ้นครางเสียงแผ่ว ดั้งจมูกเธอมีเลือดไหลออกมาเป็นทาง หน้ากากโลหะอนูบิสที่เธอสวมอยู่ถึงกับแตกเป็นเสี่ยงๆไม่เหลือเค้าเดิม เอเลนอดคิดไม่ได้ว่าเธอโชคดีชะมัดเพราะถ้าหากเธอไม่สวมหน้ากากอนูบิสเอาไว้สิ่งที่แตกเป็นเสี่ยงๆจนไม่เหลือเค้าเดิมคงจะเป็นหน้าของเธอเอง ข้างตัวเธอมีสร้อยทองเส้นเล็กที่ประดับด้วยจี้รูปจันทร์เสี้ยวฝังเพชรขาดตกอยู่ข้างๆ เอเลนคว้าสร้อยเส้นนั้นขึ้นมาดู
“นี่คงจะมีราคามากทีเดียว” ร่างบางรำพึงเสียงเบา อดแปลกใจไม่ได้ว่ามือสังหารทาสคนหนึ่งจะพกของล้ำค่าขนาดนี้ติดตัวเชียวหรือ
รีไวที่เดินตามมาทีหลังคว้าสร้อยในมือเอเลนไปดูเงียบๆ ร่างสูงนิ่งงันไปพักใหญ่ขณะที่มือสังหารสาวเปล่งเสียงออกมาเสียงสั่นอย่างทรมาน
“แม่......ท่านแม่......เอาของแม่ข้าคืนมา.....เอาคืนมา” เธอครางเสียงแผ่วพยายามจะยันกายลุกขึ้นไปแย่งสร้อยจากมือฟาโรห์หนุ่มแต่แล้วก็หมดสติไปอีกครั้ง เอเลนประคองเธอไว้ได้ทันก่อนที่เธอจะล้มลงหัวฟาดพื้น
“นางเป็นใคร ไม่ใช่มือสังหารทาสธรรมดาหรอกหรือ ไยจึงมีของสำคัญเยี่ยงนี้พกติดตัวกัน” เอเลนเงยหน้าเอ่ยถามฟาโรห์หนุ่ม รีไวที่นิ่งเงียบอยู่เป็นนานเบือนหน้ามองเด็กสาวที่สลบอยู่ในอ้อมแขนเอเลนชัดๆ เมื่อพิศมองให้ดีๆก็ปรากฏเค้าลางใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่จริงๆ ฟาโรห์หนุ่มสูดหายใจลึก กำสร้อยทองเส้นนั้นไว้แน่นแล้วเอ่ยตอบเสียงแผ่ว แต่ความเงียบที่ครอบคลุมลานกว้างแห่งนี้ก็ทำให้ทุกคนได้ยินพระสุระเสียงนั้นอย่างชัดเจน




“นางเป็น.......ธิดาของข้า”



3 ความคิดเห็น:

  1. เฮียคะ ที่เฮียไข่ไว้ทำพิษละค่ะ หึหึหึหึ
    ชอบื่เอเลนก้ะรีไว เล่นสดและตามมุขกันทัน ฮาๆๆ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. กร๊ากกกกกกกกกกกก หืม หนึ่งในไข่เฮียนี่เด็ดใช้ได้ครับ 55555555555555

      ลบ
  2. ต้องรู้สึกยังไงดีขำแห้งเลยจ่ะพี่คู่แข่งขุนแผนนะคะพี่คนนี้

    ตอบลบ