วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2561

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์ Chapter 30


Pairing: (LevixEren)
Rate: NC-17
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
Story By: AkeRah , Trendy Blood
………………………………………………………………………………
Chapter 30:

            เอเลนกึ่งเดินกึ่งวิ่งสลับกันไปตามแรงกระชากของคนนำหน้าที่กระชับจับแขนเขาแน่นราวคีมหนีบ แม้จะมีบ้างที่สะดุดจนเด็กหนุ่มเซถลาเล็กน้อย แต่คนนำหน้าเขากลับไปหันกลับมามอง เสี้ยวหน้าที่เห็นทำให้เด็กหนุ่มยากจะเดาได้ว่า บัดนี้องค์ปาโรห์รีไว รามเมส กำลังคิดอะไรอยู่? แต่ถึงกระนั่นเขาก็ไม่คิดจะเอ่ยถามด้วยรู้สึกว่า บุรุษเบื้องหน้าราวกับกำลังข่มโทสะ รวมถึงความหวั่นไหวที่รู้สึกผ่านมือหยาบที่กรำศึกมาเนิ่นนาน แต่บัดนี้มีความสั่นไหว แม้จะเล็กน้อยแต่สำหรับคนที่ถูกบีบข้อมือแน่นจนน่าจะเกิดรอยช้ำนั้นรู้สึกได้
            เด็กหนุ่มหันมองรอบกายพลันใบหน้าที่งุนงงเมื่อแรกเริ่มกลับฉายแววหวั่นวิตก เหล่าเสียงโหยหวนของทหารที่ได้รับบาดเจ็บร้องเรียกพรรคพวกที่กำลังตรวจตราเข้าช่วยเหลือ ทหารทั้งสองฝ่ายที่บัดนี้เลิกสู้รบต่างกระจายช่วยเหลือพรรคพวกของตนที่บาดเจ็บขึ้นเกวียน และรถศึกเพื่อไปยังสถานพยาบาล บ้างก็เก็บอาวุธจากผู้ที่เป็นสหายเก่าที่บัดนี้เหลือเพียงร่างไร้วิญญานที่ส่งต่อให้กับเทพอนุบิสคืนสู่ผืนทราย ภาพศพของทหารมากมายที่อยู่รายล้อม และกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งทำให้เด็กหนุ่มร่างอวตารได้แต่เบนหน้าหนี ถึงแม้เขาจะเห็นสิ่งเหล่านี้ผ่านทางภาพยนต์ในโลกปัจจุบัน ตามตำรา หรือสื่อต่างๆ แต่เหตุการณ์จริงที่ฉายชัดอยู่เบื้องหน้าโหดร้ายกว่าที่เขาเคยจินตนาการ
            “หวาดกลัวงั้นรึ?” เสียงทุ้มต่ำของคนเบื้องหน้าเอ่ยถาม ดูเหมือนองค์ฟาโรห์คงสัมผัสได้ว่าตอนนี้ร่างกายของเขากำลังสะท้านกับสิ่งที่เห็น

            “จงจำภาพเหล่านี้ให้มั่น และสำนึกเสียว่าส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะเจ้า...เอเลน”

เสียงทุ้มเอ่ยช้าๆอย่างชัดเจน ราวกับตอกย้ำทุกถ้อยคำแทงไปยังใจของเด็กหนุ่มร่างอวตาร
            ร่างที่กำลังเดินตามพลางหยุดชะงัก ก่อนจะถูกมือหยาบนั้นดึงให้ตามต่อจนสองขาที่ตอนนี้เริ่มไม่รู้สึกต้องก้าวเดินตามแรงฉุดเบื้องหน้า เด็กหนุ่มมองมือที่ถูกบีบแน่น  ไม่มีแม้กระทั่งคำปลอบใจหรือปลอบโยนเช่นทุกครั้ง.... ทั้งที่เขาเองไม่ได้อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้เสียหน่อบ แล้วทำไมต้องกล่าวหากันแบบนี้!!
            “องค์รามเมส กองทัพทั้งสี่ของเราจะให้ทำอย่างไรต่อขอรับ?” กุนเธอร์ควบม้าห้อตะบึงก่อนจะตวัดตัวลงคุกเข่าถวายความเคารพกับองค์รามเมสเบื้องหน้า
            “นำกองทัพ อมุน และรา ล่าถอยออกมา กองกำลังทั้งสองบัดนี้กำลังพลอ่อนแรงเต็มที สำหรับ กองทัพ พทาห์และเซธ ยังคงให้ตั้งมั่นที่เดิมจนกว่าเรื่องครานี้จะหาข้อยุติได้”
            หลังสิ้นรับสั่งกุนเธอร์ถวายบังคมลาก่อนจะตวัดตัวขึ้นม้าแล้วกลับไปสั่งการทั้งสี่เหล่าทัพตามที่ได้รับมอบหมาย
            ชื่อของกองกำลังสี่เหล่าทัพทำให้เอเลนได้ฉุกคิด ทั้ง4กองทัพ อมุน รา พทาห์ และเซธ ล้วนเป็นชื่อของเหล่าทวยเทพผู้ปกป้องอียิปต์ เป็นอีกครั้งที่ตอกย้ำถึงหน้าที่และความสำคัญของตัวเขาในฐานะ ร่างอวตารแห่งเทพรา
            เขานี้บ้าชะมัด แค่เรื่องของฮาดี้และลูกของนางผู้ซึ่งศรัทธาในตัวเขา จนยอมเสี่ยงชีวิตเพราะหวังให้เขาช่วยเหลือ และเหล่าผู้คนอีกมากมายที่ฝากฝังไว้กับเขา ... สมควรแล้ว..ที่คนตรงหน้าจะโกรธ...
            “..ผ...ผม...” คำขอโทษถูกกลืนหายไปในลำคอ สองมือของเด็กหนุ่มกำแน่นอย่างเจ็บใจ ตัวเขาตอนนี้ไม่มีสิทธิ์ที่จะเอ่ยคำนั้นออกมา ทั้งที่คิดว่าจะไม่ให้ใครต้องเดือดร้อนเพราะเขาอีกแล้วแท้ๆ...
            เอเลนเอ๊ย... การเป็นร่างอวตารนี่หนักหนาสาหัสชะมัด...
            เด็กหนุ่มชำเลืองมองไหล่แกร่งขององค์รามเมสเบื้องหน้า เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดบุรุษตรงหน้าหลายครั้งถึงได้หยาบกระด้าง และเจ้าเล่ห์นัก การตัดสินใจเพียงชั่ววูบนั้นหมายถึงชีวิตของคนนับหมื่นและแสนคน สองบ่าของฟาโรห์หนุ่มที่แบกรับแม้จะดูน่ายำเกรง...แต่บางครั้งกลับดูหนักหนาเสียเหลือเกิน...

            กระโจมใหญ่กลางค่ายของอียิปต์ถูกเหล่าทหารจัดเตรียมพื้นที่อย่างง่ายๆและเร่งรีบ เนื่องด้วยการมาของเหล่าผู้ครองแคว้นฮิตไทต์โดยมิได้นัดหมาย แต่เจ้าชายฮัตตูซิลิสหาได้ใส่พระทัย เพียงแต่ยังไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิด แต่สิ่งหนึ่งที่ประจักษ์ทั่วหล้าเมื่อสักครู่
            แสงสีทองที่สาดส่องประกายจ้าและร่างของเด็กหนุ่มอวตารผู้มาพร้อมแสงที่ส่งมาจากสรวงสวรรค์นั้นล้วนประจักษ์ต่อสายตาทุกคู่ที่อยุ่ ณ ที่นั้น... ไร้ข้องกังขาใด ... เด็กหนุ่มนามว่าเอเลน คือผู้ที่เบื้องบนส่งมาอย่างแท้จริง
            “เจ้ากล่าวว่าจะไขข้อกระจ่างทั้งหลาย แล้วเหตุใดถึงต้องจับอนุชาเราเยี่ยงเชลยเช่นนั้น? แบบนี้เท่ากับหยามเกียรติฮิตไทต์ของเรา”
แจนที่อดทนรอดูเหล่าทหารที่ควบคุมตัวเอลามเอ่ยเสียงดัง แต่กระนั้นด้วยว่าตอนนี้อยุ่ในเขต เมมฟิส จึงนับว่ารีไวรามเมสเป็นผู้ที่ใหญ๋ที่สุด ทำให้เหล่าทหารชั้นผู้น้อยหาได้สนใจคำเสียดสีของอีกฝ่าย
เบเซธที่เดินตามเข้ามาเร่งฝีเท้าก่อนจะค้อมกายคำนับอีกฝ่ายเพื่อให้เกียรติ
“ขออภัยเจ้าชายแจน เรื่องนี้มีที่มาขอให้ท่านโปรดสงบใจ ด้วยสัตย์ต่อเทพฮอรัส ข้ายืนยันว่าเราชนชาวอียิปต์มิได้คิดล่วงเกินท่านแต่อย่างใด”
คำกล่าวและท่าทางที่ดูจริงจังของเบเซธทำให้คนที่กำลังอารมณ์กรุ่นเพราะรู้สึกโดนหยามนั้นเย็นลงบ้าง แจนจึงยอมนั่งลงบนเก้าอี้ที่อีกฝ่ายยกมาจัดเตรียมให้
“เรื่องส่วนตัวในครานี้ข้ายังไม่ขอเอ่ย ดังนั้นข้าขอเชิญอนุชาของท่านไปพักที่กระโจมด้านหลัง และไม่ต้องห่วงคนของข้าจะดูแลเขาเป็นอย่างดี”
ทันที่ที่ตรัสจบเหล่าทหารผู้คุมตัวเอลามต่างลากร่างของเจ้าชายหนุ่มออกจากกระโจมโดยมีเสียงร้องเออะโวยวายของเอลามให้ได้ยินตลอดทาง
“แบบนี้มันจะหยามกันเกินไป!!
ทันทีที่อารมณ์โทสะเริ่มปะทุ มาร์โกข้ารับใช้ผ็สนิทที่สุดรีบรุดเข้ามาอยุ่ข้างกายองค์ชายหนุ่ม พลางแตะที่บ่าองค์ชายเพื่อให้สงบใจ ดูจากการกระทำขององค์รามเมส การที่แจ้งว่ามีเรื่องส่วนตัวแต่เอาไว้ทีหลัง นั่นนับว่ามีปัญหาใหญ่สำคัญที่จำเป็นต้องสะสาง
เพียงรอไม่นานโต๊ะและแผนที่ขนาดใหญ่ก็ถูกกางกั้นระหว่างองค์รามเมสและเจ้าชายรัชทายาทแห่งฮิตไทต์ แจนมองแผนที่เบื้องหน้าพลางขมวคิ้วมุ่น ในนั้นมีภาพทหารม้า ทั้งของอียิปต์และฮิตไทต์ แต่ถึงกระนั่นก็มีทหารม้าที่แตกต่างอีกสองฝ่ายอยู่ใกล้ระหว่างพวกเขาเช่นกัน
“เรื่องสำคัญที่ท่านจะกล่าว...หมายถึงเรื่องนี้เองงั้นหรือ?”
“นับว่าท่านเองก็เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ดีเช่นกัน การรบครั้งนี้ทำให้เราเสียกำลังพลไปไม่ใช่น้อย แต่ถึงกระนั่นนับว่ายังเล็กนักถ้าเทียบกับสถานการณ์ใหญ่ในครานี้”
รีไวรามเมสชี้จุดของกองทัพทั้งสี่ที่อยู่ห่างกันไม่มาก ก่อนจะวงวงกลมและเส้นสัญจรของทัพต่างๆ
“ทั้งตอนนี้อียิปต์ของข้าและฮิตไทต์ของเจ้าต่างเผชิญพวกสอดรู้สอดเห็นรอบด้าน ทางตอนเหนือของเจ้ากำลังเจอศึกหนักกับอัซซีเรีย เช่นเดียวกับข้าที่ตอนนี้ต้องนั่งเล่นกับพวก ลิเบีย”
แจนเริ่มมีสีหน้าที่เคร่งขรึมไม่ต่างจากใบหน้าจริงจังขององค์รามเมส ไม่คิดว่าสถานการณ์ศึกที่ฮิตไทต์กำลังเผชิญจะล่วงรู้ถึงหูอีกฝ่ายเร็วขนาดนี้ ในขณะเดียวกันก็ไม่คาดคิดว่า รีไวรามเมส จะกล้าเอ่ยถึงปัญหาการศ฿กที่กำลังเผชิญเช่นกัน ดูเหมือนนี่จะเป็นเรื่องใหญ๋กว่าที่เขาเคยคาดการณ์ เพราะถึงขั้นศัตรูคู่อาฆาตอย่างยาวนานเช่นอียิปต์และฮิตไทต์ ต่างยอมเผชิญหน้าเพื่อเจรจาเช่นนี้
เอเลนที่มองดูสถานการณ์เบื้องหน้าอย่างเงียบๆจึงเพิ่งรู้สึกถึงบางสิ่ง เดี๋ยวนะ...ถ้าจำไม่ผิด นี้เขาน่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่สำคัญระดับชาติ ไม่สิ ระดับโลกเลยต่างหากล่ะ!!!  จริงสินะ มันใช่จริงๆใช่ไหม!!? การกลับไปสอบของเด็กมหาลัยอย่างเขาและมิคาสะ...จะทำให้เกิดสงครามที่เป็นที่เล่าขานในประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ผลิกแนวการทำสงครามของโลกต่อมาอีกด้วย!! ถ..... ถึงจะปวดใจตรงที่ตัวเขาเป็นหนึ่งในฉนวนของเรื่องนี้ก็เถอะ แต่...การได้มาเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์แบบนี้ สุดยอดชะมัด!! เจ้าพ่อบ้าต้องอิจฉาเขาแน่ๆ
“นับว่าทั้งเราชาวอนาโตเลียและท่านชาวไอยคุปต์ต่างผจญศึกรอบด้าน ถ้าเรามัวแต่กรำศึกที่ไร้ความหมายเฉกเช่นตอนนี้ เห็นทีคงไม่ควร”
ทั้งฮิตไทต์และอียิปต์ต่างต้องแบ่งกองกำลังเพื่อไปจัดการปัญหาอีกด้าน ทำให้กำลังพลที่มีอยู่ต่างต้องแยกฝ่าย อีกทั้งปัญหาเรื่องเสบียงที่จะตามมากับการทำศึก นับว่าทั้งฮิตไทต์และอียิปต์ต่างเสียเปรียบลิเบีย และอัซซีเรีย
“แล้วเหตุใดท่านถึงทำให้เกิดศึกครั้งนี้เล่าองค์รามเมส?” ในเมื่อสถานการณ์คับขันเช่นนี้การมาทำศึกกับฮิตไทต์นับว่าเป็นการเสียไพร่พลอย่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
รีไว รามเมส เงียบชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยในสิ่งที่กังขากับความรู้สึกของพระองค์ แต่เป็นสิ่งที่องค์รามเมสคิดทบทวนมาอย่างยาวนาน
“เราจำเป็นต้องทำสัญญาสงบศึกและร่วมเป็นพันธมิตรกับอีกฝ่าย เพื่อหลีกเลี่ยงการขัดแย้ง”
เสียงเซ็งแซ่ระงมทั่วทั้งกระโจม รวมทั้งเสียงคัดค้านไม่เห็นด้วยที่ดังแทรกซ็อน ถึงกระนั้นองค์รามเมสจึงทำเพียงยกพระหัตถ์เตือน เพื่อให้เหล่ข้าราชบริพานอยู่ในความสงบ
“เมื่อ 14 ปีก่อน ข้ากับมูวาตัลลิส พ่อของเจ้าได้เอ่ยวาจาจะไม่รุกรานกันและกัน แต่เรื่องครานี้ได้พิสูจน์ให้เห็นชัดแล้วว่า เพียงวาจานั่นไม่อาจสัตย์ซื่อ เมื่อไม่มีสิ่งกล่าวอ้าง ย่อมมีผู้ต้องการให้สงครามที่ไม่จำเป็นนี้เกิดขึ้นมาเป็นระลอก การเกิดสงครามครั้งนี้ได้ตอกย้ำและชี้ให้เห็น ทั้งเจ้าและข้า ต่างเป็นศัตรูที่หมายมั่นยึดครองดินแดนอีกฝ่าย โดยไม่คิดคำนึงถึงผลที่ตามมา”
เป็นดั่งที่องค์รามเมสตรัส เมื่อ14ปีก่อน สงคราม ณ คาเดซ ที่เดียวกันแห่งนี้ มูวาตัลลิสที่ 2 และองค์รามเมส ต่างให้สัตย์วาจาซ฿งกันว่าจะไม่รุกรานอีกฝ่าย แต่บัดนี้สงคราม ณ ที่แห่งเดิมได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ตอกย้ำการกล่าวสัตย์ที่ราวหยาดน้ำบนเม็ดทรายที่ร่วงหายไป
“ท่านจะเอ่ยว่า... เอลาม เป็นผู้ต้องการให้สงครานี้เกิดใช่หรือไม่?” สองมือขององค์ชายแจนกำแน่น พระสุรเสียงติดขัด การที่อนุชาเป็นผู้ริอาจทำลายคำสัตย์ของบิดาเป็นเรื่องร้ายแรงยากที่จะให้อภัย
“เรื่องนั้นข้าจะให้เจ้าได้ใช้เวลาในการไตร่ตรองกับอนุชาของเจ้า” รีไวรามเมสไม่ตัดสิน เพียงต้องการชี้ชัดให้เห็นถึงความจริงที่องค์ชายหนุ่มต้องเผชิญ
“.... ครานี้... ข้าจะขอทำสัญญา” องค์ชายหนุ่มเงยหน้าสบสายตามั่นกับบุรุษผู้ปกครองชาวอียิปต์เบื้องหน้า
“ครานี้ เพื่อให้มีหลักฐานที่ประจักษ์จนไม่อาจมีผู้ใดโต้แย้ง ข้าขอทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร ร่วมด้วยข้อกำหนดที่ฮิตไทต์และอียิปต์ต่างลงความเห็นร่วมกัน” องค์ชายหนุ่มยื่นข้อเสนอหนักแน่น นัยน์ตาสีเปลือกไม้เข้มมองสบพระพักต์องค์รามเมสเพื่อแสดงความสัตย์ซื่อ
รีไว รามเมส คิดวิเคราะห์ชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย แต่ถึงกระนั่นก็มีส่วนที่เป็นไปได้ยาก
“นับเป็นความคิดที่ไม่เลว สัญญานั่นจะเปรียบดั่งตัวแทนของเจ้าและข้า แต่กว่าจะทำสัญญาได้ เห็นทีข้าคงต้องรอเจ้าขึ้นครองบัลลังค์ใช่หรือไม่?”
องค์ชายแจนเม้มริมฝีปากแน่น ถ้าเทียบแล้วตอนนี้เขายังเป็นเพียงรัชทายาท แม้จะเป็นรัชทายาทอันดับหนึ่ง แต่อีกฝ่ายเป็นถึงฟาโรห์ผู้ครองลุ่มแม่น้ำไนล์ นับว่าศักดิ์ไม่อาจเทียบเท่า
“....ข้า... ขอสัญญา ด้วยสัจจะของเทพีฮิตทาร์ ข้าจะต้องเป็นผู้สืบบัลลังค์ต่อจากพระบิดามูวาตัลลิส และขึ้นครองราชย์ในฐานะ ฮัตตูซิลิส ด้วยเกียรตินั่นท่านจะยอมรับได้หรือไม่?”
นับเป็นความเสี่ยงที่ผู้มียศเพียงแค่รัชทายาทอันดับหนึ่ง เสนอต่อผู้เป็นฟาโรห์ แห่งอียิปต์ ถ้าหากองค์ชายแจน ท้ายสุดไม่ได้เป็นผู้ที่ครองราชย์แล้วไซร้ สัญญาฉบับนี้นับกลายเป็นเพียงวัตถุไร้ค่า
“ หึหึ เจ้าช่างมั่นใจในตัวเองนักองค์ชาย.... ไม่สิ.... ฮัตตูซิลิส.. ข้าจะยอมรับเจ้าในฐานะนั้น”
องค์ชายแจนลุกจากที่นั่งคุกเข่าค้อมศรีษะให้กับ รีไว รามเมส ทั้งที่เขาคิดว่าต้องโดนปฏิสธเป็นแน่แท้ แต่องค์รามเมส กลับกล้าตอบรับข้อเสนอของเขาอย่างไม่ยืดเยื้อ อาจเป็นเพราะบุรุษตรงหน้าคงมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะต้องเป็นผู้สืบเชื้อสายต่อไปไม่ผิดเพี้ยน...
ว้าวๆๆๆ นี้เขากำลังอยู่ในชั่วโมงแห่งประวัติศาสตร์ การทำสนธิสัญญาฉบับแรกของโลกเลยนะ!!  เท่ากับว่าอีกไม่นานเวลาแห่งประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ๋ที่สุดอย่างหนึ่งก็จะปรากฏอยุ่ตรงหน้าเขาก็คือการลงสนธิสัญญาของทั้งสองฝ่าย....สนธิสัญญาฉบับแรกของโลก สนธิสัญญาคาเดซ!!.. แต่เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าเขาจำไม่ผิด เขาจำได้ว่า ผู้ที่ลงสัญญาด้วยคือ กษัตริย์ฮัตตูซิลิส ไม่ใช่เจ้าชายรัชทยาท ตอนออกรบก็เป็นกษัตริย์ผู้นั่น นี่สินะ ที่เขาบอกว่าประวัติศาสตร์ขึ้นอยู่กับคนเขียน ตอนนี้กษัติรย์ผู้นั่นยังเป็นเพียงรัชทยาท การที่จะให้ฟาโรห์ทำสัญญากับรัชทยาทดูเป็นเรื่องไม่สมเกรียติ... แสดงว่าสุดท้ายแล้ว ผู้ที่แก้ประวัติศาสตร์เรื่องลงนามเปลี่ยนจากรัชทยาทเป็น กษัตริย์ฮัตตูซิลิส...เป็นนายเองสินะ....สมกับเป็นการตอบแทนเกียรติที่องค์รามเมสมอบให้.... นายนี่มันสุดยอดชะมัดเจ้าชายหน้าม้าเอ๊ย!
“การร่างสัญญาและลงนามต้องรีบทำให้เร็วที่สุด ข้าหวังให้เจ้าช่วงส่งคนที่ไว้ใจได้มา และทางข้าจะส่งฮันซ์เป็นผู้ช่วยจัดการในเรื่องนี้” รีไว รามเมสตรัสสั่งพลางเลือกผู้รับหน้าที่ที่สำคัญในการทำสนธิสัญญา
“นับเป็นโชคดี ที่คนผู้นั้นติดตามข้ามาด้วย... ขอฝากเรื่องนี้กับเจ้าด้วยมาร์โก”
มาร์โกค้อมกายคำนับอีกฝ่าย นับเป็นเกียรติอย่างหาที่สุดไม่ได้ในการที่เขาจะเป็นหนึ่งในผู้ร่างสัญญาสงบศึกครานี้
“สำหรับวันนี้ก็ดึกมากแล้ว... เรื่องของอนุชาเจ้าข้าจะให้เขาได้พูดคุยกับเจ้า..องค์ชาย จนกว่าการตัดสินจะเกิดเมื่อย่ำรุ่งของวันพรุ่งนี้”
ฟาโรห์หนุ่มตวัดกายลุกขึ้นเดินออกจากกระโจมที่ประขุม โดยมิวายลากเจ้าตัวดีที่กำลังจะวิ่งไปหาเจ้าชายรัชทยาทแห่งฮิตไทต์ แต่โดนองค์ราเมส ขวางกั้นก่อนจะลากคอคนที่หายไปนานนับหลายเดือนเข้าไปในกระโจมที่พัก โดยมีเหล่าคนสนิทต่างกล่าวลาอย่างคุ้นชิน
ตุ๊บ!
ร่างของเด็กหนุ่มถูกโยนลงบนแท่นบรรทมขององค์รามเมส ก่อนที่จะได้ขยับร่างของฟาโรห์หนุ่มก็ทามทับเข้ากับร่างอวตารเด็กหนุ่ม
“ใยเจ้าไม่ส่งข่าวคราวมา รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นห่วงเพียงใด?” สุรเสียงเข้มตรัสดุ แต่ถึงกระนั้นประโยคกลับแฝงความห่วงใยในตัวเด็กหนุ่ม
“ข.. ขอโทษ ครับ.. เอ๊ะ แต่ ผมผูกจดหมายให้กับอิลเซ่แล้วนะ ไม่ได้หายไปเฉยๆเสียหน่อย?”
พอได้ยินคำแก้ตัว องค์รามเมสจึงเดินไปหน้ากระโจม ก่อนจะผิวปากเป็นสัญญาน ไม่นานนักเหยี่ยวสาวตัวใหญ๋ที่คุ้นเคยก็บินถลามาเกาะที่กำไลทองคำบนพระกรของฟาโรห์หนุ่ม
“ไม่เห็นมีจดหมายตามเจ้าอ้าง”  ฟาโรห์หนุ่มสำรวจเหยี่ยวสาวที่มอบให้ แต่ไม่พบเชือกหรือสิ่งใดที่เด็กหนุ่มเอ่ยถึง
“ไม่สิ ผมฝากไว้จริงๆนะนี่ใช่อิลเซ๋จริงรึเปล่า ผมขอลองมั่ง!” ไม่รอช้าเอเลนรีบผิวปากเพื่อพิสูจน์ว่าเจ้านกตัวอ้วนพีตรงหน้าใช่อิลเซ่จริงหรือไม่.. จำได้ว่าอลิเซ่ของเขาตัวไม่ได้อ้วนขนาดนี้
เพียงไม่นานก็มีเหยี่ยวบินมาตามเสียงเรียกของเด็กหนุ่ม แต่แทนที่จะมาเพียงแค่ตัวเดียว กลับเป็นอีก 2 ตัวที่บินมาหา ตัวหนึ่งบินลงที่พระกรขององค์รามเมสข้างกายอิลเซ๋ อีกตัวบินมาเกาะยังแขนของเด็กหนุ่มที่ทับด้วยเสื้อแขนยาว เหยี่ยวมาใหม่ทั้งสองดูเป็นเหยี่ยวรุ่นที่ยังโตไม่เต็มวัย ขนาดเล็กกว่าอิลเซ่เล้กน้อย
“เดี๋ยวนะ ทำไมถึงมีอิลเซ๋เบอร์สอง เบอร์สามได้ล่ะ!?” นัยน์ตาสีอร่ามจ้องเหล่าเหยี่ยวทั้งสามตัวตาปริบๆ
เด็กหนุ่มร่างอวตารยิ่งต้องมึนหนักกว่าเก่าเมื่อเหยี่ยวทั้งสามต่างแสดงความคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ทั้งเข้าไปทักทายและไซร้ขนให้แก่กัน
รีไว รามเมส วางเหยี่ยวทั้งสามไว้บนโต๊ะทรงงาน แม้แต่ตัวองค์รามเมสก็งุนงงไม่ต่างกัน อิลเซ่มองเจ้านายทั้งสองของตัวเองไปมา สักพักจึงสงเสียงร้องราวกับเรียกบางสิ่ง
วัตถุปริศนาตัวมหึมาพุ่งด้วยความเร็วผ่านร่างเอเลนและองค์ฟาโรห์พุ่งตรงไปยังโต๊ะไม้ทรงงานขนาดใหญ่ ก่อนจะร่อนลงเชิดคออย่าสง่าผ่าเผยให้เห็นลำตัวขนาดใหญ่พร้อมใบหน้าที่มีร่องรอยการต่อสู้นับไม่ถ้วนยืนเด่นสง่าประกบหลังเอลเซ่ ทันทีที่เจ้าเหยี่ยวยักษ์โผล่มา เหยี่ยวสาวก็เข้าไปคลอเคลียด้วยความสนิทสนาม เมื่อถึงตรงนี้ ทั้งองค์รามเมสและเด็กหนุ่มร่างอวตารก็พอสันนิษฐานได้ว่า เหตุใดจดหมายที่ควรจะแจ้งข่าวคราวทั้งหมดนั่นถึงมาไม่ถึงพระองค์
“อิลเซ่ นี่แกทำแบบนี้ได้ยังไง!!” เอเลนทรุดลงไปกับพื้นทันทีที่เห็น
สรุปแล้วจดหมายเขาคงกลายเป็นของประดับรังเจ้าครอบครัวเหยี่ยวตรงหน้านี่แล้วแน่ แถมดูพวกมันสิยังมาทำหน้าตาครอบครัวสุขสันต์ชท่นมื่น โดยไม่สำนึกเลยว่าไอสาสน์ที่มันทำหายได้ทำให้เกิดหายนะขนาดไหน!?
“อิลเซ่ ไอเพื่อนทรยศ ฉันกับแกขาดกัน!
แม้จะพูดไปอย่างนั้นแต่ดูเหยี่ยวหาได้ใส่ใจไม่ เพียงแต่เอากรงเล้บเท้าเขี่ยผมสีน้ำตาลของเด็กหนุ่งร่างอวตาร ก่อนจะเอาหัวซุกเข้าผมสีน้ำตาลหยอกล้อ
“นี่แก..ไม่ได้สำนึกเลยสินะ” คนที่ทะเลาะกับนกเพิ่งรู้สึกตัวว่าช่างเปล่าประโยชน์เสียเหลือเกิน แต่เห็นว่าอย่างน้อยเหยี่ยวเขายังไม่ถูกใครจับไปย่างกิน แถมยังเพิ่มสมาชิกมาอีก... เรียกว่าเป็นสิ่งดีได้ล่ะมั่ง..
“นี่หายไป7 เดือน ลูกแกโตกันแล้วสินะ แบบนี้เอาไปให้มิคาสะสักตัวหมอนั่นน่าจะชอบ”
ร่างกำยำของฟาโรห์หนุ่มโอบรอบร่างเอเลน ใบหน้าคมคายซุกที่ซอกคอของเด็กหนุ่มเพื่อสูดกลิ่นกายและไออุ่นที่เฝ้าคิดถึง
“ใช่ 7 เดือนที่เจ้าหายไป รู้หรือไม่ข้าเป็นห่วงขนาดไหน แล้วมีผู้คนต้องเดือดร้อนเพราะเจ้าเพียงใด?”
เอเลนกระชับแขนกำยำของฟาโรห์หนุ่มแน่น ทั้งรู้สึกสำนึกผิดและโล่งอกที่ฟาโรห์ผู้นี้ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการกรำศึกตลอดหลายเดือนที่เขาหายไป
“ผมสัญญา ถ้ามีครั้งหน้าผมจะบอกคุณก่อน”... หรืออย่างน้อยก็ฝากคนไปบอกล่ะนะ
“ยังมีครั้งหน้าอีกรึ?” สุรเสียงดุของฟาโรห์เค้นถาม ทำเอาคนในอ้อมแขนถึงกับเหงื่อตก
“คือ... สิ่งที่ผมไปทำ มันก็ใกล้เคียงกับการทำสงครามของท่านเช่นกัน... แต่แบบ...เดี๋ยวสิ ผมแค่เป็นหนึ่งในข้ออ้าง แต่จริงๆแล้วคุณต้องการให้มันเกิดอยู่แล้วนี่!
เมื่อทบทวนบทสทนาขององค์ฟาโรห์กับองค์ชายแห่งฮิตไทต์ดูดีๆ สงครามนี้ราวกับว่าเป็นสิ่งที่ฟาโรห์คาดเดาไว้อยุ่แล้ว
“ถึงแม้ข้าจะคาดการณ์ไว้ แต่การที่เจ้าหายไปอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุนั่นไม่ได้อยู่ในแผนของข้า” กับการที่เขาต้องเกณฑ์ไพร่พลออกตามหาทั่วทั้งผืนทรายนั่นก็เพราะเกรงว่าคนในอ้อมแขนนี้จะเป็นอันตราย ด้วยเหตุที่ตอนนี้มีผู้ปองร้ายต่ออียิปต์อยู่รอบด้าน
รีไว รามเมส ตวัดรวบเด็กหนุ่มร่างอวตารกลับไปที่เตียงอีกครั้ง ก่อนที่ปากช่างเจรจาจะได้เอ่ยสิ่งใด ฟาโรห์หนุ่มจัดการปิดปากนั่นด้วยพระโอษฐ์ของพระองค์
ลิ้นร้อนตวัดควานทั่วโพรงปากนุ่มของเด็กหนุ่มอย่างตะกระกละตระกลาม แม้จะถอดถอนให้คนใต้ร่างได้หอบหายใจเพียงชั่วขณะ แต่ออกซฺเจนยังไม่ทันเข้าปอดดีริมฝีปากช่างเอาแต่ใจนั่นก็เข้าถาโถมเด็กหนุ่มอีกครา ความวาบหวามที่อีกฝ่ายมอบให้ทำฝห้รู้สึกเสียวหน้าทองแปลกๆ ริมฝีปากนุ่มถูกบดเบียดและขบกัดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกว่าอีกฝ่ายจะพอใจก็ทำเอาคนที่อยู่ข้างใต้รู้สึกเหมือนจะขาดอากาศหายใจ
เอเลนหอบเอาอากาศเข้าเมื่ออีกฝ่ายยอมถอนริมฝีปากออก สองมือของเด็กหนุ่มบีบแขนกำยำขององค์รามเมสเพื่อเอาคืนที่คนตรงหน้าบดเบียดริมฝีปากเขาจนรู้สึกชา
“พอใจท่านแล้วใช่ไหม?” ถามไปแบบนั้นเพราะเห็นอีกฝ่ายยังคงจ้องเขานิ่งงันไม่เอ่ยสิ่งใด
“ไม่เลย.... ไม่ว่าเมื่อไรข้าก็รู้สึกละโมบในตัวเจ้าไม่เคยพอเพียง “
มือหยาบที่กรำศึกมาหลายเดือนลูบบนใหน้ามนของเด็กหนุ่ม ก่อนจะเลื่อนดึงมือของเด็กหนุ่มร่างอวตารขึ้นมาจุมพิต เมื่อสังเกตมือเด็กหนุ่มทำให้ใบหน้าขององค์รามเมสต้องขมวดคิ้วมุ่น
“เหตุใดเจ้าถึงไม่ใส่แหวนที่ข้าให้?” สุรเสียงเอ่ยตรัสถามอย่างไม่พอใจ
เอเลนได้แต่ยิ้มแห้งก่อนจะดึงสร้อยที่คล้องคอให้อีกฝ่ายได้เห็นแหวนต้นกกที่ทำต่างจี้
“ใส่ที่มือแล้วมันเสียหายง่าย ผมเลยเอามาใส่เป็นสร้อยแบบนี้”
คำตอบของเด็กหนุ่มทำให้องค์ฟาโรห์ยกยิ้มได้ ทั้งทีเป็นเพียงเรื่องเล้กน้อยแต่ทำให้เขารู้สึกอิ่มเอิบ และนั่นยิ่งทำให้เขาละโมบในตัวเด็กหนุ่มยิ่งขึ้นทุกวัน
ริมฝีปากของฟาโรห์ทาบทับลงกับริมฝีปากของเด็กหนุ่มอีกครั้ง จนตอนนี้เอเลนเริ่มคิดแล้วว่าบางทีเขาอาจจูบจนทำลายสถิติโลกไปแล้ว ให้ตายสิ...
“ข้าตัดสินใจแล้วเอเลน อวตารแห่งข้า เมื่อเรื่องครานี้เสร็จสิ้นลงข้าจะพาตัวเจ้ากลับธีปส์”
เอเลนก็เห็นด้วย เพราะดูว่าทางฮิตไทต์เองก็มีเรื่องต้องไปสะสางอีกมาก แปลนต่างๆที่เขาร่างไว้ก็เรียบร้อยดี อีกทั้งชาวบ้านก็มีความเข้าใจและร่วมมือในการพัฒนาชุมชนตามที่เขาได้วางไว้เป็นอย่างดี นับว่าทุกอย่างน่าจะหมดหน้าที่ของเขาที่ต้องอยุ่กับเจ้าชายแจนแล้ว
แต่ก่อนที่เอเลนจะทันได้หายใจอย่างทั่วท้อง เด็กหนุ่มต้องชะงักกับประโยคถัดมาที่จริงจังและหนักแน่นขององค์ฟาโรห์ รีไว
“เมื่อถึงธีปส์ข้าจะทำให้เจ้าเป็นของข้าเสียที เอเลน”
.
.
.
.
.
ทั้งที่คิดว่าจะอยู่ที่นี้จนถึงช่วงสอบเทอมหน้า... ตอนนี้ขอหากลอนประตูแล้วไขกลับเลยได้ไหม?  พ่อครับ อยู่ๆผมก็คิดถึงพ่อขึ้นมากระทันหันเลยล่ะครับ....

1 ความคิดเห็น:

  1. โอ๊ยยยย อดใจรอตอนที่เอเลนเป็นของรีไวไม่ไหวแล้ววววว เราชอบเรื่องนี้มากกกก ติดตามเรื่องนี้มาทางเด็กดี และจะติดตามเรื่องนี้ตลอดไปปปป จะรอเสมอนะค๊าาาาาาา

    ตอบลบ