:15
ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าเริ่มพร่ามัว
ร่างกายที่บาดเจ็บเริ่มจะทานทนความทุกข์ทรมานอีกได้ไม่นาน
แต่ถึงอย่างนั้นมาร์โคก็ยังคงพยายามฝืนสติถ่างตามองกลุ่มคนที่จับเขามาขังไว้ในห้องมืดแห่งนี้อย่างเงียบงัน
เลือดที่ไหลอาบหน้าซึมเข้าไปในดวงตาทำให้แสบจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้นแต่เขาก็ยังคงมอง
มองคนพวกนี้เพื่อจดจำใบหน้าของพวกมันลงไปในสมอง
ทุกความทรมานที่ถูกกระทำเขาจดจำมันไว้ทั้งหมดอย่างไม่มีตกหล่นเพราะหากเมื่อเขาหลุดออกไปได้ล่ะก็
......................พวกมันทั้งหมดจะต้องชดใช้
วิสกี้ราคาแพงรินรดตั้งแต่ศีรษะจนเปียกอาบไปทั่วทั้งตัว
กลิ่นเหล้าเข้มข้นปลุกสติที่พร่ามัวของเขาให้ตื่นตัว
บาดแผลที่โดนส่าเหล้าอาบไล้แสบร้อนราวกับถูกไฟลวกแต่จะไม่มีการร่ำร้องอ้อนวอนขอความกรุณาใดๆออกมาเด็ดขาด
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่มีวันเอ่ยปากกับพวกมัน
“แกควรจะเรียนรู้ที่จะเอ่ยอะไรออกมาบ้าง
ฉันเริ่มจะหมดความอดทนกับแกแล้วจริงๆ รู้บ้างมั้ยว่าฉันทรมานแกจนมือระบมไปหมดแล้ว
พูดออกมาว่าเจ้าไรเนอร์มันจับคนของฉันไปไว้ที่ไหน”
รีไวเอ่ยเสียงหน่ายขณะที่โยนขวดแก้วเปล่าสำหรับบรรจุวิสกี้ในมือทิ้งไปกระแทกกับฝาผนังจนแตกกระจาย
“.....................”
แต่มาร์โคก็ยังจ้องมองเขาอย่างเงียบๆ
ร่างสูงหอบหายใจลึกด้วยความเหนื่อยเพลียและเจ็บปวด
รีไวมองสบตากับชายหนุ่มผู้ถูกจองจำพลางเอ่ยออกมาเสียงเบา
“น่าเสียดายจริงๆที่คนปากหนักอย่างแกทำงานให้เจ้าโง่อย่างไรเนอร์
ถ้าอยู่กับฉันแกคงไปได้สวยกว่านี้......ยังไม่ยอมพูดอีกรึไง”
รีไวเอ่ยถามเสียงเย็นพลางยื่นมือกำรอบลำคอของมาร์โคช้าๆ
“........ไม่พูด.....รึไง”
มือใหญ่บีบรัดรอบลำคอของชายหนุ่มแรงขึ้น แรงขึ้นเรื่อยๆ
“ถึงแกจะไม่ยอมพูด
อย่างน้อยให้ฉันได้ยินเสียงแกร้องก็ยังดี......ฉันจะได้รู้ว่าแกไม่ได้เป็นใบ้”
รีไวกล่าวเสียงเย็นชายตามองชายหนุ่มที่ถูกมัดติดกับเก้าอี้ด้วยสายตาว่างเปล่า
มาร์โคที่ขาดอากาศหายใจตาเหลือกโปนเส้นเลือดฝอยในดวงตาถูกแรงบีบเค้นจากลำคอทำให้แตกเป็นแขนง
น้ำลายที่ไม่สามารถกลืนลงลำคอได้ไหลย้อนออกมาจากมุมปาก
ชายหนุ่มส่งเสียงแปลกๆในลำคอที่กำลังถูกบีบจนเหมือนจะแตกคามือของรีไวแต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่เอ่ยคำ.......อันที่จริงแล้วควรจะบอกว่าเขาแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอื้อนเอ่ยคำใดๆออกไปแล้วต่างหาก
แม้แต่จะร้องขอชีวิตยังไม่อาจทำได้..........
มาร์โคถลึงตาจ้องมองชายหนุ่มหน้าคมที่บีบคอเขาอย่างยากเย็น
แม้กำลังจะฆ่าคนแต่ชายผู้นั้นกลับไม่แสดงทีท่ายี่หระหรือตื่นตระหนกใดๆเลยแม้แต่น้อย
สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉยราวกับว่าการฆ่าคนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันที่เขาต้องปฏิบัติเหมือนกับการแปรงฟันเพียงเท่านั้น
กับอีกคนที่กำลังจะขาดใจตายคามือแต่รีไวกลับทำเพียงนิ่งเฉย
มิคาสะต้องยอมรับว่าเขาไม่ชอบด้านมืดมุมนี้ของพี่ชายนัก
“ฉันจัดการเอง” ด้วยความอดรนทนไม่ไหว
เขาจึงชักปืนออกมาจ่อเข้ากับศีรษะของมาร์โคตัดสินใจจบชีวิตชายคนนี้ไปเสียดีกว่าจะต้องมาทนอยู่ในสภาพทุกข์ทรมานจนอยู่ก็ไม่ได้ตายก็ไม่ดีแบบนี้
ส่วนเรื่องเอเลนค่อยให้คนตามสืบทีหลังก็ได้
อย่างน้อยๆก็ถือเป็นการสงเคราะห์เชลยไม่ให้ทุกข์ทรมานด้วยน้ำมือของรีไวไปมากกว่านี้
“อย่าเสียมารยาท มิคาสะ ฉันกำลังคุยกับแขกของฉัน
ใครใช้ให้นายมาสอดกัน” รีไวเอ่ยเสียงเรียบพร้อมกับเพิ่มแรงบีบหนักขึ้น
ยูมิลที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆตรงเข้ามารับปืนจากมือของนายน้อยของตนพร้อมกับกันร่างของมิคาสะให้ถอยห่างออกมา
“เอาสิ จะร้องก็ได้ แค่ร้องเบาๆออกมาก็ยังดี
ทำให้ฉันรู้ว่าแกพูดได้แล้วบอกฉันมาว่าเอเลนอยู่ที่ไหน”
รีไวก้มลงกระซิบข้างใบหูของชายหนุ่ม ในตอนนี้ไม่ใช่แค่น้ำลายแล้วแม้แต่เลือดสดๆก็ไหลออกมาจากปากจมูกและตาจนอาบไปทั้งหน้าของมาร์โค
“บอกมา!!!” รีไวขึ้นเสียงเหี้ยม
ในตอนนั้นเองได้มีมือใหญ่ข้างหนึ่งฉุดข้อมือเขาเอาไว้ แม้จะไม่หนักมากแต่ก็แรงพอที่จะทำให้รีไวรู้สึกตัว
“คุณบอกเองว่าตอนนี้มือระบมแล้ว
ผมว่าคุณควรพักดีกว่าครับ ผมจะจัดการต่อเอง” แจนผู้มีใบหน้าของเอิร์ดเอ่ยกับเขาช้าๆ
รีไวชายตามองเขาพลางเอ่ยเสียงเข้ม
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของคุณชายของแก
แกเข้าใจใช่มั้ยเอิร์ด”
“ผมทราบครับ
เพราะฉะนั้นกรุณาปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผม
คุณก็ทราบว่าผมเชี่ยวชาญการทรมานคนแค่ไหน”
แจนกล่าวขณะที่แกะมือรีไวออกจากคอของมาร์โค รีไวในขณะนี้ไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างการทรมานและการฆ่าได้ถ้าปล่อยให้คนบ้าคนนี้สติแตกจนพลั้งมือฆ่ามาร์โคตายไป
มันจะยิ่งเปล่าประโยชน์ ความปลอดภัยของเอเลนย่อมสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด.......สำคัญยิ่งกว่าการแก้แค้น
“อย่าให้ฉันต้องรอนานเกินไป”
รีไวกล่าวขณะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมือที่เปรอะเปื้อนของตัวเอง
ก่อนจะเดินออกจากห้องไปเงียบๆ
ทิ้งเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดที่ดังเล็ดลอดออกมาจากห้องทรมานไว้เบื้องหลัง
รีไวทิ้งร่างลงบนเก้าอี้นวมอย่างเหนื่อยอ่อน
แอร์ในห้องทำงานที่เย็นฉ่ำไม่ได้ช่วยให้จิตใจที่ร้อนรุ่มของเขาเย็นลงได้
ทั้งหมดที่เกิดขึ้นล้วนแต่เป็นความผิดพลาดของเขาเอง
ทั้งสะเพร่าและเลินเล่อจนเอเลนต้องตกอยู่ในอันตราย
ทั้งที่ได้มาไว้ในกำมือแล้วแท้ๆ
กลับต้องมาถูกคนอื่นฉกไปอีกครั้ง.......
หากเวลานี้ได้เจอไรเนอร์
บราวน์ตัวเป็นๆเขาคงอดไม่ได้ที่จะฉีกกระชากร่างของหมอนั่นให้ขาดเป็นริ้วๆให้สาสมกับความเลวร้ายที่มันก่อขึ้น
แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ภาพในห้วงมโนเท่านั้น
ในสถานการณ์ที่ยังไม่ได้เบาะแสของเอเลนแบบนี้เขาทำใจให้สงบไม่ได้เลยจริงๆ
มือใหญ่ล้วงเข้าไปในลิ้นชักโต๊ะทำงานหยิบตลับกล่องกำมะหยี่สีแดงออกมาแล้วเปิดมันออก
จี้ลูกกุญแจสีทองส่องประกาววาววับสะท้อนกับแสงไฟในห้องวาววาม
ชายหนุ่มหยิบกุญแจดอกเล็กขึ้นแนบกับหน้าผากพลางอธิษฐานในใจ
เอเลนไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน........ขอให้พระเจ้าคุ้มครองคุณ
สำหรับเอเลนแล้วชีวิตประจำวันของการตกเป็นเชลยก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าการกิน
นอน เดินแกร่วไปแกร่วมาในสวนเล็กๆที่ประดับไปด้วยบ่อจระเข้แห่งนี้
จะเรียกว่าดีมั้ยก็คงไม่สามารถตอบได้ว่าดีอย่างเต็มปาก เพราะดูเหมือนว่าไรเนอร์
บราวน์กำลังยุ่งอยู่กับการต้อนรับแขกของเขาจนไม่มีเวลาจะสนใจเอเลน
แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่วายส่งคนคอยตามประกบติดตามจับตาดูเขาอยู่ทุกฝีก้าว
ใช่ว่ามันจะหนีกันได้ง่ายๆเสียหน่อยในเมื่อเอเลนยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน
เสียงรถผ่านเข้าออกดังไม่ขาดสายดูเหมือนแขกของไรเนอร์ บราวน์จะเป็นกลุ่มใหญ่มากทีเดียว
อาจจะคุยกันเรื่องธุรกิจ.........
เอเลนคิดพลางทิ้งร่างนั่งลงตรงเฉลียงไม้ฟังเสียงนกในสวนร้องคุยกันอยู่คนเดียวเงียบๆกวาดตามองดูรอบๆ
แน่นอนว่าห้องที่ใช้ขังเขาย่อมต้องเป็นส่วนในสุดของบ้านหลังนี้แน่ๆ
ถ้าคิดจะหนีไปจากที่นี่จริงอย่างน้อยๆเขาก็ควรต้องรู้จักโครงสร้างของที่นี่เสียก่อน
ขอแค่ได้ออกไปจากที่นี่ได้ก็พอส่วนเรื่องจะไปที่ไหนอันนั้นก็ค่อยว่ากัน
ขณะที่กำลังคิดอะไรเพลินๆประตูห้องพลันถูกเปิดออก
ชายในชุดสูทสากลสีดำไม่เข้ากับบรรยากาศบ้านแบบญี่ปุ่นหลังนี้เดินเข้ามา
“ท่านไรเนอร์เรียกคุณเข้าไปพบครับ”
“ผมไม่มีธุระอะไรกับเจ้านายคุณสักหน่อยนะ”
เอเลนเอ่ยตอบมองหน้าผู้ชายคนนั้นตรงๆ
“เชิญครับ” ผู้คุมไม่ยอมฟังคำพูดของเอเลนแม้แต่น้อยกลับผายมือออกไปทางประตูอย่างนอบน้อม
“ท่านไรเนอร์ของคุณมีแขกไม่ใช่เหรอ
แล้วจะให้ผมที่แต่งตัวไม่สุภาพแบบนี้ออกไปพบอีกหรือ”
เอเลนเอ่ยตอบพร้อมกับกางแขนให้ผู้คุมเห็นชุดยูกาตะสีแดงผืนบางที่สวมใส่อยู่ชัดๆ
แต่ผู้คุมก็ยังยืนยันเช่นเดิม
“เชิญครับ”
ร่างบางเดินฮึดฮัดออกจากห้องไปด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
เสื้อผ้าอาภรณ์ที่ไม่คุ้นเคยทำให้ความมั่นใจของเอเลนลดลงไปพอสมควร
นี่มันไม่ต่างจากการใส่ชุดคลุมอาบน้ำเดินร่อนไปร่อนมาเลยนี่นะ........แล้วจะมีใครที่ไหนใส่ชุดคลุมอาบน้ำไปพบแขกกัน
เสียงหัวเราะพูดคุยดังแว่วออกมาจากห้องจัดเลี้ยงเป็นภาษาที่เอเลนไม่คุ้นเคย
เมื่อเขาก้าวเข้าไปในห้องเสียงพูดคุยหยุดชะงักลงทันทีทุกสายตาหันมาจับจ้องที่เอเลนเป็นตาเดียว
“นั่งลง”
ไรเนอร์สั่งให้หญิงบริการที่ประกบติดเขาถอยออกไปและสั่งให้เอเลนนั่งแทนที่
จอกเหล้าขนาดเล็กถูกวางลงตรงหน้า
“รินเหล้าไป
อย่าให้ฉันรู้ว่าเหล้าในจอกนี้ว่างเด็ดขาด”
สรุปว่าตอนนี้เอเลนอัพสถานะจากเชลยขึ้นมาเป็นชายให้บริการอีกหนึ่งสถานะ
ขณะเดียวกันนั้นเอเลนก็มองเก็บรายละเอียดทุกคนที่อยู่ในห้องจัดเลี้ยงนี้ไว้ทั้งหมดในระหว่างที่พวกเขาก็กำลังคุยกันด้วยภาษาที่เอเลนไม่เข้าใจ
แต่มีอยู่บ่อยครั้งที่คนพวกนั้นจะเหลือบสายตามามองเขาเป็นระยะๆ
แน่นอนว่าหัวข้อของการสนทนาต้องเป็นเรื่องเขาแน่ๆ
สถานการณ์ที่มีใครสักคนพูดถึงเราต่อหน้าต่อตาแต่เราไม่มีทางรู้ได้ว่าพวกเขากำลังพูดเรื่องอะไรเป็นช่วงเวลาที่ชวนให้กระอักกระอ่วนใจมากจริงๆ
รู้อย่างนี้ตอนเด็กๆน่าจะเรียนเยอรมันด้วย...........
เอเลนทำได้เพียงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันในใจขณะปั้นหน้านิ่งรินเหล้าญี่ปุ่นให้ผู้นำตระกูลบราวน์เงียบๆ
ในตอนนั้นเองมีเด็กรับใช้เข้ามาเก็บกวาดจานอาหารที่เหลือเกลื่อนกลาดบนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเตี้ยออกไปดูเหมือนว่าเมนูใหม่กำลังจะลงเสิร์ฟและคงเป็นเมนูที่ใหญ่มากเพราะพวกเด็กรับใช้จัดโต๊ะขาเตี้ยขนาดกลางวางเรียงต่อกันกลายเป็นโต๊ะยาวที่กลางห้องหลังจากนั้นไม่นานเมนูพิเศษก็ถูกยกเข้ามาเสิร์ฟ
พวกแขกดูตื่นเต้นถูกอกถูกใจกันมากในขณะที่เอเลนช็อคค้างไปทันที่ที่มองเห็นเมนูนั้นเต็มตา
มือที่ถือเหยือกสาเกไว้ถึงกับอ่อนแรงทำหล่นพื้นสาเกกลิ่นหอมหกรดชายยูกาตะกลายเป็นวงสีแดงคล้ำขนาดใหญ่
มือบางถึงกับสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ไรเนอร์ลอบสังเกตท่าทีของเอเลนด้วยรอยยิ้มเย็นเงียบๆ
ซูชินานาชนิดถูกจัดวางเรียงอยู่บนเรือนร่างเปล่าเปลือยของหญิงสาวชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง
เธอถูกผ้ามัดตาปิดปาก มัดตรึงแขนขาไว้กับฐานไม้ขนาดใหญ่แม้จะพยายามออกแรงขัดขืนมากแค่ไหนเธอก็ไม่มีทางดิ้นหลุด
เสียงพูดคุยหัวเราะดูครึกครื้นหนักขึ้นกว่าเดิมตะเกียบคู่แล้วคู่เล่าจาบจ้วงอยู่บนร่างกายเธอ
คนพวกนี้กำลังล่วงละมิดสิทธิมนุษยชนของผู้หญิงโชคร้ายคนนั้นอย่างน่ารังเกียจ
เอเลนเห็นภาพในอดีตซ้อนทับกับภาพของเธอ กายเนื้อที่เปล่าเปลือยถูกมัดตรึงแน่นกับเตียง
คอยรองรับเครื่องทรมานสารพัดชนิดต่างๆนานาที่คนใจร้ายพวกนั้นจะสรรหามาใช้ได้
แผลเป็นไฟไหม้ขนาดใหญ่ที่กลางแผ่นหลังเขาก็ได้มาจากเหตุการณ์ในตอนนั้นด้วยเช่นกัน
“สกปรก!!!.......พวกแกมันสกปรก!!!”
เอเลนกัดฟันกรอดสบถลอดไรฟัน เบือนหน้าหนีภาพแขกผู้น่ารังเกียจใช้ตะเกียบรังแกร่างกายหญิงสาวผู้โชคร้ายด้วยความรู้สึกคลื่นเหียนในลำคอ
แต่ไรเนอร์กลับส่งเสียงหัวเราะดังลั่น
มือใหญ่จิกท้ายทอยกดร่างเอเลนเข้ามาใกล้กระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคนชัดๆ
“นายควรจะดีใจมากกว่านะ
ที่คนที่นอนอยู่บนโต๊ะนั่น.......ไม่ใช่ตัวเอง”
สุดจะทนได้อีกต่อไปเอเลนพรวดพราดวิ่งออกจากห้องรับรองไปอย่างหุนหันเสียงฝีเท้าที่ดังไล่หลังมาย่อมต้องเป็นของผู้คุมแต่ร่างบางยังคงวิ่งไปเรื่อยๆ
รวดเดียวกลับไปถึงห้องพักเลื่อนประตูเปิดวิ่งทะลุออกไปทางระเบียงห้องไปโก่งคออาเจียนเอาน้ำลายเหนียวๆออกมาจนหมดไส้หมดพุง
แม้จะอาเจียนจนเหนื่อยเสียจนไม่เหลืออะไรให้ออกมาแล้วแต่ความรู้สึกคลื่นไส้ก็ยังไม่หมดไป
ถึงกับต้องทรุดร่างลงคุกเข่ากับพื้นหอบหายใจเข้าออกลึกๆช้าๆค่อยๆสงบสติอารมณ์ตัวเอง
ก็แค่อดีต
มันไม่มีทางเกิดขึ้นแบบนั้นได้อีกแล้ว.......ไม่มีทาง
เอเลนหายใจช้าๆค่อยๆสงบสติอารมณ์ตนเอง
เหตุการณ์เลวร้ายพวกนั้นเคยทำให้เขาสูญเสียความเป็นตัวเองมาแล้วครั้งหนึ่งจะยอมให้เป็นแบบนั้นอีกไม่ได้
ยิ่งอยู่ในถิ่นของศัตรูเขาก็ยิ่งต้องระมัดระวังตัวเองให้มากยิ่งขึ้น
พึ่งพาใครอีกไม่ได้มีแต่ตัวเองเท่านั้น
“รบกวนช่วยไปบอกเจ้านายของพวกคุณด้วยก็แล้วกันว่าผมรู้สึกไม่ค่อยสบายต้องขอตัวก่อน”
ผู้คุมรับคำก่อนจะปิดประตูห้องแล้วถอยหลบฉากกลับไป
สำหรับผู้หญิงคนนั้นหลังจากนี้คงไม่พ้นต้องถูกย่ำยี ไม่ใช่ว่าไม่อยากจะช่วยแต่ลำพังตัวเองยังแทบจะเอาตัวไม่รอดแล้วจะไปเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปช่วยเธอกัน
แค่คิดถึงสิ่งที่ไรเนอร์พูดว่าควรจะดีใจมากกว่าที่คนที่นอนอยู่บนโต๊ะไม่ใช่ตัวเอง
เอเลนก็แทบอยากจะคุกเข่าขอบคุณเขาแล้วจริงๆ
“ใช่.......ควรจะดีใจจริงๆ”
ไม่ว่าการนัดพบปะพูดคุยกันครั้งนี้จะเป็นด้วยเรื่องใดแต่มันยังคงดำเนินไปจนดึกดื่น
เอเลนนอนฟังเสียงคนพวกนั้นเอะอะโวยวายจนผล็อยหลับไปในที่สุด
กลางดึกสงัดประตูห้องพักของเอเลนถูกเปิดออกอย่างเงียบเชียบ
ภายในห้องที่ปิดไฟสนิทมีเพียงแสงจากดวงจันทร์ส่องลอดให้แสงสลัวผ่านเข้ามาเพียงเท่านั้น
เงาร่างสูงใหญ่หยุดนิ่งอยู่ตรงปลายเท้ากลิ่นเหล้าโชยหึ่งตลบอบอวลชายร่างใหญ่ยืนจ้องพิศมองชายหนุ่มร่างบางที่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา
แสงจันทร์ตกกระทบเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่กำลังหลับลึก
ไรเนอร์เองก็ไม่เข้าใจว่าเขากำลังทำอะไรกันแน่
อะไรทำให้เขาต้องพาตัวเองมาถึงที่นี่เพียงเพื่อจะเฝ้ามองผู้ชายคนหนึ่งนอนหลับอยู่หรือจะเป็นเพราะความเมา
และด้วยเหตุนี้ทำให้เขาหลุดหัวเราะออกมาด้วยความสมเพชตนเอง
“นี่มันบ้าบอสิ้นดี”
เอเลนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเอะอะโวยวายที่ดังอยู่ข้างนอกห้อง
ตอนที่มองผ่านระเบียงออกไปยังเห็นท้องฟ้าเป็นแสงสลัวดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้าดีเสียด้วยซ้ำคิดว่าคงเป็นเวลาเช้าตรู่
เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มใหญ่เดินผ่านหน้าห้องไปด้วยความรีบร้อน
เมื่อเอเลนเปิดประตูออกไปก็เจอผู้คุมประจำตัวยืนขวางหน้าประตูอยู่
“เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่มีอะไรครับ
กรุณากลับเข้าไปพักผ่อนต่อเถอะครับ”
ชายผู้คุมกล่าวตอบเอเลนขณะพยายามกันเอเลนให้ออกห่างจากประตู
แต่เสียงอึกทึกที่อยู่เบื้องหลังผู้คุมคนนั้นกลับดึงดูดความสนใจของเอเลนมากขึ้น
ร่างบางแอบมองลอดช่องแขนของผู้คุมออกไปเห็นภาพคนของตระกูลบราวน์หิ้วปีกผู้ชายคนหนึ่งเข้ามา
ใบหน้าอาบเลือดนั้นไม่สามารถมองออกได้ว่าเป็นใคร
ร่างกายฟกช้ำสะบักสะบอมแม้แต่เรี่ยวแรงจะเดินยังไม่มี ชายแปลกหน้าถูกคนตระกูลบราวน์ลากผ่านหน้าเอเลนไปอย่างทุลักทุเล
เมื่อเอเลนมองเขาเขาจึงหันมาสบตากับเอเลน
นัยน์ตาคมเข้มจับจ้องมองสบกับร่างบางไม่วางตา
“ตามหมอ!!! เรียกหมอมาด่วน
เรียนนายท่านด้วยได้ตัวมาร์โคกลับมาแล้ว”
ถึงแม้ชายที่คิดว่าน่าจะชื่อมาร์โคจะถูกลากผ่านหน้าเอเลนไปแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ละสายตาไปจากเอเลนจนถึงกับต้องมองเหลียวหลัง
ส่วนเอเลนเองก็มองตามเขาไปจนสุดสายตาเช่นกันจนกระทั่งเขาถูกลากเข้าห้องไป
แปลก..........
สายตาของผู้ชายคนนั้นมันแปลก........แปลกอย่างบอกไม่ถูก
และขณะนั้นเองเอเลนก็โดนผู้คุมส่วนตัวดันกลับเข้าไปในห้อง
“กรุณาพักผ่อนอยู่ในห้องอย่างสงบด้วยนะครับ
เจ้านายกำลังติดธุระยุ่งหวังว่าคุณคงจะไม่สร้างความยุ่งยากให้เราเพิ่มขึ้นอีก”
ผู้คุมส่วนตัวเอ่ยออกมาหลังจากบานประตูห้องปิดสนิท
“ถ้าลำบากขนาดนั้นจะดีกว่านี้มั้ยที่เจ้านายของพวกคุณจะปล่อยตัวผมไป”
“..............”
เอเลนมั่นใจว่าผู้คุมส่วนตัวจะต้องยังอยู่หลังบานประตูบานนั้นแน่ๆ
แต่ที่เงียบไปนั่นก็เพราะไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับเขานั่นเอง
“ขอถามอะไรสักอย่างมั้ย”
“คุณกรุณาพักผ่อนอยู่ในห้องอย่างสงบเถอะครับ”
“ผู้ชายคนนั้นเป็นคนของพวกคุณเหรอ
เขาไปโดนอะไรมาทำไมสภาพเป็นแบบนั้น”
“..............”
“โอเค เอางั้นก็ได้ รู้อะไรมั้ย คุณเหมาะจะเป็นเงาที่ดีนะแต่ถ้าเป็นเพื่อนคุยนี่คงไม่เหมาะเท่าไหร่”
เอเลนเลิกสนใจผู้คุมใบ้คนนั้นแล้วเริ่มใช้ความคิดช้าๆ
มั่นใจว่าไม่เคยเจอผู้ชายคนนั้นมาก่อนแน่ๆแต่แววตาแปลกๆนั่น
แววตาที่จ้องเขม็งมาแบบนั้นชวนให้รู้สึกหวั่นใจอย่างประหลาด ทำไมถึงได้รู้สึกไม่ชอบแววตาของคนๆนั้นเลยนะ
“หมอนั่นมันเป็นใครกัน”
เพิ่งมาอ่านค่ะ //////////// ชอบแนวนี้มากเลยย ขอบคุณที่แต่งให้อ่านนะคะะ
ตอบลบ