เสียงจูบจ๊วบจ๊าบดังลั่นออกมาจากห้องครัว
กับคนที่ใกล้จะหมดแรงเต็มทีแล้วคงต้องขอพักก่อน มือเรียวยกผลักอกคนที่กำลังนัวเนียอยู่ใกล้ๆออกไปแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถูกกอดเอาไว้แน่น
“พอแล้ว จะดื่มมั้ยกาแฟ”
“เอาสิ”
“ปล่อยฉันแล้วกลับไปนั่งโซฟาซะ
ถ้ายังนัวเนียไม่เลิกฉันจะสาดน้ำร้อนใส่หน้านายแทนนะ”
“ก็ได้.....แต่ไม่ต้องใส่น้ำตาลมากนะเอเลน
ตอนนี้ฉันได้ความหวานมากพอแล้ว” รีไวก้มลงมาจูบผมเบาๆอีกครั้งแล้วเดินกลับห้องนั่งเล่นไป
“หมั่นไส้......ใส่เกลือลงไปแทนดีมั้ยวะ” ผมถือถ้วยกาแฟเดินไปให้คนที่มันกำลังนั่งไขว่ห้างตากแอร์เย็นเปิดโทรทัศน์ดูสบายใจเฉิบอยู่บนโซฟา
“ขอบใจ” เขารับกาแฟไปแล้วดึงผมให้นั่งลงข้างๆ พลางจิบกาแฟไปด้วย
พรวด!!!!!
“เฮ้ย....อะไรกันวะ” รีไวโวยวายลั่น กาแฟที่ถูกพ่นออกจากปากหกเรี่ยราดเต็มพื้น
“มีปัญหาอะไร”
“ทำไมมันร้อนแบบนี้”
“ก็ฉันชงกาแฟร้อนนี่
ถ้ามีตา มีสมอง เห็นถ้วยกาแฟควันฉุยขนาดนี้ก็น่าจะคิดออกนะว่ามันร้อน
อีกอย่างน้ำแข็งสักก้อนก็ไม่มี คิดว่าฉันชงกาแฟเย็นให้นายรึไง”
“แกล้งฉันใช่มั้ย.....กะจะเอาคืนใช่มั้ย”
“เรื่องง่าวๆแบบนี้จะมีใครเขาเอามาแกล้งกันเล่นรึไง
นายมันโง่เองที่ไม่ดูให้ดี”
“บ้าเอ้ย......ลวกปากหมด
แสบลิ้นชะมัด กาแฟแก้วนี้นายชง รับผิดชอบซะดีๆเอเลน”
“ทำไม”
“ดูดให้ฉันสิ” รีไวแลบลิ้นแดงแปร้ดออกมา
“.............”
“เร็วเข้าสิ เฉยอยู่ทำไม
ลิ้นฉันมันพองหมดแล้ว”
“เอาจริงเหรอ”
“เรื่องง่าวๆแบบนี้ไม่มีใครเขาเอามาล้อเล่นกันหรอกนะ....ด่วนเลย
แสบไปหมดแล้ว” อสูรร้ายผู้เอาแต่ใจ ชอบออกคำสั่ง
ชอบบังคับ.....ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้แล้วช้อนตามองเขา
“หลับตาสิ”
“ไม่
ฉันอยากดูหน้านายตอนดูดลิ้นฉัน”
“.............” มึงไม่หลับกูหลับเองก็ได้
ผมหลับตาลงค่อยๆไล้ลิ้นตัวเองไปตามเรียวลิ้นที่บวมแดงของรีไวเบาๆ
(มันบอกว่าเจ็บนิ) เปิดปากน้อยๆ รวบเอาลิ้นร้อนๆมาทำให้เย็นลงในโพรงปากผมช้าๆแล้วค่อยๆดูด
รีไวถอนหายใจออกมาหนักๆ มือใหญ่กดท้ายทอยผมเข้าไปแนบชิดส่วนมืออีกข้างที่ว่างก็โอบเอวผมแล้วรั้งขึ้นไปนั่งบนตัก
ลิ้นร้อนๆพัวพันโรมรันกันไม่เลิก....ก็ไหนมันว่ามันเจ็บลิ้นวะ
ผมตกหลุมพรางเขาอีกแล้ว ผมรีบผละตัวเองออก
“นึกว่ามันจะเย็นลง
ที่ไหนได้กลับร้อนขึ้นกว่าเดิม” เขาอมยิ้มเจ้าเล่ห์
“ฉันจะไปเอาน้ำเย็นมาให้แล้วกัน”
ผมรีบปลีกตัวหนีเข้าห้องครัวไป
รู้สึกโมโหตัวเองนิดๆ เสียรู้ให้มันอีกจนได้
ดับอารมณ์หงุดหงิดด้วยการดื่มน้ำเย็นๆสักแก้ว
แล้วเติมน้ำให้เต็มอีกครั้งพอหันหลังกลับก็เกือบจะชนเข้ากับคนที่ดักอยู่ข้างหลัง
“มาเงียบๆ
เดี๋ยวก็สาดน้ำใส่เลย” เขาหยิบแก้วน้ำในมือผมไป
แล้วราดลงใส่ตัวผม
“สาดใส่นายดูดีกว่าเยอะ” น้ำเย็นจัดรินไหลไปตามผิวกายจนผมขนลุกชัน
มือใหญ่แหวกสาบเสื้อคลุมอาบน้ำออกจากตัวลูบไล้ผิวกายที่เปียกน้ำเบาๆ
“ทั้งๆที่ฉันยังไม่ได้ทำอะไรด้วยซ้ำ
แค่โดนน้ำเย็นก็ตึงขึ้นมาขนาดนี้แล้ว นายนี่มันไวกับสัมผัสจริงๆนะ” ลิ้นร้อนๆโลมเลียยอดอกสีหวานที่ตึงแข็งขึ้นมาเบาๆ
“แล้วถ้าฉันทำมากกว่านี้ล่ะจะเป็นยังไง.......”
ลิ้นอุ่นโลมเลียดูดดุนยอดอกแข็งชันเสียจนผมต้องหลุดเสียงคราง
รอยฟันคมและรอยสีกุหลาบปรากฏขึ้นประปรายทั่วแผ่นอก
มือใหญ่สอดไล้บีบคลึงโคนขาอ่อนก่อนจะทักทายส่วนอ่อนไหวที่เริ่มตื่นตัวขึ้นมาเบาๆ บีบคลึง
ลากไล้ กระตุ้นเร้าเสียจนผมโอนอ่อน จูบหนักๆช่วงชิงทั้งเรี่ยวแรงและกำลังที่จะหยัดยืนต่อได้
ผมยึดไหล่ทั้งสองข้างของเขาไว้ ฟันคมขบกัดใบหูผมจนเลือดซิบ
“รีไว...มันเจ็บ อย่ากัด!!!”
เขาผละออกจากหูผมแต่กลับกลายเป็นว่าหันไปกัดหูอีกข้างของผมแทน......แม่ม....มันเป็นหมารึไงวะ
ชอบกัดจริงอะไรจริง รีไวโถมกายลงมาทับเสียจนแผ่นหลังผมแนบสนิทไปกับประตูตู้เย็น
“ฉันอยากอยู่......ในตัวนาย” เขากระซิบเบาๆ ผมพยายามผลักมือที่หยอกเย้าส่วนอ่อนไหวของผมออก
“ไม่”
ปฏิเสธเสียงแข็งทั้งๆที่น้ำเสียงติดจะสั่น
นิ้วยาวลุกล้ำเข้าไปยังช่องทางที่เขาคุ้นเสียยิ่งกว่าคุ้น
“อึ่ก รีไว....หยุด......เอามือออกไปนะ”
“ให้ฉันเข้าไป...เอเลน” รีไวกระซิบเสียงกระเส่า
“ไม่เอา....มันเจ็บ”
ก็พูดไปงั้นแหละ
ตั้งแต่ครั้งแรกจนมาถึงตอนนี้ก็บอกได้เลยว่าค่อนข้างจะคุ้นเคยกับมันพอสมควรแล้ว
อันที่จริงมันก็ไม่ได้เจ็บมากมายอะไร ก็แค่ช่วงแรกๆเท่านั้นแหละแต่หลังจากนั้นก็จะ........อืม
ช่างเถอะ!!!! ผมไม่อยากทำในครัวนี่นา ห้องนี้มันมีไว้ทำอาหารนะ
ไม่ได้มีไว้ทำเรื่องแบบนี้
มือใหญ่ยกขาผมเกี่ยวเอวเขาไว้ข้างหนึ่งเปิดช่องทางให้เขาเข้ามาในตัวผมได้ถนัดขึ้น
ความอึดอัดคับแน่นถูกยัดเยียดเข้ามาในกายผม
“รีไว.....หยุด” ผมจิกเล็บลงบนไหล่เขา........เอาดิ ฉันเจ็บแกก็ต้องเจ็บด้วย
“ทั้งอุ่น ทั้งนุ่ม นายน่าจะได้เห็นว่าตอนที่ดูดกลืนฉันเข้าไป
มันเร้าใจแค่ไหนเอเลน ”เขาเริ่มขยับกาย
แรงกระเทือนที่ได้รับทำให้ผมต้องรีบคว้าตู้เย็นไว้เป็นหลักยึด
“รีไว.....ไม่........ไม่เอา” ทำตรงนี้นี่นะ ในครัว.....หน้าตู้เย็น ในสภาพที่ผมเปียกโชกทั้งตัว
“....รีไว......ไม่เอาตรงนี้.....เดี๋ยวไฟดูด” เสียงผมสั่นเพราะแรงสะเทือน
เขายกขาผมเกี่ยวเอวไว้แล้ววางผมลงบนโต๊ะกินข้าว
“ทีนี้ก็ห้ามบ่นอีก” แรงกระเทือนเล่นเอาโต๊ะกินข้าวแทบจะพัง
เขาจูบผมไว้เพื่อช่วยระบายความอัดอั้น
Dingdong dingdong
“รีไวมีคนมา.......”
“..........”
“รีไว....มีคน......”
“ช่างมัน!!!” เขากัดฟันแน่นโถมกายใส่ผมแรงขึ้น
ผมต้องกัดหลังมือตัวเองเอาไว้เพื่อหยุดเสียงหน้าอาย
Dingdong dingdong dingdong ๆๆๆๆๆๆๆๆ ...............เสียงกริ่งกระหน่ำรัวหนักขึ้น
รีไวพูดถูกจะเป็นใครก็ช่างปล่อยให้มันกดจนมือหงิกไปนั่นแหละ
การกระตุ้นเร้าที่รุนแรงทำให้ผมได้ปลดปล่อยหยาดน้ำสีขาวขุ่นออกมาจนเลอะกางเกงของเขา
หลังจากนั้นไม่นาน หยาดน้ำอุ่นๆก็ฉีดซ่านเข้ามาในกายผม รีไวผละออกจากตัวผมแล้วไปเปิดประตูห้อง
ผมรีบลุกขึ้นกระชับเสื้อคลุมอาบน้ำเข้าตัวให้เรียบร้อย หยิบผ้าเช็ดมือมาจัดการโต๊ะกินข้าวที่เลอะเทอะเพราะเราสองคนในขณะที่น้ำสีขุ่นค่อยๆไหลย้อนออกมาตามเรียวขาของผม.....เอ่อ
เอาเป็นว่าขอตัวไปจัดการตัวเองก่อนแล้วกัน
“มีอะไร”
“เปิดช้าจริง
สุมหัวทำอะไรกันอยู่วะ” รีไวชี้หลักฐานไปที่เป้ากางเกงที่ยังไม่รูดซิปปิดเรียบร้อย
แล้วไหนจะคราบน้ำสีขาวที่เลอะไปทั่วหน้าท้องและกางเกงอีก
“บ๊ะ....นี่พวกแก จ๊ะ
กันกลางวันแสกๆเลยเหรอวะ”
“จะตอนไหน
ยังไงก็ไม่เกี่ยวกับพี่”
“ไอ้น้องเชี่ย ถอยไป
ถ้าฉันไม่แยกเอเลนออกจากแก มีหวังเอเลนต้องโทรมแน่ๆ”
“อย่าเวอร์น่า......”
“เอเลน.....เอเลน อยู่ไหนยังอยู่ดีใช่มั้ย
ไม่ใช่ว่าถูกรีไวเขมือบจนเดี้ยงไปแล้วหรอกนะ”
“ครับ......พี่” ผมรีบเดินออกมาจากห้อง
“ทำไมยังใส่เสื้อคลุมอาบน้ำอยู่อีกล่ะ”
“เอ่อ......เสื้อผ้าผมถูกฉีกไปแล้วครับ”
“ฝีมือแกใช่มั้ย” พี่นานาบะหันไปตวาดรีไว ฝ่ายนั้นก็แค่ยักไหล่เฉยๆ
“แล้วนั่น....หูไปโดนอะไรมา
ทำไมเลือดออก”
“เอ่อ....คือ” ผมรีบยกมือปิดหูไว้
“ไหนดูสิ” รีไวดึงมือผมออกแล้วก้มลงดูใกล้ๆ
“ไม่เห็นเป็นอะไรเลย
แผลแค่นี้เลียก็หายแล้ว” ว่าแล้วก็เลียแผล่บลงมาบนหูผม พี่นานาบะยื่นเท้ามายันก้นรีไวออกไปแล้วลากแขนผมเข้าห้องนอน
“มานี่เลยเอเลน
แกนี่มันน่าสงสารจริง เสื้อผ้าก็ไม่มีจะใส่ ยังมาถูกรีไวมันทำอะไรบ้าบอแบบนี้อีก
ตามฉันมาเลย” พี่นานาบะลากผมกลับเข้าไปในห้องนอน
รื้อค้นตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ของรีไวอยู่สักพัก ซึ่งมันมีแต่ของแบรนด์เนมทั้งนั้น
“ตัวที่เล็กๆก็เห็นอยู่นะ
เพิ่งจะได้มาเร็วๆนี้เองนี่นา” เสื้อยืดสีดำถูกโยนมาให้ผม
“กางเกง ๆ อ่ะ...นี่ไง เจอพอดี” กางเกงหนังเข้ารูป
เข็มขัดเส้นโตตามมาติดๆ
“ใส่เร็ว” ผมรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความรวดเร็ว
พี่นานาบะตีหน้ายุ่งน้อยๆแล้วหันไปตะโกนว้ากใส่รีไวที่อยู่ด้านนอก
“รีไวมันคิดว่าแกเป็นไอติมรึไงเอเลน มันถึงดูดได้ดูดดีนัก” พี่นานาบะชี้มาที่รอยจ้ำแดงๆตามลำคอผม
ซึ่งมันค่อนข้างจะตัดกับสีผิวและสีชุดของผมมากๆ
“งั้นแบบนี้ก็พอจะกลบเกลื่อนได้”
ผ้าพันคอลายตารางถูกนำมาคล้องคอผมลวกๆ
“ไปกัน..........”
“จะไปไหน” รีไวยืนขวางประตูไว้ไม่ให้เราออกจากห้อง
“ก็จะพาเอเลนไปหาซื้อเสื้อผ้าน่ะสิ”
“ไปด้วย”
“ถ้าจะไปสภาพนั้นก็อย่าฝัน” รีไวก้มมองตัวเอง
เสื้อไม่ได้ใส่ กางเกงไม่ได้รูดซิป แถมยังเปื้อนคราบน้ำขาวๆอีก
“รอเดี๋ยว......” เขาคว้าเสื้อผ้าวิ่งเข้าห้องน้ำไปแล้วกลับออกมา....ต้องยอมรับเลยว่าถึงจะเป็นเสื้อผ้าพื้นๆแต่ถ้าให้เขาใส่ยังไงก็ออกมาดูดี
“มองทำไม....หล่อล่ะสิ” ผมมองเขา
จะบอกดีมั้ยนะ.....แต่เอาเถอะยังไงก็ต้องไปด้วยกันนี่นะ
“มองคนไม่รูดซิป”
“ก็แล้วไม่รีบบอก....”
................................................
กว่าจะมาถึงห้างได้ รีไวและพี่นานาบะก็เสียเวลาตบตีกันเรื่องที่นั่งอยู่นานสองนาน
แต่สุดท้ายผมก็ต้องมานั่งหน้ารถคู่กับคนเอาแต่ใจตามคำสั่งอยู่ดี
“จะรอที่ร้านกาแฟนะ.....ขี้เกียจเดิน” รีไวบอกกับเราพลางหยิบหมวกและแว่นกันแดดขึ้นสวมพรางตัว แล้วเดินเลี่ยงออกไป
“ก็แล้วใครอัญเชิญมันออกมาตอนไหนกัน ไปเถอะเอเลนงานนี้ช็อปให้ไอ้น้องบ้านี่มันกระเป๋าแฟบไปเลย.....วงเงินไม่จำกัดขนาดนี้” พี่นานาบะโบกเครดิตการ์ดในมือเล่น.......ผมต้องวิ่งเข้าร้านนู้น
ออกร้านนี้ ลองชุดนั้น ใส่ชุดนี้อยู่ตลอด จำนวนถุงเสื้อผ้าก็เพิ่มปริมาณมากขึ้นตามจำนวนร้านที่เราเข้า
“พี่ครับ....นี่มันมากเกินไปแล้วนะครับ
ใส่ยังไงก็ไม่หมดหรอก”
“ทำไมล่ะเอเลน.....นี่ยังรูดไปไม่เท่าไหร่เลย”
“แต่ผมว่าเรากลับกันดีกว่าครับ.....รีไวจะรอนาน” ผมลากพี่นานาบะกลับไปที่ร้านกาแฟที่ซึ่งรีไวรออยู่พร้อมกับผู้หญิงอีกสามคนที่กำลังหัวร่อต่อกระซิกกัน
“ไอ้น้องบ้า บอกแล้วไงว่าอย่าทำอะไรเรี่ยราด” พี่นานาบะพุ่งเข้าไปชาร์ต
ผู้หญิงสามคนนั้นสลายตัวกันออกไปแต่ก็ยังไม่วายส่งสายตาเชิญชวนเป็นการส่งท้าย
“ต่อหน้าต่อตาฉันนะแก”
“ก็แค่ขอลายเซ็น....อีกอย่างพวกเธอเข้ามาหาผมเอง”
“กลางห้างแบบนี้ อย่าหาเรื่องใส่ตัว”
“ก็บอกแล้วว่าพวกนั้นน่ะมากันเอง” เขาตอบพี่นานาบะแบบหงุดหงิด ก่อนจะหันมาพูดกับผม
“ได้อะไรมาบ้าง”
“ก็เยอะอยู่” เขาดึงผมให้นั่งลงที่ว่างข้างตัว
“กินอะไรกันก่อนแล้วจะกลับไปส่ง ฉันต้องไปงานต่อ” รีไวเปิดเมนูดูไปพลางๆ ในขณะที่ผมยื่นกระดาษทิชชู่ไปให้เขา
“อะไร”
“รอยลิปสติก” ผมตอบพร้อมกับชี้ไปที่แก้มเขา
เขาเช็ดหน้าตัวเองเบาๆ
“ออกยัง?”
“ยัง”
“เช็ดให้สิ” ผมรับกระดาษทิชชู่มา
แล้วถูลงไปบนแก้มเขา มันค่อนข้างจะติดแน่นทีเดียว
ผมจึงต้องเขยิบเข้าไปใกล้แลบลิ้นเลียจุดที่เปื้อนรอยลิปสติกแล้วใช้ทิชชู่เช็ดมันออก
“หมดแล้ว” เขาพยักหน้ารับแล้วก้มมองเมนูอาหารต่อ“
“ถ้าพวกแกสองตัวจะสวีทกันขนาดนั้นทำไมไม่กลับไปทำกันที่ห้องให้มันรู้แล้วรู้รอดเลยวะ” พี่นานาบะยกเมนูปิดหน้าไว้ครึ่งหนึ่งแล้วบ่นให้เราสองคน
“ก่อนมาก็ทำไปแล้ว.....พี่ก็เห็นนี่นา
แต่กลับไปแล้วค่อยว่ากันอีกทีว่าจะอีกสักกี่รอบ”
“ฉันก็ว่าฉันด้านแล้วนะ
แต่หน้าแกมันหนากว่าฉันเยอะจริงว่ะ.....รีไว แต่ดูจากเวลาแล้วถ้ากลับไปส่งเอเลนคงไปไม่ทันกองแน่ๆ”
“เดี๋ยวผมกลับเองก็ได้ครับ”
ผมหันไปบอกกับพี่นานาบะ ก็รู้สึกเกรงใจอยู่เหมือนกันนะ
“ไม่ได้!!! ถ้าหนีไปอีกจะทำยังไง” รีไวหันมาตวาดใส่ผม.........เจ้าเด็กโข่งนี่!!!!
“ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะจะได้มาวิ่งเล่นไล่จับกัน
ฉันบอกว่าจะไม่ไปไหนก็คือไม่ไปนั่นแหละ”
บางครั้งหมอนี่มันก็ไร้เหตุผลจนผมรู้สึกเอือม
“ไปด้วยกันนี่แหละ
เสร็จงานค่อยกลับพร้อมกัน”
และผมก็รู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทางเป็นที่สุด
ในสตูดิโอทีมงานทุกคนกำลังง่วนอยู่กับการเซ็ทอุปกรณ์ฉากแสง ผมที่เพิ่งจะเคยเห็นการถ่ายภาพโปรโมทซิงเกิ้ลของรีไวครั้งแรกได้แต่ยืนอยู่ข้างพี่นานาบะทำตัวให้เล็กลีบไปกับผนังมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
นางแบบฝรั่งตัวสูงผมทองเดินเข้ามาก่อน
ผมเห็นผู้ชายร่างสูงผมบลอนด์เดินเข้าไปคุยกับเธอและจัดวางท่าทางให้เธอลองโพสดูหลายๆแบบขณะนั้นเองรีไวก็เดินเข้ามาด้วยสภาพเปลือยอกกับกางเกงเข้ารูป
สร้อยเงินเส้นโตที่คอและแหวนขนาดใหญ่ที่นิ้วและหน้าที่แต่งโทนเข้มกับผ้าขนนกสีดำที่ใช้คล้องคอทำให้เขาดูแปลกตาเหมือนพวกอีโมบอย
“หล่อล่ะสิ......ชอบใช่มั้ย”
เจ้าตัวเอ่ยด้วยรอยยิ้มกริ่ม
“ยังไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย” ผมตอบกลับด้วยความหมั่นไส้
“คอยดูเสน่ห์ของฉันให้ดีๆเอเลน
แล้วนายจะหลงโดยไม่รู้ตัว” รีไวกล่าวเสียงเบาเงยหน้ากระซิบข้างใบหู
ผมต้องผักเขาออกอย่างเนียนๆ ถ้าคนอื่นบังเอิญเห็นเข้ามันคงไม่ดีกับตัวเขาเอง
“เฮ้!!! ตรงนั้นน่ะ ยังมัวมาโอ้เอ้อยู่ได้”
ผู้ชายร่างสูงที่คุยอยู่กับนางแบบสาวหันมาว้ากใส่มุมที่เรายืนอยู่
รีไวหน้าตึงขึ้นทันที ตอนแรกผมคิดว่าสองคนนี้คงมีเรื่องกันแน่ๆแต่รีไวก็แค่เดินเข้าไปนั่งลงบนโซฟาสีแดงที่ตั้งอยู่กลางสตูด้วยสีหน้าสบายๆ
“ก็รู้ๆกันดีว่าเจ้านั่นมันเลือดร้อนแค่ไหน
แต่พอเป็นเรื่องของงานแล้วก็ใจเย็นใช้ได้เลยนะ
เสียก็แต่ชอบออกนอกลู่นอกทางประจำนี่แหละ” พี่นานาบะกระซิบคุยกับผมด้วยรอยยิ้มชื่นชมน้องชายเป็นที่สุด
“การร้องเพลงคือความฝันของรีไวครับ
เจ้าตัวเขาคงไม่ยอมละทิ้งความฝันของตัวเองไปง่ายๆหรอก” ผมเอ่ยขณะที่ทอดสายตามองชายหนุ่มที่นั่งเอกเขนกอยู่บนโซฟา
สีหน้าเคร่งขรึมจริงจังแบบนั้นใช่จะได้เห็นกันได้บ่อยๆ ส่วนมากก็เห็นแต่เวลาหื่นๆเสียมากกว่า
“แต่หลังจากนี้คงไม่ต้องห่วงแล้วล่ะในเมื่อเอเลนกลับมาแล้ว
เจ้านั่นมันคงไม่ทำตัวน็อตหลุดอีก
รู้รึเปล่าหลังจากที่เอเลนย้ายบ้านไปไม่ทิ้งช่องทางอะไรไว้ให้ติดต่อสักอย่างเจ้านั่นน่ะมันเสียศูนย์ไปเป็นปีๆ
พี่ต้องเคี่ยวเข็ญทั้งผลัก ทั้งดันมันตั้งมากมายกว่าจะตั้งหลักได้
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่เลิกที่จะตามข่าวของนายเลยนะ คิดแล้วก็น่าสงสาร
แต่ก็สมน้ำหน้าเพราะมันทำตัวเองแท้ๆ......ถ้าเพียงแต่มันจะเข้าใจตัวเองสักนิด พี่ว่าพวกนายสองคนคงไปกันได้ดีกว่านี้”
ถ้าเพียงแต่รีไวจะเข้าใจตัวเองสักนิดเหรอ........แล้วไงล่ะในเมื่อเจ้านั่นมันมองผมเป็นแค่เพื่อนเท่านั้นนี่นา
“มองไปทางไหน!!! กล้องอยู่ทางนี้ยังจะมองไปที่อื่นทำไม เสียเวลามามากแล้วนะ
ถ้าทำไม่ได้ก็กลับไปเลย”
เสียงตวาดดังลั่นจากชายผมทองที่ตอนนี้ย้ายตัวเองไปอยู่หลังเลนส์กล้องแล้วทำให้ผมสะดุ้ง
รู้สึกว่าเมื่อครู่รีไวจะมองมาทางพวกผมอยู่นะ
“สองคนนั้น มีเรื่องกันหรือครับ”
“เปล่าหรอก ก็ประมาณว่าศรศิลป์ไม่กินเส้นอะไรแบบนั้นมากกว่า
พวกที่มีทั้งพรสวรรค์และศิลปะในตัวมาเจอกันมันก็ข่มกันเป็นธรรมดา ตากล้องคนนั้น
เอลวิน สมิธ ส่วนมากจะรับงานที่ต่างประเทศมากกว่า
ศิลปินบ้านเรามันน้อยคนนักที่จะได้ไปปรากฏอยู่ในเลนส์กล้องของเขา.....คือโดยส่วนมากแล้วเขาจะเลือกคนถ่ายด้วยตัวเอง
ถ้าไม่พอใจก็ไม่ทำอะไรประมาณนั้น แต่สำหรับรีไว
ตั้งแต่ซิงเกิ้ลแรกจนถึงตอนนี้ก็ได้ผู้ชายคนนี้แหละที่ควบคุมการถ่ายภาพโปรโมทและมิวสิควิดีโอทั้งหมดให้
เห็นไม่ถูกกันแบบนั้น แต่เหมือนสองคนนั้นจะจูนหากันได้ดีกว่าที่คิดนะ
เอลวินเป็นคนที่สามารถดึงเสน่ห์ของรีไวออกมาได้มากที่สุดเมื่ออยู่ต่อหน้ากล้องของเขา
และรีไวเองก็ดูเหมือนจะตอบโจทย์ของเอลวินได้อย่างที่สุดว่าเขาต้องการอะไร พวกอารมณ์ศิลปินก็งี้แหละสรุปแล้วไอ้ที่โวยวายใส่กันนี่มันก็ธรรมดาแหละแต่จริงๆก็ไม่มีอะไรหรอก”
เอลวินที่กำลังอยู่ในอารมณ์ขุ่นมัวสุดขีดไล่สายตามองตามเจ้านักร้องหนุ่มเจ้าปัญหาที่ดูเหมือนว่าวันนี้สมาธิจะไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ไปหยุดอยู่ที่นานาบะที่เป็นทั้งพี่ชายและผู้จัดการส่วนตัวและชายหนุ่มร่างบางอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆกัน
ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน.........แต่สายตาเร่าร้อนเวลาที่หมอนี่มันมองผู้ชายคนนั้นมันหมายความว่ายังไงกัน
“เปลี่ยนตัวนางเอก!!!” อยู่ดีๆเอลวินก็ร้องตะโกนขึ้น
นางแบบสาวโวยวายกับเขาอยู่พักใหญ่ก่อนจะเดินปึงปังออกจากสตูไป
“เอาแล้วไง
อารมณ์ศิลปินของหมอนั่นมันกำเริบอีกแล้วเหรอเนี่ย ต้องเลิกกองกลางคันอีกมั้ยเนี่ย”
พี่นานาบะบ่นพร้อมกับทึ้งผมตัวเองด้วยความเครียดจัด
“ไม่เอาแม่สาวผมทองคนนั้นแล้วจะไปหานางเอกมาจากที่ไหน”
รีไวเอ่ยถามเสียงเข้ม ในขณะที่เอลวินชี้นิ้วมายังจุดที่ผมยืนอยู่
“นั่นไง!!!”
เหมือนทีมงานก็จะตกใจอยู่ไม่น้อย
ถึงเขาจะเป็นช่างภาพยอดฝีมือก็เถอะ
แต่ถ้าไม่ได้มองผ่านเลนส์เขาอาจจะเห็นอะไรไม่ชัดก็ได้
“คือ.......ผมเป็นผู้ชายนะครับ”
ผมเอ่ยตอบเขาไป เอลวิน สมิธถอนหายใจตอบเสียงดัง
“ไปเปลี่ยนชุดแล้วแต่งหน้าซะ
สิบนาทีพอก่อนที่ฉันจะหมดอารมณ์”
ผมมองหน้าพี่นานาบะอย่างจนปัญญา
เขาตบไหล่ผมเบาๆก่อนจะเดินไปเคลียร์ให้
“มันจะไม่ผิดคอนเซ็ปต์ไปหน่อยรึไง
ใช้ผู้ชายเนี่ยนะ”
“ซิงเกิ้ลนี้ eat
you up ใช่มั้ย ฉันไม่เห็นว่ามันจะแปลกตรงไหน” เอลวินตอบด้วยท่าทางรวนๆ
“คือมันควรจะเป็นผู้หญิงมากกว่าไม่ใช่เหรอ”
พี่นานาบะยังคงไม่ยอมรามือง่ายๆ
“แล้วไอ้ ‘you’
ที่ว่านี่มันหมายถึงผู้หญิงอย่างเดียวเหรอ จะเป็นผู้ชายไม่ได้รึไง
ชายกับหญิงจะถูกดึงดูดเข้าหากันมันก็เป็นเรื่องธรรมชาติของโลกอยู่แล้ว
แต่ผู้ชายที่มีเสน่ห์ดึงดูดผู้ชายด้วยกันให้ตกหลุมรักได้เนี่ย
มันจะไม่เซ็กซี่กว่ารึไง”
“............”
พี่นานาบะถึงกับเถียงไม่ออก
“แล้วนาย มีปัญหามั้ย”
เอลวินหันไปถามรีไวซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มรับก่อนจะตอบ
“เป็นตรรกะแปลกๆที่ฟังดูสมเหตุสมผลดี”
“ถ้าเจ้าตัวเขายอมรับก็ตกลงตามนี้
สิบนาที ไปแก้ผ้าแล้วแต่งหน้ามาซะ!!!!”
ก่อนที่เอลวินจะฉุนขาดไปมากกว่านี้ผมก็ถูกพวกสไตล์ลิสท์ลากเข้าไปรุมสกรัมในห้องแต่งตัวแล้ว
“เขยิบเข้าไปใกล้กว่านี้
วางมือลงบนไหล่ปล่อยตัวสบายๆ แอ่นสะโพกขึ้นมานิดๆ”
เอลวินดันผมให้แทรกเข้าไปกลางหว่างขาของคนที่นั่งอยู่บนโซฟาด้วยรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม
“ผ้าคลุมน่ะปล่อยมันร่นลงมาอีก”
“แต่นี่ก็ต่ำมากแล้วนะครับ”
ผมพยายามเอ่ยประท้วง ทั้งเนื้อทั้งตัวผมมีแค่ไอ้ผ้าคลุมผืนบางที่ห่มทับไว้ส่วนล่างซึ่งมันถูกร่นลงมาจนก้นผมจะโผล่อยู่แล้ว
นี่เขายังต้องการขนาดไหนอีก ไม่บอกให้ผมถอดไปเลยให้มันจบๆล่ะ
“รีไว.....เอนตัวมาพิงสีข้างเขาซะ
มือหนึ่งโอบบั้นเอว อีกข้างวางลงไปบนเนินแก้มก้น ปั้นหน้านิ่งไว้
ใช้สายตาแสดงออกมาว่านายอยากจะกลืนกินคนในอ้อมกอดนี้”
รีไวสามารถโพสท่าตามที่เอลวินบอกได้อย่างลื่นไหลในขณะที่ผมเกร็งสุดชีวิต
“ปล่อยตัวสบายๆ
แอ่นสะโพกขึ้นมาเยอะกว่านี้ ฉันจะถ่ายแค่ด้านหลัง รับรองจะไม่มีใครเห็นหน้าและจะไม่มีใครรู้ว่านายเป็นใคร”
เอลวินกล่าวขณะที่วางมือสัมผัสลงบนแผ่นหลังของผมซึ่งรีไวก็รีบปัดมือเขาออกแทบจะในทันที
ทำให้เขานิ่งไปชั่วครู่ สองคนจ้องตากันเงียบๆก่อนที่รีไวจะเอ่ยขึ้น
“เริ่มสักที
เราเสียเวลามามากพอแล้ว”
ช่างภาพมือทองยอมถอยทัพไปอยู่หลังเลนส์กล้องแต่โดยดี
พร้อมทั้งส่งสัญญาณให้รีไวมองกล้อง
เสียงกดชัตเตอร์ดังรัวไม่หยุดแสงแฟลชและแสงไฟส่องจ้าจนผมรู้สึกแสบตา
“แนบหน้าเข้ากับสีข้างให้ชิดๆเลย”
ใบหน้าคมยื่นมาแนบที่บั้นเอวแถมยังแอบใช้ปลายจมูกถูไถสีข้างผมเบาๆให้ผมสะดุ้งเล่น
เสียงกดชัตเตอร์หยุดไปชั่วครู่ ผมคิดว่าคงโดนด่าแน่ๆ
แววตาซุกซนยั่วเย้าเล้าโลมแบบนั้นนี่มันต่างจากเมื่อก่อนหน้านี้ลิบลับ.......จะทำก็ทำได้นี่
เอลวินลอบยิ้มหลังมุมกล้องก่อนจะเอ่ยคำสั่งสุดท้ายออกมา
“ยกสุดท้ายฉันจะถ่ายสแน็ปช็อต
อยากจะทำแบบไหน โพสยังไงก็จัดการได้เลย”
พอจบคำนั้นผมก็รู้สึกว่ามือใหญ่เริ่มไต่ไปตามแนวสันหลังเบาๆชวนให้ขนลุก
มืออีกข้างที่ว่างก็บีบคลึงสะโพกผมจนผ้าคลุมแทบจะหลุดติดมือเขาไปจริงๆ
ลิ้นอุ่นๆโลมไล้เบาๆที่สีข้างก่อนที่รีไวจะขบลงบนบั้นเอวผมจนเป็นรอยฟันคมเด่นหราทำให้ผมอับอายจนแทบไม่กล้าเงยหน้า
เสียงฮือฮาซุบซิบจากเหล่าสตาฟสาวดังมาเป็นระยะๆ
“ใช่ แบบนั้นแหละ
ดี......ดีมาก” เสียงชมและเสียงชัตเตอร์ดังรัวไม่ขาด
ผมได้แต่ภาวนาขอให้ช่วงเวลาชวนอับอายนี้ผ่านไปให้เร็วที่สุดเท่านั้น.......
กว่าจะเสร็จจากการถ่ายทำจนกลับมาถึงห้องก็ค่อนข้างมืดแล้ว
“จะกินอะไรมั้ย” ผมจัดข้าวของเก็บเข้าที่แล้วเดินมาถามคนที่นั่งอยู่หน้าทีวี
“ยังไม่หิว......
อยากทำอย่างอื่นมากกว่า” รีไวเดินมาหาผม มือใหญ่นวดคลึงต้นคอผมเบาๆ
“ไม่ไหวล่ะ ทั้งเหนื่อย
ทั้งเครียด” ผมสัญญาเลยว่าต่อไปนี้จะไม่ไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับวงการบันเทิงอีกแล้ว
“ทำอีกไม่ได้รึไง....” อ้อนอีกแล้วนะ
“ไม่เหนื่อยบ้างเหรอ....ฉันเหนื่อยจะแย่” เขาค่อยๆดันผมกลับเข้าไปในห้องนอน
“เหนื่อยก็อยู่เฉยๆสิ....เดี๋ยวฉันทำให้เอง” เขากระซิบเบาๆแล้วขบใบหูผม
“...........”
“นะ.....เอเลน”
อสูรร้ายตนนี้นึกอยากจะพูดอะไรก็พูด
อยากจะทำอะไรก็ทำ และก็เป็นอีกครั้งที่ผมขัดไม่ได้เสียด้วยสิ
........................................
“อืม...ได้ เดี๋ยวจะออกไป
เจอกันที่นั่นเลยแล้วกัน” ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งได้ยินเสียงรีไวพูดกับใครบางคน....อาจจะเป็นโทรศัพท์ล่ะมั้ง
เขาลุกขึ้นแต่งตัวด้วยความรวดเร็ว ผมได้แต่นั่งมองเขาเงียบๆ รีไวยังคงดูดีในทุกเวลาทุกสถานการณ์
ถึงแม้ห้องนอนจะมืดมากก็ตามที
“ตื่นแล้วหรอ”
“อืม.......”
“ไม่ถามหรอว่าฉันจะไปไหน”
“.......จะไปไหน” เขายิ้มอย่างพอใจทันทีเมื่อผมตั้งคำถาม
“นัดกับสาวๆเมื่อตอนกลางวันไว้.....คืนนี้คงไม่กลับ”
“...........”
“ทำไมทำหน้าแบบนั้น” เขาเดินมานั่งลงบนเตียง ลูบแก้มผมเบาๆ ว่าแต่.....ผมทำหน้าแบบไหนกันล่ะเนี่ย
“ฉันทำหน้าแบบไหน”
“เหมือนไม่อยากให้ฉันไป”
“............”
“บอกสิว่าจะยอมให้ทำอีก.....แล้วคืนนี้จะไม่ไปไหน”
“จะไสหัวไปทางไหนก็รีบไปเถอะ
รีไว” ผมปัดมือเขาออกแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมตัวไว้
เขาหัวเราะลั่น ช่วยดึงผ้าห่มคลุมตัวผมอย่างเรียบร้อย
“ถ้าไม่ใส่เสื้อผ้าให้ดีๆ
ก็ต้องห่มผ้าหนาๆจะได้ไม่เป็นหวัด” ประตูห้องปิดลง
ความเงียบสงัดเข้ามาแทนที่
“ไปแล้วจริงๆสินะ”
ผมลุกจากที่นอนดึงผ้าห่มมาพันตัวลวกๆออกไปยืนริมระเบียงมองลงไปข้างล่าง
ไม่นานก็เห็นรถพอร์ชสีดำขับออกไป
นี่ผมกำลังหวังอะไรกัน
คาดหวังอะไรจากผู้ชายคนนั้น
ในเมื่อเราไม่ได้เป็นอะไรกันมากไปเกินกว่าความเป็นเพื่อน เพื่อนที่ผูกพันกันด้วยความสัมพันธ์ทางกายเท่านั้น
รีไวก็ยังคงเป็นรีไวเหมือนเดิม
ไม่เคยแคร์ความรู้สึกของใครเลยนอกจากความพึงพอใจของตัวเอง
มันก็เหมือนอย่างที่เขาพูด ระหว่างผมกับเขามันก็เป็นเพียงแค่เซ็กซ์เฟรนด์เท่านั้น
ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้นเลย
“รีไว.....ผู้ชายเฮงซวย”
ผมมองนาฬิกาบนผนังขณะที่ชงกาแฟและปิ้งขนมปังไปด้วย
“เจ็ดโมงกว่าแล้วยังไม่กลับมาอีกนะ” ก็ไหนมันบอกว่ามีงาน แต่ป่านนี้ยังไม่กลับมาอีก ฟ้องพี่นานาบะดีมั้ยนะ
เสียงปิดประตูปึงปังเข้ามาก่อนที่ผมจะเห็นใครบางคนวิ่งผ่านห้องครัวไป
ผมยกกาแฟกับขนมปังออกไปให้เขา รีไวรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมานั่งดื่มกาแฟ
“ผู้หญิงพวกนั้นไม่ได้เรื่องจริงๆ
บอกให้ปลุกก็ดันเมาพับกันไปหมด”
“ก็ไม่บอกให้ฉันโทรไปปลุก” ผมยื่นกาแฟให้ รีไวชะงักไปเล็กน้อย
“จริงสินะ....นายก็อยู่ลืมไปเลย
ไว้คราวหลังก็แล้วกัน” เขาดื่มกาแฟหมดรวดเดียวจุ๊บปากผมเบาๆ แล้วคว้ากุญแจรถวิ่งออกไป
“เจอกันตอนเย็นนะ” เสียงประตูห้องปิดลงก่อนที่ผมจะทันได้ตอบเขาด้วยซ้ำ
“อืม....แล้วเจอกัน”
ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ
ในเมื่อผมจะอยู่ที่นี่หรือไม่มันก็ไม่แตกต่างอะไรกันอยู่แล้ว รีไวยังจะบังคับให้ผมอยู่ที่นี่เพื่ออะไร
หรือเพราะเรื่องเซ็กซ์เฟรนด์อย่างนั้นเหรอ
แต่ก็เห็นกันอยู่ว่าถึงแม้ไม่ใช่ผมเขาก็ยังมีคนอื่นอีกมากมายที่พร้อมจะพลีกายให้กับเขา
สถานะการคงอยู่ของผม ณ เวลานี้ สำหรับเขามันคืออะไร อยากจะถามให้ชัดเจนแต่ก็รู้สึกหวาดกลัวกับคำตอบที่จะได้รับกลับมาเหลือเกิน
ยิ่งกว่านั้นที่ผมไม่เข้าใจมากที่สุดก็คือ
ตอนนี้ที่ผมจำยอมอยู่กับเขามันเป็นเพราะคำสั่งที่เขาเคยบอกไว้
หรือเป็นเพราะความรู้สึกส่วนลึกของหัวใจที่จองจำผมไว้กับเขากันแน่
ผมเดินกลับเข้าห้องนอนเก็บเสื้อผ้าที่รีไวถอดทิ้งเรี่ยราดไว้จะไปซัก
“กลิ่นน้ำหอมผู้หญิง”
เขาก็บอกอยู่ว่านัดกับพวกเธอไว้
ก็ไม่เห็นน่าแปลกใจตรงไหน
ผมโยนเสื้อผ้าลงถังแล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเครื่องซักผ้าต่อไป เอาล่ะสิ
ตอนนี้ก็ว่างแล้วนี่ จะทำอะไรดีล่ะ
มองดูสภาพห้องที่ชักจะเริ่มรกขึ้นมาหน่อยๆแล้วก็ทนไม่ไหว
“ยังไงก็ดีกว่าอยู่เฉยๆล่ะ......ฟุ้งซ่านเสียเปล่าๆ” เช็ดนู่น ปัดนี่ เก็บตรงนั้น จัดตรงนี้ไปเรื่อยเปื่อย
พอมานั่งพักที่โซฟาก็นั่งทับวัตถุสีดำบางอย่างเข้า
“กระเป๋าสตางค์ของไอ้บ้านั่นนี่” รีบจนลืมของสำคัญเชียวนะ.....เอาไงดีล่ะ
ผมคว้าโทรศัพท์มากดโทรออกรายชื่อเดียวที่มีอยู่ในเครื่อง
“ฮัลโหล....ว่าไงเอเลน”
“พี่นานาบะเหรอครับ.....รีไวล่ะครับ”
“รีไวกำลังถ่ายแบบอยู่เลยเอาโทรศัพท์ไว้กับพี่
มีอะไรหรือเปล่าเอเลน”
“คือ รีไวลืมกระเป๋าสตางค์ไว้ที่ห้องน่ะครับ”
“จริงน่ะ.....ไอ้เด็กนี่มันสะเพร่าจริง”
“จะให้ผมทำไงล่ะครับ”
“ว่างอยู่สินะ
เอามาส่งหน่อยได้มั้ย”
“ครับ...ที่ไหนล่ะครับ”
“งั้นก็มาที่.........”
ผมนั่งแท็กซี่มาตามที่พี่นานาบะบอก
แล้วจอดลงที่หน้าบริษัทขนาดใหญ่
“เอโอทีคอร์เปอร์เรชั่น
ดูเหมือนจะถูกที่อยู่นะ” ผมตัดสินใจเดินเข้าไปในบริษัทตรงเข้าไปหาประชาสัมพันธ์สาว
“มีอะไรให้ช่วยไหมคะ”
“ผมนัดคนไว้น่ะครับคุณนานาบะ”
“อ๋อ คุณเอเลน เยเกอร์ใช่มั้ยคะ
คุณนานาบะแจ้งไว้แล้วค่ะ”
“ครับ....”
“ขึ้นลิฟต์ตัวนี้ไปนะคะชั้นสิบห้า
สตูดิโอที่สิบสามค่ะ”
“ขอบคุณครับ” ผมเดินไปตามเส้นทางที่เธอบอกจนไปถึงห้องที่เธอว่า
ประตูถูกแง้มเอาไว้เล็กน้อย ผมค่อยๆแทรกตัวเข้าไปข้างในไม่อยากจะรบกวนพวกสต๊าฟที่กำลังทำงานกันอยู่
สตูดิโอถูกเซ็ทฉากเป็นห้องใต้ดินทึมๆที่มีน้ำขัง
ในฉากประกอบด้วยมือกลองหนุ่มร่างใหญ่
สาวแว่นมือเบสและรีไวที่ทำหน้าทีร้องนำพร้อมทั้งเล่นกีตาร์ไปด้วย แสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปส่องวูบวาบจับทุกอิริยาบถที่เขาเคลื่อนไหว
ผมไม่สามารถถอนสายตาไปจากชายคนนั้นได้ รีไวที่ผมรู้จักกับชายคนนี้ราวกับเป็นคนละคน
เมื่ออยู่ต่อหน้ากล้อง เขาช่างดูมุ่งมั่นเปล่งประกาย
สายตาที่ทอดมองออกมาสื่อความหมายอย่างชัดเจนว่าเขาอยู่เหนือทุกคน ไม่มีใครสามารถต้านทางมนต์สะกดเขาได้.......รวมทั้งผมด้วย
“ตกใจใช่มั้ยล่ะ” ผมสะดุ้งเมื่อมีมือใครบางคนวางลงบนไหล่ พี่นานาบะหัวเราะเบาๆเมื่อเห็นผมตกใจ
“ถึงแม้ว่าเวลาปกติจะนิสัยไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
แต่เวลาทำงานไอ้เด็กคนนี้ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยนะ”
“รีไวเป็นคนที่มีเสน่ห์อยู่ในตัวเองอยู่แล้วครับ.....แต่รู้สึกว่าพออยู่หน้ากล้องแล้วจะปล่อยฟีโรโมนออกมารุนแรงเป็นพิเศษ”
“พักก่อน....เปลี่ยนชุด เซ็ทฉากใหม่” เอลวินเอ่ยสั่งพักกองก่อนจะตะโกนไปหารีไว
“ถ้าจะเช็ครูปก็ไปดูซะ”
“ไม่จำเป็น.....”
รีไวผลักพวกสไตล์ลิชที่มะรุมมะตุ้มเขาอยู่ออก
แล้วเดินตรงมาหาพี่นานาบะ และเอ่อ.....ผม เขายืนอยู่ตรงหน้าทอดสายตานิ่งๆ
นัยน์ตาสีเข้มดุดันจับจ้องมาที่ผม
“มาทำไม”
“ฉันเอากระเป๋าสตางค์มาให้”
“ใครใช้ให้มา”
“ฉันบอกให้เอเลนเอามาให้เองแหละ”
“ผมถามเอเลน ไม่ได้ถามพี่”
“ก็มีหลักฐานสำคัญหลายอย่างกลัวว่านายจะต้องใช้”
“แล้วมาที่นี่ได้ยังไง”
“ฉันบอกทางเอเลนเองแหละ”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ถามพี่....อย่าเจ๋อ”
รีไวหันไปขึ้นเสียงกับพี่นานาบะอีกรอบ
“ฉันโทรหานายแต่พี่นานาบะรับแทน
พี่นานาบะก็เลยบอกทางให้” นี่เขาจะอยากให้ผมตอบทำไมก็ในเมื่อมันเป็นคำตอบเดียวกันกับพี่นานาบะอยู่แล้ว
“เอากระเป๋ามาแล้วกลับไปซะ
ฉันเปลี่ยนชุดออกมาคงจะไม่เห็นนายอยู่ที่นี่อีก” เขาดึงกระเป๋าไปจากมือผมแล้วเดินเข้าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าไป
“จำเป็นต้องโมโหขนาดนั้นเลยรึไง”
“อย่าไปสนใจมันเลยเอเลน รีไวมันเหวี่ยงใส่เอลวินไม่ได้ก็เลยมาเหวี่ยงใส่เราแทน
ไหนๆก็มาแล้ว รอกลับพร้อมกันเลย นั่งรออยู่แถวนี้ก่อนก็ได้พี่ขอไปเช็ครูปก่อนนะ”
ผมจึงเลือกหามุมสงบที่ค่อนข้างจะปลอดสายตาคนแล้วนั่งรออยู่ตรงนั้นแทน
“อุตส่าห์ถ่อมาไกลขนาดนี้ยังจะมาว่ากันอีก....ไอ้หมาบ้ากัดคนอื่นเขาไปทั่ว”
“เอลวิน
ขอฉันดูรูปเมื่อครู่นี้หน่อย”
ชายหนุ่มร่างสูงที่กำลังเช็คกล้องคู่ใจหันไปมองชายหนุ่มร่างบางที่เข้ามาพูดด้วย
“ขนาดเจ้าตัวมันยังไม่สนใจ นายก็ยังอยากจะดูอยู่เหรอ....ไม่มั่นใจฝีมือฉันรึไง”
“ฉันรู้ที่รีไวมันไม่ดูก็เพราะมันรู้จักฝีมือนายดี
แต่ยังไงฉันก็เป็นผู้จัดการมัน อีกอย่างรีไวมันก็เป็นน้องชายฉันด้วย จะสนใจเรื่องของมันหน่อยไม่ได้รึไง”
“ก็ตามสบายไม่ได้ว่าอะไร”
ร่างสูงละความสนใจจากคู่สนทนาหันมาเล่นกล้องตัวโปรดต่อ
มือใหญ่กดชัตเตอร์ถ่ายภาพนู้นภาพนี้ไปเรื่อยเปื่อย
เลนส์กล้องที่กวาดไปตามมุมต่างๆของห้องจับโฟกัสไปได้ที่มุมแคบๆริมหน้าต่างที่ซึ่งเอเลนนั่งอยู่
“อืม....ว่าจะถามตั้งแต่เมื่อวาน
เด็กใหม่เหรอ”
ร่างสูงปรับโฟกัสกดชัตเตอร์ถ่ายภาพชายหนุ่มร่างบางที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกแอบถ่ายอย่างเพลินมือ
ปกติไม่ค่อยจะได้ถ่ายอะไรที่มันดูสบายๆผ่อนคลายสักเท่าไหร่
พอมาเจอบรรยากาศของคนๆนี้เข้าก็เลยอดไม่ได้ที่จะต้องเก็บภาพเอาไว้
“เป็นคนที่ให้ความรู้สึกสงบ
นุ่มนวลดีจริงๆเลยนะ....”
“อะไรนะ!!!!” นานาบะหันไปถามคนที่กำลังบ่นอะไรไปเรื่อยเปื่อยคนเดียว เอวินรีบบอกปัด
“เปล่า ไม่มีอะไร....ดูแล้วเป็นไง”
“เป๊ะว่ะ” เอลวินพยักหน้ารับก่อนจะหันไปสั่งกับทุกคน
“ขออีกซีนแล้วค่อยพักกอง”
“รีไวเดี๋ยวจะไปไหน” เขาไม่ยอมพูดพร่ำทำเพลงหลังจากพักกองเสร็จ ก็ลากตัวผมออกมาจนถึงห้องแต่งตัวนะ
“ทำไมไม่กลับ”
“พี่นานาบะบอกว่ารอกลับพร้อมกันก็ได้นี่
รีไวอย่าบีบแรง มันเจ็บ”
“ฟังพี่นานาบะทำไม
นายควรจะรู้นะว่าควรจะเชื่อฟังใคร....เอเลน” มือใหญ่กดผมลงกับผนังห้อง.......ก็บอกว่าอย่าแรงได้มั้ยกูเจ็บ
“ฉันแค่อยากเห็นนายตอนทำงานก็แค่นั้น”
“แต่ฉันไม่อนุญาต....ที่ไม่ฟังนี่
อยากถูกทำโทษใช่มั้ย” มือใหญ่สอดไล้เข้ามาในเสื้อผม......อีกแล้วเหรอ
นี่มันจะทำอีกแล้วเหรอ
“รีไว....อย่า”
“ที่ขัดขืนฉันบ่อยๆเนี่ย
เรียกร้องความสนใจใช่มั้ย ปากบอกว่าไม่ แต่ทำไมชอบหาเรื่องให้ฉันลงโทษทุกที
ถ้าชอบก็บอกกันดีๆก็ได้ ฉันยินดีจัดให้อยู่แล้ว”
เรื่องอะไรจะบอกล่ะ....ว่าชอบ
“ขอโทษ”
“ฉันขอโทษปล่อยเถอะ......เดี๋ยวมีคนเห็น” มือใหญ่เริ่มปฏิบัติการปลุกเร้ามังกรตาเดียวของผมอีกแล้ว.....อ๊า....ใจเย็นเพื่อน
“คนมาเห็นก็ดี.....เร้าใจออก” แต่ผมไม่เร้าใจกับมันด้วยเนี่ยสิ.....กูอายเป็นนะเฟ่ย!!!
“อึ่ก.....รีไว....พอนะ
ขอโทษ พอเถอะ”
“ทีอย่างนี้ล่ะเสียงอ่อนเสียงหวานเชียวนะ
เวลาที่อยากได้ทำไมไม่หัดอ้อนฉันแบบนี้บ้างล่ะ ชอบหาเรื่องขัดใจให้ฉันหงุดหงิดทุกที
หรือว่าที่จริงแล้วชอบแบบเร้าอารมณ์อย่างนี้กันแน่”
“ไม่.....อ๊า.....รีไว
พอเถอะ”
“ทำหน้าได้อารมณ์แบบนี้ยังจะบอกให้หยุดอีกเหรอ
จะบอกอะไรให้นะเอเลน รู้มั้ย.....เด็กดื้อต้องถูกลงโทษ”เสียงทุ้มกระซิบที่ข้างหูผม.....อืม
จะลงโทษก็ไม่ว่า แต่ขออย่างได้มั้ย กลับห้องเถอะ จะยอมให้ลงโทษทั้งคืนเลยก็ได้
“โอ๊ะ....โทษที
ลืมเคาะประตู” เสียงประตูห้องเปิดออกพร้อมกับใครบางคนที่เดินเข้ามา
“ไม่นึกว่ามีใครใช้ห้องอยู่น่ะ”
“เห็นแล้วก็ใสหัวออกไป” รีไวหันกลับไปตอบเขา
“ท่าทางดูยุ่งๆนะ
เล่นอะไรกันอยู่ล่ะ......ขอเล่นด้วยคนได้มั้ย” เอลวินเดินเข้ามาใกล้
ผมรีบกระชับเสื้อผ้า พยายามทำตัวให้ลีบที่สุด ในขณะที่รีไวก็เอาตัวบังผมไว้อีกที
“ไสหัวไปเอลวินถ้าเข้ามาใกล้มากกว่านี้
มันคงไม่จบง่ายๆเหมือนตอนถ่ายแบบแน่” สายตาคมตวัดมองคนมาขัดจังหวะอย่างเอาเรื่อง
เอลวินมองสบสายตาพิฆาตคู่นั้นแล้วก็นึกสำเหนียกในใจ
มันเอาจริงว่ะ.........
“ไม่เคยเห็นหวงขนาดนี้
มีอะไรดีๆรึไง”
“ไสหัวไป” ย้ำ ชัดถ้อยชัดคำอีกครั้ง
“.....น่าแปลกใจจริงๆ
ไม่ค่อยจะได้เห็นท่าทางหมาหวงก้างแบบนี้เท่าไหร่.....ระวังให้ดีล่ะ
ยิ่งหวงมากก็ยิ่งมีคนอยากแย่ง.... ฉันไปล่ะ” น้ำเสียงกวนบาทาหายออกไปในขณะที่ประตูปิดลง
“วอนตายแล้วมั้ยล่ะ.....เอลวิน
สมิธ” รีไวสบถรอดไรฟัน
ผมรีบถือโอกาสตอนที่เขากำลังเหวี่ยงจนลืมอารมณ์หื่นหาทางเอาตัวรอด
“รีไว.....ปล่อยเถอะ....นะ” พยายามอ้อนแบบเบาๆ เขาเงยหน้ามองผม ตอบกลับมาเสียงดังฟังชัด
“ไม่”
มือใหญ่บดคลึงเป้ากางเกงผมช้าๆ
“ทำไมถึงอยากให้ปล่อยล่ะ
ทั้งๆที่ตื่นขึ้นมาขนาดนี้แล้ว เพราะตื่นเต้นกลัวคนจะเห็นรึยังไง...รู้สึกขนาดนี้แล้วเก็บกดเอาไว้มากๆ
มันไม่ดีต่อร่างกายนะ ยังไงก็ต้องปลดปล่อยออกมา”
“อย่า....” ผมได้แต่ตอบออกไปเสียงสั่นในขณะที่เขาเริ่มคุกเข่าลงตรงหน้าผม
ฟันคมกัดซิปกางเกงยีนส์สีเข้มแล้วรูดลงช้าๆ
“เดี๋ยวช่วย” ลิ้นอุ่นๆที่สัมผัสกายผมผ่านเนื้อผ้าบางเบาทำให้ขนอ่อนผมลุกชัน
“รีไว.....อย่า สกปรก” เรียวลิ้นโลมไล้ไปตามส่วนอ่อนไหวเบาๆ
“ฉันจะทำความสะอาดให้” โพรงปากร้อนๆที่คอยปรนเปรอให้ทำให้ผมแทบคลั่ง
ผมจำต้องกัดริมฝีปากแน่นด้วยความหวามหวิว หอบหายใจสะท้านจนกายสั่นไหว
“รีไว.....เบาหน่อย” ความเร็วของเขาแทบจะทำให้ผมหายใจไม่ทัน
“รีไว......อ๊า.....พอแล้ว......ออก......แล้ว” น้ำสีขาวขุ่นไหลทะลักจนล้นปาก แต่ถึงอย่างนั้นรีไวก็ยังคงทำความสะอาดเอี่ยมให้ผมอย่างที่พูดจริงๆ
ผมหมดแรงจนต้องทรุดนั่งลงกับพื้น หอบหายใจราวกับปลาขาดน้ำ
มือใหญ่ช่วยจัดเสื้อผ้าของผมให้เข้าที่เข้าทาง
“ฉันใจดีทำให้ขนาดนี้
กลับไปอย่าลืมตอบแทนฉันด้วยล่ะ” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นที่มุมปาก.....เอ่อ....ได้ข่าวว่ากูไม่ได้ขอร้องเลยนะจัดมาเองทั้งนั้น
ทำเป็นมาทวงบุญคุณ
เสียงครวญครางที่ดังแผ่วออกมาจากห้องเรียกความสนใจแก่คนที่ยังไม่ยอมขยับกายหนีไปไหนจากหน้าประตูได้ไม่น้อย
“หืม.....ไม่เบานี่ ผู้ชายด้วยกันงั้นเหรอ
ท่าทางหวงๆแบบนั้น คงจะเร้าใจมากสิท่า อยากจะรู้จริงว่าจะขนาดไหน”
..............................................
ผมงัวเงียตื่นขึ้นมาอีกทีในตอนเช้าเพราะเสียงโทรศัพท์ที่กำลังแผดเสียงลั่น
หันมามองข้างๆก็เห็นว่าราหูที่เล่นอมผมทั้งคืนยังนอนหลับสนิทเป็นตายแบบนั้น
ให้ตายเถอะนี่เขาเพิ่งจะยอมปล่อยผมเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เองนะ
ผมรีบยืดตัวไปคว้าโทรศัพท์ที่สั่นครืดคราดอยู่บนหัวเตียง
“อึ่ก” รู้สึกปวดหน่วงๆที่ช่วงล่าง ขยับตัวแค่หน่อยเดียว น้ำสีขุ่นๆก็ไหลย้อนออกมาจากช่องทางลับเลอะผ้าปูที่นอนเสียแล้ว........ต้องซักใหม่อีกแล้วเหรอเนี่ย
“ไอ้อสูรมักมาก” งานนี้โทษใครไม่ได้ ต้องโทษเขาคนเดียว ว่าแต่ว่า......เบอร์นี้คุ้นๆแฮะ
รับๆไปก่อนแล้วกัน
“ครับ”
“อ้า....เอเลน แกจริงๆด้วย
ในที่สุดฉันก็ติดต่อแกได้สักที”
“.........อาร์มิน?”
...............................................TBC.
อร๊ายเห็นภาพลางๆเลยค่าาา. จะตั้งใจรอตอนต่อไปนะครัชช
ตอบลบอยู่ต่อเลยได้มั้ยยยย โปรดต่อเตอะไรท์ พรีสสสสสส รอมาตั้ง2ปีล่ะน้าาา ต่ออีกเตอะๆ
ตอบลบ