วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2558

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์: Chapter 9

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์
Pairing: (LevixEren)
Rate: NC-17
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
Story By: AkeRah , Trendy Blood
………………………………………………………………………………………………..
Chapter 9:

ขบวนทัพยังคงเคลื่อนที่ด้วยความเร็วไม่หยุดยั้ง แม้จะแวะพักกันที่โอเอซิสหลายครั้งแต่ระยะเวลาในแต่ละครั้งนั้นแทบไม่แตกต่างจากการแวะเติมน้ำมันเสียด้วยซ้ำ
“อดทนอีกนิด เราใกล้จะถึงกันแล้ว” เบเซ็ทหันมาบอกกับเอเลนที่สีหน้าอิดโรยจนถึงขีดสุด เอเลนจิบน้ำหนึ่งอึกขณะพยักหน้ารับพลางคิดในใจว่าครั้งที่เท่าไหร่กันแล้วนะที่เจ้าชายหนุ่มกล่าวกับตนแบบนี้
เข้าใจดีว่าภารกิจปราบกบฏทาสเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องรีบจัดการ เพราะหากปล่อยไว้จนลุกลามใหญ่โต ไม่นานสงครามกลางเมืองจะต้องตามมาในที่สุด และเมื่อถึงขั้นนั้นคงยากเกินจะควบคุม จึงไม่แปลกที่กองทัพจะเร่งเท้ากันถึงเพียงนี้ และสิ่งที่เอเลนจะทำได้ในเวลานี้นั้นคงมีเพียงอย่างเดียวนั่นคือเป็นตัวถ่วงให้น้อยที่สุด เพราะฉะนั้นถึงจะลำบากไหนก็จะต้องอดทน
แต่ว่าก็ว่าเถอะ การเดินทางข้ามทะเลทรายเป็นๆพันๆไมล์ด้วยรถม้าก็ช่างหฤโหดเกินไปเสียจริงๆ
สองสามชั่วโมงผ่านไป ซึ่งเอเลนรู้สึกว่าคงผ่านไปสักหนึ่งชาติได้ เบเซ็ทได้เอ่ยขึ้น
“จะถึงแล้ว”
เอเลนส่งสายตาเอือมระอาไปให้ จะโกหกกันก็ให้มันมีลิมิตบ้างเถอะเจ้าชาย.........
แต่เมื่อมองตามทิศทางที่เบเซ็ทชี้ชวนไปให้ดูเอเลนก็ถึงกับต้องขยี้ตาหลายๆครั้ง แนวกำแพงหินสูงใหญ่ตั้งตระหง่านให้เห็นอยู่ไกลลิบ เอเลนพยายามบอกตัวเองว่านั่นคงเป็นเพียงภาพลวงตาที่เกิดจากจิตใต้สำนึกของตน จนเมื่อขบวนทัพเคลื่อนผ่านประตูเมืองเข้าไปจึงยอมเชื่อว่าเป็นความจริง
ภูมิทัศน์ของเมืองชายแดนที่นี่แตกต่างจากธีบส์ที่อุดมสมบูรณ์และสงบสุขโดยสิ้นเชิง เมืองแห่งนี้เต็มไปด้วยหินกรวดและทรายซึ่งไม่เหมาะเป็นอย่างยิ่งต่อการทำการเกษตรผู้คนที่นี่จึงยังชีพได้ด้วยการทำเหมืองหิน โอเอซิสที่อยู่ใกล้ที่สุดนั้นอยู่ห่างออกไปหลายร้อยไมล์ ชาวเมืองอยู่กันยากลำบากแร้นแค้น พวกทาสถูกกดขี่ทารุณ พวกเขาถูกใช้งานอย่างหนักไม่ต่างกับสัตว์ เหล่าทาสสูงอายุและพวกที่ไม่สามารถทำงานได้ถูกทิ้งให้ตายข้างถนนกลายเป็นเหยื่อแร้งกาอย่างไร้ความปราณี เบเซ็ทขบกรามแน่นใบหน้าเครียดขึง ภาพที่พบเห็นคงจะสะกิดอารมณ์คุกรุ่นในใจเขามากทีเดียว
เห็นแบบนั้นแล้วเอเลนก็คิดถึงใครบางคนที่แฝงตัวอยู่กับกลุ่มทหาร เขาจะรู้สึกโกรธกริ้วสักแค่ไหนกันนะที่เห็นภาพโหดร้ายแบบนี้
ขบวนทัพเคลื่อนที่ผ่านถนนลาดยาวเข้าสู่อาคารทรงสี่เหลี่ยมที่ถูกตกแต่งอย่างโอ่อ่า ประตูด้านหน้าปิดสนิท
“ไม่ได้ส่งสาสน์มาบอกก่อนหรือ” เอเลนเอ่ยถามขณะมองเข้าไปในตึกหลังใหญ่ที่เงียบเชียบ เพราะปกติหากมีขบวนเสด็จมาเยือนสิ่งที่ขาดไม่ได้ย่อมต้องเป็นขบวนต้อนรับที่ทอดยาวตั้งแต่หน้าประตูเมืองอย่างสมพระเกียรติ แต่ ณ เวลานี้กลับว่างเปล่า
“ย่อมมีราชโองการมาถึงแน่ แต่ดูจากการตอบสนองที่กระด้างกระเดื่องอย่างชัดเจนนี้แล้ว เห็นทีก่อนที่จะสยบกบฏทาส ข้าคงต้องกำราบเจ้าหมูตอนฮัสซุสเสียก่อน” เบเซ็ทกล่าวขณะส่งสัญญาณให้ทหารพังประตูเข้าไป
“อยู่ใกล้ๆข้าไว้ อย่าวางใจอะไรง่ายๆในแดนของศัตรู”
เบเซ็ทเดินนำเบลทรูทและไรเนอร์รวมทั้งทหารองครักษ์อีกหลายนายกรุยทางนำเข้าไป ทหารยามรักษาการณ์เมื่อเห็นผู้บุกรุกก็กรูเข้ามาหมายจะต่อสู้ แต่มีหรือที่ทหารธรรมดาจะหยุดยั้งองครักษ์ประจำพระองค์ของฟาโรห์รีไวราเมสผู้ยิ่งใหญ่ได้ ทหารของข้าหลวงฮัสซุสถูกจับกุมและปลดประจำการกองกำลังของเจ้าชายเบเซ็ทกระจายกำลังเข้ายึดอาคารทั้งหลังไว้ได้อย่างรวดเร็ว เบเซ็ทมุ่งหน้าไปยังห้องอาหารที่ซึ่งมีชายร่างอ้วนกำลังนั่งสวาปามอาหารโอชารสที่ตั้งยาวเหยียดจนเต็มโต๊ะยาวอย่างตะกรุมตะกรามโดยไม่สนใจอะไร แม้แต่เมื่อเบเซ็ททรุดนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเขาก็ยังไม่รู้สึกตัว
เจ้าชายหนุ่มเอื้อมมือไปเด็ดผลองุ่นจากตะกร้าผลไม้มาคลึงเล่นก่อนจะกลิ้งให้มันไถลข้ามโต๊ะไปหยุดอยู่ข้างจานอาหารของฮัสซุส
“ที่เจ้ายื่นฎีกาขอเพิ่มงบประมาณในการจัดหาอาหารเลี้ยงชาวเมืองอยู่บ่อยๆนี่มันเป็นเพราะอย่างนี้เองสินะ ชาวเมืองของข้ามีความเป็นอยู่ที่ตกต่ำเช่นนี้มันเป็นเพราะเจ้าเอาเข้ากระเป๋าตัวเองเสียหมด”
ฮัสซุสมองผลองุ่นที่กลิ้งมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของตนก่อนจะไล่สายตาไปตามทิศทางที่มันกลิ้งไถลมา เมื่อเห็นชายหนุ่มที่อยู่อีกฟากของโต๊ะอาหารจึงเพิ่งรู้ตัว ชายร่างอ้วนทรุดร่างคุกเข่าลงกับพื้นเอ่ยตะกุกตะกัก อาหารที่ยังค้างอยู่ในปากร่วงกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น เอเลนถึงกับต้องหันหน้าหนีสภาพทุเรศทุรังนั้นอย่างจนใจ
“ฝ....ฝ่าบาท.....ใยจึงเสด็จมาเร็วเช่นนี้ กระหม่อมคิดว่าพระองค์จะเดินทางมาถึงอีกสองวันข้างหน้านี้เสียอีก” ฮัสซุสกล่าวตอบพลางยิ้มอย่างเอาใจแต่เบเซ็ทยังคงนิ่ง
“ถ้าไม่มาถึงที่นี่เร็วกว่ากำหนดข้าคงไม่มีโอกาสได้เห็นสภาพความเป็นอยู่จริงๆของชาวเมืองของข้า”
ฮัสซุสได้แต่ยิ้มรับแห้งๆ
“ถ้ามาช้ากวานี้อีกสักสองวันข้าคงไม่มีโอกาสได้เห็นภาพอันชวนเจริญตาเช่นนี้” เบเซ็ทปรายตามองชายร่างอ้วนที่คุกเข่าอยู่กับพื้นผู้พยายามเช็ดคราบอาหารออกจากใบหน้าแต่กลับทำให้มันยิ่งเปรอะเปื้อนมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าชายหนุ่มสูดหายใจลึกเอ่ยช้าๆ
“เงินภาษีมากมายที่เสด็จพ่อของข้าส่งมาให้เจ้าดูแลประชาชนของเราแทบทั้งหมดกลับถูกเจ้ากินเจ้าใช้ถลุงเล่นอย่างไร้ค่า อาหารมากมายถูกนำมาบำเรอให้กับหมูตอนที่ไม่รู้จักพออย่างเจ้าจนอ้วนพี ในขณะที่พลเมืองข้างนอกนั้นอดอยากหิวโซ ไม่มีแม้แต่อาหารที่จะประทังชีวิต ใช้งานพวกทาสไม่ต่างจากสัตว์โดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่พวกเขามี เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกันฮัสซุส กล้าดีแค่ไหนถึงได้บังอาจรังแกพลเมืองของเรา!!!!” เบเซ็ทตะโกนเสียงกร้าวตบโต๊ะอาหารเสียงดังจนเหยือกบรรจุน้ำล้มคว่ำ น้ำดื่มไหลลงจากโต๊ะรินรดไปบนพื้นเจิ่งนองแต่ถึงอย่างนั้นฮัสซุสก็ยังไม่กล้าที่จะกระดิกตัวหนี ได้แต่ก้มหน้างุดหมอบกราบลงกับพื้นตัวสั่น
“สิ่งที่เสด็จพ่อให้เจ้าได้ ข้าย่อมเรียกมันกลับคืนได้เช่นกัน อาหาร อาภรณ์ ความสุขสบายทั้งหมดที่เสด็จพ่อของข้าได้ประทานให้กับพลเมืองของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าได้ขโมยไปข้าจะนำมันกลับคืนมาทั้งหมด ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเจ้าอีกต่อไปแล้ว........นำตัวมันไปคุมขังรอรับการลงทัณฑ์”
“ฝ่าบาท!!! ได้โปรด........อภัยให้ข้าด้วย ฝ่าบาท!!!” ฮัสซุสโวยวายเสียงดังขณะที่โดนลากตัวออกไป
“ใครก็ได้ทำให้มันหุบปากที” เบเซ็ทบ่นขึ้นมาอย่างฉุนเฉียว พร้อมกับที่ไรเนอร์ซึ่งรับคำสั่งได้เดินออกจากห้องไป
“เบเซ็ท แล้วอาหารพวกนี้.......” เอเลนเอ่ยถามด้วยความจนใจ เขาไม่เข้าใจจริงๆว่าอาหารตั้งมากมายเพียงนี้คนเพียงคนเดียวจะยัดมันลงกระเพาะหมดได้ยังไงกัน
เบเซ็ทกวาดตามองอาหารที่ถูกกินไปอย่างละนิดละหน่อยด้วยความเสียดาย
“อาหารพวกนี้มันควรจะเป็นของชาวเมืองและทาสที่หิวโหยอยู่ข้างนอกนั่น ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าหมูตอนนั่นควรแตะต้องเสียด้วยซ้ำ” เบเซ็ทรำพึงเสียงเบา และหลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้มีคำสั่งด่วนจากเจ้าชายเบเซ็ทให้เปิดคลังเสบียงเพื่อแจกจ่ายน้ำสะอาด อาหารให้กับชาวเมืองและชาวทาสทุกคนเท่าๆกันโดยไม่มีการแบ่งแยก
พวกทหารจัดระเบียบการเข้าแถวอย่างเป็นระบบจึงไม่มีความวุ่นวายเกิดขึ้นเลยในขณะที่เริ่มจ่ายแจกอาหาร ขณะที่เอเลน เบเซ็ทและเหล่าทหารอีกหลายนายกำลังง่วนอยู่กับการแจกอาหารอยู่นั้นร่างบางพลันสังเกตเห็นร่างคุ้นตาของใครบางคนยืนหลบมุมคอยสังเกตการณ์อยู่ห่างๆอย่างเงียบๆ
“ฝากจัดการต่อด้วยนะ” เอเลนเอ่ยกับเบลทรูทที่ยืรคุ้มกันตนเองอยู่ใกล้ๆพลางยัดถุงอาหารใส่มือ
“แล้วท่านจะไปที่ใด” เบลทรูทเอ่ยถามด้วยความกังวลเพราะหน้าที่ของเขาในเวลานี้คือการติดตามคุ้มกันเอเลนเสมือนเป็นเงาตามตัว
“ข้าเห็นเขาแล้ว ข้าจะไปหาฟาโรห์ของท่าน” เอเลนกระซิบตอบซึ่งเบลทรูทก็เข้าใจในทันทีว่ามันเป็นการไม่สมควรเป็นอย่างยิ่งที่เขาจะตามไป เอเลนผละออกจากซุ้มบริจาคเดินผ่านกระโจมที่พักทหารไปยังจุดที่ชายผู้นั้นยืนมองอยู่

รีไวยิ้มรับเด็กหนุ่มร่างบางที่เดินรี่เข้ามาหาตนพลางเอ่ยถามด้วยความเอ็นดู
“ทำไมรีบออกมา ข้านึกว่าเจ้ากำลังสนุกกับการแจกของบริจาคเสียอีก”
“ก็ใช่.....แต่อยู่ที่นี่ใช่ว่าจะหาท่านเจอได้ง่ายๆ หากท่านไม่ต้องการให้ข้าพบก็ไม่มีทางเลยที่ข้าจะหาท่านเจอ สบโอกาสดีๆเช่นนี้ข้าอยากจะคุยกับท่านมากกว่า” ฟาโรห์หนุ่มยิ้มรับคำตอบซื่อๆของหนุ่มน้อยอย่างพึงใจขณะที่เอื้อมมือไปโอบเอวเด็กหนุ่มอย่างถือวิสาสะรุนหลังให้ออกเดินไปพร้อมกัน
“ที่นี่คนมากเกินไป เราเดินไปคุยไปจะดีกว่า”
“คิดว่าท่านคงรู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในห้องอาหารแล้ว”
“ใช่.....ข้ารู้ ข้าได้ยินทั้งหมด”
“แล้วท่านพอใจหรือไม่ที่เบเซ็ทจัดการกับฮัสซุสแบบนั้น”
“พอใจสิ ทุกสิ่งที่ข้าคิดจะทำ ทุกสิ่งที่ข้าคิดจะพูด วันนี้เบเซ็ทได้ถ่ายทอดทุกอย่างออกมาจนหมด แต่หากเป็นข้า ข้าอาจจะพลั้งมือฆ่าเจ้าหมูสกปรกตัวนั้นตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว คงไม่ใจเย็นอยู่ได้อย่างเบเซ็ท..........แต่นั่นก็แสดงถึงภาวะความเป็นผู้นำ เป็นนักปกครองที่ดี อย่างน้อยๆเขาก็เริ่มต้นได้อย่างสวยงาม” รีไวกล่าวด้วยรอยยิ้มปิติ
“ท่านเลือกเบเซทเป็นผู้สืบทอดคนต่อไปอย่างนั้นหรือ”
“แล้วเจ้าคิดว่าเบเซ็ทไม่คู่ควรหรืออย่างไร” รีไวจ้องมองเอเลนด้วยความกังขา แต่เด็กหนุ่มกลับส่ายหน้าตอบ
“เปล่า ข้าแค่คิดว่ามันยังเร็วเกินไปหรือไม่ที่จะคิดเรื่องนั้น คือ.....ท่านยังหนุ่มยังแน่น ยังแข็งแรง”
“และยังมีเมียได้อีกหลายคน” ฟาโรห์กล่าวตอบกลั้วหัวเราะ
“นั่นคงเป็นเรื่องไร้สาระที่ท่านใช้เวลาหมกมุ่นด้วยมากที่สุดสินะ” เอเลนมองค้อนกษัตริย์หนุ่มที่ยังหัวเราะไม่หยุด
“ไม่ช้าหรือเร็ว เวลานั้นก็ย่อมต้องมาถึง เจ้าผู้เป็นร่างอวตารแห่งเทพราจะมิหยั่งรู้เชียวหรือว่าวาระสุดท้ายของข้าจะมาถึงเมื่อใด” รีไวกล่าวตอบเสียงนุ่มพร้อมกับยิ้มอ่อน เอเลนนึกย้อนไปถึงสิ่งที่เคยอ่านผ่านตาเมื่อก่อนหน้านี่มาบ้าง
ฟาโรห์ราเมสที่ 2 ครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์อียิปต์ถึง 67 ปี สิ้นพระชนม์เมื่อ 90 พรรษาเศษ......ในประวัติศาสตร์บันทึกไว้อย่างนั้น และฟาโรห์องค์ที่ว่านั่นก็คือชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งผู้นี้
“ข้าย่อมรู้แน่ แต่มิอาจบอกได้” เอเลนกล่าวตอบพลางเดินเลี่ยงนำหน้าขึ้นไปอย่างใจลอย ถึงแม้จะหลุดมาอยู่ในยุคอดีตได้แต่เอเลนก็จำเป็นจะต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษเพราะหากการกระทำเล็กๆน้อยๆของเขาเกิดไปเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ขึ้นมาคงแย่
“เจ้าไม่คิดจะบอกใบ้ให้ข้าหน่อยหรือ” รีไวยิ้มเย้าเร่งฝีเท้าไล่ตามแหย่คนที่เดินนำลิ่วหนีไปไกล แต่สุดท้ายเป็นฝ่ายเอเลนที่หันหลังกลับมาเผชิญหน้ากับเขาแทน
“มิอาจบอก.......” เอเลนเอ่ยเสียงสั่น
มนุษย์เราจะทำใจยอมรับได้มากแค่ไหนกันเมื่อต้องรับรู้ถึงวาระสุดท้ายของคนที่พวกเขาผูกพัน
“ถึงแม้ข้าอยากจะบอกแค่ไหนก็ไม่อาจทำได้” เอเลนกล่าวอย่างสับสน รู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อยที่แค่คิดถึงวาระสุดท้ายของฟาโรห์หนุ่มผู้นี้ก็ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
นี่เขารู้สึกผูกพันกับชายผู้นี้มากขนาดนี้เชียวหรือ...............
รีไวมองสีหน้ากล้ำกลืนของเอเลนแล้วพาลให้รู้สึกผิด คิดว่าตนคงแหย่เด็กหนุ่มมากเกินไป มือใหญ่เอื้อมไปกุมมือบางของเด็กหนุ่มข้างกายเอาไว้พลางฉุดให้ออกเดินไปเคียงกัน
“ไม่เป็นไร หากมันทำให้เจ้าหนักใจเราก็อย่าไปพูดถึงมันอีกเลย ข้ามั่นใจว่าวาระสุดท้ายของข้าต้องไม่ได้มาถึงเร็วๆนี้แน่” กษัตริย์หนุ่มกล่าวปลอบเด็กหนุ่มข้างกายขณะที่พาเดินเข้าสู่กระโจมที่พักชั่วคราว
เอเลนทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ว่างหน้าโต๊ะทำงานขณะที่รีไวลูบไหล่ปลอบใจอยู่ไม่ห่าง
“ข้าว่าเราควรจะเปลี่ยนเรื่องสนทนากันดีกว่า เพื่อความสบายใจของเจ้าเอง”
“แล้วท่านจะทำอย่างไรต่อเรื่องก่อกบฏ”
“แล้วเจ้าคิดว่าข้าควรทำอย่างไรต่อไป” ฟาโรห์หนุ่มเอ่ยถามยิ้มๆ
“เห็นได้ชัดว่าสาเหตุที่ทำให้ทาสแข็งข้อเป็นเพราะฮัสซุส พวกเขาถูกกดขี่มากเกินไปและการที่ท่านแสดงให้เห็นถึงจุดยืนที่ชัดเจนด้วยการสั่งลงโทษเขาแล้ว พวกทาสอาจจะยอมรามือก็ได้”
“ใช่ ฉลาดมาก ที่เจ้าพูดมาก็ถูก......แต่ถ้าหากหลังจากนี้แล้วพวกทาสยังไม่ยอมหยุดล่ะ เจ้าคิดว่าเพราะเหตุใด”
“นั่นก็เพราะ......พวกเขามีคนหนุนหลัง?”
“ถูกต้อง!!!” รีไวยิ้มอย่างพึงใจในความฉลาดเฉลียวของเด็กหนุ่มร่างอวตารแห่งเทพราคนนี้มากจริงๆ
“แล้วคนพวกนั้นจะเป็นใครกัน” เอเลนเอ่ยถามอย่างฉงนขณะที่รีไว ดึงม้วนแผนที่หนังออกมากางบนโต๊ะ
“เอเลน เจ้าลองคิดดู ทาสพวกนั้นไร้ซึ่งเชื้อชาติไร้ซึ่งแผ่นดิน พวกเขาต่างอาศัยอยู่ในแผ่นดินข้าด้วยการใช้แรงงานแลกกับเงินทองและข้าวของเพื่อประทังชีวิต ข้าพยายามเป็นอย่างมากที่จะดูแลพวกเขาอย่างเท่าเทียมในฐานะประชาชนในปกครองกลุ่มหนึ่ง แต่ก็ต้องยอมรับว่าในสังคมยังคงมีการแบ่งแยกชนชั้นอยู่มาก ผู้คนอีกมากไม่ให้การยอมรับพวกเขาเสียด้วยซ้ำ คนพวกนั้นมองทาสเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต่ำกว่าตนเอง สถานะของทาสจึงโดนกดขี่มาโดยตลอด แล้วเจ้าคิดว่าจะมีเหตุผลใดที่ทำให้ทาสผู้อ่อนแอลุกขึ้นมาปลดแอกตัวเองออกจากการปกครองของข้า ออกจากแผ่นดินแห่งอียิปต์”
“ก็ต้องเป็นเพราะ คนที่อยู่เบื้องหลังให้ข้อเสนอที่ดีอย่างที่พวกเขาต้องการ อาหาร ความเป็นอยู่ อสรภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่พวกทาสโหยหามาโดยตลอด”
“ข้าคิดไม่ผิดจริงๆที่พาเจ้ามาด้วย ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงดูแผนที่นี่ เมืองที่เราอยู่ตอนนี้คือที่” รีไวชี้มือไปยังจุดเล็กๆสีแดงบนแผ่นหนังที่ถูกกากบาทเอาไว้พลางเอ่ยถามต่อ
“เจ้าคิดว่าใครกันที่อยู่เบื้องหลังการปลุกปั่นทาสเหล่านี้”
เอเลนก้มมองแผนที่บนโต๊ะพลางใช้ความคิด หากทาสเหล่านั้นต้องการปลดแอกตัวเองออกจากการปกครองของรีไวจริง ทางเดียวที่ทำได้คือพวกเขาต้องอพยพไปยังดินแดนอื่น แต่ทาสเหล่านั้นยังมีทั้งผู้หญิง เด็ก คนแก่ คนป่วย การเดินทางที่ใช้ระยะเวลานานๆจึงไม่ใช่ทางออกที่ดี จุดมุ่งหมายของพวกเขาต้องเป็นการอพยพไปยังดินแดนที่ใกล้ที่สุด
และดินแดนที่ใกล้ที่สุดที่ปรากฏในแผนที่นั้นก็มีเพียงแห่งเดียวคือ
“ฮิตไตน์?.........” เด็กหนุ่มเอ่ยตอบเสียงเบา แต่รีไวกลับยิ้มรับ มือใหญ่ลูบผมนุ่มลื่นของเอเลนด้วยความชอบใจ
“ข้าก็คิดเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้ข้าจึงต้องแฝงตัวเข้ามากับกลุ่มทหารเพื่อที่จะสืบข้อเท็จจริงทั้งหมดได้ง่ายดายยิ่งขึ้น เรื่องนี้แม้แต่เบเซ็ทข้าก็ยังไม่ได้บอกเขา ถือว่านี่เป็นความลับระหว่างเจ้ากับข้าสองคนก็แล้วกัน”
เอเลนพลันนึกย้อนไปถึงประวัติศาสตร์ที่เคยบันทึกไว้ถึงสงครามระหว่างอียิปต์กับฮิตไตน์ที่รบพุ่งกันมาอย่างยาวนาน หลายครั้งในบันทึกได้มีการระบุชนวนเหตุแห่งสงครามเอาไว้ว่าพวกเขาต่างสู้รบกันเพื่อจะแย่งชิงดินแดน แต่ดูๆไปแล้วหากครั้งนี้เกิดสงครามระหว่างอียิปต์และฮิตไตน์ขึ้นจริงๆ มูลเหตุที่สำคัญนั้นต้องเริ่มมาจากกบฏทาสเมืองชายแดนแห่งนี้อย่างแน่นอน

“เจ้ากำลังใจลอยอะไรอยู่ เบลทรูท” เบเซ็ทเอ่ยถามทหารหนุ่มร่างสูงที่กำลังแจกเสบียงอยู่ข้างกาย เพราะดูเหมือนเจ้าตัวจะเหม่อลอยอยู่บ่อยครั้ง
“กระหม่อมรู้สึกว่าท่านเอเลนหายไปนานเกินไปแล้วพะยะค่ะ”
“แล้วเอเลนบอกกับเจ้าว่าอย่างไร”
“ท่านมีเรื่องที่จะคุยกับฝ่าบาทรีไวพะยะค่ะ” เบเซ็ทยิ้มรับคำตอบของเบลทรูทขณะที่หยิบเสบียงส่งให้เด็กสาวชาวทาสถุงหนึ่ง
“ในเมื่ออยู่กับเสด็จพ่อ เจ้ายังต้องเป็นห่วงเอเลนอยู่อีกหรือ”
เบลทรูทจึงปิดปากเงียบเก็บกดความวิตกกังวลใจไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยขณะที่เบเซ็ทเอ่ยขึ้น
“เจ้ายังต้องการเสบียงเพิ่มอีกหรือสาวน้อย” เบเซ็ทเอ่ยถามเด็กสาวชาวทาสผิวสีน้ำผึ้งผู้ซึ่งไม่ยอมรับของบริจาคแต่กลับจ้องหน้าเขาเขม็ง เด็กสาวเจ้าของดวงตาสีเหลืองทองไม่แสดงท่าทีตอบรับ แต่เธอกลับเอาแต่จ้องมองเบเซ็ทนิ่งนานโดยไม่ปริปากเอ่ยสิ่งใดออกมา
“หรือเจ้าต้องการสิ่งใดจากข้า” เบเซ็ทวางถุงของบริจาคลงพลางจ้องตาเธอกลับ แต่หญิงสาวผู้นั้นกลับดึงผ้าโพกศีรษะขึ้นคลุมปิดบังผมสีบลอนด์ทองที่ผิดแผกไปจากพวกทาสคนอื่นๆของเธอแทน
เด็กสาวไม่ตอบคำพลันก้มหน้ารับของบริจาคแล้วเดินออกจากแถวมาเงียบๆ เธอแทรกตัวเข้าไปยังตรอกเล็กๆเพื่อลอบมองเบเซ็ทด้วยสายตามุ่งร้ายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะผลุบหายเข้าไปยังช่องทางลับเล็กๆอย่างรวดเร็ว


5 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

    ตอบลบ
  2. อรั้ยยยยย พึ่งมาไล่อ่านนชอบทุกเรื่องเลยค่ะะะะะ ///////// q ///////// อย่อยยยยยย กรี๊สสสสสสสสเอเลนทไเรื่องอย่างว่าสิคะลูก---ค่อก ถ้าแต่งยาวแล้วรวมเล่มเราอยากซื้อค่ะะะ 5555555 ขอบคุณที่แต่งมาให้อ่านค่าา

    ตอบลบ
  3. รีไวล์กินเด็-----------/// ตอนสุดท้ายนั่นใช่แม่นางแอนนี่หรือปล่าว? คริสต้า? เพรทร่า? ลุ้นๆๆๆ //เฮียในฟิคนี้ก็ยังโรคจิตเหมือนเดิ-------- //โดนเตะกระเด็นนอนจมกองเลือด
    #อ๊ายยยยยเอเลนนนน

    ตอบลบ