บทสอง
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
“อรุณสวัสดิ์จ้านมอุ่นตั้งอยู่บนโต๊ะนะลูกถ้าจะปิ้งขนมปังก็จัดการได้เลย”
ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก็เจอกับแม่ที่กำลังปั่นผ้าซักอยู่เพียงคนเดียว
“พ่อล่ะครับ”
“ออกไปแต่เช้าแล้วล่ะ
เห็นว่าวันนี้จะอยู่ทำโอทีด้วย” เป็นไปตามที่คิด
พ่อของผมยังเป็นมนุษย์เงินเดือนตัวอย่างเหมือนเคย
“รีไวล่ะครับ”
นี่ต่างหากคือเป้าหมายที่แท้จริงของผม
“รายนั้นเขาออกไปกับเพื่อนตั้งแต่เช้าแล้วจ้ะ
ไม่เคยบอกสักทีหรอกว่าไปไหน วันหยุดเมื่อไหร่ไม่เคยจะอยู่ติดบ้านติดช่องเลย
วันนี้มีแพลนอะไรรึเปล่าเอเลน”
“ไม่หรอกครับกลับมาบ้านทั้งที
ขออยู่บ้านสบายๆดีกว่า ผมขี้เกียจออกไปตะลอนข้างนอก”
“ไปที่สวนชิมิสุสิลูกต้นไม้เปลี่ยนสีกำลังสวยเลย
ออกไปนั่งเล่นเปลี่ยนบรรยากาศข้างนอกก็ดีกว่าอุดอู้อยู่ในบ้านนะ”
“เอาไว้เย็นๆให้แดดมันอ่อนกว่านี้ดีกว่าครับ”
ขืนออกไปทนร้อนข้างนอกต่อให้สวนจะสวยสักแค่ไหนก็คงไม่ไหวล่ะมั้ง
และหลังจากที่ทนนั่งๆนอนๆดูรายการทีวีไร้สาระอยู่ในบ้านไม่ไหวผมจึงตัดสินใจออกไปเตร่เดินเล่นใกล้ๆบ้าน
อีกใจก็อยากจะเข้าไปดูโบสถ์คริสตจักรหลังนั้นอยู่เหมือนกัน
เด็กๆอยู่กันเยอะไปเล่นกับเจ้าพวกนั้นแก้เหงาดีกว่า
เสียงเจี๊ยวจ๊าวของกลุ่มเด็กทโมนดังระงมกันอยู่หน้าโบสถ์ลูกลิงพวกนั้นกำลังสนุกกับการวัดฝีเท้าชิงลูกหนังกันคึกคัก
เป็นเด็กนี่ก็ดีจังนะ
เล่นสนุกกินอิ่มนอนหลับไปวันๆแค่นั้นก็มีความสุขแล้ว............
แต่ชีวิตช่วงวัยเด็กของผมมันไม่สวยงามเอาเสียเลย
แต่จะโทษใคร ในเมื่อปัญหาทุกอย่างมันเริ่มจากผมเอง
“พี่ชาย!!! วันนี้มาเล่นด้วยกันมั้ยฮะ” เด็กชายผมบลอนด์ที่เจอเมื่อวานนี้โบกมือเรียกผมไม่หยุด
“โอเค
วันนี้พี่ว่างคงต้องรบกวนทุกคนด้วยแล้วกัน”
นาฬิกาบนผนังบอกเวลาขณะนี้ว่าบ่ายสามกว่าๆ
ชายหนุ่มร่างสูงผมบลอนด์สว่างเหลือบสายตามองลอดหน้าต่างห้องพักออกไปที่สวนไม้เลื้อยด้านนอกแต่กลับไม่พบเงาของพวกลูกลิงฝูงนั้นเลยสักคนทั้งๆที่นี่ก็ใกล้เวลาที่เด็กพวกนั้นจะต้องมาเข้าคลาสเสริมพิเศษที่เขาจัดให้ตามตารางแล้วแท้ๆ
“ท่าทางจะเล่นกันจนติดลม”
ตัดสินใจวางหนังสือในมือแล้วลุกออกไปตามตัวตั้งใจว่าถ้าวันนี้เจ้าลูกลิงพวกนั้นเบี้ยวกันอีกก็คงต้องมีสั่งสอนกันบ้าง
“เร็วเข้าๆ พี่ชายส่งมาให้ผม
เดี๋ยวผมยิงเอง”
เสียงตะโกนโหวกเหวกของไมค์ดังแว่วมาจากสนามดินหน้าบ้านก่อนจะมีเสียงใครอีกคนที่ไม่คุ้นหูแม้แต่น้อยตอบกลับมา
“เค!!! ยิงให้เข้านะไอ้หนู”
แล้วก็ตามมาด้วยเสียงเฮดังลั่นที่ปะปนมากับเสียงโห่ด้วยความผิดหวังของใครอีกหลายๆคน
“ยังเล่นกันอยู่จริงๆด้วย
เด็กพวกนี้เห็นเราใจดีด้วยก็เอาใหญ่สินะ”
ตอนที่เปิดประตูโบสถ์ออกไปผมเห็นไมค์กำลังวิ่งรอบสนามดินส่งยิ้มร่าทำท่าทำทางจูบนิ้วชี้ตัวเองดีใจเหมือนกับพวกนักฟุตบอลอาชีพทำประตูได้ในการแข่งใหญ่
แต่ที่น่าแปลกกว่านั้นคือมีชายหนุ่มร่างบางอีกคนที่ถอดเสื้อเปลือยอกวิ่งตีคู่ไปกับไมค์ด้วยความดีใจจนออกนอกหน้า
เส้นผมสีอ่อนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อสะท้อนกับแสงแดดอ่อนๆยามบ่ายเปล่งประกายระยับ เรือนกายบอบบางแลดูชมพูระเรื่อเพราะเลือดลมสูบฉีด
ใบหน้าจิ้มลิ้มแย้มยิ้มกว้างอย่างร่าเริงเสียงหวานเปล่งหัวเราะคละเคล้าไปกับฝูงลิงน้อยราวกับเขาเองก็เป็นเด็กไปด้วยอีกคน
“พี่เอลวิน
มาเล่นด้วยกันมั้ยล่ะ” ไมค์วิ่งมาหาผมพยายามลากผมให้ตามไปด้วย
“มาช่วยทีมเจ้าไนล์มันหน่อย
ไม่ได้เรื่องเลย” ไมค์เอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงดังลั่นขณะที่ไนล์รีบเถียงกลับ
“ทีมฉันไม่มีคนขายาวเหมือนทีมนายนี่”
“ก็ถึงได้ส่งพี่เอลวินลงมาช่วยนี่ไง
นะ.....พี่ไปอยู่ทีมเดียวกับพวกไนล์ผมอยู่กับพี่ชายสองคนก็พอ”
ไมค์บอกกับผมพร้อมกับโผเข้าไปกอดขาชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้น
“จะดีเหรอ
แต่พี่เหนื่อยแล้วนะจะวิ่งไม่ไหวอยู่แล้ว” เขาคนนั้นก้มหน้าพูดกับไมค์ด้วยรอยยิ้ม
“โหพี่!!! นี่เราเพิ่งแข่งครึ่งแรกกันเองนะ”
“แต่พี่แก่แล้ว
วิ่งสู้เด็กๆไม่ไหวแล้วล่ะนะ”
เขากล่าวขณะที่ทรุดนั่งลงบนสนามหญ้าโบกมือพัดให้ตัวเองเบาๆ
พวกลูกลิงส่งเสียงโห่ด้วยความเสียดายกันยกใหญ่
“ได้ยินแล้วใช่มั้ย
พี่ชายเขาเหนื่อยแล้วอย่าไปกวนพี่เขาอีก เข้าไปอาบน้ำอาบท่าแล้วไปนั่งรอที่ห้องหนังสือ
ให้เวลาสามสิบนาทีถ้ายังมาไม่ครบกันวันนี้จะเพิ่มคาบเป็นสองชั้วโมง”
พวกลูกลิงส่งเสียงโห่ก่อนจะเดินคอตกเรียงแถวกลับเข้าไปในโบสถ์
“ดุจังเลยนะครับ
ถ้าเป็นผมคงกลัวคุณแย่” ชายแปลกหน้าคนนั้นยิ้มให้ผม
“ใจดีด้วยก็มีแต่เหลิงครับต้องเข้มงวดกันบ้างไม่อย่างนั้นก็ปรามเด็กดื้อพวกนี้ไม่อยู่
แต่ผมไม่เคยเห็นคุณมาก่อนเลยอยู่แถวนี้เหรอครับ”
“ครับบ้านผมอยู่ห่างจากนี้ไปไม่ไกล”
ชายแปลกหน้าตอบพร้อมกับชี้ไปยังบ้านหลังหนึ่งซึ่งผมจำได้ว่าเป็นบ้านเยเกอร์
“เอ๊ะ!!! ผมคิดว่าบ้านเยเกอร์มีลูกชายคนเดียวเสียอีก คนที่หน้าดุๆเป็นนักแข่งรถน่ะครับ”
“รีไวเป็นน้องชายผมครับบังเอิญว่าผมไปเรียนที่โตเกียวเกือบสิบปีแล้วถ้าคุณเพิ่งย้ายมาจะไม่รู้จักก็ไม่แปลก”
“คุณพ่อผมท่านเพิ่งจะมาตั้งโบสถ์ที่นี่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาเองครับ
มิน่าผมถึงไม่เคยเห็นคุณมาก่อน”
“ติดช่วงปิดเทอมผมก็เลยถือโอกาสนี้กลับมาที่บ้าน
เบื่อๆก็เลยออกมาเล่นกับพวกเด็กๆแก้เซ็งครับ”
“ยินดีที่ได้พบครับ
ผมเอลวิน สมิธ”
“เอเลน
เยเกอร์ครับ”
ขณะที่ผมพวกเรากำลังทำความรู้จักกันเสียงดังกระหึ่มของมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ก็ดังแว่วเข้ามาก่อนจะหยุดลงตรงหน้าพวกเรา
ชายหนุ่มหน้าเข้มถอดหมวกกันน็อคเต็มใบออก ผมไม่แน่ใจว่านี่เป็นสีหน้าปกติของเขาหรือเปล่าแต่ผมรู้สึกว่าเขากำลังไม่พอใจกับอะไรบางอย่างอยู่
“เอเลน
เสื้อไปไหน”
“อยู่แถวนี้แหละ
เหงื่อออกแล้วมันร้อนก็เลยถอดทิ้งไว้ก่อน”
เอเลนเอ่ยตอบขณะที่กวาดสายตาหาเสื้อของตัวเองไปด้วย
“ใส่ซะ
มาขึ้นรถ”
“จะไปไหน”
เอเลนรับเสื้อแจ็คเก็ตหนังของน้องชายมาสวมใส่ลวกๆพร้อมกับเอ่ยถามกลับ
“มาขึ้นรถ.......เดี๋ยวนี้”
ฝ่ายเจ้าน้องชายยังคงใช้น้ำเสียงนิ่งๆและสายตาดุๆพูดกับเอเลนเหมือนเคย
“ฝากบอกไมค์ด้วยนะครับ
ว่างๆคงได้เล่นกันอีก”
เอเลนพูดกับผมก่อนจะเดินเข้าไปหาน้องชายผู้ที่ถอดหมวกกันน็อคของตนสวมให้และรัดสายเข้าที่ปลายคางอย่างแน่นหนา
มือใหญ่รูดซิบเสื้อแจ็คเก็ตที่พี่ชายสวมเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่ปิดจนถึงคอ
“แล้วหมวกตัวเองล่ะ”
เอเลนเปิดกระจกหมวกขึ้นพูดกับคนที่คร่อมบิ๊กไบค์คันใหญ่อยู่
“อย่าถามมาก
ขึ้นรถได้แล้ว”
เอเลนที่กำลังหน้าหงิกตะกายตัวขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายน้องชายก่อนจะโบกมือลากับผม
บิ๊กไบค์คันใหญ่ออกตัวด้วยความแรงควบบึ่งออกไปไกลจนแทบไม่เห็นแม้แต่เงา
ดูเหมือนว่าน้องชายของเอเลนจะไม่ได้ให้ความเคารพยำเกรงกับพี่ชายเลยสักนิด และสายตาที่มองมายังเขาเองก็ไม่ได้มีความเป็นมิตรแม้แต่น้อย
“มันเป็นอะไรมากมั้ยนั่น
เจ้าเด็กไร้มนุษยสัมพันธ์คนนั้น”
ขณะที่ผมกำลังจะเดินกลับเข้าไปในโบสถ์ผมก็เห็นเสื้อยืดสีน้ำเงินถูกถอดพาดทิ้งเอาไว้กับชิงช้าไม้
กลิ่นหอมอ่อนๆที่โชยมาจากตัวเสื้อคล้ายกับกลิ่นที่ผมสัมผัสได้จากตัวเอเลน
“ของเอเลนสินะ.......”
“จะไปไหน!!! นี่ ได้ยินรึเปล่าที่ถามน่ะ จะไปที่ไหนกันเนี่ย”
ผมต้องตะเบ็งเสียงแข่งกับเสียงรถที่ดังกระหึ่มและเสียงลมที่พัดอู้มาด้วยความแรงจนตัวผมแทบปลิว
ทางเดียวที่ผมจะทรงตัวอยู่ได้คือต้องกอดเอวรีไวและหลบซุกตัวอยู่กับแผ่นหลังของเขา
“..............”
ผมมั่นใจว่าเจ้าเด็กนี่มันได้ยินเสียงผมแต่แค่กวนบาทาไม่ยอมตอบเท่านั้น
“พูดอะไรสักหน่อยสิ!!!”
ผมตะเบ็งเสียงตะคอกใส่ข้างๆหูเขาแต่กลับกลายเป็นว่าผมที่สวมหมวกกันน็อคอยู่ถูกเสียงตัวเองกลบจนหูแทบอื้อ
ชิ!!! ได้.......ไม่ตอบก็อย่าตอบสิ ไม่ต้องคุยกันเลยยิ่งดี
“ว้าว!!! สวยขนาดนี้เชียวเหรอ” ทั้งๆที่ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะไม่ยอมพูดกับเจ้าน้องชายปากหนักเด็ดขาด
แต่ภาพความสวยงามตรงหน้าก็ทำให้ผมหลุดอุทานออกมา
“ช่วงกลางวันคนค่อนข้างจะมากันเยอะ
แต่นี่เย็นมากแล้วไม่ค่อยมีใครเขาอยู่กันจนมืดค่ำหรอก”
รีไวบอกกับผมพร้อมกับถอดรองเท้าเขาเดินเท้าเปล่าลงทะเลเลียบชายหาดไปช้าๆ
เห็นแบบนั้นผมจึงถอดเสื้อแจ็คเก็ตที่ดูท่าทางจะหลายตังค์ของเขาออกเดินตามรอยเท้าของรีไวบนพื้นทรายที่กำลังจะเลือนหายไปเพราะถูกน้ำทะเลชะล้างทีละก้าว
“อาทิตย์กำลังจะตกดิน.......ไม่สิมันเหมือนจะตกน้ำมากกว่า
เหมือนกับมันกำลังจะจมลงไปในทะเลเลยแฮะ” ผมหยุดมองทอดสายตาไปไกล
ดวงตะวันสีส้มอมเหลืองกำลังลาลับเคลื่อนคล้อยตนเองจมลงสู่พื้นน้ำอีกฟากฝั่งของทะเล
ก่อนหน้านี้ผมอาจจะกำลังโมโห
แต่ตอนนี้ผมต้องแอบยอมรับว่าความโมโหของผมถูกความสวยงามของดวงตะวันลบฟ้าลบไปจนหมดแล้ว
“ถ้ามาช้ากว่านี้คงไม่ทันได้ดู”
รีไวที่หยุดยืนมองดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าอยู่ข้างๆผมเอ่ยขึ้น
“ก็เลยรีบบึ่งมาไม่พูดไม่จา”
“หายโกรธเถอะนะ
เอเลน” รีไวบอกกับผมขณะที่เอื้อมมือมากุมมือของผมเอาไว้
“ก็น่าจะรู้นะว่ายังไงก็โกรธไม่ลง”
ผมเอ่ยตอบพร้อมกับบีบมือกระชับกับเขาเอาไว้
สายลมเย็นๆพัดผ่านเราไปช้าๆระหว่างเราไม่มีใครปริปากพูดอะไรกันอีกมีเพียงความเงียบงันที่รายล้อมรอบตัวเราแต่แปลกที่ผมกลับไม่รู้สึกอึดอัดอะไรแม้แต่น้อยกลับรู้สึกดีมากกว่าที่ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกันเลย
มีเพียงผมและรีไวเพียงสองคนเท่านั้นริมทะเลแห่งนี้ซึมซับความงดงามของดวงอาทิตย์อัสดงด้วยกันเพียงสองคน
เหมือนกับโลกทั้งโลกเป็นของเรา.......มีเพียงเราแค่สองคน
ชั่ววูบหนึ่งผมเกิดความคิดที่ว่าหากเป็นเช่นนี้ตลอดไปก็คงดี
แต่..................เราต่างก็รู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้
“จะกลับเมื่อไหร่
ค่ำแล้วนะ แม่จะเป็นห่วงเอา”
“ไม่เป็นไรถ้าขับเร็วกว่าขามากลับถึงบ้านก่อนสองทุ่มแน่นอน”
“ขับรถเร็วมันอันตรายนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก
ฉันไม่ยอมให้เกิดอะไรขึ้นกับเอเลนหรอก ไม่เชื่อรึไง” รีไวหันหน้ามามองผม
มือใหญ่รั้งแขนดึงร่างผมเข้าไปใกล้
“ไม่ใช่ไม่เชื่อ
ก็แค่เป็นห่วง ไม่รู้รึไง”
“ทิ้งกันไปตั้งนานยังบอกว่าห่วงได้อีกเหรอ”
รีไวเอ่ยถามเสียงเบาขณะที่เชิดหน้าขึ้นมองผมลมหายใจอุ่นๆของเขารินรดคลอเคลียอยู่เหนือริมฝีปากชวนให้ขนลุก
“ฉันไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้เลยนะ
จริงๆ” ผมหลับตาลงซบหน้าผากกับเขา
ผมไม่ได้ต้องการให้เราแยกกัน
หากเป็นไปได้ผมอยากจะใช้เวลาทุกๆนาทีทั้งหมดอยู่กับเขาให้นานที่สุดหากไม่ใช่เพราะเรื่องในวัยเด็กของเราถูกจับได้
ผมคงจะมีโอกาสเก็บความทรงจำเรื่องราวระหว่างเราได้มากกว่านี้
มือใหญ่บีบกระชับมือผมแรงขึ้นเหมือนต้องการจะส่งผ่านความรู้สึกอะไรบางอย่างมาให้
ความรู้สึกที่เราสองไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาได้แต่เราต่างก็เข้าใจมันดี
“ฟ้าเปิดแบบนี้เห็นดาวสวยมาก
ดูดาวอีกสักเดี๋ยวแล้วจะพากลับ” รีไวกระซิบข้างหูผมขณะที่โอบแขนกอดร่างผมเอาไว้
ผมถือโอกาสซุกหน้าลงกับไหล่ของเขา คิดไม่ถึงจริงๆว่าน้องชายขี้โรคของผมจะเติบโตมาเป็นชายหนุ่มกำยำแบบนี้เล่นเอาผมที่เป็นพี่ชายแท้ๆถึงกับอายไปเลยทีเดียว
“อืม......”
ผมเอ่ยตอบขณะที่ยกแขนกอดเขาไว้เช่นกัน
อย่างน้อยๆขอยืดเวลาที่เราจะได้อยู่ด้วยกันสองคนอีกเพียงนิดก็ยังดี
ผิดจากที่รีไวคาดการณ์เอาไว้นิดหน่อยเรามาถึงบ้านเอาตอนสองทุ่มกว่า
ทั่วทั้งบ้านปิดไฟมือสนิทเหมือนไม่มีใครอยู่เลย
“พ่อน่าจะยังไม่กลับ
ส่วนแม่ก็คงจะกลับมาราวๆห้าทุ่ม” รีไวบอกกับผมตอนที่ไขกุญแจประตูบ้าน
นี่ถ้าผมกลับมาบ้านคนเดียวคงแย่แน่ๆเพราะผมไม่มีกุญแจบ้านน่ะสิ
“แม่ไปไหน”
“ทุกวันพุธที่ห้างจะมีเซลล์ลดราคา
แม่จะไม่กลับมาจนกว่าห้างจะปิดหรอก”
ดังนั้นเราจึงตกลงกันว่าจะหาอะไรที่ง่ายและสะดวกที่สุดกินกันนั่นก็คือบะหมี่ถ้วย
ตอนที่ผมออกมาจากห้องน้ำก็ได้กลิ่นหอมของบะหมี่โชยอบอวลอยู่ทั่วห้องนอน
เชื่อผมเหอะถ้าแม่รู้ว่าเราเอาของกินมากินในห้องนอนต้องเคืองหนักแน่ๆ
เสียงเกากีตาร์เบาๆดังแว่วมาจากระเบียงนอกห้องเสียงดนตรีเพลงคุ้นหูดังมาพร้อมเสียงทุ้มๆนุ่มนวลที่ร้องคลอจังหวะเนิบๆ
Please don't see just a boy caught up in
dreams and fantasies. Please see me reaching out for someone I can't see. Take my hand let's see where we wake up tomorrow…..
ผมนั่งลงข้างๆกับรีไว บะหมี่สองถ้วยถูกวางอยู่บนพื้น
หนึ่งถ้วยนั้นหมดเกลี้ยงแล้วแน่นอนว่าที่เหลือต้องเป็นของผม
ผมนั่งซดบะหมี่ฟังรีไวดีดกีตาร์ร้องเพลงคลอไปเบาๆด้วยความแปลกใจ
ทั้งๆที่มันก็เป็นแค่บะหมี่ถ้วยธรรมดาแต่ทำไมผมกลับรู้สึกว่าเวลานี้รสชาติมันดีมาก
Best laid plans sometimes it's just a
one night stand. I'd
be damned Cupid's demanding back his arrow. So let's get drunk on our tears and……
และแล้วก็มาถึงท่อนที่ผมชอบที่สุดผมรีบวางบะหมี่ถ้วยลงแล้วร้องคลอตามเขาไปด้วย
God, tell us the reason youth is wasted on the young.
It’s hunting season and the lambs are on the run searching for meaning.
But are we all lost stars, trying to light up the dark?
Who are we? Just a speck of dust within the galaxy?
จู่ๆเสียงกีตาร์ก็หยุดลง
แม้แต่เสียงร้องเพลงก็เงียบไปด้วย
“ทำไมไม่ร้องต่อล่ะ”
ผมเอ่ยถามรีไวที่เอาแต่จ้องหน้าผมเงียบๆ เขาไม่ยอมพูดอะไรแต่กลับส่ายหน้าช้าๆ
มือใหญ่ยกขึ้นมาเคลียแก้มผมเบาๆ
“เราคือใคร?
หรือเป็นแค่เศษฝุ่นละอองเล็กๆในจักรวาล” เขาเอ่ยถามขณะที่มองสบตากับผม
ผมจ้องตอบเขาไปแล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ
“เราเป็นแค่ดวงดาวที่หลงทางและลูกแกะที่สับสน”
ความรักของฉันมันไปผิดทางจนทำให้นายสับสน........น้องชายของพี่
รีไวส่ายหน้าราวกับไม่ยอมรับกับคำตอบของผม
เขาเริ่มเกากีตาร์และร้องเพลงขึ้นอีกครั้ง
Woe is me, if we’re not careful turns into reality.
Don’t you dare let our best memories bring you sorrow. Yesterday I saw a
lion kiss a deer. Turn the page maybe we’ll find a brand new ending.
Where we're dancing in our tears……..
“ฉากจบแบบใหม่ที่เราเต้นรำเคล้าน้ำตาเหรอ
เรื่องแบบนั้นมันจะไปมีได้ยังไงกัน”
ผมเอื้อมมือไปหยุดมือที่เกากีตาร์ของรีไวเอาไว้แล้วพูดกับเขาตรงๆ
“มีสิ
ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ” รีไวบอกกับผมขณะที่เอื้อมตัวยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“ในเมื่อสิงโตยังจุมพิตกับกวางได้
ก็แล้วทำไมจะเป็นไปไม่ได้สำหรับเรา”
ริมฝีปากหยักค่อยๆทาบทับลงมาช้าๆแผ่วเบาคลอเคล้าบดคลึงด้วยความระมัดระวัง
ผมหลับตาลงจินตนาการว่าตนเองเป็นลูกกวางน้อยที่กำลังได้รับจุมพิตแสนหวานจากพญาราชสีห์ผู้เงียบงัน
ความรู้สึกอุ่นซ่านหวานล้ำชวนให้ค้นหา ความตื่นเต้นจากการที่เราค่อยๆก้าวข้ามเส้นขีดกั้นของคำว่าเป็นไปไม่ได้ไปพร้อมกันแล่นริ้วไปทั่วร่าง
เมื่อรู้สึกว่าน้ำหนักที่กดทับบนริมฝีปากผ่อนปรนลงผมจึงลืมตาขึ้นมองสบตากับรีไวที่กำลังจ้องมองผมในระยะประชิดชั่วครู่ก่อนที่มือใหญ่จะเริ่มเกากีตาร์และร้องเพลงขึ้นอีกครั้ง
But are we all lost stars, trying to light up the dark?
I thought I saw you out there crying
I thought I heard you call my name
I thought I heard you out there crying……….
I thought I saw you out there crying
I thought I heard you call my name
I thought I heard you out there crying……….
ผมหลับตาลงเอนหลังพิงกับไหล่ของเขา
ตั้งใจฟังเสียงเพลงจากน้ำเสียงทุ้มนุ่มหูอย่างตั้งใจเงียบๆ
ในเมื่อสิงโตยังจุมพิตกับกวางได้
ก็แล้วทำไมความรักระหว่างเราสองคนจะเป็นไปไม่ได้ ฉากจบที่รออยู่อาจไม่ใช่ฉากเต้นรำเคล้าน้ำตาก็เป็นได้...........
มันอาจเป็นฉากจบที่สวยงามกว่าที่เราจะนึกถึงก็เป็นได้
น้องจะรอดูฉากจบที่สวยงามกว่าที่เรานึกถึงของขุ่นี่นะครับ จะไว้ใจได้มั้ยนี่
ตอบลบฟิลมากเรย จะรออ่านตอนต่อไปนะครัช
ตอบลบเพลงอะไรหรอ
ตอบลบ