Attack On
Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์
Pairing: (LevixEren)
Rate: NC-17
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง
ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน
แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
Story By: AkeRah , Trendy Blood
………………………………………………………………………………………………..
Chapter 7:
องครักษ์หนุ่มร่างสูงเปิดประตูโถงห้องทรงงานให้เอเลนเดินเข้าไป
ห้องทรงงานขนาดใหญ่แต่กลับมีเพียงโต๊ะทรงงานหนึ่งชุดและเบาะรองนั่งฟูกขนเป็ดหนานุ่มตั้งรับลมโกรกริมหน้าต่างที่ถูกเปิดทิ้งไว้
แต่ถึงจะมีเครื่องเรือนเพียงน้อยชิ้นแต่ฝาผนังและเสาต้นทุกต้นต่างก็ถูกตกแต่งด้วยทองสำริดให้ความรู้สึกราวกับอยู่ในดินแดนแห่งทองคำ“เชิญขอรับ”เบลทรูทนำทางผายมือเชิญให้เอเลนนั่งลงบนที่นั่งเล่นข้างหน้าต่าง
เด็กหนุ่มร่างบางเดินไปหย่อนก้นนั่งลงบนเบาะหนานุ่มเงียบๆ
มั่นใจแน่นอนว่าชายเจ้าของห้องผู้เชื้อเชิญเขามานั้นรับรู้ถึงการมาของเขาแล้ว
แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเลือกที่จะเงียบเขาก็ขอเงียบด้วยเช่นกัน.......ดูเหมือนว่าฟาโรห์หนุ่มจะกำลังยุ่งอยู่กับเอกสารว่าราชการที่วางเกลื่อนโต๊ะ
เอเลนกอดอกทอดสายตามองชายหนุ่มร่างใหญ่เงียบๆจะเงียบอีกนานแค่ไหนกันนะ!!!!
ทุกสีหน้าทุกท่วงท่าของเด็กหนุ่มร่างอวตารได้อยู่ในสายตาของเขาตั้งแต่เมื่อเจ้าตัวก้าวเท้าเข้ามาในห้องแล้ว
แค่ได้เห็นหน้างามที่บูดบึ้งเหยียบย่างเข้ามาก็ทำให้รู้แล้วว่าเจ้าตัวกำลังโมโหแค่ไหน
และแน่นอนว่าคนที่สร้างความขุ่นเคืองให้แก่ร่างบางนั้นย่อมไม่ใช่ใครแต่เป็นตัวเขาเองเสียงถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายดังขึ้นมาก่อนที่เอเลนจะผุดลุกยืนขึ้นเต็มความสูง
“นั่งลง!!!” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นโดยฉับพลัน
เอเลนตวัดหน่วยตาคมมองฉับมาที่เขาในทันที
“ข้าบอกให้เจ้านั่งลง” รีไวเอ่ยกับเด็กหนุ่มอย่างชัดถ้อยชัดคำด้วยใบหน้าสงบราบเรียบ
เอเลนกลับขมวดคิ้วแน่น
“อย่าให้ข้าต้องพูดเป็นครั้งที่สาม”
เด็กหนุ่มร่างอวตารทรุดนั่งลงบนฟูกนุ่มอีกครั้งแล้วปิดปากเงียบ
แม้อีกฝ่ายจะเป็นถึงร่างอวตารแห่งองค์เทพราแต่ถึงอย่างไรเด็กคนนั้นก็ควรจะเคารพยำเกรงตัวเขาผู้เป็นถึงบุตรแห่งพระอาทิตย์บ้าง
รีไวจ้องสบตากับเอเลนอยู่เงียบๆ
และก็เป็นที่แปลกใจแก่เอเลนยิ่งนักด้วยไม่คิดว่าจะได้เห็นสีหน้าท่าทางเครียดขึ้งและแววตาขุ่นเคืองใจของฝ่ายนั้นขึ้นมาได้
ก็ส่วนมากก็มักจะเจอแต่กับสายตาหื่นกามนี่นะ...........
“เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ”
เด็กหนุ่มเอ่ยถามเขาด้วยสีหน้าฉงนแต่รีไวกลับยิ้มกริ่ม
รอยยิ้มในตอนนี้ช่างสวนทางกับความรู้สึกขุ่นเคืองใจในอกยิ่งนัก
“เป็นถึงร่างอวตารเจ้าจะมิรู้เชียวหรือว่าสิ่งใดรบกวนจิตใจข้าอยู่”
รีไวเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มเย็น เด็กหนุ่มหลุดท่าทางตกประหม่าออกมาเพียงชั่วครู่ก่อนจะเชิดหน้าเอ่ยตอบเขาอย่างท้าทาย
“ข้าย่อมรู้แน่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
แต่อย่าหวังว่าข้าจะไขข้อข้องใจให้แก่ท่านโดยเด็ดขาด
อย่าคิดจะหลอกถามข้าเสียให้ยากเลย” และเอเลนก็ปัดความซวยออกจากตัวไปได้อย่างเนียนๆ
“ใช่ว่าข้าอยากจะขอความช่วยเหลือจากร่างอวตารเสียที่ไหน เรื่องแค่นี้ข้าจัดการเองได้”
รีไวเอ่ยตอบด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย
แน่นอนว่าปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควบคุมไม่ได้แต่มันก็ทำให้เขาหงุดหงิด
หงุดหงิดเสียจนต้องหาทางระบายและก็ดูเหมือนว่าการได้กวนประสาทคนแถวนี้จะทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้น
มือใหญ่เก็บรวบเอกสารราชการทั้งหมดกองวางไว้ที่มุมโต๊ะก่อนจะลุกยืนขึ้นเดินไปนั่งลงบนฟูกนุ่มที่มีเด็กหนุ่มร่างบางนั่งอยู่
เอเลนออกอาการหวาดระแวงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดฟาโรห์หนุ่มถึงกับต้องกลั้นยิ้ม มือใหญ่วางพาดเนียนโอบลาดไหล่เล็กขณะที่เอ่ยปากถาม
“เจ้าเคยเดินทางผ่านทะเลทรายมาก่อนหรือเปล่า”
“เคย” เอเลนมองหน้าฟาโรห์หนุ่มพลางเอ่ยตอบ
แน่นอนอยู่แล้วเขาที่ต้องคอยติดสอยห้อยตามพ่อไปสำรวจพีระมิดสุสานกษัตริย์นับครั้งไม่ถ้วนย่อมต้องเคยใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางทะเลทรายแน่นอน
“ดี” ฟาโรห์หนุ่มขานรับคำอย่างพึงใจ
แบบนี้ก็คงจะง่ายขึ้น...........
“นี่มันอะไรกันเนี่ย”
เอเลนทอดสายตามองกองทัพทหารที่ยาวเหยียดสุดหูสุดตาอย่างตื่นตะลึงดูเหมือนพลเมืองชาวธีบส์ต่างจะมารวมตัวกันที่หน้าพระราชวังแห่งนี้เสียหมด
เสียงม้าเดินกุบกับควบเข้ามาใกล้พร้อมกับมือใหญ่ที่ฉุดร่างตนขึ้นไปนั่งบนหลังม้าด้วยกัน
“นี่ท่านกำลังจะไปที่ใด” เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยความฉงน
“ข้าคิดว่าร่างอวตารจะหยั่งรู้ได้เองเสียอีก”
ฟาโรห์หนุ่มเอ่ยตอบกลั้วหัวเราะ
“อ๋อ....ใช่ ข้าย่อมรู้แน่” เอเลนโกหกออกไป
ฟาโรห์หนุ่มควบม้าพันธุ์ดีมาส่งเอเลนที่หน้าขบวนก่อนจะควบม้ากลับไปตรวจแถวทหารพร้อมกับองครักษ์คนสนิททั้งสอง
“เอเลน เชิญทางนี้เถิด”
เบเซธนำทางเขาขึ้นไปยังรถม้าสีทองอร่ามที่ดูเรืองรองราวกับแสงแห่งอาทิตย์
“เบเซธ ท่านก็ไปด้วยหรือ”
“แน่นอนที่สุด
ข้าไม่อาจพลาดการยาตราทัพครั้งนี้ได้ด้วยเหตุผลประการทั้งปวง”
“ว่าแต่ เขาจะไปที่ไหนกัน” เอเลนเอ่ยถามพลางบุ้ยใบ้ไปยังฟาโรห์หนุ่มที่กำลังตรัสกับเบลทรูทด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เบเซธระบายรอยยิ้มอ่อนโยนให้อีกฝ่ายเบาใจก่อนจะเอ่ยตอบ
“เสด็จพ่อยกทัพไปเขตชายแดนเพื่อปราบกบฏทาสขอรับ”
คำตอบของเบเซธกลับไม่ได้ช่วยให้เอเลนเบาใจลงได้เลยกลับรู้สึกกลัดกลุ้มยิ่งกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
จากที่เคยผ่านหูผ่านตามาบ้างดูเหมือนว่าในรัชสมัยของฟาโรห์รีไวราเมสที่สองจะเกิดสงครามใหญ่ขึ้นหลายครั้งส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะความต้องการประกาศศักดาอันเกรียงไกรของตัวเองเป็นส่วนใหญ่และเป็นโชคดีที่ชัยชนะแทบจะตกอยู่ในมือของพระองค์เองแทบจะทั้งหมด
แต่ดูเหมือนว่าการเสด็จปราบกบฏในดินแดนทาสจะไม่ได้ถูกบันทึกไว้เลย
คิดในแง่ดีสงครามนี้อาจจะไม่ได้สลักสำคัญอะไรก็เป็นได้ เอเลนพยายามบอกตัวเองขณะที่ทอดสายตามองไปยังฟาโรห์หนุ่มอีกครั้ง
“คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกมั้ง”
กษัตริย์หนุ่มแห่งกรุงธีบส์ทรงม้าศึกควบเดินผ่านแถวทหารเป็นจังหวะเนิบนาบเพื่อตรวจความพร้อมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกเดินทัพ
ฟาโรห์หนุ่มพลันสะดุดตากับทหารหนุ่มนายหนึ่ง ร่างกายสูงล่ำกำยำดูมีสง่าราศีผิดแผกจากทหารชั้นเลวทั่วๆไปอย่างเห็นได้ชัด
“ทหารใหม่?” ฟาโรห์รีไวเอ่ยถามเสียงเรียบ
นายทหารใหม่คุกเข่าลงแสดงท่าทางเคารพนบนอบ
“พะยะค่ะ”
“เจ้ามีแววตาที่อวดดียิ่งนักทหาร” ฟาโรห์กล่าวตอบเสียงเรียบ
แจนในคราบนายทหารเดินเท้าเงยหน้าจ้องสบตากับกษัตริย์หนุ่มชั่วครู่ก่อนจะหลุบตาลง
“หามิได้พะยะค่ะ กระหม่อมหาได้มีเจตนาจะล่วงเกิน”
“แล้วข้าจะรอดู ว่าจบศึกครั้งนี้สายตาของเจ้าที่มองข้าอย่างอวดดีจะเปลี่ยนไปหรือไม่”
รีไวควบม้าศึกตัวใหญ่กลับไปยังแถวหน้าสุดของขบวนทัพขณะที่เบลทรูทและไรเนอร์ตามอารักขาไปด้วย
“ทหารหนุ่มผู้นั้นคือคนสวนที่เจ้าพูดถึงอย่างนั้นหรือ
เบลทรูท” กษัตริย์หนุ่มตรัสถามกับคนสนิทเสียงเบา
“พะยะค่ะ”
“การที่ฝ่ายนั้นเข้าหาเอเลนย่อมต้องมีเหตุผล พวกเจ้าจงระมัดระวังดูแลเอเลนไว้ให้ดี”
“พะยะค่ะ” เบทรูทและไรเนอร์ตอบรับโดยพร้อมเพรียง
“ข้าจะจับตาดูเจ้าหนุ่มนั่นเอง”
ขบวนทัพยาตราออกจากกรุงธีบส์พร้อมด้วยเสียงโห่ร้องของชาวพลเมือง
กษัตริย์หนุ่มผู้ทรงม้าศึกทองคำชูมือขวาขึ้นสูงอย่างองอาจตอบรับเสียงโห่ร้องของประชาชนตลอดเส้นทางที่เสด็จออกจากเมืองมุ่งหน้าสู่ทะเลทรายอันเวิ้งว้าง
แม้จะเข้าสู่ช่วงเที่ยงที่แสนจะร้อนระอุของวันแต่เด็กหนุ่มร่างบางที่เคียงข้างมากับเขาก็ยังไม่ปริปากพูดสักคำ
ตาคมเหลือบมองไปยังคนข้างกายแสงแดดร้อนแรงแผดเผาผิวกายขาวเนียนละเอียดจนแดงเป็นปื้น
เม็ดเหงื่อผุดพรายตามไรผมจนเปียกชื้น ริมฝีปากบางที่เคยต้อล้อต่อเถียงนั้นแห้งผาก
คงจะเพลียจนแผลงฤทธิ์ไม่ออกสินะ.........
มือใหญ่เอื้อมไปดึงผ้าคลุมไหล่ของเจ้าตัวขึ้นคลุมศีรษะให้แต่เอเลนกลับปัดมือเขาออก
“ทำอะไร”
“แสงแดดเพลานี้เป็นช่วงที่ทรมานที่สุดของวัน มันคงน่าเสียดายที่ผิวงามๆจะต้องถูกแดดเผาเสียหมด”
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดพรายขึ้นบนริมฝีปากของฟาโรห์หนุ่ม
แน่นอนว่าที่พูดไปนั้นก็แค่หยอกเย้าหมายจะแหย่ให้อีกฝ่ายมีน้ำโหเล่น
แต่เอาเข้าจริงก็แค่เป็นห่วงไม่อยากจะให้เอเลนต้องทรมานจนเกินไป
ฟาโรห์หนุ่มยกมือส่งสัญญาณหยุดทัพหลายชั่วโมงที่รอนแรมผ่านทะเลทรายออกมาไม่ใช่แค่เอเลนที่อ่อนเปลี้ยจนแทบจะทนไม่ไหว
แต่ข้างหลังยังมีทหารเดินเท้าอีกกองใหญ่พวกเขาต่างก็ต้องการพักเติมอาหารใส่ท้องที่ว่างเปล่าเช่นกัน
กระโจมผ้าบังแดดถูกตั้งขึ้นอย่างรวดเร็ว
เอเลนแทบจะเป็นคนแรกที่วิ่งเข้าไปหลบแดดเลยทีเดียว
ฟาโรห์หนุ่มเดินตามมาติดๆพร้อมหิ้วกระติกน้ำติดมือมาด้วย
“ดื่มช้าๆ
ให้ร่างกายของเจ้าได้ดูดซึมน้ำเพื่อชดเชยส่วนที่เสียไป”
“ขอบคุณ”
เอเลนรับกระติกน้ำมาถือไว้พร้อมกับจิบช้าๆตามที่อีกฝ่ายแนะนำ
แต่ก็ต้องเกือบสำลักเมื่อจู่ๆฟาโรห์หนุ่มเกิดเปลื้องผ้าต่อหน้าต่อตาเขาและเหล่าทหาร
มือใหญ่ลูบแผ่นหลังเล็กเบาๆเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มขำขัน
“เจ้านี่ก็ซุ่มซ่ามเสียจริง”
“ท่านแก้ผ้าทำไมกัน” เด็กหนุ่มตวาดเสียงดัง
“ไม่ได้แก้ให้เจ้าดูก็แล้วกัน”
ฟาโรห์หนุ่มตอบพลางโยนฉลองพระองค์ที่เพิ่งจะถอดทิ้งไปให้เอเลนซึ่งรับไว้ได้อย่างพอดิบพอดี
ร่างใหญ่เดินหายออกไปจากกระโจมโดยไม่พูดไม่จา
จวบจนแม้กระทั่งเมื่อขบวนทัพเริ่มเคลื่อนเอเลนก็ยังไม่เห็นเงาร่างของฟาโรห์หนุ่มเลยแม้แต่น้อย
รถม้าศึกที่เขานั่งก็กลายเป็นเบเซธที่ขึ้นมากุมบังเหียนแทนใครอีกคน
“ฟาโรห์รีไวราเมสหายไปไหนกัน”
“เสด็จพ่อบอกให้ข้าดูแลท่านแทน” เบเซธเลือกที่จะตอบเลี่ยงๆแทน
“นี่คือแผนรบที่เขาเตรียมการไว้หรือ”
เอเลนเอ่ยถามย้ำอีกครั้ง
“ข้าคงบอกท่านได้เพียงเท่านี้”
นับว่าเส้นทางการเดินทางไปยังดินแดนทาสเป็นอะไรที่หฤโหดมากทีเดียว
นอกจากจะต้องผ่านเวิ้งทะเลทรายที่ร้อนระอุเส้นทางเบื้องหน้ายังเป็นเทือกเขาสูงลาดชันที่แคบเสียจนน่าหวาดเสียว
ขบวนเดินทางจำต้องลดความเร็วลงเบเซธจำต้องใช้ความพยายามในการควบคุมม้ามากยิ่งกว่าเดิมเส้นทางขรุขระตลอดสองข้างทางมีก้อนหินเศษเล็กๆกลิ้งตกหน้าผาเป็นระยะ
“รถคันนี้ไม่ใหญ่เกินไปหรอกหรือ”
เอเลนเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล
“ข้าคิดว่าน่าจะพอไหว” แม้เบเซธจะตอบเช่นนั้นแต่แผ่นหลังเจ้าชายหนุ่มกลับเปียกชุ่มเม็ดเหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก
แม้กระทั่งตัวม้าเองยังออกท่าทีลังเลในการจะก้าวย่างแต่ละก้าว
เบเซธยื่นมือไปลูบแผงคอปลอบใจมันเบาๆ บังคับให้มันเดินต่อไปช้าๆ
เอเลนเองก็รู้สึกเกร็งไปด้วย มือบางเกาะขอบรถม้าเอาไว้เสียแน่น
ทุกครั้งที่ล้อไม้บดผ่านก้อนกรวดก้อนหินรถจะสั่นสะเทือนเป็นระยะๆ
เส้นทางแคบคดเคี้ยวยังอีกไม่ยาวไกลนักพอสิ้นสุดจากเขตหน้าผาชันเบื้องหน้าก็จะเป็นเพียงถนนดินเปิดโล่งที่กว้างมากขึ้น
ด้วยความร้อนใจเบเซธเร่งความเร็วม้าทิ้งห่างขบวนทัพซึ่งเอเลนบอกได้เลยว่านั่นเป็นความคิดที่ผิดมากๆ
ด้วยความเร็วที่มากขึ้นเพียงหินก้อนเล็กๆก็ทำให้รถเสียหลัก
ตัวรถศึกเสียหลักปัดหลุดออกจากทาง เบเซธกุมบังเหียนม้ายึดไว้แน่น
กลายเป็นเอเลนที่ไม่ทันระวังตัวลอยวืดหลุดออกจากตัวรถเด็กหนุ่มพยายามคว้าชายเสื้อของเบเซธเอาไว้แต่สิ่งที่คว้าได้กลับเป็นมือใหญ่ข้างหนึ่ง
ฟาโรห์หนุ่มที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากที่ไหนปรากฏตัวขึ้น
มือซ้ายคว้าจับยึดรถม้าเอาไว้ไม่ให้ร่วงหล่นลงไปจากขอบหน้าผาส่วนมือขวาคอยยึดร่างของเด็กหนุ่มร่างอวตารภาชนะแห่งราเอาไว้
เบเซธลงแส้โบยม้าให้ออกแรงวิ่งขึ้นจากปากเหวหนักมือยิ่งขึ้น
ใบหน้าหล่อเหลานิ่งเฉยแต่ในใจกลับร้อนรุ่มเม็ดเหงื่อผุดพรายรินไหลผ่านคิ้วเข้มย้อยลงมาถึงปลายคาง
วงแขนใหญ่แน่นมัดกล้ามออกแรงฉุดรั้งจนเส้นเลือดปูดโปน
“รีไว!!!” เด็กหนุ่มผู้หวาดกลัวร้องเรียกชื่อเขา
แววตื่นตระหนกฉายชัดอยู่ในดวงตาสีทองอำพันคู่งาม
“ข้าไม่ปล่อยเด็ดขาด” ฟาโรห์หนุ่มกัดฟันแน่น
ถึงตายก็ไม่มีวันยอมปล่อยมือ แต่ในเวลานี้มือของเอเลนที่ชื้นไปด้วยเหงื่อกลับกลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดหากละมืออีกข้างมาจับร่างบางไว้
เบเซธก็จะกลายเป็นฝ่ายที่ร่วงลงไปในหุบเหวเสียเอง
เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะใครก็ปล่อยไม่ได้เด็ดขาด
ด้านฝ่ายม้าศึกเทียมรถก็เริ่มจะอ่อนแรงลงแผ่นหลังของมันถูกโบยจนแตกเลือดซิบ
แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ยอมหยุดมันตะกุยขาอย่างบ้าคลั่งพยายามขืนตัวดึงรถเอาไว้จนสุดกำลัง
หากยังเป็นเช่นนี้พวกเขาทั้งหมดคงต้องไปจบชีวิตลงที่ใต้หุบเหวเป็นแน่
เมื่อถึงเวลาจวนตัวรีไวส่งเสียงร้องคำรามดังลั่นรวบรวมกำลังทั้งหมดลากทั้งคนทั้งรถม้าขึ้นจากปากหน้าผาในคราเดียว
ม้าศึกพันธุ์ดีทรุดฮวบลงกับพื้นอย่างหมดแรง เบเซธกลิ้งตกจากรถม้านอนแผ่ลงกับพื้น
รีไวรับร่างบางของเด็กหนุ่มที่ถูกดึงขึ้นมาจากปากเหวล้มกลิ้งไปกับพื้นด้วยกัน
ร่างบางในอ้อมแขนหอบหายใจสะท้านตาเบิกโพลงด้วยความตื่นตระหนก
หัวใจดวงน้อยเต้นถี่ระรัวตึกตักเสียจนเขายังสัมผัสได้
“เจ้าปลอดภัยแล้ว เด็กน้อย”
มือใหญ่ลูบไล้แผ่นหลังเล็กเบาๆขณะกระซิบปลอบ
เบเซธลุกขึ้นไปดูม้าที่นอนแผ่หราอยู่ใกล้ๆ
“เก่งมากเจ้าหนู” มันกระดิกหูรับเบาๆอย่างอ่อนแรง
กลุ่มทหารติดตามเพิ่งจะตามมาทันก็เดี๋ยวนี้นี่เอง
ต่างคนต่างคิดไม่ถึงว่าองค์ฟาโรห์จะรีบร้อนถึงขั้นฝ่าเส้นทางทุลักทุเลล่วงหน้าขึ้นมาก่อน
“ฝ่าบาท!!!”
ไรเนอร์กำลังจะเอ่ยบางอย่างแต่กษัตริย์หนุ่มกลับยกมือห้ามไว้
“เอาม้าตัวนั้นไปพัก
แล้วสั่งให้คนเผารถศึกเทพสุริยันทิ้งซะ”
“แต่ฝ่าบาท รถศึกคันนี้เป็น.........”
ไรเนอร์พยายามเอ่ยทัดทาน
“ก็แค่ของเฮงซวยที่เกือบจะคร่าชีวิตคนสำคัญของข้าไปสองคนก็เท่านั้น
เอามันไปเผาทิ้ง” ฟาโรห์หนุ่มเอ่ยย้ำคำ ไรเนอร์จำต้องรับคำอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
“ยังตกใจอยู่หรือไม่” กษัตริย์หนุ่มตรัสถามร่างบางที่ยังใบหน้าซีดเผือดเนื้อตัวสั่นเทาไม่หยุด
“ไม่เป็นไร” เอเลนเอ่ยตอบเสียงสั่น
มือใหญ่ลูบเส้นผมอ่อนนุ่มของเด็กหนุ่มเบาๆ
ไม่ร้องโวยวายแม้สักแอะ เจ้าเด็กนี่ช่างเข้มแข็งดีจริง
“เบเซธ เจ้าต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากกว่านี้
อย่าให้ความไว้ใจที่ข้ามอบให้ต้องสูญเปล่า” รีไวหันไปตรัสกับบุตรชาย
“พะยะค่ะ เสด็จพ่อ”
เจ้าชายหนุ่มค้อมศีรษะลงต่ำยอมจำนนในความผิดพลาด
ม้าศึกและรถคันใหม่ถูกจัดส่งถึงที่
รีไวลงมือตรวจสอบความแข็งแรงทนทานด้วยตนเองก่อนจะส่งเอเลนขึ้นไป
“ท่านไปอยู่ที่ไหนมา”
เอเลนเอ่ยถามฟาโรห์หนุ่มที่กำลังจะจากไป เด็กหนุ่มยอมรับกับตัวเองโดยดุษดีหลังจากผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญเมื่อครู่นี้มาเขารู้สึกปลอดภัยมากขึ้นถ้ามีกษัตริย์หนุ่มผู้นี้อยู่ใกล้ๆ
“ข้าต้องดำเนินตามแผนรบ
จงอย่าได้กังวลแม้เจ้าจะไม่เห็นข้าแต่ข้ารับรองได้ว่าเจ้าจะอยู่ในสายตาของข้าทุกอิริยาบถอีกอย่างเบเซธจะไม่เลิ่นเล่ออีกเป็นครั้งที่สองทั้งเบลทรูทและไรเนอร์ก็อยู่รอบตัวเจ้า
ข้ารับรองได้ว่าเจ้าจะปลอดภัย” ฟาโรห์หนุ่มกล่าวทิ้งท้ายพลางประทับรอยจูบลงบนขมับชื้นเหงื่อของเอเลนเพื่อเป็นการปลอบขวัญ
แต่คนถูกจูบนั้นตกใจจนค้างไปแล้ว
เอเลนมองตามแผ่นหลังของกษัตริย์หนุ่มที่ควบม้าหายลับเข้าไปในกลุ่มทหารทัพหน้าด้วยหัวใจที่ว้าวุ่น
เสียงกระแอมของเบเซธที่ดังขึ้นกระตุกหัวใจที่เหมือนจะล่องลอยตามใครอีกคนไปไกลให้กลับเข้าร่าง
“เราจะออกเดินทางกันแล้วนะ”
“อ๋อ อืม......”
เอเลนรับคำแต่ก็ยังไม่วายส่งสายตามองหาใครอีกคนในหมู่ทหารนับพัน
ซึ่งแน่นอนว่าต่อให้หาแทบตายยังไงก็ไม่มีทางเจอ
“ไปเถอะ”
รถม้าศึกออกวิ่งด้วยความรวดเร็วอีกครั้ง
อย่างน้อยๆพวกเขาก็ควรจะได้ไปพักที่โอเอซิสสักแห่งก่อนพลบค่ำจะดีที่สุด
เอเลนที่อยู่บนรถม้าได้แต่ถอนหายใจยาวด้วยความอึดอัด
การเดินทางครั้งนี้มันอันตรายชะมัด....................
.............อันตรายต่อหัวใจสุดๆไปเลย
จะไม่มาต่อแล้วหรอค่ะ T^T
ตอบลบก็ผลัดกันต่อเรื่อยๆแหละจ้า จะช้าก็เพราะพี่นี่แหละ พี่ไม่ค่อยมีเวลาน่ะค่ะ
ลบสนุกมากเลย มาต่อเร็วๆนะคะ (*^_^*)
ตอบลบทำไมถึงไม่มีบันทึกเรื่องสงครามแดนทาสล่ะ คราวนี้น้องต้องเจอมิชชั่นอะไรเสี่ยงๆเพื่อกลับไปโลกอีกกันนะ
ตอบลบ