วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2561

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์ Chapter 28:


Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์
Pairing: (LevixEren)
Rate: NC-17
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
Story By: AkeRah , Trendy Blood
………………………………………………………………………………
Chapter 28:


            เสียงของเรือที่ล่องผ่านแม่น้ำคลอพร้อมกับเสียงสายน้ำและธรรมชาติที่ยังสวยงามล้อมรอบไปด้วยทิวเขาที่เขียวชะอุ่ม สมกับได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่น้ำที่ยาวเป็นอันดับสอง ของทวีปยุโรป อีกทั้งแม่น้ำไรน์ยังเป็นแม่น้ำที่มีเส้นทางขนส่งที่สำคัญที่สุดในยุโรปอีกด้วย
            แม่น้ำไรน์มีต้นน้ำไหลมาจากเทือกเขาแอลป์ ไหลผ่านสวิตเซอร์แลนด์ ลิกเตนสไตล์ ออสเตรีย เยอรมนี ฝรั่งเศส ลักเซมเบิร์ก เบลเยี่ยม และไหลลงสู่ทะเลเหนือที่เนเธอร์แลนด์
            เหล่าสามสหายต่างเลือกพักที่เมือง BINGEN หลังผ่านสัปดาห์ของการสอบที่ยาวนาน หลังจากใช้แรงกายแรงใจ และมันสมองไปจนหมดสิ้นกับการสอบวิชาสุดท้าย เอเลนที่ยังเหลือพลังงานล้นเหลือจึงจัดทริปโดยไม่สนความสมัครใจของเพื่อนอีก 2 คนที่ยังคงสลบเหมือดหลังสอบเสร็จ อีกทั้งเช้าวันต่อมาหลังจากการสอบแทนที่ทั้งอาร์มิน และมิคาสะ จะได้นอนตื่นสายตามประสาเด็กเพิ่งปิดเทอม แต่คนอยุ่ไม่สุข อย่างเอเลน เยเกอร์ กลับโยนกระเป๋าเป้ใบโตที่จัดสัมภาระพร้อมสรรพด้วยใบหน้ายิ้มระรื่นตอนพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นดี ก่อนจะโชว์ตั๋วรถไฟในมือพร้อมเอกสารการจองโรงแรมที่เมือง BINGEN ให้
            กว่าจะได้สติก็เป็นช่วงบ่ายที่ตอนนี้ทั้งสามนั่งอยู่ที่ริมระเบียงของเสต์เฮาส์ติดแม่น้ำ ไอเย็นจากลมแม่น้ำที่ปะทะผิวหน้าทำให้รู้สึกสดชื่น อีกทั้งบรรยกาศธรรมชาติที่หาได้ยากในตัวเมืองแม้จะรู้สึกเพลียจากการเดินทาง แต่บรรยกาศทำให้รู้สึกผ่อนคลายและดื่มด่ำไปกับการพักผ่อนมากกว่าการเดินทางที่เหมือนละเมอออกจากเตียงเมื่อเช้า
            ใบหน้ากลมมนนัยน์ตาสีเขียวเช่นเดียวกับผืนหญ้าที่ปกคลุมหุบเขานั่งฟังเพลงเคล้าคลอกับบรรยากาศ ใบหน้ากลมมนยิ้มโบกมือให้นักท่องเที่ยวเป็นครั้งคราวที่มีเรือของนักท่องเที่ยวแล่นผ่าน และมัคคุเทศน์นำทางที่ต่างก็ทักทายหยอกล้อสร้างสีสรรให้กับลูกทัวร์
            “ผมนึกว่าเอเลนจะกลับไปเป็นร่างอวตารทันทีที่สอบเสร็จเสียอีก แบบนี้ทางนั้นจะไม่เป็นอะไรเหรอครับ?” อาร์มินเอ่ยถามพลางจิบชานมร้อนหอมกรุ่น
            “ฉันฝากอิลเซ่ไว้แล้ว ไม่เป็นไรหรอกน่า อีกอย่างขอพักร่างกายและจิตใจบ้าง เพิ่งสอบเสร็จจะให้กลับไปเครียดต่อ ร่างกับกับสมองฉันคงพังพอดี อีกอย่างยังไงต่อให้ไม่มีฉัน ประวัติศาสตร์มันก็คงไม่เปลี่ยนอยู่แล้ว...ล่ะมั่ง?” คำสุดท้ายเอเลนราวกับกระซิบบอกตัวเอง ถึงจะไม่แน่ใจในข้อนี้ แต่เขาเองก็เคยคิดว่าการที่เขาได้ย้อนกลับไปในยุคโบราญแบบนั้นจะเป็นการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่บ้างไหม? แต่จากที่เขาสังเกตหลายครั้งที่โดนย้อนอดีตไปทั้งที่เขาก็ไม่ใช่คนหัวทึบพยายามท่องว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรบ้างในช่วงเวลาที่ย้อนไปนั้น แต่น่าแปลกเขากลับไม่เคยจำอะไรได้เลย แม้แต่หนังสือที่ติดตัวไปก็เป็นกระดาษเปล่าทักทีที่ข้ามเวลา  มิคาสะเองก็ไม่ต่างไปจากเขา ทันทีที่ข้ามเวลาไปเป็น พระอนุชาของรีไว รามเมส มิคาสะไม่สามารถจำเรื่องใดๆที่อยู่ในโลกเยอรมันปัจจุบันได้ มีเพียงรับรู้ถึงสายสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนที่ยังคงจดจำได้เป็นอย่างดี
            บางทีอาจเป็นการบอกว่าเขาไม่ได้สามารถแก้ไขประวัติศาสตร์อะไรได้ แต่อาจไปเพราะคงมีชะตากรรมต้องทำล่ะมั่ง แต่ก่อนที่ต้องไปรับบทบาทเป็นร่างอวตาร เขาก็เป็นเพียงนักศึกษาธรรมดา ที่ยังอยากใช้ชีวิตวัยเรียนและได้เที่ยวเล่นอย่างที่ใจอยาก ในเมื่อสอบเสร็จทั้งทีเขาก็ต้องขออยู่พักผ่อนให้สบายใจ แล้วเจ้าพ่อบ้าของเขาจะได้ไม่ติดใจสงสัยที่เขาไม่ค่อยติดต่อกลับไป นับว่าเป็นโชคดีที่พ่อของเขาวุ่นกับงานวิจัยและขุดค้นพบสุสานอีกแห่งที่ใกล้ๆกับที่เขาเคยไปครั้งก่อน ทำให้คนบ้าอารยธรรมอียิปต์เข้าเส้นไม่มาสนใจเขาเท่าไร เวลาของโลกปัจจุบันกับยุคของรามเมสเขาเองก็คำนวนไว้แล้ว เขาหายไปแค่ 3-4 อาทิตย์ก็เท่ากับ 4-5 เดือน จดหมายเขาก็ฝากไว้แล้วคงพักผ่อนสบายใจได้อยู่แล้ว
            อาร์มินพยักหน้ารับคำตามที่เพื่อนว่า เขาเองก็ไม่เคยข้ามเวลา และไม่อยากข้ามไปด้วย คิดดูเด็กติดเทคโนโลยรอย่างเขาถ้าข้ามไปเวลาที่ไม่มีไฟฟ้า และอินเตอร์เนต เขาต้องอึดอัดตายแน่ๆ อีกอย่างการมีเขาอยู่ที่นี้ก็ทำให้สามารถจัดการอะไรได้หลายอย่างด้วยล่ะนะ
            “ฉันก็เห็นด้วย เพราะเจ้าพี่ชายไม่เอาไหนของฉันทำให้เอเลนต้องลำบาก ไม่จำเป็นต้องรีบกลับไปหาเรื่องปวดหัวตอนนี้ก็นับว่าดีแล้ว” ถึงแม้มิคาสะจะรู้สึกกังวลสถานการณ์ที่อียิปต์อยู่บ้าง แต่ในเมื่อผู้ที่เป็นถึงร่างอวตารแห่งราบอกว่าไม่เป็นไร เธอขึงคิดว่าคงไม่ได้น่าห่วงเท่าไรเช่นกัน
            เมื่อเห็นว่าทั้งสองยืนยัน อาร์มินจึงเลิกสนใจเรื่องของอีกช่วงเวลา และดื่มด่ำกับภาพบรรยากาศของเมืองและไม่น้ำไรน์เบื้องหน้า
            “ดีนะที่ฉันหลุดไปบุคอียิปต์ของรามเมส”
            เสียงใสที่เอ่ยขึ้นทำให้อีกสองคนหันมองต้นเสียงพร้อมกันพลางเอียงหน้าถาม
            “ก็... ที่นี้ปราสาทยุคกลางเยอะชะมัด แล้วมาคิดว่าถ้าโผล่ไปในยุคล่าแม่มด ฉันคงไม่ได้โดนอวยให้เป็นร่างอวตารเทพ แต่คงถูกล่าแล้วเผาไม่ก็จับถ่วงน้ำเอาน่ะสิ”
พอเห็นปราสาทยุคกลางที่มีมากมายทั้งรู้สึกงดงามและน่าขนลุกไปพร้อมกัน พอขนลุกก็เริ่มคิดถึงยุคมืดในช่วงล่าแม่มดที่ระบาดในแถบยุโรป ถ้าเขาตกไปอยุ่ยุคนั้นจริง แทนที่จากครั้งแรกเจอแค่ฟาโรห์บ้ากามนั่นอยากฆ่าเขาแล้วควักลูกตา คงเป็นทั้งหมู่บ้านและคริสตจักรตามล่าหัวเขาแน่ๆ ถือว่าเป็นโชคดีแล้วล่ะมั่งที่โผล่ไปยุครุ่งเรืองของอณาจักร์ลุ่มน้ำไนล์แบบนั้น
“ว่าแต่พรุ่งนี้เราจะล่องเรือ ตระเวณชิมไวน์องุ่น หรือไปชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆดีครับ?” อาร์มินหยิบคู่มือท่องเที่ยวที่มีแจกในที่พักมาเปิดดูพลางถามผู้ร่วมเดินทาง
“ไม่เอาล่องเรือนะ ฉันไม่อยากนั่งอยู่เฉยๆนานๆบนเรือแบบนั้น”
เอเลนกำลังจะชี้ทัวร์ชิมไวน์แต่โดนหญิงสาวคนเดียวในกลุ่มขัดขึ้น
“ทัวร์ชิมไวน์ตัดออกด้วยเพราะเอเลนดื่มได้ไม่มาก อีกอย่างองค์รามเมสคงไม่ชอบใจเท่าไร”
นิ้วที่กำลังจะจิ้มลงบนทัวร์ต้องชะงักค้างก่อนจะเอามาเกาแก้มตัวเองแก้เก้อแทน ขนาดเจ้าตัวไม่อยู่แต่มิคาสะยังคงคุมและจับตาดูเขาแทนไอเจ้าฟาโรห์นั้น ตกลงไม่ถูกกันจริงๆ หรือเป็นพี่น้องที่รู้จักกันมากกันแน่ เขาชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วสิ
“ถ้างั้นก็ไปพิพิทธภัณฑ์ โบสถ์เซนต์มาร์ติน และเดินสำรวจรอบๆไหมครับ? ถ้าเราไม่มีแพลนว่าจะไปไหนอยุ่แล้ว พักสบายๆสัก2-3วันผมว่ากำลังดีแล้วค่อยเปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆตามสายแม่น้ำไรน์” อาร์มินสรุปพร้อมทั้งวางแผนคร่าวๆ
หลังจากนอนพักเอาแรง ช่วงเย็นทั้งสามจึงพากันออกไปสำรวจบริเวณรอบๆเพื่อหาอาหารมื้อเย็น เอเลนสำรวจอาคารบ้านเรือนตลอดทาง ทั้งยังเอาโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปที่น่าสนใจเก็บไว้ หลังจากถ่ายไปได้สักพักเด็กหนุ่มจึงสำรวจแกลลอรี่ภาพของตัวเอง ตอนนี้ทั้งแกลลอรี่มีภาพอยู่ไม่ถึงร้อยภาพ เพราะเครื่องที่เขาใช้ประจำเด็กหนุ่มฝากไว้กับอีกคนในอีกช่วงเวลา เลยจำเป็นต้องซื้อเครื่องใหม่เพื่อใช้งานและไม่ให้ผู้เป็นพ่อสงสัย แต่ถึงแม้จะล็อคอินด้วยบัญชีเดิม แต่ภาพที่เขาถ่ายไว้ที่อียิปต์โบราญกลับไม่ปรากฏหรือลิงค์เข้าโทรศํพท์เครื่องใหม่เขา แต่ไม่ใช่เรื่องแปลก ก็ในเมื่อสมัยนั้นทั้งไฟฟ้าก็ไม่มี สัญญานอินเตอร์เนตยิ่งไม่ต้องพูดถึง ได้แต่หวังว่าถ้าเขาเอาเครื่องเดิมกลัมาโลกปัจจุบันข้อมูลทั้งหลายจะยังอยู่ครบล่ะนะ บางทีเขาต้องหาวิธีผลิตกระแสไฟฟ้าแบบง่ายบ้างแล้ว เพราะแบตสำรองที่ติดตัวไปใช้ได้ประมาน หนึ่งเดือนก็หมดเกลี้ยง แถมยังหาวิธีชาตไม่ได้อีก ตอนนี้เจ้าโทรศัพท์ของเขาคงกลายเป็นที่ทับกระดาษให้กับฟาโรห์แทน
หลังจากเดินสำรวจรอบๆบริเวณเกสต์เฮาส์ สุดท้ายทั้งสามก็เลือกทานอาหารง่ายๆอย่างแซนวิส และขนมปังที่มีขายแทนเข้าร้านอาหาร ด้วยว่ายังคงอยากนอนกลิ้งเล่นในห้องเพื่อเตรียมตัวออกท่องเที่ยวในเช้าวันพรุ่งนี้แทน หลังจากทานอาหารและคุยเล่นกันสักพัก อาร์มินจึงขอตัวไปอ่านหนังสือที่หยิบติดมา เอเลนจึงนั่งเล่นเกมส์ในโทรศัพท์ริมระเบียงโดยมีมิคาสะที่นั่งฟังเพลงเป็นเพื่อน
นัยน์ตาสีราตรีจับจ้องเด็กหนุ่มที่นั่งเล่นเกมส์เบื้องหน้า โดยที่เจ้าตัวไม่ได้สนใจสายตาอีกฝ่ายแม้แต่น้อย เด็กสาวไล่สำรวจใบหน้ากลมมน นัยน์ตาสีทุ่งหญ้าที่กำลังขมักเขม้นกับการตีป้อม จมูกที่เชิดขึ้นนิดๆ ริมฝีปากบางที่ขบเม้นแน่นลุ้นเกมส์ที่เล่นในมือ ไล่ลงมาจนถึงลำคอยาวที่ตอนนี้มีเครื่องประดับแปลกตาอย่างที่ไม่เคยเห็น มือจึงเอื้อมไปจับเพื่อสำรวจ คนที่เล่นเกมส์จึงเริ่มรู้สึกตัวว่ากำลังโดยอีกฝ่ายจ้องสำรวจร่างกายตัวเอง
“ทำอะไรของเธอน่ะมิคาสะ?” นัยน์ตากลมใสของเด็กหนุ่มมองอีกฝ่ายพลางถาม
“ไม่เคยเห็นนายใส่เครื่องประดับมาก่อน แต่พอเห็นว่าสร้อยที่สวมจี้เป็นแหวนต้นกก ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่...”
มิคาสะหมุนแหวนต้นกกที่ย้ายจากนิ้วของเด็กหนุ่มไปสวมใส่เป็นจี้สร้อยคอแทน ดูจากการเคลือบและขัดมันที่เงาเหมือนของใหม่ แสดงว่าเอเลนคงเอาไปซ่อมมาเรียบร้อย ก่อนหน้านี้เขาเห็นเจ้าแหวนนี้มีสภาพที่เยินน่าดู แต่เจ้าตัวก็ยังคงใส่ติดตัวไว้ทั้งอย่างนั้น
“เอามาสวมไว้แบบนี้มันสะดวกกว่า  อีกอย่างถ้าไม่เอาติดตัวไว้มีหวังพี่ชายนายคงอัดฉันไม่ก็หาเรื่องทำอะไรแปลกๆแน่”
ตอนที่ถอดแหวนเขาเองก็รู้สึกนิ้วโล่งแปลกๆ เพราะใส่ติดตัวมานาน แต่พอไปรับของที่ซ่อมเสร็จแล้วด้วยฝีมือของคุณลุงช่างไม้ที่ทำออกมาได้สวยงาม ทำให้เขาไม่อยากใส่ติดไว้กับนิ้วเพราะง่ายที่จะทำให้แหวนต้นกกเสียหาย สุดท้ายเขาจึงเอาเชือกเส้นเล็กสีดำมาคล้องเป็นสร้อยใส่ติดตัวแทน
“นายใส่ใจองค์รีไว รามเมส นั่นน่าดู”
“ก็... ฉันเป็นร่างอวตารของหมอนั่นนี่”
เกมส์ที่เล่นเมื่อสักครู่โชว์หน้าต่างว่าแพ้แล้ว เจ้าตัวดีจึงกดออก ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนของเมือง BINGEN แทน เพราะอยู่ห่ามกลางหุบเขาท้องฟ้าจึงเห็นดาวระยับพราวมากกว่าในเมืองที่มีแสงไฟจากอาคารบ้านเรือนจนกลบความสวยงามของท้องฟ้ายามราตรี
“นี่... มิคาสะ...”
นัยน์ตาสีเขียวกระจ่างละออกจากท้องฟ้าที่มีแสงดาวระยับ จ้องมองใบหน้าที่มีเค้าของคนต่างห้วงเวลาตรงหน้า นัยน์ตาสีเขียวที่มักแฝงความขี้เล่นมีแววจริงจังและลังเลในม่านตา  เด็กสาวจ้องมองตอบรอให้อีกฝ่ายเอ่ยต่ออย่างไม่รีบเร่ง
“เออ... คือ ก่อนหน้านี้ มีคนเคยบอกฉัน” เอเลนก้มหน้ามองมือตัวเอง ทั้งที่ไม่ได้ร็สึกเป็นคำพูดที่ต้องใส่ใจ แต่กลับเป็นคำพูดที่วนเวียนในหัวจนยากที่จะสลัดทิ้ง ทั้งที่ว่าจะถามคตรงหน้าให้เข้าใจ แต่บางอย่างที่อัดแน่นในอกซ้ายก็ทำให้คำพูดติดอยู่ในลำคอ
“มีคนบอก.... คงไม่ใช่เรื่องดีเกี่ยวกับเจ้าพี่ชายนั่นแน่ๆ”
คำคาดเดาของมิคาสะทำให้เด็กหนุ่มหัวเราะแห้ง เพราะเดาได้ถูกเผงเป็นที่สุด ใบหน้าเฉยชาของหญิงสาวยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมา เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกอิจฉาเจ้าพี่ชายจอมอวดดีของตัวเอง แต่ไหนแต่ไร เขาไม่เคยคิดช่วงชิง หรือต้องการอำนาจและตำแหน่งขององค์รามเมส แต่ตอนนี้กลับรู้สึกอิจฉาผู้นั้นจับใจ
“คือ... เคยมีคนบอกว่า องค์รามเมสเป็นผู้ที่มอบความรักให้กับคนอื่น แต่ไม่อาจมอบความรักตอบได้ นาย... คิดว่าจริงรึเปล่า?”
มิคาสะเอียงคอคิดวิเคราะห์ตามที่สหายถาม ก่อนจะสรุปออกมาตามมุมมองที่เขาเห็นและรู้จักเจ้าคนอวดดีนั่นตั้งแต่ยังไม่รู้ความ
“จะคิดตามนั้นก็ไม่ผิดนัก”
ใบหน้ากลมมนที่รอฟังหมองลงเล็กน้อย ในท้องพลางรู้สึกปั่นป่วน ท่าทางอาหารเย็นที่กินเข้าไปคงทำพิษเขาให้แล้ว
“แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะจนตอนนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดที่องค์รามเมสอยากตอบรับรักจากผู้นั้น”
เอเลนจ้องมองอีกฝ่ายอย่างงุนงง มีเมียตั้งเยอะขนาดนั้น แถมลูกที่ตั้งเมืองขนาดย่อมได้ คุณพี่ต้องสเปคสูงขนาดไหนกันเนี่ยอยู่มาจนป่านนี้ยังไม่เคยรักใครจริงจัง จะว่าหัวสูงหรือหลงตัวเองดีล่ะเนี่ย...
มิคาสะจิ้มระหว่างคิ้วที่เริ่มขมวดกันของเด็กหนุ่มตรงหน้าก่อนจะหัวเราะในลำคอ
“หญิงสาวมากมายในฮาเร็มมักถูกส่งมาด้วยเหตุผลทางการเมือง เรื่องบุตรเป็นหน้าที่เพื่อแสดงจุดยืนและความรุ่งโรจน์ของราชวงศ์ แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นว่ามีใครที่โปรดปราน หรืออยู่ร่วมห้องกับองค์รามเมสได้เกินสองเดือน จะเห็นก็แต่ร่างอวตารแห่งราที่ไม่ยอมให้ห่างกาย ขนาดส่งไปเป็นฑูตที่ฮิตไทต์ยังตามมาตั้งค่ายที่อีกฝั่งแม่น้ำ”
“นั่นก็เพราะฉันเป็นร่างอวตารแห่งรา ถ้าเป็นอะไรขึ้นมาหมอนั่นก็จะใช้ประโยชน์จากฉันไม่ได้อีก เลยต้องตามดูแลขนาดนี้ไม่ใช่รึไง?” เอเลนบอกตามตรงอย่างที่คิด แม้ลึกๆเขาเองก็มีแอบเข้าข้างตัวเองอยุ่บ้าง แต่เขาเป็นผู้ชายจะให้คิดอะไรแบบนั่นก็รู้สึกกระด้างกระเดือกชอบกล
“ฉันว่านายก็น่าจะรู้ ถ้าองค์รามเมส ต้องการเพียงใช้ประโยชน์ไม่จำเป็นที่ต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยง และการใช้ประโยชน์จากผู้อื่น ก็เป็นเรื่องที่เจ้านั่นเก่งน่าดู แต่เชื่อเถอะว่าถ้าเพื่อผลประโยชน์คนอย่าง ฟาโรห์ รีไว รามเมส จะไม่เก็บมาใส่ใจ เผลอๆอาจฆ่านายทิ้งตั้งแต่แรกแล้วควักนัยน์ตาสีอร่ามนั่นมาใช้งาน”
“ตอนแรกหมอนั่นก็บอกงั้นแต่ฉันยอมร่วมมือเลยตามติดแทนไง!!” ถ้าเขาไม่ยอมตกลง ป่านนี้คงได้เป็นมัมมี่เฝ้าสระฟาโรห์แล้วแน่ๆ
มิคาสะหยิกแก้มมุ่ยๆของอีกฝ่าย พลางยิ้มขันให้เด็กหนุ่มที่ยังคงคิ้วขมวดมุ่น
“แต่สุดท้าย... องค์รามเมสก็ไม่ได้ทำ”
“ไม่ทำตอนนี้ แต่วันข้างหน้าถ้าหมอนั่นเปลี่ยนใจทำขึ้นมาล่ะ?”
นิ้วเรียวเปลี่ยนไปจิ้มแก้มของเด็กหนุ่มแทน ดูท่าเอเลนจะสนใจเจ้าพี่ชายจอมโอหังของเขาไม่น้อย
“ถ้าองค์รามเมสตรัสสิ่งใดแล้วมักทำตามที่ตรัสเสมอ ถ้าเลิกตรัสสิ่งนั่นแสดงว่าองค์ฟาโรห์ไม่ได้คิดที่จะทำดังนั้นแล้วจริงๆ ถึงฉันจะไม่ชอบขี้หน้าเจ้านั่นเท่าไหร่ แต่ในฐานะที่อยู่ร่วมกันมานาน เจ้านั่นเป็นคนพูดจริง ทำจริง ยึดมั่น และไว้ใจได้...”
ใบหน้ากลมมนของเอเลนจากที่มุ่ยเริ่มคลายลง พลางสีหน้าที่เริ่มขึ้นสีระเรื่อ
“ถ้าองค์ฟาโรห์ คิดจะทำอันตรายนายจริง ฉันให้คำสาบานจะตัดหัวเจ้านั่นมาถวายร่างอวตารอย่างแน่นอน”
“ถ... ถ้า นายยืนยันงั้น ฉันก็คิด..ว่ามันจริงล่ะนะ” ไม่รู้ว่าตกลงเพราะอาหารเย็นที่กินเข้าไปหรือว่าอะไรตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกปั่นป่วนในท้องอีกครั้ง แถมยังลามมาที่อกข้างซ้ายของเขา แถมในหัวตอนนี้กลับมีใบหน้าเจ้าเล่ห์ขององค์ฟาโรห์ขึ้นมาเต็มไปหมด ให้ตายสิเอเลน อาหารเย็นนายต้องเป็นพิษแน่ๆและพรุ่งนี้นายคงป่วยนอนซม ท้องเสียเพราะป่วยไปแล้ว
“ฉันชักอิจฉาเจ้านั่นแล้วสิ” มิคาสะคว้ามือของเด็กหนุ่มที่จับที่ท้องของตัวเองขึ้นมาก่อนจะจุมพิตลงบนหลังมือนั้น
“เดี๋ยวสิ นายตอนนี้เป็นผู้หญิง แบบนี้บทมันสลับไปหน่อยไหม?” นอกจากไม่สบายแล้ว เขาเริ่มคิดแล้วว่าตกลงที่จริงแล้วเขาไม่มีความเป็นผู้ชายในสายตาเจ้าพี่น้องลูกเทพแห่งราอย่างเจ้าพวกนี้บ้างเลยรึไง?
“ถ้านายอยากทำ ฉันแนะนำให้เป็นตรงนี้” มิคาสะว่าพลางชี้ที่ริมฝีปากของตัวเองให้อีกฝ่าย
เอเลนดีดหน้าผากของคนที่ตอนนี้แววตาประกายแฝงความเจ้าเล่ห์
“นายกับหมอนั่นชักเริ่มเหมือนกันแล้วนะ”
“ก็พี่น้องร่วมอุทร จะเหมือนก็ไม่แปลก ถ้านายเบื่อเจ้าฟาโรห์จอมโอหังนั่นเมื่อไรก็บอกฉันได้ อีกอย่าร่างนี้ก็เป็นผู้หญิง นายน่าจะไม่มีปัญหา?”
มิคาสะว่าพลางเตรียมถอดเสื้อให้อีกฝ่ายดู จนเอเลนร้องเสียงหลงต้องเอาหมอนอิงรีบบังแล้วดึงเสื้อคนที่ไม่เคยสำนึกว่าเป็นผู้หญิงลง
“พอเลยมิคาสะ ต่อให้ร่างไหนนายก็เป็นนายอยุ่ดีจริงๆ”
นัยน์ตาสิงสีมองประสานก่อนจะหลุดหัวเราะขำออกมา ถึงแม้ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาดูจะแปลกประหลาด แต่เพราะต่างฝ่ายต่างเชื่อใจกันได้ เรื่องความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว่านั้นจึงไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจแล้วพักไว้ เพราะอย่างไรตอนนี้ความสบายใจแบบนี้ก็ยากที่จะหาได้
มิคาสะไม่คิดจะรุกล้ำ หรือฉวยโอกาส เพราะรู้ดีว่าการทำแบบนั้นมีแต่จะทำให้ต่างฝ่ายต่างลำบากใจ และอยุ่ในสถานการณ์ที่อึดอัด สุดท้ายเขาจึงเคารพในความสัมพันธ์ที่เด็กหนุ่มมีให้ สำหรับองค์รามเมส แม้เขาจะรู้สึกอิจฉาอยู่บ้าง แต่ถ้าเป็นคนนั้นเขาก็คงยอมลดราให้ได้ เพราะอย่างไรตัวเขาและรีไว รามเมส ก็เหมือนมีร่างอวตารแห่งราเป็นศูนย์กลางที่ยากจะตัดขาด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น