วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2559

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์ Chapter 14

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์
Pairing: (LevixEren)
Rate: NC-17
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
Story By: AkeRah , Trendy Blood
………………………………………………………………………………………………..
Chapter 14:

 

                แกร๊กๆ แกร๊กๆ
                เสียงของประแจที่พยายามตัดสายยูซึ่งคล้องตู้เสื้อผ้าไว้กลบเสียงเปิดประตูของคนที่กำลังเข้ามา นัยน์ตาสีราตรีมองเด็กหนุ่มผมทองที่กำลังง่วนกับทำลายสายยูจนไม่สังเกตถึงการมาของเธอ
                “นายทำอะไรน่ะอาร์มิน?”
                “ม... มิคาสะ!” อาร์มินตกใจกับผู้บุกรุกจนเผลอปล่อยประแจร่วงลงกับพื้น
                มิคาสะคว้าประแจขึ้นมาก่อนจะจัดการใช้ตัดสายยูเจ้าปัญหาอย่างง่ายดาย ไม่รู้ว่าเพราะเขาไม่มีแรงพอทั้งที่เป็นผู้ชายแท้ๆหรือมิคาสะที่แกร่งเกินหญิงกันแน่ จริงสิ...มิคาสะเป็นผู้หญิงนี่นา!!
                “มิคาสะเธอเข้ามาหาพักชายแบบนี้เดี๋ยวก็ถูกจับได้หรอก” อาร์มินรีบวิ่งไปที่ประตูที่เปิดค้างไว้ก่อนจะรีบลงกลอนล็อคอย่างแน่นหนา
                เมื่อเห็นว่าประตูถูกล็อคเรียบร้อยแล้ว เด็กสาวผู้บุกรุกหอพักชายจึงจัดการเตรียมถอดชุดที่สวมใส่ทันที นั่นทำให้อาร์มินต้องรีบปราม
                “ขอร้องอย่างน้อยต้องเหลือชุดชั้นในไว้ เข้าใจนะ” อาร์มินปรามด้วยเสียงจริงจัง เมื่อมิคาสะพยักหน้ารับทราบจึงทำให้เด็กหนุ่มผมทองหายใจโล่งอกได้บ้าง
                อาร์มินมองเด็กสาวที่ถอดชุดแต่งกายออกจนเหลือเพียงชุดชั้นในสปอตบราและกางเกงยีนส์ขายาวภายในห้อง เด็กหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ไม่เข้าใจว่าผู้หญิงจะเป็นแบบนี้ทุกคนหรือเปล่า แต่กลับมิคาสะหลายครั้งเขาก็ลืมไปเลยว่าเธอเองก็เป็นผู้หญิง แต่ถ้าไม่นับเรื่องสรีระที่เจ้าตัวมี ทั้งนิสัยและท่าทางต่างๆเรียกได้ว่าแมนกว่าผู้ชายบางคนเสียอีก ผู้หญิงที่ไหนที่ชอบถอดเสื้อผ้าเดินไปมาในห้องผู้ชายกัน แถมยังไม่สนใจด้วยซ้ำ ยังไม่รวมถึงว่าเขากับเอเลนยังต้องเคยสอนวิธีใส่ชุดชั้นในให้กับเจ้าหล่อน เล่นเอาตอนนั้นทั้งเขาและเอเลนศึกษาเรื่องชุดชั้นในจนเป็นกูรูเลยก็ว่าได้ ผมสุดท้ายด้วยความที่ไม่ชอบอะไรยุ่งยากมิคาสะเลยเลือกที่จะใส่สปอตบราแทน อีกทั้งเด็กสาวผู้นี้ยังเป็นคนที่แปลกประหลาดเอาเสียมากๆ ถ้าจำไม่ผิดมิคาสะเป็นหลานสาวของเจ้าของร้านอาหารอิตาลีที่อยู่ข้างๆบ้านเอเลน อยู่ๆวันหนึ่งที่เขาไปเที่ยวเล่นบ้านของเอเลน คุณลุงคุณป้าเอเคอร์แมนก็พาเด็กสาวที่ดูน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับพวกเขามาทำความรู้จัก ตอนที่เจอครั้งเขาก็รู้สึกว่าเป็นเด็กสาวที่สวยคมอย่างหาได้ยาก แม้จะดูเงียบขรึมและไม่พูดจาก็ตาม แต่ที่ทำให้น่าประหลาดใจกว่านั้นหลายครั้งเด็กสาวมักมีคำถามแปลกๆมาถามพวกเขาหรือบางทีคุณป้าเอเคอร์แมนก็โยนภาระคำถามของมิคาสะและเรื่องต่างๆมาให้พวกเขาจัดการ และนั่นเลยทำให้พวกเราทั้งสามสนิทกันจนสอบเข้ามหาลัยเดียวกันได้สำเร็จ โดยเฉพาะกับเอเลนที่ดูเหมือนมิคาสะจะชอบมากเป็นพิเศษ
                “เอเลนล่ะ?” หลังหยิบน้ำในตู้เย็นขึ้นดื่มอย่างคุ้นชิน มิคาสะจึงเอ่ยถามถึงคนที่ไม่เห็นในห้อง
                “..คงยังไม่กลับมา” นัยน์ตาสีฟ้าหลบสายตาคมที่จ้องมาอย่างหาคำตอบ
                “แต่กระเป๋าของเอเลนก็กลับมาแล้ว อีกอย่างเสื้อผ้าที่หมอนั่นแยกเตรียมซักก็อยุ่ในตะกร้าแล้ว” มิคาสะชี้ไปที่กระเป๋าลากใบประจำของเอเลน และกองเสื้อผ้าที่อยู่ในตระกร้าผ้า
                “...หมอนั่นคงออกไปเที่ยวเล่นและเดี๋ยวคงกลับมา” อาร์มินพยายามส่งยิ้มกลบเกลื่อน
                มิคาสะเดินเข้ามาใกล้เด็กหนุ่มผมทอง สองมือคร่อมยันเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนเตียง นัยน์ตาสีราตรีจ้องเขม็งราวกับจำผิดในคำพูดของอาร์มิน
                “เอเลนไม่เคยไปไหนเวลาใกล้ปิดหอ” เสียงที่ถามออกมาทำให้อาร์มินเริ่มรู้สึกกดดัน
                “ที่เอเธนส์อยู่ๆก็ติดต่อหมอนั่นไม่ได้ แล้วทั้งที่ตอนนี้เอเลนก็กลับมาเยอรมันแล้ว..... พวกนายปิดบังอะไรฉันอยู่อาร์มิน?”
                อาร์มินพยายามกลืนน้ำลายหนืดลงคอก่อนจะส่งยิ้มแห้งๆให้กับเด็กสาว แต่ดูเหมือนมิคาสะจะไม่ละความพยายามโดยง่าย เขาจึงได้แต่ถอนหายใจ... คงโกหกต่อไปไม่ได้
            “เออ... เธออาจไม่เชื่อ.... แต่เอเลนบอกว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นที่พีระมิดหุบเขากษัตริย์......”

                หลังจากเล่าเรื่องราวทั้งหมดจบอาร์มินได้แต่ชำเลืองตามองเด็กสาวที่ยังคงมีสีหน้านิ่งเฉยจนผ่านไปหลายนาที อาร์มินเริ่มคิดแล้วว่านี่มิคาสะจะเล่นจ้องตากับเขาหรือว่าไม่เชื่อที่เขาพูดกันแน่? แต่ก็อย่างว่าเรื่องแบบนี้ถ้าไม่เห็นกับตาตัวเองใครจะเชื่อ
                “เมืองลักซอว์สินะ...” จากที่เงียบมานานในที่สุดมิคาสะก็เปิดปาก
                นัยน์ตาสีราตรีหลุบลงใช้ความคิดสักครู่ มิคาสะใช้สองมือวางที่ไหล่ของอาร์มินพร้อมทั้งกล่าวสั่งอย่างจริงจัง
                “ฝากนายดูแลทางนี้ด้วย พรุ่งนี้ฉันจะเดินทางไปที่หุบเขากษัตริย์”
                มิคาสะสวมเสื้อที่ถอดไว้อีกครั้งก่อนจะเปิดหน้าต่างแล้วกระโดดลงจากหอพักชายโดยมีต้นไม้ที่อยุ่ติดกับอาคารเป็นตัวช่วยจับเกาะลงสู่พื้นดิน อาร์มินได้แต่จ้องตาปริบๆที่หน้าต่างก่อนจะถอนหายใจยืดยาวอีกครั้ง.... ถ้าเอเลนบอกว่าเขาเป็นเทพแห่งปัญญา มิคาสะคงเป็นเทพีแห่งสงครามที่บ้าบิ่นและใจร้อนน่าดู....

                ทันทีที่ก้าวขาเข้าสู่ท่าอากาศยานเมืองลักซอร์มิคาสะมิคาสะรีบหารถบัสที่จะผ่านทางไปหุบเขากษัตริย์ทันที เนื่องจากตอนนี้มีการจัดกลุ่มสำรวจพีระมิดเลยทำให้รถท่องเที่ยวไม่สามารถเข้าไปได้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะกองคาราวานที่เดินผ่านจุดนั้นยังคงมีอยู่ อีกทั้งภาษาอียิปต์ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอการจะขอติดไปยังพีระมิดหุบเขากษัตริย์ มิคาสะจึงอาศัยกองคาราวานที่ผ่านทางมาติดไปด้วยกัน กว่าจะถึงจุดหมายที่ตั้งก็เป็นเวลาใกล้พลบค่ำเหล่ากองคาราวานที่ช่ำชองการเดินฝ่าทะเลทรายจึงเริ่มหาที่หยุดพักชั่วคราว เว้นแต่มิคาสะเมื่อกองคาราวานหยุดเดินเธอจึงกล่าวขอบคุณและออกเดินทางต่อเพียงลำพังราวกับไม่อยากเสียเวลา แม้จะโดนหัวหน้ากองคาราวานเชื้อเชิญให้อยู่ต่อเพียงใด เพราะทะเลทรายยามค่ำคืนนั่นอันตรายกับเด็กสาว มิคาสะเข้าใจถึงความเอาแน่เอานอนของทะเลไม่ได้เป็นอย่างดี แต่ถึงกระนั่นเธอก็ไม่หวั่นที่จะออกเดินทางต่อเพียงลำพัง อีกทั้งการไปให้ถึงภายในเวลาค่ำยิ่งเป็นการดี เพราะการมาครั้งนี้เธอไม่ได้ติดต่อ คริชา เยเกอร์ พ่อของเอเลน ด้วยเกรงว่าเรื่องที่เอเลนหายตัวไปจะทำให้ผู้เป็นพ่อวิตกกังวล ดังนั้นการมาที่พีระมิดหุบเขากษัตริย์ครานี้ เธอจึงต้องลักลอบเข้าไป
                เป็นไปตามที่คาดคิดเมื่อมาถึงพี่ระมิดหุบเขากษัตริย์ก็เป็นเวลามืดมากแล้ว คบเพลิงและเครื่องปั่นไฟอย่างง่ายเริ่มทำงานเพื่อให้แสงสว่างต่อผู้มาสำรวจหุบเขาแห่งนี้ นัยน์ตาสีราตรีตวัดมองรอบข้างไปมาก่อนจะค่อยเดินหลบที่หลังเต๊นท์แต่ละหลังเพื่อเข้าไปให้ถึงพีระมิด โชคดีที่เธอนำของติดตัวมาเป็นเพียงเป้สะพายหลังใบเดียวเท่านั้นการหลบไปยังมุมต่างๆจึงเป็นไปได้อย่างง่ายดายจนกระทั่งมิคาสะสามารถลอบเข้าไปภายในพีระมิดได้สำเร็จ
                เด็กสาวหยิบไฟฉายที่นำติดตัวออกมาไฟจากกระบอกไฟช่วยให้มีแสงสว่างพอเพียงตามทางเดินก่อนจะเข้าไปถึงส่วนของท้องพระโรงซึ่งมีไฟสีน้ำเงินที่ไม่มีวันดับให้ความสว่าง มิคาสะปิดกระบอกไฟฉายก่อนจะเก็บลงกระเป๋าเป้ เด็กสาวเดินสำรวจไปทั่วท้องพระโรง นิ้วเรียวแตะตามผนังต่างๆเพื่ออ่านจารึกแต่เมื่อไม่เห็นถึงสิ่งที่ตามหาเด็กสาวจึงให้ความสนใจกับโลงพระศพที่ตั้งเด่นสง่าเบื้องหน้าแทน มิคาสะลองพยายามดันฝาโลงที่ปิดสนิทออกอย่างเต็มกำลังแต่ไม่เป็นผล เมื่อเริ่มรู้สึกเหนื่อยเด็กสาวจึงนั่งลงพลางถอนหายใจข้างโลงพระศพ นัยน์ตาสีราตรีสำรวจรอบๆอีกครั้งก่อนจะสะดุดตากับรูปปั้นอนุบิสที่อาร์มินพูดถึง ไม่รอช้าเด็กสาววิ่งตรงดิ่งไปยังรูปปั้นทันที ใบหน้าคมสวยสำรวจรูปปั้นอนูบิสทั้งลองขยับแต่ก็ไม่เป็นผล ดูเหมือนว่ารูปปั้นอนูบิสนี่จะไม่มีปฏิกริยาใดๆกับเธอแม้แต่น้อย เด็กสาวเกาผมสีดำของตนเองอย่างไม่สบอารมณ์ ใบหน้าคมสวยพยายามนึกถึงสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้
                ถ้ารูปปั้นอนุบิสไม่ยอมให้เธอเข้าไป บางทีคำจารึกจากพวกนักบวชอาจมีหนทางสำหรับเธอก็เป็นไปได้.... ไม่รอช้ามิคาสะกลับไปที่โลงพระศพอีกครั้งก่อนจะตั้งใจอ่านอักขระที่จารึกล้อมรอบ
“แสงสุริยันแห่งรา นำพามาซึ่งความรุ่งโรจน์
ผู้เป็นหน่อเนื้อเชื้อไข จักล่วงรู้ความลับแห่งสุริยัน
แด่ผู้ถูกเลือก ละทิ้งบาปเดินทางผ่านประตู
กายาสูญสิ้น จิตนำพาสู่ภพหลังความตาย
เปลวเพลิงจักเผาไหม้ ร่างกายจะแปลกแยก
เมื่อรอดพ้นแสงสุริยา จักค้นพบทางหวนคืน”
                ใบหน้าเฉยชากระตุกยิ้มบาง นัยน์ตาสีราตรีไล่อ่านจารึกต่างๆบนผนังก่อนจะมาสะดุดกับรูปประตูและกุญแจทองคำที่ดูแตกต่างจากเรื่องราวอื่นๆ มิคาสะดันรูปจารึกที่แปลกแยกบนอิฐบล็อกของผนังวิหารพีระมิด เป็นไปตามที่คาดคิดเมื่ออิฐบล็อกยุบตัวลงกลไลภายในที่ถูกซ่อนไว้เริ่มทำงานทันที สุสานที่นิ่งงันค่อยๆเคลื่อนตัวออกจนเห็นช่องทางและบันไดลงไปสู่ด้านล่าง ทันทีที่เด็กสาวก้าวเท้าลงไปกลไกเริ่มทำงานอีกครั้ง โลงศพกลับคืนสู่ที่เดิมปิดทางเข้าออกทันที แต่เด็กสาวไม่ได้ใส่ใจเมื่อมองเห็นทางออกที่ถูกปิด มิคาสะหยิบไฟฉายขึ้นมาให้ความสว่างอีกครั้งก่อนจะก้าวลงบันไดไปสู่ห้องใต้ดินเบื้องล่าง เมื่อมาถึงพื้นด้านล่างก็พบประตูโค้งติดกับบันได ไม่รอช้าเด็กสาวรีบเดินเข้าไปทันที มิคาสะใช้ไฟฉายมองสำรวจสิ่งต่างๆ เครื่องหน้าตาประหลาดที่อยู่กลางห้องแท่นหินซ้อนกันเป็นวงกลมราวกับขั้นบัน12ขั้น ขึ้นไปตรงกลางมีโลหะวงกลมขนาดใหญ่ที่คนสามารถลอดผ่านไปได้ โลหะวงกลมที่มีแฉกออกมาราวกับแสงแห่งสุริยัน มิคาสะมองสำรวจขั้นบันไดอีกครั้ง บันได 12 ขั้น คงแสดงถึงประตู 12 บาน ที่ต้องผ่านในโลกหลังความตาย ประตูสุริยันบางทีคงอาจเป็นสิ่งที่ทำให้เขาไปสู่อีกโลกได้....
                เด็กสาวมองสำรวจรอบๆอีกครั้งก่อนจะสะดุดเข้ากับกริซสีทองที่ปักไว้ยังแท่นศิลาด้านข้าง เมื่ออ่านอักขระที่จารึกทำให้มิคาสะถึงกับยกยิ้มขัน
[แด่หน่อเนื้อเชื้อไขผู้เป็นบุตรแห่งรา]
                “หวังว่ามันคงจะได้ผล”
                มิคาสะใช้กริซทองคำกรีดลงบนแขนของตนเอง เลือดสีชาดหยดลงบนพื้นที่มีอักขระเขียนรายล้อม ประตูโลหะพลันสั่นสะเทือนก่อนจะเกิดแสงสีทองที่ใจกลางประตู มิคาสะลองใช้มือลอดผ่าน ความร้อนราวกับโดนไฟแผดเผาทำให้ต้องชักมือกลับทันที แรงสั่นสะเทือนของประตูยังคงสั่นต่อเนื่องทำให้พีระมิดเริ่มมีเศษหินและอิฐร่วงกราว ดูเหมือนถ้าเธอไม่รีบตัดสินใจประตูสุริยันเบื้องหน้าจะต้องพังลงแน่นอน อาจรวมถึงห้องใต้ดินแห่งนี้ เด็กสาวสูดหายใจลึกเข้าเต็มปอด นัยน์ตาสีราตรีส่องประกายเจิดจ้า สองเท้าก้าวถอยหลังก่อนจะวิ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลัง ร่างของเด็กสาวถูกแสงสีทองดูดกลืนเข้าผ่านบานประตู เสียงของหินยักษ์ตกถล่มดังอยู่ไกลๆทำให้เธอเดาได้ว่าบางทีประตูที่เทอลอดผ่านเข้ามานี้คงจะพังหรือโดนหินใหญ่ปิดเข้าแล้ว  แต่ไม่มีเวลาคิดเรื่องที่ประตูถูกทำลายหรือปิดไปแล้วหรือไม่ เพราะความร้อนของแสงสีทอที่โอบอุ้มร่างนั้นลามเลียไปทั่วร่างของเด็กสาว ทั้งอึดอัดทั้งร้อนราวกับถูกเผาไหม้จากเปลวเพลิง

ตูม!
จะเรียกว่าเป็นโชคดีก็ว่าได้พลันแสงสีทองนั้นมลายหายไปเขาก็ตกลงยังแม่น้ำทันที มิคาสะรีบว่ายน้ำขึ้นมายังเบื้องบนหอบเอาอากาศหายใจเข้าไป พยายามครองสติกับร่างกายที่โดนผลกระทบจากลำแสงสีทอง น้ำเย็นที่ช่วยประโลมทำให้ร่างกายรู้สึกดีขึ้นมาก นัยน์ตาสีราตรีสาดส่องไปทั่วอาณาบริเวณก่อนจะสะดุดกับวิหารเบื้องหน้า ไม่รอช้ามิคาสะรีบยันตัวขึ้นจากแม่น้ำมุ่งหน้าตรงเข้าสู่มหาวิหารทันที

“...เออ ท่านเอเลน ถ้าท่านยังคงแทะเสาไม่เลิกเกรงว่าก่อนที่วิหารจะถล่ม ฟันท่านอาจสึกกร่อนเสียก่อน” เบเซธมองร่างอวตารที่ตั้งแต่กลับมาดูเหมือนจะมีปากเสียงกับเสด็จพ่อของเขาอีกเช่นเคย และดูเหมือนครั้งนี้จะทำให้ร่างอวตารหงุดหงิดพระทัยยิ่งนักถึงขั้นต้องมาระบายด้วยการแทะเสาทองคำที่อยู่ในห้องของเขา
“พ่อนายมันเป็นตาแก่มักมาก ทั้งเจ้าเล่ห์ ทั้งน่าโมโหชะมัด!” เอเลนคำราวเสียงลั่นก่อนจะทุบลงบนเสาเจ้ากรรมเพื่อระบายอารมณ์ที่คุกรุ่น
ให้ตายสิแล้วแบบนี้เขาจะกลับไปโลกเดิมยังไง รู้งี้ไม่น่าเลินเล่อยอมเอากุญแจทองคำออกมาใช้ให้ดูเลย ทั้งที่ตั้งใจไว้แล้วแท้ๆว่าจะเก็บเป็นความลับไม่ให้เจ้าตาแก่บ้านั่นรู้แท้ๆ แล้วไอกุญแจทองคำนั่นอีกจำได้ว่าทิ้งไว้ที่ถังขยะในสนามบินแล้ว แล้วทำไมอยู่ๆถึงมาโผล่ในพวงกุญแจหอเขาได้ฟร่ะ!? ทั้งที่เพิ่งเปิดเทอมแท้ๆต้องมาติดแหง่กอยู่ที่นี้ ลองเจ้าพ่อบ้ารู้ว่าเขาโดดเรียนตั้งแต่วันแรก มีสิทธิ์โดนให้ลาออกและให้เดินทางไปช่วยวิจัยแหงๆ ให้ตายสิแล้วแบบนี้เขาจะกลับยังไงดีเนี่ย? จะให้อ้อนคนเจ้าเล่ห์แบบนั้นเหรอไม่มีวันซะล่ะ!!
“ท่านเอเลนเพียงท่านออกคำสั่งข้าจะไปเด็ดหัวฟาโรห์ผู้นั่นเอง” แอนนี่ที่ตอนนี้รับหน้าที่เป็นองครักษ์ประจำกายร่างอวตารยื่นข้อเสนอ
“ท่านแอนนี่อย่างน้อยนั่นก็เป็นพระบิดาของเรานะขอรับ” เบเซธรีบปราม ดูจากสีหน้าแววตาแล้วเหมือนกับว่าสตรีผู้นี้ไม่ได้ล้อเล่นแน่นอน
“ไม่เป็นไรหรอกแอนนี่ ไว้ฉันจะลองหาทางดู” ที่จริงก็อยากบอกให้แอนนี่ไปกำจัดฟาโรห์มักมากนั่นอยู่หรอก แต่เหมือนจะเอาเหยื่อไปล่อปากเสือเสียมากกว่า
เอาเป็นว่าเขาคงต้องหาทางจัดการเควสคราวนี้ให้เสร็จ ก็ไม่รู้หรอกนะว่าจะเป็นอะไร เดี๋ยวกุญแจทองคำมันก็คงโผล่มาให้เขาได้กลับบ้านเอง.... ให้ตายสิจะให้จัดการอะไรก็รีบๆโผล่มาสักทีเถอะเขาเบื่อจะแย่อยู่แล้ว!
หน้าต่างที่สาดแสงอาทิตย์พลันมีเงาดำทาบทับเอเลนจึงหันไปดูแต่จู่ๆร่างของตนก็ถูกดึงไปอยู่ด้านหลังของเบเซธ
แคร้ง!
เสียงโลหะที่กระทบกันดังสนั่น เด็กหนุ่มหันมองทางต้นเสียง
“ใครกัน!” แอนนี่ตะโกนถามผู้บุกรุกทันที เสียงของโลหะที่กระทบกันเมื่อสักครุ่เป็นมีดสั้นประจำตัวของแอนนี่กระทบกับวัตถุสีเงินที่อยู่ในมือของอีกฝ่าย
“ข้าต่างหากที่ควรถามว่าเจ้าเป็นใคร?”
แสงที่ย้อนจนเกิดเงาดำกระทบทำให้ไม่อาจเห็นหน้าของผู้บุกรุกได้ถนัดนัก เสียงโลหะยังคงดังอย่างต่อเนื่อง แอนนี่บุกจู่โจมอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนผู้บุกรุกก็หลบไปมาได้อย่างง่ายดาย
เอเลนจ้องมองการต่อสู้ที่ผลัดกันรุกและผลัดกันรับด้วยความทึ่ง ไม่คิดมาก่อนว่าการต่อสู้แบบในหนังที่เขาชอบดูจะได้มาเห็นของจริงก็วันนี้ เดี๋ยวสิไม่แน่คนปริศนาที่บุกเข้ามาอาจเป็นหนทางกลับบ้านของเขาวันนี้ก็ได้
“พวกเธอใจเย็นก่อนสิ” เอเลนพยายามร้องปรามถึงจะตื่นเต้นกับการเห็นฉากต่อสู้ของจริง แต่ยังไงนี่มันต้องมีคนใดคนหนึ่งเจ็บตัวจริงๆแบบนี้เขาก็ไม่ค่อยสนุกหรอกนะ
“ทหารมีผู้บุกรุก! เบเซทตะโกนเรียกไพร่พลที่เฝ้าอยู่ใกล้ให้เข้ามาหา เด็กหนุ่มพยายามกันร่างอวตารไว้เบื้องหลัง อีกมือกระชับดาบที่พกติดตัวไว้ขึ้นมาตั้งท่ารองรับ
เมื่อเมฆเคลื่อนคล้อยช่วยบดบังแสงอาทิตย์จึงทำให้เอเลนเห็นผู้บุกรุกชัดเจนขึ้น แล้วนั่นทำให้นัยน์ตาสีอร่ามมองอย่างตกตะลึง เพราะเครื่องแต่งกายของฝั่งนั้นช่างราวกับอยู่ในยุคเดียวกับของเขา
“ท่านเบเซท ท่านร่างอวตารปลดภัยดีหรือไม่!?” นายทหารต่างวิ่งมาพร้อมไถ่ถาม เมื่อเห็นว่าร่างอวตารและบุตรแห่งฟาโรห์ยังคงปกติดี เหล่าพลทหารจึงกระจายกำลังโอบล้อมการต่อสู้ของทั้งสองไว้เพื่อรอจังหวะเข้าจับกุม
“ด...เดี๋ยวก่อน หมอนั่นอาจไม่ใช่คนร้ายนะ!” เอเลนร้องปราม ไม่แน่คนนี้ก็อาจหลุดมาจากโลกอนาคตเช่นเดียวกับเขา แต่คงเป็นพวกหน่วยทหารหรืออะไรสักอย่างถึงได้มีฝีมือการต่อสู้ที่ดุเดือดเช่นนี้
“เลิกเล่นกันดีกว่าสาวน้อย” เสียงทุ้มเอ่ยกล่าวก่อนจะตวัดตัวจับแอนนี่กดลงกับพื้น มีดสั้นที่พกติดตัวถูกเตะกระเด็นออกห่าง
เมื่อเห็นท่าไม่ดีเหล่าทหารเตรียมบุกเพื่อจับตัวผู้บุกรุก
“ข้าสั่งให้พวกเจ้าหยุด! เสียงทุ้มคำรามจนทำให้เหล่าทหารที่พยายามเข้าไปจับกุมถึงกับต้องหยุดชะงัก ทหารชั้นผู้น้อยต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กไปมาอย่างไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
ผู้บุกรุกค่อยๆเงยหน้ามองเหล่าคนที่รายรอบ และนั่นถึงกับทำให้ทุกคนตกตะลึงกับใบหน้าคมคายและผมสีดำรัติกาลของผู้บุกรุกเบื้องหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอเลน
“มิคาสะ! เธอมาที่นี้ได้ยังไง?” เด็กหนุ่มตะโกนถามอย่างแปลกใจ
“เจ้าเป็นคนรู้จักของท่านเอเลนงั้นเหรอ?” แอนนี่ที่ถูกกดกับพื้นเอ่ยถาม
เมื่อเห็นว่าแอนนี่ไม่มีท่าทีว่าจะต่อต้านแล้ว มิคาสะจึงยอมปล่อยมือที่กดทับบนตัวเด็กสาว ใบหน้าคมจ้องมองไปที่ทหารที่ละนาย สิ่งที่ไม่คาดคิดคือเธอกำลังจะถอดเสื้อ
“แว๊ก!เดี๋ยว มิคาสะ เธอมาถอดเสื้อต่อหน้าผู้ชายแบบนี้ไม่ได้นะ ห้ามถอดนะเฮ้ย!!” เอเลนที่รู้จักนิสัยของมิคาสะตรงนี้ดีรีบดันตัวออกจากเบเซธพร้อมทั้งใช้สองมือหมายคว้าเสื้อที่กำลังถูกถอดของเด็กสาว
สองมือของเอเลนคว้าจับที่หน้าอกของมิคาสะทันที ใบหน้ามนของร่างอวตารขึ้นสีระเรื่อก่อนจะกล่าวขอโทษเป็นพัลวัน
“ขอโทษๆๆๆ ให้ตายสิรู้ว่าชอบถอดเสื้อแต่นี่มันสาธารณะแล้วเธอเป็นผู้หญิงจะทำแบบนี้ไม่ได้นะเฮ้ย!” แต่เพราะความตกใจมือของเอเลนก็ยังคงไม่ละออกจากหน้าอกของมิคาสะ
มิคาสะจ้องมองใบหน้าของเด็กหนุ่มนิ่งงันเหมือนสติของเอเลนพึ่งกลับคืน มือที่ยังคงคาที่หน้าอกจึงลูบๆคลำๆพร้อมทั้งบีบอย่างแปลกใจ
“เดี๋ยวนะ เธอเปลี่ยนมารัดเสตย์ตั้งแต่เมื่อไหร่? เคยบอกแล้วใช่ไหมว่ามันไม่ดีต่อสุขภาพเดี๋ยวมะเร็งก็ถามหาหรอก” ยังไม่ทันได้อบรมคนขี้ร้อนชอบถอดเสื้อ มิคาสะก็ดึงเสื้อที่สวมออกอีกครั้ง แม้เอเลนจะปรามขนาดไหนก็ตาม
เด็กหนุ่มรีบยกมือขึ้นปิดตาพร้อมทั้งสั่งเหล่าทหารที่อยู่รายรอบให้หันหลัง
“เฮ้ยๆพวกแกอย่ามองนะ ต้องให้เกียรติผู้หญิงรู้ไหม หันไปให้หมดเลยนะเฮ้ย!
“ท.....ท่านอา?” เบเซทที่ยืนเงียบอยู่นานเอ่ยขึ้น อย่างตกตะลึง
มิคาสะโยนเสื้อทิ้งกับพื้น ใบหน้าคมมองเด็กหนุ่มที่เรียกตนว่าอาก่อนจะยกยิ้มบางตอบ
“ไม่เจอกันนาน เจ้าโตเป็นหนุ่มแล้วนะเบเซท”
เอเลนที่ยังคงงงงวยหันกลับไปมองเพื่อนสาว(?) ของตนกับเบซทที่บัดนี้โผเข้ากอดราวกับคุ้นเคย แต่ที่ทำให้น่าตกใจกว่านั้นคือ....หน้าอกที่ควรจะมีของมิคาสะตอนนี้กลับราบเรียบ! เขาสาบานได้นะว่าตรงหน้าอกตรงนั้นมันเคยมีมาก่อน เพราะเขากับอาร์มินต้องเป็นคนสอนมิคาสะใส่ชุดชั้นใน อีกทั้งเจ้าหล่อนยังชอบเปลือยกายบ่อยๆจนเขาต้องบอกอย่างน้อยให้เหลือชุดชั้นในไว้บ้าง และเขายืนยันได้จริงๆนะว่าไอหน้าอกคัพ D นั่นน่ะ มันของจริงและเคยมีอยู่บนนั้นของคนตรงหน้านี้แน่ๆ
“เกิดอะไรขึ้นท่านเบเซทท่านเอเลน?” ไรเนอร์ที่ได้รับรายงานเรื่องผู้บุกรุกรีบวิ่งมายังที่เกิดเหตุ
เมื่อมาถึงชายหนุ่มตกตะลึงกับบุคคลที่เบเซทโผเข้ากอดเบื้องหน้า ไรเนอร์รีบลุกเข้าทำความเคารพทันที
“ท... ท่านมิคาสะ ในที่สุด..ท่านก็กลับมา”
เมื่อเห็นองครักษ์ทำความเคารพบุคคลแปลกหน้าเหล่าทหารที่ยังงงวยต่างพากันคุกเข่าเช่นเดียวกัน เอเลนและแอนนี่ที่ได้แต่มองหน้ากันไปมาและมองเหล่าคนตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ เดี๋ยวนะนี่เกิดอะไรขึ้น หรือเขาจะจำคนผิด แต่เครื่องแต่งกายที่หมอนี่ใส่ดูยังไงก็เป็นของจากโลกเขาไม่ผิดแน่
มิคาสะค่อยๆดันเบเซทออกจากตัวก่อนจะเข้าไปชันเข่าทำความเคารพเบื้องหน้าเอเลน
“ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเจ้าจะเป็นถึงร่างอวตารแห่งรา”
“...เดี๋ยวนะ ฉันงงไปหมดแล้ว แต่เธอคือมิคาสะจริงๆใช่ไหม?”
มิคาสะเงยหน้ามองเด็กหนุ่มก่อนจะยืดตัวขึ้นยืน
“ข้าคือมิคาสะสหายที่ท่านคอยช่วยเหลือเมื่ออยู่ยังดินแดนแห่งเทพที่ได้พลัดหลงไป”
พลัดหลง เดี๋ยวนะจะบอกว่าที่จริงแล้วมิคาสะเป็นคนในโลกไอยคุปต์นี้น่ะเหรอ?
“เมื่อหลายปีก่อน ข้าได้รับภารกิจให้ไปสอดแนมยังดินแดนตะวันออก ระหว่างทางผลันเกิดแสงสีทองห่อหุ้มข้า เมื่อรู้สึกตัวอีกทีข้าก็ไปอยู่ในดินแดนที่ไม่รู้จักเสียแล้ว”
เอเลนพยายามจับต้นชนปลายถึงสิ่งที่ได้ยิน จะบอกว่าที่จริงแล้วหมอนี่คือคนของโลกนี้แต่อยู่ๆก็เกิดช่องเวลาทำให้ไปโผล่ในโลกของเขาแบบนี้สินะ ถ้าเป็นงั้นจริงพอเข้าใจถึงพฤติกรรมแปลกๆที่เจอกันแรกๆได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสอนเปิดโทรทัศน์ พาขึ้นรถบัส รถไฟ เครื่องบิน และเรื่องการใช้โทรศัพท์ และอื่นๆอีกกองเป็นภูเขา ถ้าบอกว่าเพราะเป็นคนยุคโบราณที่หลุดเข้าไปทุกอย่างที่หมอนี่ทำเลยอธิบายได้เป็นอย่างดี แต่ที่น่าตกตะลึงไปกว่านั้น....
เอเลนแตะมือลงบนหน้าอกของมิคาสะที่บัดนี้แบนราบ และมีกล้ามเนื้อทั่วทั้งตัวดังเช่นบุรุษในยุคนี้ มือเรียวขึ้นลูบปลายตาของตัวเอง เขาเมื่อมาโลกนี้ตาสีเขียวอยู่ๆก็เปลี่ยนเป็นสีทองแห่งรุ่งอรุณ แต่มิคาสะเรียกว่าน่าจะโดนอย่างหนักหน่วง เพราะเมื่ออยู่ในโลกของเขามิคาสะเป็นผู้หญิงแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ตอนนี้กลับเป็นชายหนุ่มที่มีร่างกายกำยำจนน่าอิจฉา จะว่าไปตอนฟาโรห์บ้านั่นตอนไปโลกของเขา.... เพราะมัวแต่ตกใจเลยไม่ได้เอ่ยถึง อยู่ๆไอฟาโรห์บ้านั่นก็มีรอยสักประหลาดที่หลังและช่วงเชิงกราน บางทีอาจเป็นเหตุผลเดียวกับเขาที่ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เข้าใจภาษาของโลกที่อยู่ก็ได้
เสียงฝีเท้าอีกหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ เอเลนที่หันหลังอยู่จึงไม่ได้สนใจเท่าไรนักแต่มิคาสะที่เห็นผู้มาเยือนถึงกับนิ่วหน้าอย่างไม่สบอารมณ์
“ข้าคิดไว้แล้วว่าเจ้าจักต้องหาทางกลับมาได้”  ฟาโรห์รีไวชูรูปถ่ายที่ถือติดกลับมาจากห้องของเอเลนให้อีกฝ่ายดู รูปที่มิคาสะ เอเลน และอาร์มินถ่ายไว้ร่วมกัน
“ตอนที่ข้ามีโอกาสได้ไปยังดินแดนเทพ ข้าเห็นสิ่งนี้จึงคิดว่าเจ้าคงได้รับการดูแลจากร่างอวตารและเทพแห่งปัญญา แต่น่าน้อยใจนักที่ไม่ส่งข่าวคราวกลับมายังอียิปต์ของเราเสียบ้าง”
“ถ้าไม่ติดว่าเอเลนลงมาช่วยเจ้าที่ดินแดนแห่งนี้ข้าคงไม่หาทางกลับมาเจอเรื่องวุ่นวายน่าปวดหัวเป็นแน่ อีกอย่างการไม่ต้องเห็นหน้าท่านทำให้ข้ารู้สึกปิติยิ่งนัก”
เอเลนมองทั้งสองสลับกันไปมา พอมายืนด้วยกันแบบนี้ทำให้เอเลนรู้สึกสังหรณ์ชอบกล คงไม่ใช่ว่า...
“ขอโทษนะ พวกนาย อย่าบอกนะว่า..เป็น...”
ฟาโรห์รีไวยิ้มกริ่มก่อนจะเดินเข้าไปหามิคาสะมากยิ่งขึ้น
“ท่านร่างอวตารท่านคงรู้ดีอยู่แล้วว่าคนผู้นี้ที่อยู่กับท่าน ณ. ดินแดนแห่งเทพ คือพระอนุชาของเรา”

เอเลนรู้สึกหน้าชาไปชั่วขณะ.... ตั้งแต่มาที่นี้มีอะไรให้รู้สึกแปลกใจอยุ่ตลอดจนตอนนี้ถ้ามีคนบอกเขาว่าใต้ฐานพีระมิดมีหุ่นยนต์ไว่ต่อสู้กับมนุษย์ต่างดาวเขาก็คงเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย... ให้ตายเถอะสมกับเป็นพี่น้องกันก็ว่าได้ทั้งสองคนนี้โดยเฉพาะเรื่องชอบโชว์เป็นชีเปลือยด้วยล่ะนะ...
“ว่าแต่มิคาสะ เธอ เอ้ย... เออ นายมาที่นี้ได้ยังไง?” พอสรีระที่เปลี่ยนไปทำเอาเขาหาคำมาเรียกเพื่อนคนี้ไม่ถูก
“อาร์มินเล่าเรื่องของท่านให้ข้าฟัง ข้าจึงคิดว่าถ้าข้ามาที่พี่ระมิดหุบเขากษัตริย์บางทีอาจเจอหนทาง และเป็นไปตามคาด”
“หมายความว่ามีทางอื่นที่สามารถมาที่โลกนี้ได้ด้วยงั้นหรือ?” เอเลนถามอย่างมีความหวัง และยิ่งมิคาสะพยักหน้าตอบรับยิ่งทำให้เด็กหนุ่มแววตาเป็นประกาย ก่อนที่จะลิงโลดความฝันก็ต้องสูญสลายเสียก่อน
“แต่ประตูทางเข้านั้นอาจถูกปิดตายไปแล้วก็เป็นได้”
“แต่ไม่คิดเลยว่าเจ้าที่หายตัวไปแท้จริงแล้วกลับไปยังดินแดนเทพ เพราะเหตุใดกัน?” รีไวเอ่ยถามถึงข้อสงสัย
มิคาสะได้แต่ส่ายหัวไปมาเป็นการบอกว่าไม่อาจรู้ถึงสิ่งที่เกิด
“อย่างที่ข้าได้กล่าวไป วันที่ข้าเดินทางไปสอดแนมที่ฝ่ายศัตรู ฉับพลันเกิดแสงสีทองขึ้นตรงหน้าแล้วข้าก็ถูกแสงนั้นกลืนกินลงไป เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งมีท่านผู้อาวุโสมากน้ำใจช่วยข้าและให้ข้าพำนักอยู่ที่นั่น คิดไม่ถึงว่าที่ที่ข้าได้ไปนั่นจะเป็นดินแดนแห่งเทพ และข้าไม่คิดเลยว่าสหายที่ข้าพบเจอจะเป็นร่างอวตารแห่งรา อีกทั้งยังเป็นจุดสำคัญที่ให้ข้าหาทางกลับมายังธีปส์ได้ในที่สุด”
มิคาสะเดินเข้าไปหาเอเลนก่อนจะโค้งคำนับอีกครั้ง นัยน์ตาสีราตรีรู้สึกแปลกใจเล้กน้อยก่อนจะให้มือแตะที่แก้มเนียนของเด็กหนุ่ม
“เหตุใดสีตาของท่านถึงเปลี่ยนเป็นสีเช่นนี้ได้?” คำถามของมิคาสะทำเอาเอเลนเบะหน้า
“เหตุผลเดียวกับเมื่อนายไปโลกของฉันแล้วกลายเป็นผู้หญิงล่ะนะ...” คำพูดของเอเลนทำให้คนที่อยู่รายล้อมถึงกับตกตะลึง เว้นเสียแต่องค์ฟาโรห์ที่ดูเหมือนจะมีสีหน้าตลกขบขำเอาการ
“อะไรนะ!! นี่เจ้าไปที่โลกนั้นเป็นสตรีงั้นเหรอ ช่างประทับใจข้ายิ่งนัก” ฟาโรห์รีไวถึงกับหัวเราะลั่นไม่เกรงใจคนที่ต้องเปลี่ยนร่างเลยสักนิด
“ถึงเป็นสตรีข้าก็มั่นใจว่าความงามของข้าคงมีมากกว่าสาวๆในฮาเร็มของท่านเป็นแน่แท้”
ฟาโรห์รีไวยิ้มกริ่มก่อนจะใช้แขนพาดลงบนบ่าเจ้าน้องชายตัวดี
“ช่างน่าสนใจ ในอียิปต์การอภิเษกกับพี่น้องย่อมหมายถึงการอยู่ของราชวงศ์ที่มั่นคง ถ้าเจ้างามถึงขนาดนั้นเห็นทีข้าคงต้องจัดห้องพิเศษสำหรับเจ้าในฮาเร็มของข้า”
คำพูดของฟาโรห์ทำให้มิคาสะถึงกับขนลุก ขาแกร่งตวัดถีบเข้าร่างขององค์ฟาโรห์ที่หลบได้อย่างฉิวเฉียด
“ข้าขอสาบานต่อหน้าร่างอวตาร ถ้าวันนั้นมาถึงข้าจะสับเครื่องเพศของเจ้าโยนให้จระเข้แห่งไนล์”
“แต่น่าแปลกทั้งที่เอเลนมายังธีปส์สีตาจากสีทุ่งหญ้าขจีแปรเปลี่ยนเป็นสีแห่งสุริยันต์ ส่วนเจ้าจากบุรุษผู้องอาจกลับเป็นสตรีร่างอรชร แล้วเหตุใดตอนที่ข้าไปเยือนถึงไม่ได้มีสิ่งผิดแปลกไปจากเดิม?”
คำถามของฟาโรห์ทำให้เอเลนเบนหลบสายตา ที่จริงหมอนั่นก็มีอะไรแปลกๆเหมือนเป็นอักขระหรือรอยสักบนร่างอยู่หรอกนะ แต่มันเหมือนเสริมความดูดีจนน่าหมั่นไส้ เรื่องอะไรเขาจะบอกไอเจ้าคนหลงตัวเองคนนี้กันล่ะ...
“ข้าว่าอนูบิสที่นำทางเจ้าคงไม่อยากทำอะไรกับร่างกายที่มากด้วยราคะของเจ้าหรอก”
เอเลนมองบุรุษที่เป็นพี่น้องเบื้องหน้าสลับกันไปมา ทั้งท่าทางและคพูดคำจาที่ไม่ปิดบัง บอกได้เลยไอสองคนนี้ต้องไม่ถูกกันแหงๆ
“ไม่เป็นไร ต่อให้เทพอนูบิสไม่อยากจะทำอะไรร่างกายของข้า แต่อย่างน้อยข้าก็ได้รับพรจากจุมพิตของร่างอวตารแห่งรา นั่นก็มากเพียงพอแล้ว” ฟาโรห์หนุ่มแลบเลียริมฝีปากตนพลางส่งสายตากระหยิ่มยิ้มย่องมาให้กับเด็กหนุ่ม
ไอตาแก่โรคจิตเนี่ย เผยความโรคจิตและหน้าด้านของตัวเองอย่างไม่ปิดบังเลยให้ตายเหอะ แล้วทำไมเขาต้องมารู้สึกกระดากอายกับสายตาและท่าทางล่อแหลมของตาแก่มักมากนี่ด้วย!?
“ข้าคิดว่าร่างอวตารคงไม่ได้เต็มใจแต่คงถูกท่านล่อลวงเสียมากกว่า” นัยน์ตาสีราตรีดุดันมองนัยน์ตาสีขี้เถ้าที่กระหยิ่มยิ้มย่องอย่างไม่พอใจ
“ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่ความจริงที่ว่าข้าได้จุมพิตจากอวตารนับเป็นเรื่องจริง และเป็นการอวยพรแด่ข้า” ฟาโรห์หนุ่มยังคงไม่ลดละ
ให้ตายเถอะเจ้าพวกนี้ไม่มีอะไรให้พูดกันแล้วหรือไง!! อยากไปขโมยกุญแจทองคำไขประตูกลับบ้านจริงๆให้ตายเถอะ!!
ระหว่างที่เหมือนสติกำลังหลุดจากการชิงดีชิงเด่นของพี่น้องทั้งสองคน มือหนาของใครบางคนก็แตะลงที่ไหล่ของเอเลน
“หืม?” เอเลนหันหน้ามองตามมือที่แตะลงมา มิคาสะคุกเข้าทำความเคารพเขาอีกครั้ง เด็กหนุ่มยื่นมือเพื่อไปดึงเจ้าตัวให้ลุกขึ้นยืน ทันทีที่ยื่นมือไป มือของมอคาสะก็คว้าข้อมือของร่างอวตารเอาไว้ ไม่มีเวลาให้รู้สึกแปลกใจริมฝีปากของพระอนุชาแห่งองค์ฟาโรห์จุมพิตลงที่หลังมือของร่างอวตาร ก่อนที่จะตั้งสติได้ สติยิ่งหลุดลอยไปไกลเมื่ออยู่ๆมิคาสะก็ลุกขึ้นแล้วตรงเข้าจู่โจมทาบทับริมฝีปากของเขาทันที
!!!!!!!!
แม้จะไม่รุกล้ำเช่นเดียวกับที่ฟาโรห์รีไวกระทำ แต่ริมฝีปากที่แตะลงมานั่นทำเอาเด็กหนุ่มได้แต่ยืนทื่อตัวแข็ง จะไม่ให้ตัวแข็งเป็นหินได้อย่างไรก็เพราะตรงนี้มีทั้ง เบเซท ไรเนอร์ แอนนี่ และเหล่าทหารอีกไม่รู้กี่นายยืนมองอยู่น่ะสิ!!
“เท่านี้ข้าเองก็ได้รับการอวยพรจากร่างอวตารเช่นเดียวกัน” มิคาสะหันไปท้าทายฟาโรห์ผู้เป็นพี่ชายร่วมสายเลือด
“หึหึ เพราะแบบนี้ข้ากับเจ้าถึงไม่ลงรอยกันเท่าใดนัก เรียกว่าอย่างไรดีล่ะ เราสองคนมักชอบอะไรเหมือนๆกันถูกไหม?” นัยน์ตาสีขี้เถ้าฉายแววประดุจมีไฟฟ้าแล่นภายใน


ให้ตายเถอะ!! ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกหัวหมุนไม่หยุดแล้ว ตั้งแต่มายังอียิปต์โลก2000ปีก่อน นอกจากจะไม่เจอสาวสวยที่น่าจะเป็นนางเอกของเขา นี่เขายังต้องมาเจอผู้ชายจูบอีกงั้นเหรอ มิหนำซ้ำจากตอนแรกที่ดูเหมือนเป็นเกมส์ผจญภัย RPG แต่ตอนนี้ทำไมดูยังไงนี่มันก็เป็นรูทเกมจีบสาวชัดๆ แถมไม่ใช่สาวที่ไหน แต่เป็น นายเอเลน เยเกอร์ ที่เป็นผู้ชายทั้งตัวทั้งจิตใจนะเว้ยเฮ้ย!! ต่อให้เรื่องนี้ไม่มีนางเอก เขาก็ไม่ได้สมัครใจมาเป็นนายเอกนะ!!

4 ความคิดเห็น:

  1. มาต่อนะค่าา มิคาสะโผล่มาซะแล้วว

    ตอบลบ
  2. มาต่อนะค่าา มิคาสะโผล่มาซะแล้วว

    ตอบลบ
  3. กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด เลือดกำเดาท่วมห้อง

    ตอบลบ
  4. มิคาสะ...เธอทึ่งมาก

    ตอบลบ