วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์ : Chapter 8:

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์
Pairing: (LevixEren)
Rate: NC-17
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
Story By: AkeRah , Trendy Blood
………………………………………………………………………………………………..
Chapter 8:

          เพราะเหตุไม่คาดฝันทำให้กองทัพของอียิปต์ต้องหาที่ปักหลังกลางทะเลทรายชั่วคราวด้วยเหตุพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน อีกทั้งทะเลทรายตอนกลางคืนสำหรับผู้ที่คุ้นเคยนั้นย่อมรู้ดีว่าอันตรายเพียงใด ทั้งอุณหภูมิที่ลดลงต่ำอย่างรวดเร็วหรือพายุทรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
            “รุ่งเช้าเราจะรีบเดินทางไปยังโอเอซิสที่หมาย ขอให้ทุกคนพักผ่อนให้เต็มที่และตั้งหน่วยเวรยามสำหรับคืนนี้ด้วย” เบเซธผู้รับหน้าที่แทนองค์ราเมส ตรัสสั่งกับเหล่าทหารและองค์รักษ์คนสนิทก่อนจะให้ทุกคนแยกย้ายไปทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายก่อนที่เบเซธจะเดินไปตรวจตราดูความเรียบร้อยของกองทัพในส่วนต่างๆ
กระโจมสีขาวมากมายถูกตั้งขึ้นตามจุดต่างๆแถบช่องผาหิน เพราะการคำนวนการเดินทางและการเตรียมพร้อมกับภูมิประเทศเลยทำให้เหล่าทหารได้ใช้ช่องผาในการตั้งแคมป์ชั่วคราว อีกทั้งยังช่วยให้ปลอดภัยจากพายุทรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
กระโจมใหญ่ส่วนกลางที่ตั้งรายล้อมด้วยกระโจมสีขาวอื่นๆมากมายกำลังถูกเหล่าพลทหารช่วยกันตั้งขึ้นที่ละหลังอย่างขะมักเขม้น ร่างอวตารแห่งราที่ได้แต่นั่งมองอยู่บนรถม้าเพื่อรอคอยคนตั้งกระโจมเริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย การที่นั่งอยู่เฉยๆโดยไม่ทำตัวให้เป็นประโยชน์แบบนี้ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดกับตัวเอง เอเลนจึงตัดสินใจลงจากรถม้าแล้วเดินเข้าไปหาราชองครักษ์ไรเนอร์ที่กำลังจัดแจงกลุ่มทหารเพื่อเฝ้ายามสำหรับราตรีนี้
“ขอโทษนะ เออ...คุณมีอะไรให้ผมช่วยไหม?” เด็กหนุ่มเกาแก้มของตนแก้เขิน ทั้งหวังว่าเขาจะได้มีอะไรทำบ้างนอกจากนั่งมองคนอื่นที่ต่างทำงานกัน
ไรเนอร์ชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นร่างอวตารแห่งราเสด็จลงมาจากรถม้าที่นั่ง อีกทั้งยังถามไถ่เพื่อของานจากเขา ตัวเขาที่เป็นองครักษ์แม้จะเป็นองครักษ์คนสนิทขององค์ฟาโรห์แต่จะบังอาจใช้ร่างอวตารเทพได้เยี่ยงไร
“ทูลกระหม่อมต้องขออภัย แต่ข้ากระหม่อมมิบังอาจ...” ก่อนที่จะทันพูดจบคนตัวเล็กก็คว้ากระดาษรายงานในมือขององครักษ์หนุ่มไปดูอย่างถือวิสาสะ
ก็คิดไว้อยู่แล้วว่าคนพวกนี้คงไม่ยอมให้เขาทำอะไรง่ายๆ เห็นเขาเป็นแค่ของประดับหรือไงกัน นัยน์ตาสีทองอร่ามไล่อ่านเอกสารในมือ น่าแปลกทั้งที่เป็นภาษาอียิปต์โบราณที่เขาแม้จะเคยผ่านตามาบ้างแต่ไม่ได้ศึกษาอย่างจริงจัง ตอนนี้กลับอ่านออกราวกับเป็นภาษาบ้านเกิดอย่างน่าประหลาด บางทีคงเป็นเพราะนัยน์ตาสีอร่ามที่แปลกประหลาดนี้ก็เป็นได้....
“นายแบ่งกลุ่มกองกำลังตรวจตราสำหรับคืนนี้ทั้งหมดแล้วสินะ ฉันขอให้กลุ่มที่สามและสี่ขึ้นไปตั้งกระโจมบนหน้าผาทั้งสองฝั่งด้วย อย่างน้อยเราต้องระวังเรื่องฝ่ายสอดแนมของศัตรูที่อาจซู่มโจมตีจากด้านบน มีกองกำลังแบ่งไปบ้างจะได้เพิ่มความปลอดภัยของกองทัพเรา”
ไรเนอร์ชะงักงันกับแผนการจัดกลุ่มสำรวจของร่างอวตาร เพราะแผนการที่เปลี่ยนกระทันหันของการไปถึงโอเอซิสในค่ำคืนนี้ทำให้ต้องมาตั้งแคมป์กลางทะเลทรายระหว่างช่องแคบของผาหินทำให้เขาลืมนึกคิดไปว่านี่ก็ใกล้เขตของศัตรูมากพอดู ฝ่ายกบฏอาจส่งคนมาสำรวจพื้นที่แล้วเจอกองกำลังของเราก็เป็นได้การกระจายกลุ่มคนเพื่อความปลอดภัยเห็นจะเป็นเรื่องสมควรที่เขาเผลอเรอมองข้ามไป องครักษ์หนุ่มยิ้มอย่างพอใจก่อนจะส่งเสียหัวเราะอย่างภาคภูมิจนเอเลนหันมองด้วยความแปลกใจ
เยี่ยม ยอดเยี่ยม นอกจากจะมีรูปโฉมที่โดดเด่นและงดงาม แต่ร่างอวตารแห่งรายังมีความคิดที่แหลมคม
“ธีบส์ช่างโชคดียิ่งนักที่มีท่านร่างอวตารคอยห่วงใย” ไรเนอร์โค้งคำนับชื่นชมความเก่งกาจของเด็กหนุ่มร่างจำแลงแห่งเทพสุริยัน
เหล่าทหารใต้บังคับบัญชาที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อเห็นร่างอวตารตัวจริงต่างก็รู้สึกเกร็งทำตัวไม่ถูกยิ่งเห็นว่าร่างอวตารไม่ถือองค์ออกมาเดินสำรวจพร้อมทั้งยื่นความช่วยเหลือ ยิ่งเห็นองครักษ์ประจำพระองค์ผู้มียศสูงศักดิ์เอ่ยวาจาพร้อมทั้งทำความเคารพ เหล่าทหารทั้งหลายต่างยิ่งศรัทธาและปลื้มปิติต่อการมาเยือนของร่างอวตารเทพยิ่งนัก
เอเลนถอนหายใจเฮือกใหญ่ การที่ถูกปฏิบัติเป็นคนสูงศักดิ์ อีกทั้งเด็กที่ทั้งชีวิตต้องคลุกคลีกับการเดินทาง ตะลอนไปที่ต่างๆและต้องช่วยเหลือตัวเองรวมทั้งเจ้าพ่อบ้ามาตลอด เรียกได้ว่าชีวิตสมบุกสมบันพอดู พอต้องมาถูกปฏิบัติแบบนี้บอกตามตรงเขาทำใจให้ชินไม่ได้เสียที
“เอเลน”
ไรเนอร์และเหล่าทหารต่างมองร่างอวตารสุริยันด้วยสีหน้างุนงง
ให้ตายสิเจ้าพวกนี้ ทำไมถึงต้องคอยให้อธิบายอะไรซ้ำซากเรื่อยเลยนะ เด็กหนุ่มเกาผมสีน้ำตาลจนยุ่งอย่างนึกรำคาญ
“เรียกว่าเอเลนก็พอ เรียกว่าร่างอวตารเต็มยกแบบนั้นข้าไม่ชิน” ถึงแม้เจ้าตัวจะทำไปเพราะความรู้สึกไม่คุ้นชิน แต่หารู้ไม่ว่าการกระทำของเขาทำให้เหล่าทหารต่างรู้สึกนอบน้อมและปลื้มปิติกับท่าทางที่เป็นกันเองของอีกฝ่าย
เอเลนและไรเนอร์ต่างช่วยกันแบ่งกลุ่มสำหรับลาดตระเวนในยามค่ำคืน และยามคอยเฝ้าระวังภัยตามจุดต่างๆ อีกทั้งเอเลนยังเสนอการส่งสัญญาณด้วยเปลวเพลิงแทนการจุดเพลิงที่คบเพลิงหัวมุมในการแจ้งเหตุเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันเพื่อให้สามารถแจ้งเหตุได้อย่างทันท่วงที เมื่อทุกอย่างถูกเตรียมการจนเสร็จสิ้น คบเพลิงตามจุดต่างๆถูกจุดขึ้นเพื่อให้แสงสว่างในยามราตรีที่เริ่มครอบคลุมไปทั่วอาณาบริเวณ
“ท่านเอเลนข้าว่าท่านควรกลับไปพักผ่อนที่กระโจมได้แล้วนะขอรับ” ไรเนอร์เอ่ยทักเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มยังคงสนุกสนานกับการสอบสัญญาณไฟแบบต่างๆให้กับเหล่ากลุ่มทหารลาดตระเวน
เอเลนมองเหล่าบรรดาทหารอย่างนึกเสียดายเพราะเขากำลังสนุกกับการที่ทำตัวให้เป็นประโยชน์ แต่ที่ไรเนอร์กล่าวก็ถูก วันนี้เขาเดินทางมาทั้งวันอีกทั้งยังต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อรีบเร่งเดินทางต่อ ควรจะรีบพักเพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมกับความร้อนระอุของทะเลทรายยามรุ่งสางเฉกเช่นวันนี้ โชคดีที่เขาเดินทางผ่านทะเลทรายมาตั้งแต่เรียกว่าเพิ่งเริ่มหัดเดิน ป่วยจนนอนซมไปก็หลายครั้ง แต่เพราะอย่างนั้นทำให้ตอนนี้เขามีภูมิต้านฐานกับสภาพภูมิอากาศและสภาพแวดล้อมของดินแดนที่แห้งแล้งอยู่มาก
ระหว่างทางที่เดินกลับกระโจม เด็กหนุ่มเงยหน้ามองแสงของดารที่ทอระยับเป็นประกายราวกับงานศิลปะชิ้นเอกที่ถูกแต่งแต้มบนฟากฟ้าอย่างสนใจก่อนจะหัวเราะขำในลำคอ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ร้อยกี่พันปี ท้องฟ้านี่ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะยังคงงดงามเฉกเช่นเดิม นัยน์ตาสีอร่ามมองดาวที่ทอประกายเด่นกว่าดาวดวงอื่นๆ นักเดินทางทุกคนย่อมรู้ดีว่าดาวที่สุกสกาวกว่าดาวดวงใดๆคือดาวเหนือที่สามารถใช้บอกทางยามค่ำคืนได้ ใบหน้ามนมองดาวเหนืออย่างเหม่อลอย เหล่านักเดินทางใช้ดาวเหนือในการนำทางกลับบ้าน แล้วเขาตอนนี้จะสามารถใช้ดาวเหนือนำทางกลับที่ที่จากมาของตนได้รึเปล่านะ? มือบางกำกุญแจทองคำที่ทำเป็นสายสร้อยประดับไว้ที่คอก่อนจะสวดภาวนาในใจให้ตนได้ปลอดภัยแล้วกลับไปยังที่อยู่ของตนได้ในเร็ววัน
ม่านสีขาวถูกเปิดออกให้เด็กหนุ่มเข้าไปก่อนที่เหล่าทหารต่างจะโค้งคำนับจากลาเพื่อไปทำหน้าที่ของตนตามเดิม นัยน์ตาสีอร่ามมองเห็นร่างที่เริ่มคุ้นเคยดีกำลังยืนดูแผ่นกระดาษขนาดใหญ่ที่กางอยู่บนโต๊ะกลางห้อง เมื่อเดินเข้าไปใกล้ถึงเห็นว่าเป็นแผนผังของเมืองสักที่
“ดึกป่านนี้แล้วท่านยังไม่พักผ่อนเหรอไง?” เด็กหนุ่มเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าฟาโรห์หนุ่มยังคงขีดเขียนลงบนแผนที่อย่างขะมักเขม้น
“ถ้าเจ้าเหนื่อยก็นอนก่อนเลย พรุ่งนี้ยังต้องเดินทางอีกไกล” สายตาของฟาโรห์หนุ่มยังคงจับจ้องที่แผนผังโดยไม่เงยขึ้นมามองคนที่เสวนาด้วย
ให้ตายสิ รู้หรอกว่ายุ่งแต่อย่างน้อยเวลาคุยกันน่าจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากันซะบ้างไอฟาโรห์ไร้มารยาทนี่ เด็กหนุ่มพึมพำในใจก่อนจะตวัดเดินไปยังเตียงนอนที่ถูกจัดเตรียมไว้ด้านหลังของฟาโรห์รีไว ระหว่างที่เดินผ่านองค์ฟาโรห์พลันสายตาของเด็กหนุ่มก็มองเห็นรอยแผลเป็นทางยาวปรากฏบนท้องแขนขวาของชายหนุ่ม เอเลนแตะเบาๆลงบนแผลลากยาวของรีไว และนั่นทำให้คนที่ถูกสัมผัสหันมามองอีกคนอย่างสงสัย
“ข้ายังไม่ได้ขอบคุณท่านวันนี้เลย” มือบางสัมผัสลงบนแผลแผ่วเบาแม้จะเป็นรอยถากที่เริ่มขึ้นสเก็ด แต่แผลนี่ก็เกิดจากการที่ชายหนุ่มช่วยชีวิตเขาไว้ บางทีตาแก่มักมากนี่อาจไม่ได้มีดีแค่ฝักใฝ่ในเรื่องลามกอย่างเดียวก็ได้
องค์ฟาโรห์หนุ่มยกยิ้มก่อนจะวางมือลงบนผมสีน้ำตาลของเด็กหนุ่ม
“ข้าได้ของตอบแทนจากเจ้าแล้วอย่าห่วงเลย”
“ของตอบแทน?” เด็กหนุ่มทวนคำถามอย่างแปลกใจ
“น้ำผึ้งผสมเลมอนของเจ้า กับ.....” ฟาโรห์หนุ่มแตะลงที่ขมับของเด็กหนุ่มซึ่งเขาฝากรอยจุมพิตไว้
เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดเด็กหนุ่มพลันหน้าขึ้นสีทั้งใจที่เต้นโครมครามจนรู้สึกเสียงจะดังออกมาให้คนภายนอกได้ยิน
“แต่ถ้าเจ้าจะตอบแทนข้ามากกว่านั้นข้าก็ยินดี อวตารเทพแห่งข้า” ไม่ว่าเปล่าฟาโรห์หนุ่มโอบเอวบางของเอเลนเข้าหาตัว
“แว๊ก!! ได้คืบจะเอาศอกรึไง!” เอเลนผลักอกแกร่งตรงหน้าก่อนจะดีดตัวขึ้นไปอยู่มุมเตียงพร้อมทั้งส่งสายตาระแวงมาอีกทั้งยังขู่ฟ่อให้กับชายหนุ่ม
ฟาโรห์รีไวได้แต่หัวเราะขำกับท่าทางที่น่าหยอกเล่นของอีกฝ่ายก่อนจะจัดการม้วนกระดาษที่กางอยู่บนโต๊ะ
“ท่านจะไปไหนงั้นเหรอ?” เด็กหนุ่มเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเก็บม้วนกระดาษถือไว้แล้วเตรียมออกไปนอกกระโจม
“ข้าได้ยินมาว่าอวตารเทพนั้นทรงช่วยเหลือดูแลเหล่าทหารในกองทัพเป็นอย่างดี อีกทั้งยังสร้างขวัญและกำลังใจให้กับเหล่าทหารมากมาย ได้ยินแบบนั้นแล้วข้าผู้เป็นเป็นบุตรแห่งราก็ต้องทำหน้าที่ให้สมเกียรติกับการที่อวตารเทพทรงเอาใจใส่” ฟาโรห์หนุ่มเตรียมเดินออกจากกระโจมก่อนจะหันกลับมาสบตากับเอเลนราวกับลืมบอกเรื่องสำคัญ
“อย่าห่วงไปท่านร่างอวตาร ข้าไม่ปล่อยให้เจ้านอนเดียวดายท่ามกลางราตรีแห่งทะเลทรายที่หนาวเหน็บแน่แท้”
ม่านสีขาวปิดลงพร้อมทั้งเสียงหัวเราะในลำคอของคนที่จากไป ตามมาด้วยเสียงหมอนขนาดใหญ่ที่ถูกปาไล่หลังร่วงลงบนพื้นพรมเบื้องล่าง
ให้ตายสิเป็นตาแก่หัวงูที่เผลอไผลไม่ได้เลย! เด็กหนุ่มลุกจากเตียงเดินมาหยิบหมอนก่อนจะปัดฝุ่นทรายแล้วนำไปนอนกอดไว้ที่มุมเตียงตามเดิม หลายวันมานี้นับตั้งแต่ที่เขาโผล่ข้ามมิติเวลามาฟาโรห์รัไวราเมสไม่เคยปล่อยเขาให้ห่างสายตา แม้กระทั่งยามค่ำคืนที่เบเซธบอกไว้ว่าองค์ฟาโรห์มีเหล่าสนมมากมายที่เวียนไปหาได้ไม่รู้จักจบจักสิ้น แต่ทุกคืนเขากลับเห็นชายหนุ่มกลับมาห้องนอนของตนเอง ที่เจ้าตัวรับสั่งให้เขาอยู่ร่วมห้องโดยไม่คิดจะหาห้องส่วนตัวให้เขา จากเดิมที่ระแวงเริ่มเป็นความคุ้นชินที่จะมีชายหนุ่มนอนอยู่ข้างๆ เอเลนเกาผมสีน้ำตาลของตัวเองจนยุ่งกับความคิดที่เริ่มกระเจิดกระเจิงอย่างน่าประหลาด
ไม่ๆ ยังไงเขาก็ขอเปลี่ยนจากฟาโรห์เป็นคลีโอพัตตราสุดสวยหุ่นแซ่บดีกว่าฟาโรห์บ้ากามกล้ามเป็นมัดๆเป็นไหนๆ เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหยิบกุญแจทองคำขึ้นมาจ้องมอง ตกลงว่านี่เขาจะต้องทำเควสอะไรเพื่อให้กลับไปโลกปัจจุบันได้สินะ อย่าบอกนะว่าเควสคราวนี้คือเรื่องปราบกบฏ ให้ตายสินี่มันสงคราม สงครามจริงๆ ของจริง ของแท้ ไม่ใช้สแตนอิน ไม่มีตัวแสดงแทนด้วยนะ ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ใบหน้าหวานเริ่มซีดเซียวจนแทบจะหมดแรง มีหลายครั้งในการเดินทางกับคริชาผู้เป็นบิดาที่เขาจะต้องพบเจอกับเรื่องอันตรายอย่างกลุ่มกบฏหรือกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่พากันต่อต้านการทำงานของพ่อของเขา และหลายครั้งที่จะมีเหตุการณ์เลวร้ายจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือล้มตายไปบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องเหล่านั้นก็เทียบไม่ได้กับสิ่งที่เรียกว่าสงคราม
ร่างบางสั่นเกร็งกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตนในอีกไม่นาน ต่อให้เป็นร่างอวตารและต่อให้เขามาจากมิติอื่นแต่ไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าถ้าเกิดดวงซวยขึ้นมาเขาอาจจะต้องทิ้งชีวิตและอนาคตของตัวเองไว้ในอดีตหลายพันปีแบบนี้ก็ได้
มือใหญ่ของใครบางคนจับลงที่ไหล่มนที่ขดจนเกร็ง ใบหน้าหวานหันสบตากับชายหนุ่มผมรัตติกาลที่จ้องมองเขาอย่างแปลกใจ
“เจ้าหนาวรึไง?”
เอเลนส่ายศีรษะไปมาแทนคำตอบ เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่งหันหน้าเข้าหาฟาโรห์หนุ่มด้วยใบหน้าจริงจัง
“ท่านน่ะจะไม่ปล่อยให้ข้าตายใช่ไหม?”
“คนเราเกิดมาก็ต้องดับสูญกลับไปเป็นส่วนหนึ่งของเทพ”
นี่ท่าน..!!
ก่อนที่จะได้ต่อปากต่อคำกับคนชอบกวนประสาท พลันมือใหญ่ของฟาโรห์จับมือบางของเด็กหนุ่มขึ้นทาบทับลงบนอกซ้ายตำแหน่งเดียวกับหัวใจ
“ข้าผู้เป็นโอรสแห่งรา ราชาแห่งลุ่มน้ำไนล์ขอให้สัตย์สาบานต่ออวตารเทพเอเลน ข้าจักปกป้องดูแลไม่ให้เกิดภยันตราย ด้วยคำสัตย์นี้ข้าจักปกป้องคุ้มครองเจ้าด้วยเกียรติของฟาโรห์ราเมสที่สอง และชีวิตของข้า คนผู้เดียวที่จะสังหารหรือทำร่างอวตารหลั่งเลือดได้จักมีเพียงข้าฟาโรห์รีไวผู้นี้ผู้เดียว”
คำสัตย์สาบานดังก้องไปทั่วกระโจม ทั้งดังก้องโสตประสาทของเด็กหนุ่ม อกซ้ายพลันเต้นระรัวกับใบหน้าคมคายจริงจังที่จ้องตรงมาเพื่อเป็นการบอกว่าสิ่งที่เอ่ยนั้นเป็นคำมั่นที่เขาจะรักษาไว้ ทุกถ้อยคำทุกพยางค์ล้วนออกมาจากใจของผู้ที่เอ่ยจนเด็กหนุ่มรู้สึกได้ จะติดก็แต่ประโยคสุดท้ายที่ดูเหมือนว่ายังไงก็เท่ากับว่าถ้าเขาทำอะไรที่ส่อแววว่าจะเป็นศัตรูกับองค์ฟาโรห์ เจ้าตาแก่บ้านี่ก็พร้อมที่จะกุดหัวเขาทุกเมื่อเช่นกัน เอเลนหัวเราะแห้งกับคำสัตย์สาบานของชายหนุ่ม เกือบแล้วท่าน ข้าเกือบจะหลงไปกับถ้อยคำหวานหูของท่านแล้ว ดีนะที่เหมือนความซาดิสต์และเอาแต่ใจของท่านปรากฏออกมาเช่นเดียวกับความตั้งใจ
เอเลนเค้นยิ้มออกมาก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก เอาน่ะอย่างน้อยก็มั่นใจว่าตาฟาโรห์บ้านี่จะไม่ยอมให้ใครฆ่าเขานอกจากน้ำมือของตัวเอง
“ก็ได้ ตราบใดที่ข้าอยู่ที่นี้ คนที่จะฆ่าข้าได้มีท่านคนเดียวก็พอแล้ว” เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอคนที่พร้อมทั้งจะดูแลปกป้องแล้วฆ่าเขาในคนเดียวกัน บางทีนอกจากเจ้าฟาโรห์บ้านี่จะเป็นพวกซาดิสต์ขี้แกล้งแล้ว ยังจะเป็นพวกหลายบุคลิคด้วยล่ะมั่ง....
ก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้นเหล่ากองกำลังทหารของรีไวราเมสก็เริ่มเคลื่อนทัพเพื่อไปให้ถึงยังโอเอซิสที่หมาย เช้านี้เมื่อตื่นมาข้างตัวของเด็กหนุ่มก็ว่างเปล่า ดูเหมือนการผลุบๆโผล่ๆขององค์รีไวตั้งแต่เริ่มเคลื่อนทัพทำให้เขาเริ่มชิน แต่อย่างน้อยก็มั่นใจว่าฟาโรห์ไม่ปล่อยให้เขาคลาดสายตาอย่างแน่นอน เพียงแต่ตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจเท่าไรนักว่าการศึกที่สำคัญแบบนี้จะเอาเขามาด้วยทำไม?
“อย่าคิดมากเลยเอเลน ท่านจำเป็นต่อทัพของเราอย่างยิ่งยวดนัก” เบเซธที่เหมือนจะอ่านสีหน้าความสงสัยของเขาออกเอ่ยขึ้น
“แต่ฉันสู้รบไม่เป็น ดาบก็ไม่เคยจับจะทำอะไรได้?” ดูยังไงก็ตัวถ่วงชัดๆ
“ไม่เลย เมื่อวานเจ้ายังช่วยท่านไรเนอร์ในการเตรียมพลทหารลาดตระเวน อีกทั้งเจ้ายังไปถามไถ่เหล่าทหารตามจุดต่างๆ เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ รู้ไหมว่าตอนนี้เจ้าเป็นที่กล่าวถึงและนิยมมากขนาดไหน”
ตั้งแต่เมื่อวานที่เขาไปจัดการเตรียมการต่างๆกับองค์ฟาโรห์และเหล่าแม่ทัพอื่นๆ พอกลับเข้ามาก็ได้ยินเสียงพูดคุยของเหล่าทหารที่แสดงความชื่นชมต่อองค์อวตารเทพสุริยันไม่ขาดสาย คาดว่าเสียงนั้นองค์ฟาโรห์ผู้เป็นบิดาคงได้ยินเช่นกัน สีหน้าที่ตึงเครียดในการรบจึงแลดูผ่อนคลายลงมาก
ก็ไม่ค่อยเข้าใจนะว่าการที่เขาเดินไปเดินมาคุยกับคนนู้นทีคนนี้ทีจะทำให้มีคะแนนนิยมมากขนาดนี้ ถ้าเป็นที่โลกของเขาคงเปรียบได้ว่าเป็นไอดอลที่เข้าไปทักทายแฟนคลับอย่างใกล้ชิดก็ได้ล่ะมั่ง.... แต่ถึงอย่างนั้นเอเลนก็ยังหวังที่จะทำอะไรได้มากกว่าการที่ไปพบและพูดคุยกับเหล่าทหารเฉยๆ บางทีอย่างน้อยความคิดอ่านของคนในโลกอนาคตอย่างเขาอาจสามารถช่วยอะไรในการศึกครั้งนี้ได้บ้าง

1 ความคิดเห็น: