วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์ Chapter 12:

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์
Pairing: (LevixEren)
Rate: NC-17
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
Story By: AkeRah , Trendy Blood
………………………………………………………………………………………………..
Chapter 12:

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์ Chapter 11:

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์
Pairing: (LevixEren)
Rate: NC-17
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
Story By: AkeRah , Trendy Blood
………………………………………………………………………………………………..
Chapter 11:

วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2558

{Attack On Titan:Levi x Eren } Kill me - Kiss me :15

:15

ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าเริ่มพร่ามัว ร่างกายที่บาดเจ็บเริ่มจะทานทนความทุกข์ทรมานอีกได้ไม่นาน แต่ถึงอย่างนั้นมาร์โคก็ยังคงพยายามฝืนสติถ่างตามองกลุ่มคนที่จับเขามาขังไว้ในห้องมืดแห่งนี้อย่างเงียบงัน เลือดที่ไหลอาบหน้าซึมเข้าไปในดวงตาทำให้แสบจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้นแต่เขาก็ยังคงมอง มองคนพวกนี้เพื่อจดจำใบหน้าของพวกมันลงไปในสมอง ทุกความทรมานที่ถูกกระทำเขาจดจำมันไว้ทั้งหมดอย่างไม่มีตกหล่นเพราะหากเมื่อเขาหลุดออกไปได้ล่ะก็
......................พวกมันทั้งหมดจะต้องชดใช้
วิสกี้ราคาแพงรินรดตั้งแต่ศีรษะจนเปียกอาบไปทั่วทั้งตัว กลิ่นเหล้าเข้มข้นปลุกสติที่พร่ามัวของเขาให้ตื่นตัว บาดแผลที่โดนส่าเหล้าอาบไล้แสบร้อนราวกับถูกไฟลวกแต่จะไม่มีการร่ำร้องอ้อนวอนขอความกรุณาใดๆออกมาเด็ดขาด ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่มีวันเอ่ยปากกับพวกมัน
“แกควรจะเรียนรู้ที่จะเอ่ยอะไรออกมาบ้าง ฉันเริ่มจะหมดความอดทนกับแกแล้วจริงๆ รู้บ้างมั้ยว่าฉันทรมานแกจนมือระบมไปหมดแล้ว พูดออกมาว่าเจ้าไรเนอร์มันจับคนของฉันไปไว้ที่ไหน” รีไวเอ่ยเสียงหน่ายขณะที่โยนขวดแก้วเปล่าสำหรับบรรจุวิสกี้ในมือทิ้งไปกระแทกกับฝาผนังจนแตกกระจาย
“.....................” แต่มาร์โคก็ยังจ้องมองเขาอย่างเงียบๆ ร่างสูงหอบหายใจลึกด้วยความเหนื่อยเพลียและเจ็บปวด รีไวมองสบตากับชายหนุ่มผู้ถูกจองจำพลางเอ่ยออกมาเสียงเบา
“น่าเสียดายจริงๆที่คนปากหนักอย่างแกทำงานให้เจ้าโง่อย่างไรเนอร์ ถ้าอยู่กับฉันแกคงไปได้สวยกว่านี้......ยังไม่ยอมพูดอีกรึไง” รีไวเอ่ยถามเสียงเย็นพลางยื่นมือกำรอบลำคอของมาร์โคช้าๆ
“........ไม่พูด.....รึไง” มือใหญ่บีบรัดรอบลำคอของชายหนุ่มแรงขึ้น แรงขึ้นเรื่อยๆ
“ถึงแกจะไม่ยอมพูด อย่างน้อยให้ฉันได้ยินเสียงแกร้องก็ยังดี......ฉันจะได้รู้ว่าแกไม่ได้เป็นใบ้” รีไวกล่าวเสียงเย็นชายตามองชายหนุ่มที่ถูกมัดติดกับเก้าอี้ด้วยสายตาว่างเปล่า มาร์โคที่ขาดอากาศหายใจตาเหลือกโปนเส้นเลือดฝอยในดวงตาถูกแรงบีบเค้นจากลำคอทำให้แตกเป็นแขนง น้ำลายที่ไม่สามารถกลืนลงลำคอได้ไหลย้อนออกมาจากมุมปาก ชายหนุ่มส่งเสียงแปลกๆในลำคอที่กำลังถูกบีบจนเหมือนจะแตกคามือของรีไวแต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่เอ่ยคำ.......อันที่จริงแล้วควรจะบอกว่าเขาแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอื้อนเอ่ยคำใดๆออกไปแล้วต่างหาก
แม้แต่จะร้องขอชีวิตยังไม่อาจทำได้..........
มาร์โคถลึงตาจ้องมองชายหนุ่มหน้าคมที่บีบคอเขาอย่างยากเย็น แม้กำลังจะฆ่าคนแต่ชายผู้นั้นกลับไม่แสดงทีท่ายี่หระหรือตื่นตระหนกใดๆเลยแม้แต่น้อย สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉยราวกับว่าการฆ่าคนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันที่เขาต้องปฏิบัติเหมือนกับการแปรงฟันเพียงเท่านั้น
กับอีกคนที่กำลังจะขาดใจตายคามือแต่รีไวกลับทำเพียงนิ่งเฉย มิคาสะต้องยอมรับว่าเขาไม่ชอบด้านมืดมุมนี้ของพี่ชายนัก
“ฉันจัดการเอง” ด้วยความอดรนทนไม่ไหว เขาจึงชักปืนออกมาจ่อเข้ากับศีรษะของมาร์โคตัดสินใจจบชีวิตชายคนนี้ไปเสียดีกว่าจะต้องมาทนอยู่ในสภาพทุกข์ทรมานจนอยู่ก็ไม่ได้ตายก็ไม่ดีแบบนี้ ส่วนเรื่องเอเลนค่อยให้คนตามสืบทีหลังก็ได้ อย่างน้อยๆก็ถือเป็นการสงเคราะห์เชลยไม่ให้ทุกข์ทรมานด้วยน้ำมือของรีไวไปมากกว่านี้
“อย่าเสียมารยาท มิคาสะ ฉันกำลังคุยกับแขกของฉัน ใครใช้ให้นายมาสอดกัน” รีไวเอ่ยเสียงเรียบพร้อมกับเพิ่มแรงบีบหนักขึ้น ยูมิลที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆตรงเข้ามารับปืนจากมือของนายน้อยของตนพร้อมกับกันร่างของมิคาสะให้ถอยห่างออกมา
“เอาสิ จะร้องก็ได้ แค่ร้องเบาๆออกมาก็ยังดี ทำให้ฉันรู้ว่าแกพูดได้แล้วบอกฉันมาว่าเอเลนอยู่ที่ไหน” รีไวก้มลงกระซิบข้างใบหูของชายหนุ่ม ในตอนนี้ไม่ใช่แค่น้ำลายแล้วแม้แต่เลือดสดๆก็ไหลออกมาจากปากจมูกและตาจนอาบไปทั้งหน้าของมาร์โค
“บอกมา!!!” รีไวขึ้นเสียงเหี้ยม ในตอนนั้นเองได้มีมือใหญ่ข้างหนึ่งฉุดข้อมือเขาเอาไว้ แม้จะไม่หนักมากแต่ก็แรงพอที่จะทำให้รีไวรู้สึกตัว
“คุณบอกเองว่าตอนนี้มือระบมแล้ว ผมว่าคุณควรพักดีกว่าครับ ผมจะจัดการต่อเอง” แจนผู้มีใบหน้าของเอิร์ดเอ่ยกับเขาช้าๆ รีไวชายตามองเขาพลางเอ่ยเสียงเข้ม
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของคุณชายของแก แกเข้าใจใช่มั้ยเอิร์ด”
“ผมทราบครับ เพราะฉะนั้นกรุณาปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผม คุณก็ทราบว่าผมเชี่ยวชาญการทรมานคนแค่ไหน” แจนกล่าวขณะที่แกะมือรีไวออกจากคอของมาร์โค รีไวในขณะนี้ไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างการทรมานและการฆ่าได้ถ้าปล่อยให้คนบ้าคนนี้สติแตกจนพลั้งมือฆ่ามาร์โคตายไป มันจะยิ่งเปล่าประโยชน์ ความปลอดภัยของเอเลนย่อมสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด.......สำคัญยิ่งกว่าการแก้แค้น
“อย่าให้ฉันต้องรอนานเกินไป” รีไวกล่าวขณะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมือที่เปรอะเปื้อนของตัวเอง ก่อนจะเดินออกจากห้องไปเงียบๆ ทิ้งเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดที่ดังเล็ดลอดออกมาจากห้องทรมานไว้เบื้องหลัง
รีไวทิ้งร่างลงบนเก้าอี้นวมอย่างเหนื่อยอ่อน แอร์ในห้องทำงานที่เย็นฉ่ำไม่ได้ช่วยให้จิตใจที่ร้อนรุ่มของเขาเย็นลงได้ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นล้วนแต่เป็นความผิดพลาดของเขาเอง ทั้งสะเพร่าและเลินเล่อจนเอเลนต้องตกอยู่ในอันตราย
ทั้งที่ได้มาไว้ในกำมือแล้วแท้ๆ กลับต้องมาถูกคนอื่นฉกไปอีกครั้ง.......
หากเวลานี้ได้เจอไรเนอร์ บราวน์ตัวเป็นๆเขาคงอดไม่ได้ที่จะฉีกกระชากร่างของหมอนั่นให้ขาดเป็นริ้วๆให้สาสมกับความเลวร้ายที่มันก่อขึ้น แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ภาพในห้วงมโนเท่านั้น ในสถานการณ์ที่ยังไม่ได้เบาะแสของเอเลนแบบนี้เขาทำใจให้สงบไม่ได้เลยจริงๆ
มือใหญ่ล้วงเข้าไปในลิ้นชักโต๊ะทำงานหยิบตลับกล่องกำมะหยี่สีแดงออกมาแล้วเปิดมันออก จี้ลูกกุญแจสีทองส่องประกาววาววับสะท้อนกับแสงไฟในห้องวาววาม ชายหนุ่มหยิบกุญแจดอกเล็กขึ้นแนบกับหน้าผากพลางอธิษฐานในใจ
เอเลนไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน........ขอให้พระเจ้าคุ้มครองคุณ


สำหรับเอเลนแล้วชีวิตประจำวันของการตกเป็นเชลยก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าการกิน นอน เดินแกร่วไปแกร่วมาในสวนเล็กๆที่ประดับไปด้วยบ่อจระเข้แห่งนี้ จะเรียกว่าดีมั้ยก็คงไม่สามารถตอบได้ว่าดีอย่างเต็มปาก เพราะดูเหมือนว่าไรเนอร์ บราวน์กำลังยุ่งอยู่กับการต้อนรับแขกของเขาจนไม่มีเวลาจะสนใจเอเลน แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่วายส่งคนคอยตามประกบติดตามจับตาดูเขาอยู่ทุกฝีก้าว ใช่ว่ามันจะหนีกันได้ง่ายๆเสียหน่อยในเมื่อเอเลนยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน เสียงรถผ่านเข้าออกดังไม่ขาดสายดูเหมือนแขกของไรเนอร์ บราวน์จะเป็นกลุ่มใหญ่มากทีเดียว
อาจจะคุยกันเรื่องธุรกิจ.........
เอเลนคิดพลางทิ้งร่างนั่งลงตรงเฉลียงไม้ฟังเสียงนกในสวนร้องคุยกันอยู่คนเดียวเงียบๆกวาดตามองดูรอบๆ แน่นอนว่าห้องที่ใช้ขังเขาย่อมต้องเป็นส่วนในสุดของบ้านหลังนี้แน่ๆ ถ้าคิดจะหนีไปจากที่นี่จริงอย่างน้อยๆเขาก็ควรต้องรู้จักโครงสร้างของที่นี่เสียก่อน ขอแค่ได้ออกไปจากที่นี่ได้ก็พอส่วนเรื่องจะไปที่ไหนอันนั้นก็ค่อยว่ากัน ขณะที่กำลังคิดอะไรเพลินๆประตูห้องพลันถูกเปิดออก ชายในชุดสูทสากลสีดำไม่เข้ากับบรรยากาศบ้านแบบญี่ปุ่นหลังนี้เดินเข้ามา
“ท่านไรเนอร์เรียกคุณเข้าไปพบครับ”
“ผมไม่มีธุระอะไรกับเจ้านายคุณสักหน่อยนะ” เอเลนเอ่ยตอบมองหน้าผู้ชายคนนั้นตรงๆ
“เชิญครับ” ผู้คุมไม่ยอมฟังคำพูดของเอเลนแม้แต่น้อยกลับผายมือออกไปทางประตูอย่างนอบน้อม
“ท่านไรเนอร์ของคุณมีแขกไม่ใช่เหรอ แล้วจะให้ผมที่แต่งตัวไม่สุภาพแบบนี้ออกไปพบอีกหรือ” เอเลนเอ่ยตอบพร้อมกับกางแขนให้ผู้คุมเห็นชุดยูกาตะสีแดงผืนบางที่สวมใส่อยู่ชัดๆ แต่ผู้คุมก็ยังยืนยันเช่นเดิม
“เชิญครับ”
ร่างบางเดินฮึดฮัดออกจากห้องไปด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ เสื้อผ้าอาภรณ์ที่ไม่คุ้นเคยทำให้ความมั่นใจของเอเลนลดลงไปพอสมควร
นี่มันไม่ต่างจากการใส่ชุดคลุมอาบน้ำเดินร่อนไปร่อนมาเลยนี่นะ........แล้วจะมีใครที่ไหนใส่ชุดคลุมอาบน้ำไปพบแขกกัน
เสียงหัวเราะพูดคุยดังแว่วออกมาจากห้องจัดเลี้ยงเป็นภาษาที่เอเลนไม่คุ้นเคย เมื่อเขาก้าวเข้าไปในห้องเสียงพูดคุยหยุดชะงักลงทันทีทุกสายตาหันมาจับจ้องที่เอเลนเป็นตาเดียว
“นั่งลง” ไรเนอร์สั่งให้หญิงบริการที่ประกบติดเขาถอยออกไปและสั่งให้เอเลนนั่งแทนที่ จอกเหล้าขนาดเล็กถูกวางลงตรงหน้า
“รินเหล้าไป อย่าให้ฉันรู้ว่าเหล้าในจอกนี้ว่างเด็ดขาด”
สรุปว่าตอนนี้เอเลนอัพสถานะจากเชลยขึ้นมาเป็นชายให้บริการอีกหนึ่งสถานะ ขณะเดียวกันนั้นเอเลนก็มองเก็บรายละเอียดทุกคนที่อยู่ในห้องจัดเลี้ยงนี้ไว้ทั้งหมดในระหว่างที่พวกเขาก็กำลังคุยกันด้วยภาษาที่เอเลนไม่เข้าใจ แต่มีอยู่บ่อยครั้งที่คนพวกนั้นจะเหลือบสายตามามองเขาเป็นระยะๆ แน่นอนว่าหัวข้อของการสนทนาต้องเป็นเรื่องเขาแน่ๆ สถานการณ์ที่มีใครสักคนพูดถึงเราต่อหน้าต่อตาแต่เราไม่มีทางรู้ได้ว่าพวกเขากำลังพูดเรื่องอะไรเป็นช่วงเวลาที่ชวนให้กระอักกระอ่วนใจมากจริงๆ
รู้อย่างนี้ตอนเด็กๆน่าจะเรียนเยอรมันด้วย...........
เอเลนทำได้เพียงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันในใจขณะปั้นหน้านิ่งรินเหล้าญี่ปุ่นให้ผู้นำตระกูลบราวน์เงียบๆ ในตอนนั้นเองมีเด็กรับใช้เข้ามาเก็บกวาดจานอาหารที่เหลือเกลื่อนกลาดบนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเตี้ยออกไปดูเหมือนว่าเมนูใหม่กำลังจะลงเสิร์ฟและคงเป็นเมนูที่ใหญ่มากเพราะพวกเด็กรับใช้จัดโต๊ะขาเตี้ยขนาดกลางวางเรียงต่อกันกลายเป็นโต๊ะยาวที่กลางห้องหลังจากนั้นไม่นานเมนูพิเศษก็ถูกยกเข้ามาเสิร์ฟ พวกแขกดูตื่นเต้นถูกอกถูกใจกันมากในขณะที่เอเลนช็อคค้างไปทันที่ที่มองเห็นเมนูนั้นเต็มตา มือที่ถือเหยือกสาเกไว้ถึงกับอ่อนแรงทำหล่นพื้นสาเกกลิ่นหอมหกรดชายยูกาตะกลายเป็นวงสีแดงคล้ำขนาดใหญ่ มือบางถึงกับสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ไรเนอร์ลอบสังเกตท่าทีของเอเลนด้วยรอยยิ้มเย็นเงียบๆ
ซูชินานาชนิดถูกจัดวางเรียงอยู่บนเรือนร่างเปล่าเปลือยของหญิงสาวชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง เธอถูกผ้ามัดตาปิดปาก มัดตรึงแขนขาไว้กับฐานไม้ขนาดใหญ่แม้จะพยายามออกแรงขัดขืนมากแค่ไหนเธอก็ไม่มีทางดิ้นหลุด เสียงพูดคุยหัวเราะดูครึกครื้นหนักขึ้นกว่าเดิมตะเกียบคู่แล้วคู่เล่าจาบจ้วงอยู่บนร่างกายเธอ คนพวกนี้กำลังล่วงละมิดสิทธิมนุษยชนของผู้หญิงโชคร้ายคนนั้นอย่างน่ารังเกียจ เอเลนเห็นภาพในอดีตซ้อนทับกับภาพของเธอ กายเนื้อที่เปล่าเปลือยถูกมัดตรึงแน่นกับเตียง คอยรองรับเครื่องทรมานสารพัดชนิดต่างๆนานาที่คนใจร้ายพวกนั้นจะสรรหามาใช้ได้ แผลเป็นไฟไหม้ขนาดใหญ่ที่กลางแผ่นหลังเขาก็ได้มาจากเหตุการณ์ในตอนนั้นด้วยเช่นกัน
“สกปรก!!!.......พวกแกมันสกปรก!!!” เอเลนกัดฟันกรอดสบถลอดไรฟัน เบือนหน้าหนีภาพแขกผู้น่ารังเกียจใช้ตะเกียบรังแกร่างกายหญิงสาวผู้โชคร้ายด้วยความรู้สึกคลื่นเหียนในลำคอ แต่ไรเนอร์กลับส่งเสียงหัวเราะดังลั่น มือใหญ่จิกท้ายทอยกดร่างเอเลนเข้ามาใกล้กระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคนชัดๆ
“นายควรจะดีใจมากกว่านะ ที่คนที่นอนอยู่บนโต๊ะนั่น.......ไม่ใช่ตัวเอง”
สุดจะทนได้อีกต่อไปเอเลนพรวดพราดวิ่งออกจากห้องรับรองไปอย่างหุนหันเสียงฝีเท้าที่ดังไล่หลังมาย่อมต้องเป็นของผู้คุมแต่ร่างบางยังคงวิ่งไปเรื่อยๆ รวดเดียวกลับไปถึงห้องพักเลื่อนประตูเปิดวิ่งทะลุออกไปทางระเบียงห้องไปโก่งคออาเจียนเอาน้ำลายเหนียวๆออกมาจนหมดไส้หมดพุง แม้จะอาเจียนจนเหนื่อยเสียจนไม่เหลืออะไรให้ออกมาแล้วแต่ความรู้สึกคลื่นไส้ก็ยังไม่หมดไป ถึงกับต้องทรุดร่างลงคุกเข่ากับพื้นหอบหายใจเข้าออกลึกๆช้าๆค่อยๆสงบสติอารมณ์ตัวเอง
ก็แค่อดีต มันไม่มีทางเกิดขึ้นแบบนั้นได้อีกแล้ว.......ไม่มีทาง
เอเลนหายใจช้าๆค่อยๆสงบสติอารมณ์ตนเอง เหตุการณ์เลวร้ายพวกนั้นเคยทำให้เขาสูญเสียความเป็นตัวเองมาแล้วครั้งหนึ่งจะยอมให้เป็นแบบนั้นอีกไม่ได้ ยิ่งอยู่ในถิ่นของศัตรูเขาก็ยิ่งต้องระมัดระวังตัวเองให้มากยิ่งขึ้น พึ่งพาใครอีกไม่ได้มีแต่ตัวเองเท่านั้น
“รบกวนช่วยไปบอกเจ้านายของพวกคุณด้วยก็แล้วกันว่าผมรู้สึกไม่ค่อยสบายต้องขอตัวก่อน”
ผู้คุมรับคำก่อนจะปิดประตูห้องแล้วถอยหลบฉากกลับไป สำหรับผู้หญิงคนนั้นหลังจากนี้คงไม่พ้นต้องถูกย่ำยี ไม่ใช่ว่าไม่อยากจะช่วยแต่ลำพังตัวเองยังแทบจะเอาตัวไม่รอดแล้วจะไปเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปช่วยเธอกัน แค่คิดถึงสิ่งที่ไรเนอร์พูดว่าควรจะดีใจมากกว่าที่คนที่นอนอยู่บนโต๊ะไม่ใช่ตัวเอง เอเลนก็แทบอยากจะคุกเข่าขอบคุณเขาแล้วจริงๆ
“ใช่.......ควรจะดีใจจริงๆ”
ไม่ว่าการนัดพบปะพูดคุยกันครั้งนี้จะเป็นด้วยเรื่องใดแต่มันยังคงดำเนินไปจนดึกดื่น เอเลนนอนฟังเสียงคนพวกนั้นเอะอะโวยวายจนผล็อยหลับไปในที่สุด
กลางดึกสงัดประตูห้องพักของเอเลนถูกเปิดออกอย่างเงียบเชียบ ภายในห้องที่ปิดไฟสนิทมีเพียงแสงจากดวงจันทร์ส่องลอดให้แสงสลัวผ่านเข้ามาเพียงเท่านั้น เงาร่างสูงใหญ่หยุดนิ่งอยู่ตรงปลายเท้ากลิ่นเหล้าโชยหึ่งตลบอบอวลชายร่างใหญ่ยืนจ้องพิศมองชายหนุ่มร่างบางที่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา แสงจันทร์ตกกระทบเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่กำลังหลับลึก ไรเนอร์เองก็ไม่เข้าใจว่าเขากำลังทำอะไรกันแน่ อะไรทำให้เขาต้องพาตัวเองมาถึงที่นี่เพียงเพื่อจะเฝ้ามองผู้ชายคนหนึ่งนอนหลับอยู่หรือจะเป็นเพราะความเมา และด้วยเหตุนี้ทำให้เขาหลุดหัวเราะออกมาด้วยความสมเพชตนเอง
“นี่มันบ้าบอสิ้นดี”

เอเลนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเอะอะโวยวายที่ดังอยู่ข้างนอกห้อง ตอนที่มองผ่านระเบียงออกไปยังเห็นท้องฟ้าเป็นแสงสลัวดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้าดีเสียด้วยซ้ำคิดว่าคงเป็นเวลาเช้าตรู่ เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มใหญ่เดินผ่านหน้าห้องไปด้วยความรีบร้อน เมื่อเอเลนเปิดประตูออกไปก็เจอผู้คุมประจำตัวยืนขวางหน้าประตูอยู่
“เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่มีอะไรครับ กรุณากลับเข้าไปพักผ่อนต่อเถอะครับ” ชายผู้คุมกล่าวตอบเอเลนขณะพยายามกันเอเลนให้ออกห่างจากประตู
แต่เสียงอึกทึกที่อยู่เบื้องหลังผู้คุมคนนั้นกลับดึงดูดความสนใจของเอเลนมากขึ้น ร่างบางแอบมองลอดช่องแขนของผู้คุมออกไปเห็นภาพคนของตระกูลบราวน์หิ้วปีกผู้ชายคนหนึ่งเข้ามา ใบหน้าอาบเลือดนั้นไม่สามารถมองออกได้ว่าเป็นใคร ร่างกายฟกช้ำสะบักสะบอมแม้แต่เรี่ยวแรงจะเดินยังไม่มี ชายแปลกหน้าถูกคนตระกูลบราวน์ลากผ่านหน้าเอเลนไปอย่างทุลักทุเล เมื่อเอเลนมองเขาเขาจึงหันมาสบตากับเอเลน นัยน์ตาคมเข้มจับจ้องมองสบกับร่างบางไม่วางตา
“ตามหมอ!!! เรียกหมอมาด่วน เรียนนายท่านด้วยได้ตัวมาร์โคกลับมาแล้ว”
ถึงแม้ชายที่คิดว่าน่าจะชื่อมาร์โคจะถูกลากผ่านหน้าเอเลนไปแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ละสายตาไปจากเอเลนจนถึงกับต้องมองเหลียวหลัง ส่วนเอเลนเองก็มองตามเขาไปจนสุดสายตาเช่นกันจนกระทั่งเขาถูกลากเข้าห้องไป
แปลก..........
สายตาของผู้ชายคนนั้นมันแปลก........แปลกอย่างบอกไม่ถูก
และขณะนั้นเองเอเลนก็โดนผู้คุมส่วนตัวดันกลับเข้าไปในห้อง
“กรุณาพักผ่อนอยู่ในห้องอย่างสงบด้วยนะครับ เจ้านายกำลังติดธุระยุ่งหวังว่าคุณคงจะไม่สร้างความยุ่งยากให้เราเพิ่มขึ้นอีก” ผู้คุมส่วนตัวเอ่ยออกมาหลังจากบานประตูห้องปิดสนิท
“ถ้าลำบากขนาดนั้นจะดีกว่านี้มั้ยที่เจ้านายของพวกคุณจะปล่อยตัวผมไป”
“..............”
เอเลนมั่นใจว่าผู้คุมส่วนตัวจะต้องยังอยู่หลังบานประตูบานนั้นแน่ๆ แต่ที่เงียบไปนั่นก็เพราะไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับเขานั่นเอง
“ขอถามอะไรสักอย่างมั้ย”
“คุณกรุณาพักผ่อนอยู่ในห้องอย่างสงบเถอะครับ”
“ผู้ชายคนนั้นเป็นคนของพวกคุณเหรอ เขาไปโดนอะไรมาทำไมสภาพเป็นแบบนั้น”
“..............”
“โอเค เอางั้นก็ได้ รู้อะไรมั้ย คุณเหมาะจะเป็นเงาที่ดีนะแต่ถ้าเป็นเพื่อนคุยนี่คงไม่เหมาะเท่าไหร่”
เอเลนเลิกสนใจผู้คุมใบ้คนนั้นแล้วเริ่มใช้ความคิดช้าๆ มั่นใจว่าไม่เคยเจอผู้ชายคนนั้นมาก่อนแน่ๆแต่แววตาแปลกๆนั่น แววตาที่จ้องเขม็งมาแบบนั้นชวนให้รู้สึกหวั่นใจอย่างประหลาด ทำไมถึงได้รู้สึกไม่ชอบแววตาของคนๆนั้นเลยนะ
“หมอนั่นมันเป็นใครกัน”



วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์ Chapter 10:


Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์
Pairing: (LevixEren)
Rate: NC-17
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
Story By: AkeRah , Trendy Blood
………………………………………………………………………………………………..
Chapter 10:
           
            เหล่าทหารไพร่พลขององค์ฟาโรห์ต่างกระจายกำลังตามพื้นที่ในส่วนต่างๆของเมืองเพื่อตรวจตราความเรียบร้อย และดูแลช่วยเหลือชาวเมืองที่ลำบากให้ไปรับของบริจาคที่ทางฟาโรห์จัดสรรพระราชทานให้ ชายหนุ่มร่างสูงผมสีน้ำตาลอ่อนมองผ่านหน้าต่างสำรวจบ้านเมืองที่ตอนนี้เหมือนทุกคนจะมีใบหน้ายิ้มแย้มกว่าเมื่อวันที่กองทัพบุกเข้ามาอยู่มาก ใบหน้าหล่อเหลายิ้มพรายอย่างรู้สึกสนุกก่อนจะจัดการปิดหน้าต่างและลงกลอนอย่างแน่นหนา เพราะการกระจายกำลังตรวจตราทำให้มีเหล่าทหารเดินในเมืองอย่างขวักไขว่ แต่ก็เพราะอย่างนั้นเขาที่แฝงมาเป็นทหารของฟาโรห์จึงเดินไปไหนต่อไหนได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งการผลัดเวรตรวจตราจึงทำให้เขาใช้ช่วงเวลาพักผ่อนในการลอบออกมาติดต่อกับเหล่าองครักษ์ที่เตรียมพร้อมรออยู่แล้ว
            ในห้องสี่เหลี่ยมแจนจุดตะเกียงสีทองให้สว่างไสว เหล่าทหารคนสนิทที่คุ้นหน้าตาซึ่งแฝงตัวมาเป็นพ่อค้าเนื่องจากมีคำสั่งให้หาเสบียงเพิ่มเติมจากองค์ฟาโรห์ จึงทำให้โคนี่แฝงตัวเป็นพ่อค้าเข้ามาได้อย่างไม่ยากเย็น
            “ดูเหมือนชุดทหารเลวจะเหมาะกับท่านไม่ใช่น้อยนะเจ้าชาย” โคนี่ในชุดพ่อค้าพร้อมตะกร้าที่มีพืชผลการเกษตรมากมายมองเจ้าชายของตนพลางหัวเราะอย่างไม่นึกเกรง
            “ตำแหน่งองครักษ์ข้าจะว่างหนึ่งตำแหน่งนะมาร์โก เพราะดูเหมือนจะมีคนอยากไปเป็นพ่อค้าขายผักมากกว่า” แจนยิ้มเย็นพลางส่งสายตาหาเรื่องใส่องครักษ์คนสนิทที่พยายามกลืนก้อนหัวเราะของตนลงไปจนแทบจุก
            มาร์โกมองทั้งสองสลับไปมาพลางส่ายหน้าอย่างรู้สึกปลงๆ โคนี่ที่พยายามอย่างขีดสุดกับการกลั้นหัวเราะเพราะเกรงว่าจะตกงาน เมื่อควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้แล้วจึงตีสีหน้าจริงจัง
            “แล้วตกลงท่านลอบเข้ามาเช่นนี้ได้ความว่าอย่างไรบ้างเจ้าชาย?”
            “ฟาโรห์แห่งอียิปต์นับว่าน่าสนใจไม่เลว อีกทั้งความปรีชาสามารถและกองกำลังทหารนั้นเรียกได้ว่ายิ่งใหญ่จนน่าเกรงขาม” หลายวันที่เขาได้เข้ามาสืบเรื่องราวเกี่ยวกับราเมส ยิ่งได้เห็นถึงความสามารถของฟาโรห์หนุ่มที่แม้แต่ตัวเขาเองซึ่งเป็นคนไม่ยอมรับใครง่ายๆ ยังรู้สึกชื่นชมกับแนวทางการปกครองของฟาโรห์ผู้นี้ นับว่าเป็นการเสียเวลาที่คุ้มค่า
            “ถ้าคนอย่างท่านเอ่ยปากขนาดนี้ ดูจะไม่ธรรมดา ว่าแต่ตกลงข่าวลือเรื่องอวตารแห่งราเป็นอย่างไรบ้าง?” โคนี่ถามอย่างสนใจ เพราะภารกิจหลักของการแอบลอบเข้ามาในครั้งนี้เพื่อค้นหาความจริงเกี่ยวกับร่างอวตารแห่งอียิปต์ที่จุติ
            เจ้าชายหนุ่มทำท่าครุ่นคิดสักครู่
“ข้าได้เจอร่างอวตารที่ว่าแล้วเพียงแต่....”
ท่าทางที่ครุ่นคิดของแจนยิ่งทำให้โคนี่ยิ่งอยากรู้ความ เจ้าตัวจึงเขยิบมาใกล้จนเจ้าชายหนุ่มต้องใช้ฝ่าเท้ายันให้กลับไปนั่งที่เดิม
“เพียงแต่อะไรเล่า ท่านก็บอกข้ามาเสียทีสิขอรับ”
“เพียงแต่ดูไม่ต่างจากบุคคลธรรมดาทั่วไปน่ะขอรับ” เป็นมาร์โกที่เอ่ยตอบข้อสงสัยให้คนอยากรู้
“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นไปได้ว่าเรื่องอวตารแห่งราอาจเป็นเพียงแค่เรื่องปั้นแต่ง แล้วหาบุคคลที่ตรงตามจารึกมาสวมบทบาท” โคนี่วิเคราะห์และสรุปความตามที่เข้าใจ
มาร์โกพยักหน้ารับ ยิ่งทำให้โคนี่กระหยิ่มยิ้มย่องในใจ
“โธ่เอ๊ย ที่แท้เจ้าฟาโรห์นั่นก็เกรงฮิตไตน์ของเราจนต้องปล่อยข่าวลืมข่มขวัญแบบนี้ ช่างน่าขันนัก”
แต่ก่อนที่โคนี่จะได้หัวเราะ นัยน์ตาสีเปลือกไม้จ้องมองมาด้วยความจริงใจก่อนจะส่ายหน้าไปมาเพื่อปฏิเสธสิ่งที่องครักษ์คนสนิทคิด
“ข้าว่าบุรุษเฉกเช่นฟาโรห์รีไวไม่ทำสิ่งที่หลอกลวงเพียงเพื่อการณ์นั้นแน่ บางทีอาจจะมีอะไรที่มากกว่านั้นจึงได้ยกย่องเด็กหนุ่มธรรมดาผู้หนึ่งเป็นอวตารแห่งเทพ.... หรือไม่....”
“เด็กหนุ่มผู้นั้นก็คือร่างอวตารแห่งเทพราตัวจริง”
สีหน้าที่จริงจังขององค์ชายแจนและมาร์โกย้ำเป็นอย่างดีว่าเรื่องที่เขาได้ยินไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แต่ถ้าร่างอวตารนั้นเป็นภาชนะแห่งราจริง แล้วเหตุใดถึงยังคงนิ่งเฉยไม่แสดงถึงเจตจำนงค์แห่งการอวตารลงมายังอียิปต์แม้แต่น้อย
“เรื่องนั้นคงต้องพักไว้ก่อน ตอนนี้มีเรื่องที่เราต้องรีบทำมากกว่าเรื่องของร่างอวตารอยู่นะขอรับเจ้าชาย” มาร์โกย้ำเตือนชายหนุ่มที่ยังคงครุ่นคิดถึงร่างอวตาร
ชายหนุ่มผมดำหน้าตกกระมองไปยังองครักษ์คนสนิทของเจ้าชายอีกครั้ง
“ที่ข้าเรียกเจ้ามาก็เพราะว่าคงถึงเวลาที่ข้ากับมาร์โกต้องกลับไปยังฮิตไตน์เสียที เพราะดูเหมือนว่านอกจากข้าจะจับตามองทางนี้แล้ว ตัวข้าและมาร์โกเองก็ถูกอีกฝ่ายจับตามองไม่ต่างกัน”
โคนี่เบะปากทันทีที่ได้ยิน ก็คิดอยู่แล้วว่าคนอย่างองค์ชายแจนลอบไปเป็นคนสวนและทหารต๊อกต๋อยแบบนี้คงไม่พ้นโดนจับได้ แต่อยู่มาได้หลายวันขนาดนี้ก็นับว่าเกินกว่าที่เขาคาดคิดไว้มากแล้ว
“ตกลงท่านจะตัดใจเรื่องร่างอวตารแล้วงั้นเหรอเจ้าชาย?” เห็นสนใจซะขนาดนั้นนึกว่าจะจับยัดใส่กระสอบลากกลับฮิตไตน์ด้วยเสียแล้ว
องค์ชายหนุ่มฉายแววตาเป็นประกายพลางยกยิ้มมุมปาก
“อย่าห่วงไปเลยสหาย ข้ากลับไปครั้งนี้เพื่อเตรียมตัวสำหรับต้อนรับร่างอวตารที่จะไปเยือนยังดินแดนเราในคราหน้าต่างหากล่ะ”


เคร้ง เคร้ง
เสียงเหล็กกระทบกันดังระงม เหล่าองครักษ์คนสนิท ไรเนอร์และเบลทรูธต่างจ้องมองเด็กหนุ่มร่างโปร่งทั้งสองผลัดการรุกและตั้งรับการโจมตีของอีกฝ่าย แม้จะเป็นเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันและตัวพอๆกัน แต่ดูเหมือนผู้ใหญ่กำลังแกล้งเด็กมากกว่าเพราะในเมื่ออีกฝ่ายไม่มีทักษะการใช้ดาบเอาเสียเลย
โครม!
เป็นไปตามคาดเมื่อร่างโปร่งผมสีน้ำตาลหงายหลังล้มลงไปโดยมีเด็กหนุ่มผมสีอ่อนตวัดดาบจ่อเข้าที่ลำคอ
“ฉันแพ้นายรอบที่23แล้วเบเซท” เอเลนหอบหายใจแรงพลางยกสองมือยอมแพ้เด็กหนุ่มตรงหน้า จะว่าก็ว่าเถอะตัวเขาที่เพิ่งฝึกดาบได้สองวันจะไปสู้กับคนที่ฝึกมาสิบปีได้อย่างไรกัน
เบเซทช่วยดึงร่างอีกคนขึ้นก่อนจะก้มหัวคำนับราวกับขออภัย
“ขอโทษด้วยเอเลน แต่ท่านพ่อมีรับสั่งให้ฝึกดาบให้เจ้าได้ใช้ยามฉุกเฉิน เพราะตอนนี้แม้ทุกอย่างจะดูเรียบร้อยแต่ใช่ว่าจะไม่มีคลื่นใต้น้ำ ถ้าเกิดอันตรายขึ้นมาจริงๆเจ้าจะได้ปกป้องตัวเองได้บ้าง” เบเซทอธิบายพลางหยิบดาบที่หล่นจากมือเอเลนยื่นให้เจ้าตัวอีกครั้ง
เอเลนมองดาบในมืออย่างไม่สบอารมณ์ ไม่คิดเลยว่าคนอย่างเขาจะต้องมาฝึกดาบอย่างเอาเป็นเอาตายแบบนี้ ถึงแม้ว่าตอนเด็กๆจะโดนเจ้าพ่อบ้านั่นจับไปฝึกศิลปะการต่อสู้บ้างก็เถอะ......... จริงสิ....การต่อสู้ไม่จำเป็นต้องใช้ดาบอย่างเดียวเสียหน่อย!
คิดได้แบบนั้นรอยยิ้มชั่วร้ายก็ปรากฏบนใบหน้ามนทันที เด็กหนุ่มโยนดาบทิ้งก่อนจะขยับคอและไหล่เพื่อคลายกล้ามเนื้อ
“เอเลนข้ารู้ว่าท่านไม่ชอบแต่ก็ต้องทนนะขอรับ” เบเซทมองดาบที่ถูกทิ้งพลางส่งสายตาตำหนิให้กับร่างอวตารตรงหน้า
“ถ้าเป็นดาบฉันอาจสู้นายไม่ได้ แต่การต่อสู้มือเปล่าตัวต่อตัวฉันอาจสูสีกับนายนะ” ว่าพลางแยกขาทั้งสองข้างออกแล้วยกแขนเพื่อตั้งรับ
เบเซธขมวดคิ้วมองคนตรงหน้าก่อนจะยิ้มกริ่มเข้าใจในความหมายของการตั้งท่าเตรียมรับ เด็กหนุ่มไม่รอช้าโยนดาบทิ้งเช่นเดียวกันก่อนจะตั้งท่าตั้งรับไม่ต่างกัน
“การต่อสู้ประชิดตัวข้าเองก็เรียนรู้มาไม่น้อยนะขอรับท่านเอเลน”
นัยน์ตาสีอร่ามส่องประกายกล้าก่อนจะกวักมือเรียกเชื้อเชิญอีกฝ่ายให้บุกเข้ามา มาดูกันหน่อยว่าการต่อสู้ที่ร่ำเรียนมาทั้งคาราเต้ เทควันโด บูชิโด กังฟู หรือแม้แต่มวยไทย ที่เจ้าพ่อบ้าให้เขาร่ำเรียนมาตั้งแต่5ขวบเพราะบอกว่าจะได้เติบโตแข็งแกร่งสมเป็นลูกผู้ชายจะมีประโยชน์ขนาดไหน....
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทางมั่นใจจากที่จะออมแรงเบเซทจึงกระโจนพุ่งเข้าใส่พร้อมทั้งกระโดดเตะหมายเข้าที่ลำตัวของเอเลน แต่เด็กหนุ่มก็หลบได้ทันท่วงทีทั้งยังปัดขาที่เตะเข้ามาออกไปด้านข้างจนเบเซทเสียหลัก เบเซทใช้มือยันกับพื้นก่อนจะตีลังกากลับขึ้นมานั่งชันเข่ามองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกชื่นชม เช่นเดียวกับเอเลนที่มองอีกคนด้วยสายตายียวน ดูเหมือนการทนเรียนศิลปะการต่อสู้แต่ละอย่างอย่างละนิดอย่างล่ะหน่อยของเขาจะเห็นประโยชน์บ้างแล้ว เพราะเขาสามารถอ่านการโจมตีและเห็นการเคลื่อนไหวของเบเซทได้ แบบนี้ค่อยทำให้รู้สึกว่าน่าสนุกขึ้นมาหน่อย
เบเซทพุ่งเข้าหาร่างอวตารอีกครั้งสองมือของเจ้าชายหนุ่มวาดลวดลายกระหน่ำโจมตีเอเลนด้วยความรวดเร็ว แต่เอเลนยังคงปัดฝ่ามือที่เข้ามาโจมตีได้ทุกท่วงท่า
ไรเนอร์และเบลทรูธที่เฝ้าดูทั้งสองตั้งแต่ต้นต่างตื่นเต้นกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป จากที่การต่อสู้ด้วยดาบนั้นดูเหมือนเบเซทจะเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก แต่การต่อสู้ด้วยมือเปล่านับว่าสูสีไม่น้อย
“เป็นการต่อสู้ที่น่าดูชมนัก แบบนี้ค่อยสูสีหน่อยว่าไหมไรเนอร์” เบลทรูธชื่นชมกับเทคนิคการต่อสู้ของร่างโปร่งที่สามารถรับมือกับเบเซทได้ อีกทั้งเบเซทเรียกได้ว่าเป็นศิษย์เอกของครูในแขนงต่างๆทั้งทางต่อสู้และการวางแผน อีกทั้งในเด็กรุ่นเดียวกันนั้นเบนเซทถือได้ว่ามีฝีมือดาบที่ไม่เป็นรองรวมทั้งเรื่องการต่อสู้มือเปล่าก็เช่นกัน ยิ่งเห็นว่าเอเลนที่ฝีมือดาบไม่เอาไหน แต่กลับสามารถรับการต่อสู้ด้วยมือเปล่าของเบเซทได้แบบนี้นับว่าฝีมือนั้นดีไม่ใช่น้อย
“อ่อนหัดไปนักท่านราชองครักษ์เบลทรูธ”
เบลทรูทเลิ่กคิ้วมองไรเนอร์อย่างแปลกใจ
ไรเนอร์ยิ้มกริ่มอีกทั้งแววตาเป็นประกายชมชอบเมื่อมองท่วงท่าการต่อสู้ตรงหน้า
“เจ้าสังเกตดูดีๆ เจ้าจะเห็นว่าแท้จริงแล้วมีผู้ที่เป็นต่ออยู่ในขณะนี้ อีกทั้งยังหยอกเล่นเสียด้วยซ้ำ”
เบลทรูธตวัดหันมองการต่อสู้ตรงหน้าอีกครั้ง เป็นจริงดั่งที่ไรเนอร์ว่าเพราะเอเลนยังคงมีท่าทางสบายๆกับการหลบหลีกไปมา อีกทั้งถ้าสังเกตดูดีๆจะเหมือนว่าเจ้าตัวจะเร็วกว่าเบเซทเสียอีก จุดนี้เบเซทที่เป็นคู่ต่อสู้คงเริ่มสังเกตเห็นเช่นกัน สีหน้าที่เหมือนทีเล่นทีจริงในคราแรกตอนนี้จึงได้จริงจังอย่างดุดัน
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพยายามโจมตีอย่างไม่ลดละ เอเลนจึงเลิกที่จะหลบหลีกไปมา ร่างโปร่งปัดแขนที่เข้ามาโจมตีอีกครั้งก่อนจะตวัดหันตัวใช้ศอกกระทุ้งเข้าที่ลำตัวของเบเซทแล้วคว้าไหล่ของเจ้าชายหนุ่มกดลงกับพื้นทรายเบื้องล่าง เอเลนและเบเซทต่างมองสบตากันและกัน ลมหายใจหอบเข้าออกหนักหน่วงด้วยความร้อนของอุณหภูมิร่างกายจากการฝึกซ้อมมาเป็นระยะเวลานาน ใบหน้าของเด็กหนุ่มทั้งสองต่างยิ้มให้กันก่อนจะหัวเราะออกมาดังลั่น
“ ฮ่า ฮ่า ในที่สุดก็เป็น 1 ต่อ 23 แล้วนะเพื่อน” ว่าพลางดึงอีกคนขึ้นมาพร้อมทั้งล็อคคออีกฝ่าย
“ท่านจงใจหลอกข้าใช่ไหมขอรับเอเลน ท่านแสร้างเป็นไม่เก่งดาบให้ข้าตายใจ” เบเซทเขม่นมองอีกฝ่ายราวกับจับผิด แต่นั้นยิ่งทำให้เอเลนหัวเราะดังกว่าเดิม
“เปล่าเลย นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันจับดาบจะไปสู้นายได้ไงกัน แต่ถ้าเป็นการต่อสู้มือเปล่าแบบนี้ฉันก็ได้เรียนมาบ้างเหมือนกันล่ะนะ”
“การต่อสู้ของท่านแปลกตานัก จะเรียกว่าหลากหลายก็ได้กระมัง ถึงจะดูสะเปะสะปะมั่วซั่วไปบ้างแต่ฝีมือท่านข้าต้องยอมรับ”
เอเลนแทบจะล้มไม่เป็นท่าเมื่อโดนหาว่าการต่อสู้ประชิดตัวของเขานั่นดูมั่วซั่ว จะไม่ให้เป็นอย่างนั้นได้อย่างไรก็ในเมื่อเขาเรียนแต่ละอย่างมาก็มีทั้งแตกต่างกันบ้างคล้ายกันบ้าง แล้วต้องมาใช้กับการต่อสู้ที่ไมได้มีกฎข้อบังคับแบบนี้เขานึกท่าไหนของแขนงไหนออกมาได้ก็งัดเอาออกมใช้ทั้งหมดนั้นแหละ
“เขาเรียกว่าเป็นการต่อสู้ของเทพไงล่ะเบเซท ถ้ามีโอกาสไว้ฉันจะสอนนายนะแลกกับลดชั่วโมงการฝึกดาบของฉันลงเป็นไง?” จากที่ลองมาได้สองวันบอกตามตรงเขาไม่รู้สึกพิสมัยกับไอเจ้าโลหะมีคมนี่เท่าไร ทั้งหนักทั้งอันตราย ถ้าอยู่ๆเขาพลาดไปโดนคนรอบข้างนี่มีสิทธิ์เลือดตกยางออกถึงตายได้เลยนะ แต่กับการต่อสู้มือเปล่าอย่างมากก็อาจกระดูกหักหรือเป็นรอยฟกช้ำ แบบนี้เขายังสบายใจเสียกว่า
“ข้าว่าเรื่องนั้นท่านคงต้องไปขอจากองค์ฟาโรห์” ว่าพลางนัยน์ตาสีน้ำตาลส้มเหลือบมองไปยังเบื้องหลังของเด็กหนุ่มจนเอเลนต้องหันหลังมองตาม
ผู้ที่ถูกกล่าวถึงยังคงแต่งกายด้วยชุดสามัญชนธรรมดา แต่เพราะคนในบริเวณนี้คุ้นเคยกับชายหนุ่มเป็นอย่างดีเพราะด้วยตำแหน่งคนสนิท ไรเนอร์ เบลทรูธ และเบเซธต่างทำความเคารพฟาโรห์รีไวอย่างให้เกียรติ จะมีก็เพียงแต่ผู้ชื่อว่าเป็นร่างอวตารแห่งราที่ยังคงยืนจ้องเขาอยู่อย่างนั้น
“ท่านนี้ทำตัวเป็นผีไม่มีหลุม หรือเจ้าไม่มีศาลเข้าไปทุกที คิดจะโผล่ก็โผล่มา จะหายก็หายไปเสียดื้อๆ” เอเลนกอดอกมองชายหนุ่มที่นึกจะมาก็มาจะไปก็ไป โดยที่เขาไม่เข้าใจเลยว่าตกลงคนคนนี้กำลังทำอะไรอยู่กันแน่
“ดูเหมือนพอข้าไม่อยู่จะทำให้ร่างอวตารเหงาพระทัยอย่างนั้นหรือ?” รีไวยกยิ้มพลางใช้มือขยี้ลงบนผมสีน้ำตาลของเด็กหนุ่ม
เอเลนดึงมือฟาโรห์หนุ่มที่ไม่ยอมละออกไปโดยง่ายราวกับมีกาวติดอยุ่อย่างนั้นออกอย่างสุดกำลัง
“เปล่าเลย ข้ารู้น่าว่าท่านมีสิ่งที่ต้องทำ แต่ขนาดยุ่งแบบนี้ยังอุตส่าห์ลงคอร์สเรียนดาบให้ผมอีกนะ”
“เป็นถึงร่างอวตาร แค่เรื่องการต่อสู้โดยใช้ดาบก็ทำไม่ได้อย่างนั้นหรือ?” รีไวส่งสายตาแปลกใจพลางสายตาอดสูมาให้กับเด็กหนุ่ม
ให้ได้อย่างนี้สิหมอนี่กวนประสาทเขาได้ตลอด!
“เห็นแบบนี้ผมก็มีฝีมือในการต่อสู้แบบอื่นพอตัวนะ” ใบหน้าหวานแยกเขี้ยวใส่ขู่คนสูงน้อยกว่าอย่างไม่สบอารมณ์
“โฮ่งั้นเหรอ เท่าที่ข้าเห็นดูเหมือนเจ้าจะใช้ท่าแปลกๆหลอกล่อเบเซทสินะ คงต้องขอความกรุณาจากร่างอวตารช่วยแสดงให้ข้าดูบ้างเสียแล้ว” ฟาโรห์รีไวยิ้มกริ่มก่อนจะผายมือออกเชิญชวน
ต่อให้จะกล้ามเป็นมัดๆก็ไม่กลัวหรอกนะเฟ้ยเจ้าฟาโรห์บ้านี่ จะทำให้รู้เสียบ้างว่าคนอย่าง เอเลน เยเกอร์ เป็นลูกผู้ชายมาดแมนขนาดไหน
เอเลนกระโจนพุ่งเข้าใส่รีไวที่ยืนรอรับ ทันทีที่ขาของเด็กหนุ่มตวัดหมายเตะเข้าที่ข้อพับของอีกฝ่าย ฟาโรห์รีไวเพียงก้าวขาตวัดตัวไปอยู่เบื้องหลังเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็วและเป็นฝ่ายเตะเข้าที่ขาพับของเอเลนก่อนจะใช้แขนแข็งแรงตวัดอุ้มเด็กหนุ่มขึ้นพาดบ่าอย่างง่ายดาย
“เฮ้ยๆ เดี๋ยวสิ!!” เอเลนมองคนที่อุ้มเขาด้วยความงงงวย เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนสมองประมวลผลแทบไม่ทัน
“วันนี้พอแค่นี้พวกนายเองก็ไปพักผ่อนและตรวจดูความเรียบร้อยได้แล้ว”
เบลทรูธ ไรเนอร์และเบเซทโค้งรับคำสั่งขององค์ฟาโรห์ก่อนจะหันหลังเดินจากไปทำหน้าที่ของตน เช่นเดียวกับฟาโรห์รีไวที่ยังคงแบกเด็กหนุ่มกลับเข้าไปยังส่วนที่จัดไว้เป็นราชฐานหวงห้ามส่วนพระองค์
“เดี๋ยวสินายให้คนอื่นไปพัก แล้วทำไมฉันต้องมากับนายด้วยล่ะ!” เอเลนดิ้นไปมาบนไหล่หนาของฟาโรห์หนุ่ม แต่ยิ่งดิ้นแขนที่กอดรัดร่างนั้นไว้ก็ยิ่งแน่นขึ้นราวกับคีมหนีบ
กว่าที่มือนั้นจะปล่อยก็เป็นการโยนเขาลงบนเตียงที่รองรับไว้อยู่แล้ว เอเลนลูบหัวของตนที่ดูเหมือนจะกระแทกลงบนที่นอน แต่ก่อนที่จะได้ต่อว่าคนทำร่างกายกำยำนั่นก็ขึ้นมาบนเตียงก่อนจะนอนหนุนลงบนตักเขาอย่างไม่ทุกข์ร้อน
“นี่แล้วตกลงท่านลากผมมาทำไม?” ใบหน้าหวานขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นว่าทันทีที่ขึ้นมาหนุนตักเขา ชายหนุ่มก็ได้แต่หลับตาไม่รับรู้สิ่งใด
“นี่... ถ้าท่านจะนอนหมอนก็อยู่นั้นไง!” เอเลนคว้าหมอนที่อยู่ข้างตัวกดลงบนหน้าฟาโรห์หนุ่ม
มือหยาบคว้าหมอนออกจากหน้า ใบหน้าคมจ้องมองอีกฝ่ายอย่างถมึงทึงจนเอเลนเหงื่อตก..... ตายแน่....ดูเหมือนจะไปทำให้หมอนี่โกรธเสียแล้ว!
ฟาโรห์รีไวลุกนั่งบนเตียงจ้องมองเด็กหนุ่ม มือหนาผลักร่างบางของเอเลนลงไปนอนราบกับเตียงก่อนที่ร่างกำยำจะขึ้นไปคร่อมทับอีกครั้ง พร้อมทั้งทิ้งตัวลงนอนบนอกของเด็กหนุ่ม เอเลนจับไหล่หนาพลางเขย่าด้วยความแปลกใจ
“อยู่นิ่งๆไปซะเจ้าหนู ข้าเหนื่อยมากอยากพักเสียหน่อยแล้วอีกสองสามเพลาข้าจะค่อยตื่นมาเล่นกับเจ้า”
“ห๊ะ! เดี๋ยวสิถ้านายง่วงนอนทำไมไม่นอนบนเตียงกับหมอนดีๆเล่า?”
“ทำแบบนี้ข้าจะได้เฝ้าเจ้าระหว่างที่ข้าหลับไปด้วยไงเจ้าหนู”
“ผมไม่ใช่นักโทษนะ จะเฝ้าขนาดไหนกันอีกอย่างที่นี้ผมจะทำอะไรได้!” เอเลนโวยวายด้วยความไม่สบอารมณ์ หมอนี่จะนอนทั้งทีทำไมจะต้องมาเฝ้าเขากัน ที่บอกว่าคอยจับตาดูตลอดเหมือนจะจริงทั้งที่ไม่เห็นตัว แบบนี้เรียกว่าไอฟาโรห์บ้านี้เข้าข่ายสตอกเกอร์ได้รึเปล่าเนี่ย?
รีไวเงยหน้ามองเด็กหนุ่มด้วยแววตาที่เริ่มรำคาญก่อนจะใช้มือกดหัวสีน้ำตาลนั้นจมลงกับหมอนอีกครั้ง
“ถ้าข้าไม่ทำอย่างนี้ ระหว่างที่ข้าพักผ่อนเจ้าคงออกไปเล่นกับเด็กในหมู่บ้าน ไม่ก็ไปสอนภาษาแปลกๆหรือเล่านิทานให้เด็กกับคนชราในหมู่บ้านฟังสินะ”
“แล้วมันไม่ดีรึไง?” เอเลนเหลือบตามองคนที่นอนทับบนอก อยากบอกจริงๆเลยว่าหมอนี่คิดว่าตัวเองหนักเท่าไรกันเชียวนอนทับมาแบบนี้เขาแทบจะกระดิกตัวไม่ได้
“นับว่าเป็นเรื่องดี”
“แล้ว?” ทั้งที่เป็นเรื่องดีแต่ทำไมไม่อยากให้เขาทำล่ะ ตกลงหมอนี่จะเอาไงกับเขากันแน่!?
นัยน์ตาสีหมอกเหลือบขึ้นมองสบกับนัยน์ตาสีอร่ามอีกครั้ง
“มีคนจับตาดูเจ้าอยู่ การทำตัวเด่นตอนนี้อาจไม่เป็นเรื่องดี”
“ใครกัน?” ใบหน้ามนขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ
รีไวขยี้ผมสีน้ำตาลของเด็กหนุ่มก่อนจะปิดตาลงอีกครั้ง
“หมดเวลาตอบคำถามเจ้าแล้ว อีกสักสองเพลาข้าจะตื่นมาเล่นกับเจ้าสักครู่นะเด็กน้อย”
เสียงลมหายใจที่เข้าออกอย่างสม่ำเสมอบอกว่าคนที่นอนทับเขาเริ่มเข้าสู่ห้วงนิทรา เอเลนที่ขยับได้เพียงเล็กน้อยจึงค่อยๆใช้มือขึ้นปัดผมสีรัตติกาลที่ปิดบังใบหน้าขององค์ฟาโรห์ออก
ให้ตายสิ! เป็นฟาโรห์ที่เอาแต่ใจชะมัด แต่ก็ว่าเถอะหมอนี้ทำอะไรอยุ่กันแน่นะถึงได้ดูเหนื่อยล้าขนาดนี้?........ เอาเถอะข้าจะอยู่นิ่งๆให้ท่านเป็นหมอนชั่วครู่ก็ได้
“ท่านใช้ร่างอวตารเป็นหมอนนอนแบบนี้มันจะได้ใจเกินไปหน่อยแล้ว

เอเลนใช้นิ้วชี้เขี่ยหว่างคิ้วที่ขมวดจนเป็นปมขององค์ฟาโรห์ เด็กหนุ่มยิ้มขำในลำคอก่อนจะข่มตาหลับตามคนชอบบังคับที่นอนอยู่บนหน้าอกเขา

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2558

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์: Chapter 9

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์
Pairing: (LevixEren)
Rate: NC-17
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
Story By: AkeRah , Trendy Blood
………………………………………………………………………………………………..
Chapter 9:

ขบวนทัพยังคงเคลื่อนที่ด้วยความเร็วไม่หยุดยั้ง แม้จะแวะพักกันที่โอเอซิสหลายครั้งแต่ระยะเวลาในแต่ละครั้งนั้นแทบไม่แตกต่างจากการแวะเติมน้ำมันเสียด้วยซ้ำ
“อดทนอีกนิด เราใกล้จะถึงกันแล้ว” เบเซ็ทหันมาบอกกับเอเลนที่สีหน้าอิดโรยจนถึงขีดสุด เอเลนจิบน้ำหนึ่งอึกขณะพยักหน้ารับพลางคิดในใจว่าครั้งที่เท่าไหร่กันแล้วนะที่เจ้าชายหนุ่มกล่าวกับตนแบบนี้
เข้าใจดีว่าภารกิจปราบกบฏทาสเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องรีบจัดการ เพราะหากปล่อยไว้จนลุกลามใหญ่โต ไม่นานสงครามกลางเมืองจะต้องตามมาในที่สุด และเมื่อถึงขั้นนั้นคงยากเกินจะควบคุม จึงไม่แปลกที่กองทัพจะเร่งเท้ากันถึงเพียงนี้ และสิ่งที่เอเลนจะทำได้ในเวลานี้นั้นคงมีเพียงอย่างเดียวนั่นคือเป็นตัวถ่วงให้น้อยที่สุด เพราะฉะนั้นถึงจะลำบากไหนก็จะต้องอดทน
แต่ว่าก็ว่าเถอะ การเดินทางข้ามทะเลทรายเป็นๆพันๆไมล์ด้วยรถม้าก็ช่างหฤโหดเกินไปเสียจริงๆ
สองสามชั่วโมงผ่านไป ซึ่งเอเลนรู้สึกว่าคงผ่านไปสักหนึ่งชาติได้ เบเซ็ทได้เอ่ยขึ้น
“จะถึงแล้ว”
เอเลนส่งสายตาเอือมระอาไปให้ จะโกหกกันก็ให้มันมีลิมิตบ้างเถอะเจ้าชาย.........
แต่เมื่อมองตามทิศทางที่เบเซ็ทชี้ชวนไปให้ดูเอเลนก็ถึงกับต้องขยี้ตาหลายๆครั้ง แนวกำแพงหินสูงใหญ่ตั้งตระหง่านให้เห็นอยู่ไกลลิบ เอเลนพยายามบอกตัวเองว่านั่นคงเป็นเพียงภาพลวงตาที่เกิดจากจิตใต้สำนึกของตน จนเมื่อขบวนทัพเคลื่อนผ่านประตูเมืองเข้าไปจึงยอมเชื่อว่าเป็นความจริง
ภูมิทัศน์ของเมืองชายแดนที่นี่แตกต่างจากธีบส์ที่อุดมสมบูรณ์และสงบสุขโดยสิ้นเชิง เมืองแห่งนี้เต็มไปด้วยหินกรวดและทรายซึ่งไม่เหมาะเป็นอย่างยิ่งต่อการทำการเกษตรผู้คนที่นี่จึงยังชีพได้ด้วยการทำเหมืองหิน โอเอซิสที่อยู่ใกล้ที่สุดนั้นอยู่ห่างออกไปหลายร้อยไมล์ ชาวเมืองอยู่กันยากลำบากแร้นแค้น พวกทาสถูกกดขี่ทารุณ พวกเขาถูกใช้งานอย่างหนักไม่ต่างกับสัตว์ เหล่าทาสสูงอายุและพวกที่ไม่สามารถทำงานได้ถูกทิ้งให้ตายข้างถนนกลายเป็นเหยื่อแร้งกาอย่างไร้ความปราณี เบเซ็ทขบกรามแน่นใบหน้าเครียดขึง ภาพที่พบเห็นคงจะสะกิดอารมณ์คุกรุ่นในใจเขามากทีเดียว
เห็นแบบนั้นแล้วเอเลนก็คิดถึงใครบางคนที่แฝงตัวอยู่กับกลุ่มทหาร เขาจะรู้สึกโกรธกริ้วสักแค่ไหนกันนะที่เห็นภาพโหดร้ายแบบนี้
ขบวนทัพเคลื่อนที่ผ่านถนนลาดยาวเข้าสู่อาคารทรงสี่เหลี่ยมที่ถูกตกแต่งอย่างโอ่อ่า ประตูด้านหน้าปิดสนิท
“ไม่ได้ส่งสาสน์มาบอกก่อนหรือ” เอเลนเอ่ยถามขณะมองเข้าไปในตึกหลังใหญ่ที่เงียบเชียบ เพราะปกติหากมีขบวนเสด็จมาเยือนสิ่งที่ขาดไม่ได้ย่อมต้องเป็นขบวนต้อนรับที่ทอดยาวตั้งแต่หน้าประตูเมืองอย่างสมพระเกียรติ แต่ ณ เวลานี้กลับว่างเปล่า
“ย่อมมีราชโองการมาถึงแน่ แต่ดูจากการตอบสนองที่กระด้างกระเดื่องอย่างชัดเจนนี้แล้ว เห็นทีก่อนที่จะสยบกบฏทาส ข้าคงต้องกำราบเจ้าหมูตอนฮัสซุสเสียก่อน” เบเซ็ทกล่าวขณะส่งสัญญาณให้ทหารพังประตูเข้าไป
“อยู่ใกล้ๆข้าไว้ อย่าวางใจอะไรง่ายๆในแดนของศัตรู”
เบเซ็ทเดินนำเบลทรูทและไรเนอร์รวมทั้งทหารองครักษ์อีกหลายนายกรุยทางนำเข้าไป ทหารยามรักษาการณ์เมื่อเห็นผู้บุกรุกก็กรูเข้ามาหมายจะต่อสู้ แต่มีหรือที่ทหารธรรมดาจะหยุดยั้งองครักษ์ประจำพระองค์ของฟาโรห์รีไวราเมสผู้ยิ่งใหญ่ได้ ทหารของข้าหลวงฮัสซุสถูกจับกุมและปลดประจำการกองกำลังของเจ้าชายเบเซ็ทกระจายกำลังเข้ายึดอาคารทั้งหลังไว้ได้อย่างรวดเร็ว เบเซ็ทมุ่งหน้าไปยังห้องอาหารที่ซึ่งมีชายร่างอ้วนกำลังนั่งสวาปามอาหารโอชารสที่ตั้งยาวเหยียดจนเต็มโต๊ะยาวอย่างตะกรุมตะกรามโดยไม่สนใจอะไร แม้แต่เมื่อเบเซ็ททรุดนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเขาก็ยังไม่รู้สึกตัว
เจ้าชายหนุ่มเอื้อมมือไปเด็ดผลองุ่นจากตะกร้าผลไม้มาคลึงเล่นก่อนจะกลิ้งให้มันไถลข้ามโต๊ะไปหยุดอยู่ข้างจานอาหารของฮัสซุส
“ที่เจ้ายื่นฎีกาขอเพิ่มงบประมาณในการจัดหาอาหารเลี้ยงชาวเมืองอยู่บ่อยๆนี่มันเป็นเพราะอย่างนี้เองสินะ ชาวเมืองของข้ามีความเป็นอยู่ที่ตกต่ำเช่นนี้มันเป็นเพราะเจ้าเอาเข้ากระเป๋าตัวเองเสียหมด”
ฮัสซุสมองผลองุ่นที่กลิ้งมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของตนก่อนจะไล่สายตาไปตามทิศทางที่มันกลิ้งไถลมา เมื่อเห็นชายหนุ่มที่อยู่อีกฟากของโต๊ะอาหารจึงเพิ่งรู้ตัว ชายร่างอ้วนทรุดร่างคุกเข่าลงกับพื้นเอ่ยตะกุกตะกัก อาหารที่ยังค้างอยู่ในปากร่วงกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น เอเลนถึงกับต้องหันหน้าหนีสภาพทุเรศทุรังนั้นอย่างจนใจ
“ฝ....ฝ่าบาท.....ใยจึงเสด็จมาเร็วเช่นนี้ กระหม่อมคิดว่าพระองค์จะเดินทางมาถึงอีกสองวันข้างหน้านี้เสียอีก” ฮัสซุสกล่าวตอบพลางยิ้มอย่างเอาใจแต่เบเซ็ทยังคงนิ่ง
“ถ้าไม่มาถึงที่นี่เร็วกว่ากำหนดข้าคงไม่มีโอกาสได้เห็นสภาพความเป็นอยู่จริงๆของชาวเมืองของข้า”
ฮัสซุสได้แต่ยิ้มรับแห้งๆ
“ถ้ามาช้ากวานี้อีกสักสองวันข้าคงไม่มีโอกาสได้เห็นภาพอันชวนเจริญตาเช่นนี้” เบเซ็ทปรายตามองชายร่างอ้วนที่คุกเข่าอยู่กับพื้นผู้พยายามเช็ดคราบอาหารออกจากใบหน้าแต่กลับทำให้มันยิ่งเปรอะเปื้อนมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าชายหนุ่มสูดหายใจลึกเอ่ยช้าๆ
“เงินภาษีมากมายที่เสด็จพ่อของข้าส่งมาให้เจ้าดูแลประชาชนของเราแทบทั้งหมดกลับถูกเจ้ากินเจ้าใช้ถลุงเล่นอย่างไร้ค่า อาหารมากมายถูกนำมาบำเรอให้กับหมูตอนที่ไม่รู้จักพออย่างเจ้าจนอ้วนพี ในขณะที่พลเมืองข้างนอกนั้นอดอยากหิวโซ ไม่มีแม้แต่อาหารที่จะประทังชีวิต ใช้งานพวกทาสไม่ต่างจากสัตว์โดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่พวกเขามี เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกันฮัสซุส กล้าดีแค่ไหนถึงได้บังอาจรังแกพลเมืองของเรา!!!!” เบเซ็ทตะโกนเสียงกร้าวตบโต๊ะอาหารเสียงดังจนเหยือกบรรจุน้ำล้มคว่ำ น้ำดื่มไหลลงจากโต๊ะรินรดไปบนพื้นเจิ่งนองแต่ถึงอย่างนั้นฮัสซุสก็ยังไม่กล้าที่จะกระดิกตัวหนี ได้แต่ก้มหน้างุดหมอบกราบลงกับพื้นตัวสั่น
“สิ่งที่เสด็จพ่อให้เจ้าได้ ข้าย่อมเรียกมันกลับคืนได้เช่นกัน อาหาร อาภรณ์ ความสุขสบายทั้งหมดที่เสด็จพ่อของข้าได้ประทานให้กับพลเมืองของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าได้ขโมยไปข้าจะนำมันกลับคืนมาทั้งหมด ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเจ้าอีกต่อไปแล้ว........นำตัวมันไปคุมขังรอรับการลงทัณฑ์”
“ฝ่าบาท!!! ได้โปรด........อภัยให้ข้าด้วย ฝ่าบาท!!!” ฮัสซุสโวยวายเสียงดังขณะที่โดนลากตัวออกไป
“ใครก็ได้ทำให้มันหุบปากที” เบเซ็ทบ่นขึ้นมาอย่างฉุนเฉียว พร้อมกับที่ไรเนอร์ซึ่งรับคำสั่งได้เดินออกจากห้องไป
“เบเซ็ท แล้วอาหารพวกนี้.......” เอเลนเอ่ยถามด้วยความจนใจ เขาไม่เข้าใจจริงๆว่าอาหารตั้งมากมายเพียงนี้คนเพียงคนเดียวจะยัดมันลงกระเพาะหมดได้ยังไงกัน
เบเซ็ทกวาดตามองอาหารที่ถูกกินไปอย่างละนิดละหน่อยด้วยความเสียดาย
“อาหารพวกนี้มันควรจะเป็นของชาวเมืองและทาสที่หิวโหยอยู่ข้างนอกนั่น ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าหมูตอนนั่นควรแตะต้องเสียด้วยซ้ำ” เบเซ็ทรำพึงเสียงเบา และหลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้มีคำสั่งด่วนจากเจ้าชายเบเซ็ทให้เปิดคลังเสบียงเพื่อแจกจ่ายน้ำสะอาด อาหารให้กับชาวเมืองและชาวทาสทุกคนเท่าๆกันโดยไม่มีการแบ่งแยก
พวกทหารจัดระเบียบการเข้าแถวอย่างเป็นระบบจึงไม่มีความวุ่นวายเกิดขึ้นเลยในขณะที่เริ่มจ่ายแจกอาหาร ขณะที่เอเลน เบเซ็ทและเหล่าทหารอีกหลายนายกำลังง่วนอยู่กับการแจกอาหารอยู่นั้นร่างบางพลันสังเกตเห็นร่างคุ้นตาของใครบางคนยืนหลบมุมคอยสังเกตการณ์อยู่ห่างๆอย่างเงียบๆ
“ฝากจัดการต่อด้วยนะ” เอเลนเอ่ยกับเบลทรูทที่ยืรคุ้มกันตนเองอยู่ใกล้ๆพลางยัดถุงอาหารใส่มือ
“แล้วท่านจะไปที่ใด” เบลทรูทเอ่ยถามด้วยความกังวลเพราะหน้าที่ของเขาในเวลานี้คือการติดตามคุ้มกันเอเลนเสมือนเป็นเงาตามตัว
“ข้าเห็นเขาแล้ว ข้าจะไปหาฟาโรห์ของท่าน” เอเลนกระซิบตอบซึ่งเบลทรูทก็เข้าใจในทันทีว่ามันเป็นการไม่สมควรเป็นอย่างยิ่งที่เขาจะตามไป เอเลนผละออกจากซุ้มบริจาคเดินผ่านกระโจมที่พักทหารไปยังจุดที่ชายผู้นั้นยืนมองอยู่

รีไวยิ้มรับเด็กหนุ่มร่างบางที่เดินรี่เข้ามาหาตนพลางเอ่ยถามด้วยความเอ็นดู
“ทำไมรีบออกมา ข้านึกว่าเจ้ากำลังสนุกกับการแจกของบริจาคเสียอีก”
“ก็ใช่.....แต่อยู่ที่นี่ใช่ว่าจะหาท่านเจอได้ง่ายๆ หากท่านไม่ต้องการให้ข้าพบก็ไม่มีทางเลยที่ข้าจะหาท่านเจอ สบโอกาสดีๆเช่นนี้ข้าอยากจะคุยกับท่านมากกว่า” ฟาโรห์หนุ่มยิ้มรับคำตอบซื่อๆของหนุ่มน้อยอย่างพึงใจขณะที่เอื้อมมือไปโอบเอวเด็กหนุ่มอย่างถือวิสาสะรุนหลังให้ออกเดินไปพร้อมกัน
“ที่นี่คนมากเกินไป เราเดินไปคุยไปจะดีกว่า”
“คิดว่าท่านคงรู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในห้องอาหารแล้ว”
“ใช่.....ข้ารู้ ข้าได้ยินทั้งหมด”
“แล้วท่านพอใจหรือไม่ที่เบเซ็ทจัดการกับฮัสซุสแบบนั้น”
“พอใจสิ ทุกสิ่งที่ข้าคิดจะทำ ทุกสิ่งที่ข้าคิดจะพูด วันนี้เบเซ็ทได้ถ่ายทอดทุกอย่างออกมาจนหมด แต่หากเป็นข้า ข้าอาจจะพลั้งมือฆ่าเจ้าหมูสกปรกตัวนั้นตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว คงไม่ใจเย็นอยู่ได้อย่างเบเซ็ท..........แต่นั่นก็แสดงถึงภาวะความเป็นผู้นำ เป็นนักปกครองที่ดี อย่างน้อยๆเขาก็เริ่มต้นได้อย่างสวยงาม” รีไวกล่าวด้วยรอยยิ้มปิติ
“ท่านเลือกเบเซทเป็นผู้สืบทอดคนต่อไปอย่างนั้นหรือ”
“แล้วเจ้าคิดว่าเบเซ็ทไม่คู่ควรหรืออย่างไร” รีไวจ้องมองเอเลนด้วยความกังขา แต่เด็กหนุ่มกลับส่ายหน้าตอบ
“เปล่า ข้าแค่คิดว่ามันยังเร็วเกินไปหรือไม่ที่จะคิดเรื่องนั้น คือ.....ท่านยังหนุ่มยังแน่น ยังแข็งแรง”
“และยังมีเมียได้อีกหลายคน” ฟาโรห์กล่าวตอบกลั้วหัวเราะ
“นั่นคงเป็นเรื่องไร้สาระที่ท่านใช้เวลาหมกมุ่นด้วยมากที่สุดสินะ” เอเลนมองค้อนกษัตริย์หนุ่มที่ยังหัวเราะไม่หยุด
“ไม่ช้าหรือเร็ว เวลานั้นก็ย่อมต้องมาถึง เจ้าผู้เป็นร่างอวตารแห่งเทพราจะมิหยั่งรู้เชียวหรือว่าวาระสุดท้ายของข้าจะมาถึงเมื่อใด” รีไวกล่าวตอบเสียงนุ่มพร้อมกับยิ้มอ่อน เอเลนนึกย้อนไปถึงสิ่งที่เคยอ่านผ่านตาเมื่อก่อนหน้านี่มาบ้าง
ฟาโรห์ราเมสที่ 2 ครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์อียิปต์ถึง 67 ปี สิ้นพระชนม์เมื่อ 90 พรรษาเศษ......ในประวัติศาสตร์บันทึกไว้อย่างนั้น และฟาโรห์องค์ที่ว่านั่นก็คือชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งผู้นี้
“ข้าย่อมรู้แน่ แต่มิอาจบอกได้” เอเลนกล่าวตอบพลางเดินเลี่ยงนำหน้าขึ้นไปอย่างใจลอย ถึงแม้จะหลุดมาอยู่ในยุคอดีตได้แต่เอเลนก็จำเป็นจะต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษเพราะหากการกระทำเล็กๆน้อยๆของเขาเกิดไปเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ขึ้นมาคงแย่
“เจ้าไม่คิดจะบอกใบ้ให้ข้าหน่อยหรือ” รีไวยิ้มเย้าเร่งฝีเท้าไล่ตามแหย่คนที่เดินนำลิ่วหนีไปไกล แต่สุดท้ายเป็นฝ่ายเอเลนที่หันหลังกลับมาเผชิญหน้ากับเขาแทน
“มิอาจบอก.......” เอเลนเอ่ยเสียงสั่น
มนุษย์เราจะทำใจยอมรับได้มากแค่ไหนกันเมื่อต้องรับรู้ถึงวาระสุดท้ายของคนที่พวกเขาผูกพัน
“ถึงแม้ข้าอยากจะบอกแค่ไหนก็ไม่อาจทำได้” เอเลนกล่าวอย่างสับสน รู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อยที่แค่คิดถึงวาระสุดท้ายของฟาโรห์หนุ่มผู้นี้ก็ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
นี่เขารู้สึกผูกพันกับชายผู้นี้มากขนาดนี้เชียวหรือ...............
รีไวมองสีหน้ากล้ำกลืนของเอเลนแล้วพาลให้รู้สึกผิด คิดว่าตนคงแหย่เด็กหนุ่มมากเกินไป มือใหญ่เอื้อมไปกุมมือบางของเด็กหนุ่มข้างกายเอาไว้พลางฉุดให้ออกเดินไปเคียงกัน
“ไม่เป็นไร หากมันทำให้เจ้าหนักใจเราก็อย่าไปพูดถึงมันอีกเลย ข้ามั่นใจว่าวาระสุดท้ายของข้าต้องไม่ได้มาถึงเร็วๆนี้แน่” กษัตริย์หนุ่มกล่าวปลอบเด็กหนุ่มข้างกายขณะที่พาเดินเข้าสู่กระโจมที่พักชั่วคราว
เอเลนทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ว่างหน้าโต๊ะทำงานขณะที่รีไวลูบไหล่ปลอบใจอยู่ไม่ห่าง
“ข้าว่าเราควรจะเปลี่ยนเรื่องสนทนากันดีกว่า เพื่อความสบายใจของเจ้าเอง”
“แล้วท่านจะทำอย่างไรต่อเรื่องก่อกบฏ”
“แล้วเจ้าคิดว่าข้าควรทำอย่างไรต่อไป” ฟาโรห์หนุ่มเอ่ยถามยิ้มๆ
“เห็นได้ชัดว่าสาเหตุที่ทำให้ทาสแข็งข้อเป็นเพราะฮัสซุส พวกเขาถูกกดขี่มากเกินไปและการที่ท่านแสดงให้เห็นถึงจุดยืนที่ชัดเจนด้วยการสั่งลงโทษเขาแล้ว พวกทาสอาจจะยอมรามือก็ได้”
“ใช่ ฉลาดมาก ที่เจ้าพูดมาก็ถูก......แต่ถ้าหากหลังจากนี้แล้วพวกทาสยังไม่ยอมหยุดล่ะ เจ้าคิดว่าเพราะเหตุใด”
“นั่นก็เพราะ......พวกเขามีคนหนุนหลัง?”
“ถูกต้อง!!!” รีไวยิ้มอย่างพึงใจในความฉลาดเฉลียวของเด็กหนุ่มร่างอวตารแห่งเทพราคนนี้มากจริงๆ
“แล้วคนพวกนั้นจะเป็นใครกัน” เอเลนเอ่ยถามอย่างฉงนขณะที่รีไว ดึงม้วนแผนที่หนังออกมากางบนโต๊ะ
“เอเลน เจ้าลองคิดดู ทาสพวกนั้นไร้ซึ่งเชื้อชาติไร้ซึ่งแผ่นดิน พวกเขาต่างอาศัยอยู่ในแผ่นดินข้าด้วยการใช้แรงงานแลกกับเงินทองและข้าวของเพื่อประทังชีวิต ข้าพยายามเป็นอย่างมากที่จะดูแลพวกเขาอย่างเท่าเทียมในฐานะประชาชนในปกครองกลุ่มหนึ่ง แต่ก็ต้องยอมรับว่าในสังคมยังคงมีการแบ่งแยกชนชั้นอยู่มาก ผู้คนอีกมากไม่ให้การยอมรับพวกเขาเสียด้วยซ้ำ คนพวกนั้นมองทาสเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต่ำกว่าตนเอง สถานะของทาสจึงโดนกดขี่มาโดยตลอด แล้วเจ้าคิดว่าจะมีเหตุผลใดที่ทำให้ทาสผู้อ่อนแอลุกขึ้นมาปลดแอกตัวเองออกจากการปกครองของข้า ออกจากแผ่นดินแห่งอียิปต์”
“ก็ต้องเป็นเพราะ คนที่อยู่เบื้องหลังให้ข้อเสนอที่ดีอย่างที่พวกเขาต้องการ อาหาร ความเป็นอยู่ อสรภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่พวกทาสโหยหามาโดยตลอด”
“ข้าคิดไม่ผิดจริงๆที่พาเจ้ามาด้วย ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงดูแผนที่นี่ เมืองที่เราอยู่ตอนนี้คือที่” รีไวชี้มือไปยังจุดเล็กๆสีแดงบนแผ่นหนังที่ถูกกากบาทเอาไว้พลางเอ่ยถามต่อ
“เจ้าคิดว่าใครกันที่อยู่เบื้องหลังการปลุกปั่นทาสเหล่านี้”
เอเลนก้มมองแผนที่บนโต๊ะพลางใช้ความคิด หากทาสเหล่านั้นต้องการปลดแอกตัวเองออกจากการปกครองของรีไวจริง ทางเดียวที่ทำได้คือพวกเขาต้องอพยพไปยังดินแดนอื่น แต่ทาสเหล่านั้นยังมีทั้งผู้หญิง เด็ก คนแก่ คนป่วย การเดินทางที่ใช้ระยะเวลานานๆจึงไม่ใช่ทางออกที่ดี จุดมุ่งหมายของพวกเขาต้องเป็นการอพยพไปยังดินแดนที่ใกล้ที่สุด
และดินแดนที่ใกล้ที่สุดที่ปรากฏในแผนที่นั้นก็มีเพียงแห่งเดียวคือ
“ฮิตไตน์?.........” เด็กหนุ่มเอ่ยตอบเสียงเบา แต่รีไวกลับยิ้มรับ มือใหญ่ลูบผมนุ่มลื่นของเอเลนด้วยความชอบใจ
“ข้าก็คิดเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้ข้าจึงต้องแฝงตัวเข้ามากับกลุ่มทหารเพื่อที่จะสืบข้อเท็จจริงทั้งหมดได้ง่ายดายยิ่งขึ้น เรื่องนี้แม้แต่เบเซ็ทข้าก็ยังไม่ได้บอกเขา ถือว่านี่เป็นความลับระหว่างเจ้ากับข้าสองคนก็แล้วกัน”
เอเลนพลันนึกย้อนไปถึงประวัติศาสตร์ที่เคยบันทึกไว้ถึงสงครามระหว่างอียิปต์กับฮิตไตน์ที่รบพุ่งกันมาอย่างยาวนาน หลายครั้งในบันทึกได้มีการระบุชนวนเหตุแห่งสงครามเอาไว้ว่าพวกเขาต่างสู้รบกันเพื่อจะแย่งชิงดินแดน แต่ดูๆไปแล้วหากครั้งนี้เกิดสงครามระหว่างอียิปต์และฮิตไตน์ขึ้นจริงๆ มูลเหตุที่สำคัญนั้นต้องเริ่มมาจากกบฏทาสเมืองชายแดนแห่งนี้อย่างแน่นอน

“เจ้ากำลังใจลอยอะไรอยู่ เบลทรูท” เบเซ็ทเอ่ยถามทหารหนุ่มร่างสูงที่กำลังแจกเสบียงอยู่ข้างกาย เพราะดูเหมือนเจ้าตัวจะเหม่อลอยอยู่บ่อยครั้ง
“กระหม่อมรู้สึกว่าท่านเอเลนหายไปนานเกินไปแล้วพะยะค่ะ”
“แล้วเอเลนบอกกับเจ้าว่าอย่างไร”
“ท่านมีเรื่องที่จะคุยกับฝ่าบาทรีไวพะยะค่ะ” เบเซ็ทยิ้มรับคำตอบของเบลทรูทขณะที่หยิบเสบียงส่งให้เด็กสาวชาวทาสถุงหนึ่ง
“ในเมื่ออยู่กับเสด็จพ่อ เจ้ายังต้องเป็นห่วงเอเลนอยู่อีกหรือ”
เบลทรูทจึงปิดปากเงียบเก็บกดความวิตกกังวลใจไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยขณะที่เบเซ็ทเอ่ยขึ้น
“เจ้ายังต้องการเสบียงเพิ่มอีกหรือสาวน้อย” เบเซ็ทเอ่ยถามเด็กสาวชาวทาสผิวสีน้ำผึ้งผู้ซึ่งไม่ยอมรับของบริจาคแต่กลับจ้องหน้าเขาเขม็ง เด็กสาวเจ้าของดวงตาสีเหลืองทองไม่แสดงท่าทีตอบรับ แต่เธอกลับเอาแต่จ้องมองเบเซ็ทนิ่งนานโดยไม่ปริปากเอ่ยสิ่งใดออกมา
“หรือเจ้าต้องการสิ่งใดจากข้า” เบเซ็ทวางถุงของบริจาคลงพลางจ้องตาเธอกลับ แต่หญิงสาวผู้นั้นกลับดึงผ้าโพกศีรษะขึ้นคลุมปิดบังผมสีบลอนด์ทองที่ผิดแผกไปจากพวกทาสคนอื่นๆของเธอแทน
เด็กสาวไม่ตอบคำพลันก้มหน้ารับของบริจาคแล้วเดินออกจากแถวมาเงียบๆ เธอแทรกตัวเข้าไปยังตรอกเล็กๆเพื่อลอบมองเบเซ็ทด้วยสายตามุ่งร้ายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะผลุบหายเข้าไปยังช่องทางลับเล็กๆอย่างรวดเร็ว