วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์ Chapter 29


Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์ Chapter 29
ผ่าภิภพบันทึกฟาโรห์ 
Pairing: Levi x Eren 
Rate: NC-17 
Story by: AkeRah + Trendy Blood 
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!* 
………………………………………………………………  
Chapter: 29



“ว้า...................คนเยอะอย่างกับหนอนแน่ะ” เสียงอาร์มินที่กำลังถกเถียงกับมิคาสะดังแว่วฝ่าเสียงพูดคุยของกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติต่างภาษาที่แวะเวียนกันมาเที่ยวชมสถานที่แห่งนี้
“ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องมาช่วงนี้ก็ไม่เชื่อ ดูคนสิกว่าจะเข้าไปได้แล้วกว่าจะได้ออกมาเนี่ยมันเสียเวลามากแค่ไหนรู้บ้างมั้ย”
“อย่าบ่นเลยน่ามิคาสะ ไหนๆก็มาถึงกันแล้วน่า” อาร์มินตอบกลับด้วยน้ำเสียงเนือยๆ
“เฮ้!!! พวกนายเลิกบ่นแล้วเข้าไปกันเถอะ” เอเลนผู้ทำหน้าที่กรรมการห้ามทัพรุนหลังสองสหายสนิทให้เดินไหลไปกับกระแสฝูงชนที่หมายจะเข้ามหาวิหารใหญ่
ย้อนไปก่อนหน้านี้.............
“แล้วทีนี้เราจะไปไหนกันต่อ”
“ฉันจะแวะไปหาพ่อสักหน่อย หายหน้าไปนานแบบนี้เดี๋ยวจะบ่นจนหูชา”
“จะไปอียิปต์เหรอ งั้นก็ดีสิ นี่ๆดูนี่ เวลากำลังเหมาะพอดีเลย” อาร์มินหันมาสะกิดเพื่อนข้างตัวพลางส่งหน้าจอโทรศัพท์ให้ดู
มหัศจรรย์แสงแห่งมหาวิหารอาบูซิมเบล
“เนี่ย ได้เวลาพอดีเลย เขาบอกว่าทุกวันที่ 22 กุมภาพันธ์และ 22 ตุลาคมรู้สึกว่าน่าจะเป็นวันประสูติและวันขึ้นครองราชย์ขององค์ราเมสที่สองนี่ล่ะ ทุกปีรุ่งเช้าของสองวันนี้จะมีปรากฏการณ์แสงอาทิตย์ส่องลอดประตูวิหารไปตกกระทบบนรูปสลักของรูปปั้นที่อยู่ด้านในวิหารนั่นน่ะ ไหนๆเราก็จะไปหาคุณลุงกันอยู่แล้ว ไปดูที่นี่กันก่อนเถอะ”
และสุดท้ายหนุ่มสาวทั้งสามก็มาจบกันที่มหาวิหารอาบูซิมเบลนี่จนได้ เผื่อจะมาดูไอ้ปรากฏการณ์อัศจรรย์อะไรเนี่ย พวกเขาทั้งสามคนถึงกับต้องอดนอน แล้วขึ้นรถขบวนนำเที่ยวมาเฝ้ารอดูความอัศจรรย์นี้ตังแต่ฟ้ายังไม่สางกันเลยทีเดียว เพราะแบบนี้จำนวนนักท่องเที่ยวในวันนี้จึงมากเป็นพิเศษ
“ไปๆๆๆ”
หนุ่มสาวทั้งสามเกาะกลุ่มกันแน่น ขณะที่กำลังจะผ่านเข้าสู่ประตูวิหารเอเลนเงยหน้าขึ้นมองรูปสลักด้านหน้าวิหารที่สูงถึง 20 เมตรพร้อมทั้งยกกล้องในมือขึ้นมาถ่ายรูปสลักของมหาบุรุษผู้แสนจะคุ้นเคยกันดีที่ประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์ ส่วนของพระพักตร์หันออกไปทางแม่น้ำ แสดงความยิ่งใหญ่อลังการของมหาบุรุษผู้คอยปกป้องแผ่นดิน ผืนน้ำ และประชาชนของพระองค์จากที่แห่งนี้
ตาบ้าเอ้ย!!! หลงตัวเองซะไม่มี
รอยยิ้มเล็กๆจุดขึ้นบนมุมปากบาง เมื่อเริ่มเข้าสู่ตัววิหารก็ไม่สามารถถ่ายรูปได้อีกแล้ว สิ่งที่จะเก็บความงดงามและยิ่งใหญ่ของมหาวิหารแห่งนี้ไว้ได้ มีเพียงดวงตาและสมองที่บันทึกภาพเหล่านี้ไว้ในความทรงจำเท่านั้น ภายในวิหารมีเสาหินทรงสี่เหลี่ยมแปดต้นประดับด้วยรูปสลักของรามเมสที่สอง ในชุดเครื่องทรงแบบเทพ ภาพบนผนังเป็นเรื่องราวชัยชนะของฟาโรห์ในการทำสงคราม ภาพที่สำคัญที่สุดคือภาพของรามเสสที่สองบนรถม้ากำลังยิงธนูเข้าใส่ศัตรู แม้ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าจะถ่ายทอดออกมาได้แลดูสมจริงมากเพียงใด แต่สำหรับเอเลนที่เคยเห็นพระอัจฉริยภาพด้านการรบของมหาบุรุษผู้นี้มากับตาตัวเองแล้วบอกได้อย่างเดียวว่ายังห่างไกลนัก ภาพขององค์ฟาโรห์รีไวราเมสที่ประกาศศักดากลางสนามรบในชุดเกราะศึกมันวาววับที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดนั้นงดงามประหนึ่งเทพแห่งสงครามอวตารลงมาทีเดียว
“เอเลนทางนี้” มิคาสะดึงชายเสื้อเด็กหนุ่มที่ยืนเหม่อลอยให้กลับมาสมทบกับเพื่อน
“ตรงนี้ๆ คนไม่เบียดเท่าไหร่ เห็นชัดด้วย” อาร์มินกวักมือเรียกเพื่อนมารวมกันที่เสาหินสลักต้นใหญ่ พร้อมทั้งหยิบโบชัวร์ออกมาอ่าน
“ในนี้บอกว่ารูปสลักทั้งสี่ที่อยู่ในห้องนี้เรียงจากขวาไปซ้ายคือ เทพรา รามเสส เทพอามุน และเทพพทาห์ โดยเมื่อแสงส่องเข้ามาแสงจะเริ่มสาดจากองค์เทพราแล้วค่อยๆเลื่อนไปหารามเสสสุดท้ายไปหยุดที่เทพอามุน ปรากฏการณ์นี้จะคงอยู่ประมาณยี่สิบนาทีโดยที่แสงจะไม่ส่องไปถึงเทพพทาห์ที่เป็นผู้ติดต่อจากยมโลกและเจ้าแห่งความมืดเลย เหมือนจะเป็นอภินิหารนะแต่ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยการคำนวณที่แม่นยำมากคนอียิปต์โบราณนี่เก่งจริงๆ”
เอเลนได้แต่นึกในใจว่าแน่นอนว่าการคำนวณนี้ไม่พ้นต้องเป็นฝีมือของมหานักบวชสติเฟื่องผู้นั้นแน่ๆ รอกันอยู่สักครู่ไม่นานเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นก่อนที่เสียงเซ็งแซ่นั้นจะเงียบกริบด้วยความตื่นเต้นของทุกคนในที่นั้น ยามเมื่อแสงแรกแห่งดวงอาทิตย์ได้สาดส่องเข้ามาแสงสีทองสาดฉายไปยังร่างสลักของเทพเจ้าราที่ใบหน้าถูกทำลายจนไม่อาจเห็นเค้าเดิมเนื่องจากผ่านกาลเวลาอันยาวนานก่อนจะค่อยๆเลื่อนมายังรูปสลักขององค์รีไวราเมส เมื่อแสงตะวันรุ่งสาดต้องพระพักตร์จนขับให้ร่างสลักหินนั้นเรืองรองขึ้นมา เอเลนรู้สึกราวกับว่าร่างนั้นมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ พระพักตร์คมเข้มดุดันนั้นทอดพระเนตรสบตาอยู่กับเขาจริงๆชั่วขณะนั้นหัวใจถึงกับกวัดแกว่งไปด้วยความลังเลสงสัย
หรือจะคิดถึงขึ้นมาจริงๆ.........
แต่ก็รีบปัดตกไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายแสงอาทิตย์เลื่อนสาดไปถึงรูปสลักของเทพเจ้าอามุนและคงอยู่อย่างนั้นนนานพอดูก่อนที่แสงจะค่อยๆลอยหายไปตามการเคลื่อนคล้อยของดวงอาทิตย์ เมื่อผ่านช่วงเวลาแห่งความตื่นเต้นไปแล้วเสียงดังเซ็งแซ่ของกลุ่มนักท่องเที่ยวก็เริ่มจอแจอีกครั้ง
“โชคดีชะมัด คิดไม่ผิดจริงๆที่มาวันนี้ เสียดายนะที่ถ่ายรูปไม่ได้” อาร์มินบ่นเสียดายไม่หยุดตลอดทางที่เหล่าหนุ่มสาวเดินทางกลับกัน ด้วยตั้งใจว่าจะแวะมาดูแค่มหาวิหารอาบูซิมเบลเท่านั้น เพราะฉะนั้นทั้งสามคนจึงเริ่มออกเดินทางไปยังป้ายต่อไปทันที
หุบเขากษัตริย์
“เจ้าลูกคนนี้!!!” วงแขนแกร่งที่สวมกอดจนเอเลนแทบจะหายใจไม่ออกนี้ยอมปล่อยในที่สุด หลังจากทักทายกันจนเสร็จคริช่าจึงวางมือจากงานที่คุมอยู่นำทางเด็กๆไปยังกระโจมที่พักแทน
“พ่อครับ ผมถามจริงเถอะ ตอนนี้งานของพ่อคืบหน้าไปถึงแล้ว”
“ก็พอสมควรแล้วนะ”
“พ่อพอจะรู้รึยังล่ะครับ ว่านี่เป็นหลุมพระศพของใคร”
“จากหลักฐานหลายชิ้นที่เราขุดเจอเพิ่ม พ่อคิดว่าก็น่าจะเป็นเขานะ รีไวราเมสที่สอง แต่ก็นั่นแหละตราบใดที่ยังเปิดโลงพระศพเพื่อยืนยันไม่ได้พ่อก็ยังฟันธงไม่ได้อยู่ดี”
“นี่พวกพ่อยังเปิดโลงพระศพไม่ได้กันอีกเหรอครับ”
“ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ไม่กระดิกแม้แต่นิด อีกอย่างกุญแจที่ลูกเคยให้พ่อไว้ก็หายไปแล้วด้วย” คริช่าส่ายหน้าตอบช้าๆ เอเลนเผลอยกมือลูบลูกกุญแจที่ห้อยคอไว้พอดี
ถ้าเป็นแบบนี้ พ่อก็ยังไม่เห็นมัมมี่ที่อยู่ข้างในน่ะสิ
“เอ่อ.....งั้นพ่อเคยได้ยินเรื่องฝังพระศพร่วมมั้ยครับ แบบหนึ่งโลงมีมัมมี่สองตัวประมาณนี้”
“ฝังร่วมเหรอ ไม่เคยมีใครพบมาก่อนนะ แต่ถ้าฝังเหล่าทหารบริหารของใช้ร่วมกับฟาโรห์ที่สิ้นนี่เป็นเรื่องธรรมดา แต่หนึ่งโลงมีมัมมี่สองตัวนี่ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ ลูกมีอะไรรึเปล่า”
“เปล่าครับผมก็แค่ถามดู” เอเลยยิ้มแห้งตอบ
“อืม จริงสิ พรุ่งนี้จะมีคณะนักศึกษาปริญญาโทมาลงงานที่นี่ เจ้าเด็กพวกนั้นก็ศึกษาเรื่องของราเมสที่สองอยู่เหมือนกัน พอได้ยินว่ามีเค้าว่าจะใช่ก็อาสามาช่วยงานกันใหญ่ ถ้ายังไงพวกลูกๆก็อยู่ช่วยงานพ่อที่นี่กันก่อนแล้วกัน ยังไงก็ปิดเทอมกันแล้วนี่” คริช่ากล่าวกับเด็กๆทั้งสามก่อนจะเดินออกจากกระโจมไป
“ผมยังไม่รับปากนะ!!! เอเลนตะโกนไล่หลังคริช่าก็โบกมือรับว่ารู้แล้วๆ
“ทำไมเหรอเอเลน ข้างในนั้นมันเป็นอะไร” อาร์มินเองก็อยากถามจนคันปากยิบๆแทบจะทนไม่ไหว
“ฉันเคยเล่าให้พวกนายฟังผ่านๆครั้งนึงแล้วนะว่าครั้งแรกที่ย้อนอดีตไปก็เพราะหีบพระศพใบนั้น แต่ที่ไม่ได้เล่าให้ฟังก็คือ ในนั้นมีมัมมี่อยู่สองร่าง กอดกัน ร่างหนึ่งตัวไม่สูงนักไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร แต่อีกร่างนี่ไม่รู้จริงๆและไม่มีบันทึกอะไรไว้เลยด้วย”
“ด้วยนิสัยของพี่ชายฉันที่เป็นคนขี้หวงมากๆ ของของเขา เขาไม่ยอมให้ใคร ไม่แน่ว่านั้นอาจจะเป็นร่างของสนมนางในคนไหนสักคน แต่ก็แปลกนะไม่เคยจะเห็นเขาโปรดใครออกหน้าออกตาสักที ที่เห็นก็จะมีร่างอว.........” ยังพูดไม่ทันจบมิคาสะก็หยุดชะงักไปก่อนเพราะเห็นใบหน้าเผือดสีกังวลของเอเลน
“ไม่ใช่มั้ง” เอเลนหลุดปากออกมาเสียงเบา
“นั่นสิ เอเลนก็ยังยืนอยู่ตรงนี้จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง มิคาสะเธอพูดเหลวไหลแล้ว” อาร์มินหันไถลึงตาใส่เพื่อนสาวตาโต มิคาสะก้มหน้างุดอย่างลุแก่โทษ
“นั่นสิๆ ฉันเหลวไหลจริงๆนั่นแหละ อย่าใส่ใจเลย”
แต่กลับกลายเป็นว่าคืนนั้นทั้งคืนเอเลนไม่อาจข่มตาหลับลงได้เพราะยังคงติดใจสงสัยกับคำพูดของมิคาสะอยู่
“บ้าน่า จะเป็นไปได้ยังไง” พลิกไปพลิกมาทั้งคืนก็เช้าเสียแล้ว
“ดูไม่ได้เลย” ถ้อยคำแรกที่ผู้เป็นพ่อเอ่ยทักก็คือคำนี้
“รู้แล้วน่า ก็แปลกที่ผมนอนไม่หลับนี่นา” เอเลนตอบพลางหาวหวอด เมื่อคืนไม่หลับทีนี้ดันมาง่วงซะงั้น
“ไปล้างหน้าล้างตาเถอะเดี๋ยวเด็กพวกนั้นก็จะมาถึงกันแล้ว เจ้าเด็กพวกนี้ก็มาช้าเพราะมัวแต่ไปแวะวิหารอาบูซิมเบลเหมือนพวกนี่แหละ”
“ครับๆ ผมรู้แล้ว” เอเลนเอ่ยตอบเสียงเนือย พอเดินออกมานอกกระโจมก็ได้ยินเสียงคุยกันเย้วๆด้วยภาษาเยอรมันของคนกลุ่มใหญ่ ดูเหมือนนักศึกษาที่พ่อพูดถึงจะมากันแล้ว คนกลุ่มนี้ที่มาเป็นหนุ่มสาวเกือบๆสิบคนได้ ในจำนวนนั้นคนที่ตัวใหญ่สุดและเสียงดังสุดคือพี่ชายหน้าหมีจอมคุยโวผู้ไม่ทราบชื่อที่เอเลนคุเลนคุ้นหน้าคุ้นตาดี
ฉิบผายแล้ว................ นี่ถ้าต้องเจอกันเจ้าหมียักษ์คนนั้นคงต้องชวนคุยจนน้ำลายแตกฟองอีกแน่ๆ
คิดแล้วก็รีบวิ่งกลับกระโจมปลุกอาร์มินและมิคาสะ พลางกระวีกระวาดเก็บข้าวของด้วยความรีบร้อน
“ตื่นๆ เร็วเข้า”
“อะไรกันเนี่ยเอเลน” อาร์มิน งัวเงียลุกขึ้นมาบ่นงึมงำฟังไม่ได้ศัพท์
“เราจะกลับกันแล้ว พวกน่ารำคาญมาแล้ว”
“ใคร”
“ก็พวกน่ารำคาญไง อันที่จริงฉันก็ยังไม่รู้จัก แต่ค่อนข้างน่ารำคาญจริงๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วเข้าเดี๋ยวให้คนงานไปส่งที่สนามบิน”
แม้จะยังจบต้นชนปลายไม่ถูกสักเท่าไหร่แต่มิคาสะและอาร์มินก็ยังเก็บกระเป๋าตามเอเลนกลับเยอรมันอยู่ดี ขณะที่รอขึ้นเครื่องใบหน้าที่แต้มไปด้วยวงกลมสีดำคล้ายแพนด้าก็ยิ่งบึ้งตึงหนักขึ้นไปอีก
ถ้าต้องให้เขามาทนฟังพี่ชายหน้าหมีคนนั้นฝอยเรื่องราเมสทั้งวัน เขาขอกลับไปนอนผึ่งพุงฟินๆที่หอพักเสียยังดีกว่า หรือว่า........ควรจะได้เวลากลับไปได้แล้วนะ

ชายแดนฮิตไทต์
เสียงโห่ร้องโรมรันในศึกใหญ่นี้ดังก้องทั่วทั้งผืนทะเลทราย นับตั้งแต่องค์รีไวราเมสประกาศสงคราม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาฮิตไทต์ก็ไม่เคยสงบได้อีกเลย
“ทูลฝ่าบาท แม้อาวุธของพวกเราจะแข็งแกร่งกว่าของอียิปต์จริง แต่กำลังพลของเราเสียเปรียบยิ่งนัก หลายเดือนที่ผ่านมานี้ยังพอต้านไว้ได้ แต่ถ้าเนิ่นนานยิ่งกว่านี้กระหม่อมเกรงว่าองค์รีไวราเมสจะทรงยึดฮิตไทต์ไว้ได้ในที่สุด ขอฝ่าบาทโปรดทรงเห็นชอบให้พวกกระหม่อมใช้ยุทธวิธีแบบกองโจรลอบเข้าสังหารกษัตริย์แห่งอียิปต์ด้วยเถิดพะย่ะค่ะ”
“ลอบสังหารรึ....... นี่ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในความคิดของข้าแม้แต่น้อย อีกอย่างต่อให้ทำเช่นนั้นจริงก็ไม่มีทางที่ใครจะเข้าถึงตัวเขาได้ง่ายๆ”
ภาพขององค์กษัตริย์รีไวราเมสผู้ทรงอาชาตัวใหญ่พ่วงพีเหยียบย่ำซากศพศัตรูอยู่กลางสนามรบ ตวัดกวัดแกว่งดาบวงเดือนในพระหัตถ์ใหญ่เป็นภาพที่ติดตาแทบทุกคนไม่มีลืมเลือน
“เสด็จพี่ หากยังมีทางอื่นอีกเล่า อียิปต์ใช้ข้ออ้างว่าฝ่ายเราลอบสังหารร่างอวตารแห่งราเป็นข้ออ้างในการเปิดศึกทั้งที่ฝ่ายนั้นวางอุบายชิงคนกลับไปแล้วก็เพื่อจะบีบให้เรายอมสวามิภักดิ์ อย่างไรเสียหากต้องพ่ายแพ้แต่เพื่อมิให้สูญเสียเลือดเนื้อไปมากยิ่งกว่านี้ พวกเราควรสวา.......”
“อย่าได้คิดจะกล่าวคำว่ายอมแพ้ออกมาเด็ดขาดเอลาม” เจ้าชายแจนตวาดเสียงก้อง
“หากต้องยอมจำนนต่ออียิปต์ ข้าขอสู้กับพวกมันซึ่งหน้า ประจันหน้ากันเสียให้มันรู้แล้วรู้รอดยังจะดีเสียกว่า ข้าจะไม่มีวันยอมแพ้ แม้จะต้องจบด้วยความตาย ข้าจะไม่ขอยอมสยบ!!!
เสียงประกาศกร้าวของเจ้าชายรัชทายาทแห่งฮิตไทต์ดังก้องออกมาถึงเหล่าทหารที่อยู่ภายนอกนั้นช่างตรงใจพวกเขายิ่งนักยืนหยัดต่อสู้กันมาจนถึงเพียงนี้แล้ว หากจะต้องให้ยอมสวามิภักดิ์จริงพวกเขาขอตายเยี่ยงชายชาตินักรบเสียยังจะดีกว่า
เสียงกลองศึกดังรัวขึ้นเป็นสัญญาณเบิกธงรบ แจนสวมชุดเกราะหนักขึ้นควบม้านำหน้าขบวนทัพไปประจันกับทัพอียิปต์ที่อยู่ปลายเขตแดนของเมมฟิส
จอมกษัตริย์แห่งอียิปต์ผู้ตั้งท่ารอทัพนั้นมิได้หันมาสนใจกองทัพของพวกเขาแม้แต่น้อย สิ่งที่แจนเห็นคือ ชายผู้นั้นกำลังเงยหน้าจ้องมองแสงอาทิตย์ยามบ่ายที่สาดแสงแรงกล้าอย่างไม่เกรงกลัว ราวกับกำลังมองหาใครสักคนที่อยู่บนฟ้า

หลายเดือนมานี้ที่พระองค์เฝ้าสืบเสาะหาแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เห็นแม้แต่วี่แวว เม็ดทรายทุกเม็ดล้วนถูกสำรวจตรวจตราจนปรุ จะเหลือก็แต่ผืนฟ้าที่พระองค์ยังไม่ได้ทดลองแหวกดู
“เมื่อใดเจ้าจะกลับมา” พระสุระเสียงทุ้มลึกตรัสอย่างตัดพ้อกับดวงตะวันที่แผดแสงจ้า
หากถึงที่สุดแล้วยังไม่ได้เจ้ากลับมา ข้าจักต้องบดขยี้ฮิตไทต์ให้แหลกยิ่งกว่าเศษธุลี......................
ธงศึกโบกสะบัดเป็นสัญญาณเริ่มรบ กองกำลังทั้งสองพุ่งเข้าห้ำหั่นกันไม่ไว้หน้า ต่างฝ่ายต่างทุ่มสุดกำลังแม้วันนี้ชีพข้ายัง ชีพเจ้าก็ต้องม้วย เจ้าชายแจนควบขับม้าศึกพุ่งเข้าหาจอมทัพอียิปต์ ในขณะที่ฝ่ายองค์รีไวราเมสนั้นสะบัดง้าวศึกปลิดชีพศัตรูผู้แล้วผู้เล่า ครานี้แจนเลือกที่จะประจันศึกกับจอมทัพแห่งอียิปต์โดยตรง
“คิดดีแล้วหรือ” องค์รีไวราเมสตรัสถามขณะยักพระหัตถ์สกัดดาบคมกริบของแจนด้วยง้าวเล่มยักษ์ในมือ
“หากต้องยืดเยื้อไปมากกว่านี้ ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ข้าต้องการตัดสินกับท่าน ที่นี่ เวลานี้ ณ สมรภูมิแห่งคาเดสแดนนี้” แจนกล่าวขณะตวัดดาบเข้าใส่พระพักตร์ขององค์ราเมส แต่ดูเหมือนว่าฝ่ายพระองค์นั้นจะมองฝีมือการศึกของเจ้าชายหนุ่มออกเสียปรุ เพราะนอกจากจะไม่ยกง้าวขึ้นป้องกันแล้ว พระองค์เพียงแค่รอนิ่งๆ คมดาบก็ตวัดผ่านไปเฉี่ยวแค่ปลายพระเกศาร่วงไปไม่กี่เส้นเท่านั้น
“วิถีดาบหนักแน่น แต่ยังไร้เฉียบคมแม่นยำ” ตรัสสั่งสอนพลางตวัดง้าวฟาดใส่สีข้างของแจนตรงๆ เจ้าชายหนุ่มรีบยกดาบขึ้นกัน ณ เวลานี้ก็วัดกันที่การประลองกำลังของทั้งสองฝ่ายแล้ว
“มีวิธีที่ง่ายกว่านี้ ส่งคนกลับมาให้ข้า” องค์รีไวราเมสตรัสกับเจ้าชายแจนตรงๆ
“ไม่ใช่ว่าได้คนไปแล้วรึ แล้วยังมีหน้ามาวางอุบายใส่ข้า” แจนกัดฟันกรอด มือข้างที่จับดาบอยู่สั่นระริก แรงพระหัตถ์ขององค์รีไวราเมสที่กดปลายง้าวเสือกแทงเข้ามานั้นหนักหน่วงยิ่งนักแม้จะใช้พระหัตถ์เพียงข้างเดียวก็ตาม
“ใครกันแน่ที่วางอุบาย” องค์รีไวราเมสตวัดข้อพระหัตถ์ ดันส่วนปลายด้ามง้าวกระทุ้งเข้าที่หน้าอกของเจ้าชายแจนเต็มแรงจนม้าอีกฝ่ายเสียหลักเซถลาไป เกราะเหล็กที่ถูกกระแทกถึงกับยุบเป็นรู
“ข้าไม่อาจยอมสยบให้กับแผนการร้ายของเจ้า คิดจะครองฮิตไทต์อย่าคิดว่าจะทำได้โดยง่าย” แจนหอบหายใจกัดฟันตอบ แรงกระแทกที่ได้รับเมื่อครู่นี้ถึงกับทำให้เขาหายใจติดขัดไปเลยทีเดียว
องค์รีไวราเมสทรงม้าให้เดินเหยาะย่างช้าๆ พระหัตถ์ใหญ่สะบัดควงง้าวยักษ์อย่างคล่องแคล่ว พลางตรัสตอบอย่างเนือยๆ
“ส่งคนคืนมาให้ข้า ทุกอย่างจะยุติ”
แจนไม่ได้เอ่ยตอบอันใดแต่เลือกที่จะพ่นน้ำลายเปื้อนเลือดลงบนพื้นแทน สีพระพักตร์ขององค์รีไวราเมสนิ่งเย็นยิ่งขึ้นก่อนจะแย้มพระสรวลอย่างร้ายกาจ
“การเจรจาล้มเหลว หยิบดาบเจ้าขึ้นมาและเตรียมยอมรับความพ่ายแพ้เสีย”
แจนหยิบดาบพลางตะกายขึ้นหลังม้าอีกครั้ง ส่วนที่ถูกกระแทกยังคงเจ็บช้ำและทำให้เขาหายใจติดขัดแต่ก็ยังฝืนที่จะยกดาบขึ้นประจันหน้า
“หากว่าตอนนี้เอเลนกำลังทุกข์ทรมาน ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสกับความทรมานมากกว่าเขาอีกร้อยเท่า” องค์รีไวราเมสตรัสเอ่ยพลางตวัดง้าวในมือในท่าเตรียมต่อสู้
“ย่าห์!!!! แจนกระทุ้งส้นเท้าบังคับม้าพุ่งเข้าหาจอมทัพแห่งอียิปต์อีกครั้ง ขอตัดสินทุกอย่างในศึกนี้ ท่ามกลางเสียงต่อสู้รบพุ่งของกองกำลังทั้งสองฝ่าย แสงอาทิตย์ในยามบ่ายพลันดับมืดลง ท้องฟ้าที่ขาวกระจ่างถูกบดบังไปด้วยกลุ่มเมฆครึ้มทะมึนตีวนหมุนอย่างรุนแรงราวกับอยู่ในพายุคลั่ง เสียงฟ้าร้องครืนครันดังกลบทุกสรรพเสียง ณ ใจกลางแห่งกลุ่มเมฆปรากฏลำแสงสีทอดทอดยาวสาดส่องลงมาจากฟากฟ้าตกลงสู่ใจกลางของสมรภูมิรบ คลื่นกระแทกส่งผลผลักปลิว เหล่าทหารที่อยู่โดยรอบถูกกระแทกปลิวออกไปเป็นวงกว้าง เมื่อแสงสีทองหายลับ เมฆครึ้มก็พลันเคลื่อนคล้อยท้องฟ้าเปิดกระจ่างอีกครั้ง แสงอาทิตย์ยามบ่ายสาดส่องจับต้องเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งให้เรืองรองด้วยแสงสีทองระยับ
นัยน์ตาสีทองกวาดมองสถานการณ์ตรงหน้า พร้อมทั้งนึกในใจ
สงสัยงานจะเข้าแล้ว........

ตราบเมื่อสิ้นลำแสงสีทองและฝุ่นคลุ้งค่อยๆจางหายไป เมื่อเด็กหนุ่มเจ้าของร่างสีทองระยับปรากฏขึ้นต่อหน้า พระองค์ก็ได้ทิ้งศัสตราวุธคู่พระวรกายไปอย่างไม่แยแส พระหัตถ์ใหญ่ฉีกทึ้งชุดเกราะเปื้อนเลือดที่ทรงอยู่ออกจากร่าง ฝ่าพระบาทที่ก้าวย่างค่อยๆเร่งเร็วขึ้นจนกลายเป็นวิ่ง เป้าหมายที่พระองค์จับจ้องมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เด็กหนุ่มผู้นั้นที่ทรงเฝ้าถวิลหา
พระกรแกร่งรวบร่างที่กำลังงุนงงแนบพระอุระ กอดรัดด้วยรัดด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่ทรงมี กลิ่นกายนี้ ร่างนี้ เส้นผมนี้ ดวงตานี้ ล้วนเป็นสิ่งที่พระองค์คุ้นเคยเป็นอย่างดี ในที่สุดก็มา
“เจ้า.......กลับมาจนได้” พระสุระเสียงทุ้มลึกแต่สั่นเครืออย่างฟังได้ชัด เอเลนที่คิดจะผลักไสฟาโรห์หนุ่มร่างใหญ่ออกจำต้องหยุดมือยอมอยู่ในอ้อมกอดของพระองค์แต่โดยดี
“กลับมาแล้วนะ” มือเรียวลูบปลอบกษัตริย์ร่างใหญ่เบาๆ
“ในที่สุดเจ้ามา..............” พระองค์กลับโอบกอดเด็กหนุ่มแน่นยิ่งขึ้น ในสนามรบ ทุกคนต่างหยุดการเคลื่อนไหวแล้วไม่มีเสียงสู้รบกันอีก แจนเองก็ดูจะตกใจไม่แพ้กัน แต่ผู้ที่ตกใจที่สุดคงไม่พ้นเอลาม
อะไรกัน อยู่ๆก็หล่นลงมาจากฟ้าแบบนี้ก็ได้เหรอ...........
หากร่างอวตารปรากฏกายขึ้นเช่นนี้ ก็เท่ากับแผนการของเขาถูกเปิดโปงแล้ว ระหว่างที่ทุกคนกำลังอยู่ในความตะลึงงัน เอลามรีบหาทางหนีทีไล่คิดจะหนีออกจากสมรภูมิแห่งนี้ไปเสียก่อน แต่ในตอนนั้นเอง
“จับมันเอาไว้!!!” พระสุรเสียงแข็งกร้าวขององค์ฟาโรห์แห่งอียิปต์ตวาดดังก้อง เหล่าทหารในพระบัญชาตรงเข้าควบคุมเอลามและเหล่าคนสนิทที่คิดจะหนีไว้ในกำมือ
“จับมันกลับไปสำเร็จที่ค่าย”
“พะยะค่ะ!!!” เหล่าทหารต่างรับพระบัญชาและคุมตัวเชลยมุ่งกลับกระโจมที่พักแต่ ณ ในตอนนั้นเอง
“ช้าก่อน นี่มันเรื่องอะไรกัน” เจ้าชายแจนที่ดูจะยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ได้เอ่ยขัดขึ้น
องค์รีไวทอดพระเนตรมองเด็กหนุ่มในอ้อมกอด พลางตรัสเสียงเบา
“เดี๋ยวข้าจะบอกทุกอย่างให้เจ้าได้รู้ เจ้ามีเรื่องที่ต้องสารภาพกับข้าด้วย” สายพระเนตรดุๆที่ทอดมองมาทำเอาเอเลนปิดปากเงียบ ทำได้แค่พยักหน้ารับอย่างเดียว
หลังจากที่ตรัสกับเด็กหนุ่มในอ้อมกอดเสร็จสิ้นแล้ว จึงหันไปตรัสเอ่ยกับเจ้าชายแจนอีกคน”
“เจ้า หากอยากรู้เรื่องราวทั้งหมด ก็ตามข้ามา”
ขบวนทัพอียิปต์ถอยกลับไปยังชายแดนเมมฟิส แจนเองเพื่อที่จะไขข้อข้องใจทุกอย่างก็ตัดสินใจร่วมทางไปด้วย
“เดี๋ยวนะ นี่รบกันจะเป็นจะตายอยู่เหรอ แล้วทำไมไม่มีใครสนใจข้าเลย” มิคาสะที่เมื่อกลายร่างเป็นชายชาตรีแล้วขนาดร่างกายก็ใหญ่โตบึกบึนขึ้นจนเสื้อและกางเกงที่สวมอยู่ก็ขาดรุ่งริ่ง บ่นกับเบเซทเบาๆ
“เสด็จอา หากให้กล่าวแล้ว เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อนทีเดียว แต่ในตอนนี้พวกท่านก็กลับมาแล้ว เรื่องก็ควรจะยุติได้แล้ว แต่ก็นั่นแหละ ก็ต้องให้เสด็จพ่อตัดสินพระทัยอยู่ดี” เบเซ็ทตบไหล่ผู้เป็นอาอย่างจนใจ หลายเดือนที่ต้องกรำศึกที่ยาวนานนี้ทำให้เขาเหนื่อยล้าเสียเหลือเกิน
“ไปกันเถอะ”

1 ความคิดเห็น: