วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2559

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์ Chapter 23:

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์
Pairing: (LevixEren)
Rate: NC-17
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
Story By: AkeRah , Trendy Blood
………………………………………………………………………………………………..
Chapter 23:

สายลมร้อนยามเช้าพัดเอื่อยๆผ่านเข้ามาทางบานหน้าต่างพร้อมกับแสงแดดที่ออกจะอุ่นเกินจำเป็นอยู่เล็กน้อย ร่างโปร่งที่กำลังนอนหลับสนิทผินใบหน้าซุกลงกับหมอนหลบหลีกแสงแดดยามเช้าที่ส่องกระทบ แต่ถึงอย่างนั้นไอร้อนระอุที่แผ่เข้ามาผ่านหน้าต่างก็ชวนให้ร้อนจนหงุดหงิดท่อนขาเรียวยาวยกถีบสะบัดผ้าห่มออกจากตัวอย่างงุ่นง่านเสียจนชายชุดนอนผ้าฝ้ายโปร่งถลกเปิดขึ้นจนเห็นต้นขาอ่อนก่อนจะหลับต่ออย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน
เจ้าชายแจนจ้องมองร่างโปรงที่ซุกหมอนอยู่บนเตียงผมเผ้ากระเจิงเสื้อแสงเปิดอ้าซ่าแล้วก็ลอบถอนหายใจเฮือก........นี่หรือคือร่างอวตารแห่งรา ยามนอนหลับก็ไม่ได้ผิดแผกไปจากกลุ่มชนคนธรรมดาเลย.........
ร่างสูงเดินตรงเข้าไปหยุดยืนอยู่ข้างเตียงเงียบๆ  คนที่หลับก็ยังไม่ยักจะรู้สึกตัว.............ช่างไม่ระวัดระวังตัวอะไรเช่นนี้  คิดพลางเอื้อมมือไปดึงชายชุดนอนตลบปิดท่อนขาเรียวยาวให้ก่อนจะตีหน้าขรึมแล้วแสร้งกระแอมเสียงดัง
“ท่านร่างอวตาร ตื่นเถิด.....บัดนี้เช้าแล้ว” นอกจากจะไม่ตื่น อีกฝ่ายยังเอื้อมมือไปจิกผ้าห่มที่ถีบออกมาคลุมโปงอย่างตัดรำคาญ
“ท่านเอเลน ตื่นเถิด” พอเอื้อมมือไปดึงชายผ้าห่มฝ่ายคนที่กำลังหลับก็เอาแต่ส่งเสียงอู้อี้ยื้อผ้าห่มไว้แน่น ใบหน้าอันเคร่งขรึมของเจ้าชายหนุ่มค่อยๆบิดเบี้ยวอย่างหงุดหงิด และเมื่อความอดทนสิ้นสุดลงมือใหญ่จึงกดผ้าห่มคลุมโปงร่างโปร่งเอาไว้จนเมื่อคนที่นอนอยู่ทนความร้อนและอึดอัดไม่ไหวทะลึ่งพรวดลุกขึ้นมาด้วยเหงื่อโซมหน้าและจ้องมองมาอย่างตื่นตะลึง เจ้าชายแจนจึงส่งยิ้มเย็นชาให้ทีแล้วกล่าวตอบ “เช้าแล้ว ขอให้ท่านเตรียมตัวให้เรียบร้อย วันนี้ข้าจะพาท่านเที่ยวชมคิชชูวัตนา” กล่าวเสร็จก็ผันกายออกไปจากห้องโดยไม่สนใจคำตอบจากเอเลนเสียด้วยซ้ำ
“นี่มันจะปลุกรึจะฆ่ากันแน่วะเนี่ย” เอเลนได้แต่สบถอย่างเคืองๆพลางชูกำปั้นไล่หลังไปอย่างโกรธๆ
ขบวนเที่ยวชมเมืองในครั้งนี้ใหญ่กว่าที่เอเลนคาดคิดเอาไว้เสียอีก เพราะนอกจากจะมีเจ้าชายมูวาตัลลิสและองครักษ์คนสนิทแล้วยังมีกุนเธอร์และทหารอารักษ์ประจำตัวที่ฟาโรห์ราเมสส่งมาคุ้มกันเขาติดตามไปด้วย
“เพื่อไม่เป็นการดูหมิ่นร่างอวตาร ครั้งนี้ข้าได้เตรียมม้าสายพันธุ์ดีที่สุดของเราไว้ให้” เจ้าชายแจนกล่าวขณะจูงม้าเข้ามาใกล้ เอเลนส่งสายตามองม้าอาหรับตัวใหญ่สีดำเลื่อมตรงหน้าตาเป็นประกาย เห็นท่าทางตื่นเต้นของอีกฝ่ายแล้วแจนก็ยิ้มมุมปากน้อยๆ “หวังว่าท่านคงจะพอใจ”
“สุดๆเลยล่ะ” เอเลนกล่าวตอบพร้อมกับที่ดึงบังเหียนโหนตัวขึ้นไปนั่งบนหลังม้าอย่างลิงโลด ขณะที่กุนเธอร์รีบทักท้วง “ท่านร่างอวตาร กระหม่อมเกรงว่าจะไม่เป็นการปลอดภัย ถ้าอย่างไรเสียทูลเชิญ......” ยังกล่าวไม่ทันจบร่างอวตารก็พลันยกมือโบกปัดเป็นพัลวัน “ไม่เป็นไรๆ ท่านกุนเธอร์อย่าได้กังวล ข้าดูแลตัวเองได้ไม่ต้องห่วง” ร่างอวตารตอบกลับพลางชักม้าตามเจ้าชายมูวาตัลลิสไปช้าๆ กุนเธอร์รีบกลับไปขึ้นม้าและตามไปประกบเด็กหนุ่มร่างอวตารติดๆด้วยความรู้สึกที่ว่าตั้งแต่ออกจากอียิปต์จนมาถึงคิชชูวัตนานี่เงาหัวดูจะเลือนลางลงไปทุกที
“ก่อนอื่นข้าต้องแจ้งให้ท่านเอเลนทราบก่อนว่าคิชชูวัตนานั้นไม่ใช่เมืองหลักของเรา” เจ้าชายแจนกล่าวเรื่อยเฉื่อยขณะที่ชักม้าเดินนำขบวนชมเมืองไปช้าๆ
“ฮัตตูซา” เอเลนพึมพำกับตนเองเสียงเบา
“นับว่าความรู้ของท่านร่างอวตารนี่กว้างขวางเสียเหลือเกิน” เจ้าชายแจนกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่ออกจะเย้ยหยันเล็กน้อย ซึ่งเอเลนก็เชิดหน้ารับอย่างท้าทาย แน่นอนว่าความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์อียิปต์ที่ได้จากพ่อนั้นผ่านเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาออกจะบ่อย ถึงจะไม่ได้ซึมซับมาทั้งหมดแต่ก็พอจะรู้อยู่บ้างแล้วมีหรือที่เรื่องราวของอาณาจักรคู่แข่งอย่างฮิตไทต์จะไม่ผ่านเข้าหูมาบ้าง ถึงจะไม่ได้รู้ลึกซึ้งไปเสียทั้งหมดแต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักเลย
“ฮัตตูซาตั้งอยู่บนยอดเขา แน่นอนว่าไม่อาจอุดมสมบูรณ์เทียบเท่าอียิปต์ที่มีแม่น้ำไนล์คอยหล่อเลี้ยง แต่ด้วยภูมิประเทศแบบนั้นทำให้เรามีในสิ่งที่อียิปต์ไม่มีและนั่นถือเป็นข้อได้เปรียบของเรา” เจ้าชายแจนกล่าวอย่างภาคภูมิขณะที่พาขบวนชมเมืองหยุดลงตรงหน้าปากโพรงถ้ำที่ถูกขุดลึกเข้าไปในภูเขา
“เหมืองแร่?”
“ถูกต้อง.....เชิญ” เจ้าชายแจนกล่าวพลางเอื้อมมือไปรับร่างโปร่งลงจากหลังม้าพลางเดินนำเข้าไปด้านในโพรงถ้ำหินที่ซึ่งพวกชนชั้นแรงงานกำลังขุดเจาะกันอยู่
“ด้วยสิ่งนี้จึงทำให้เราได้เปรียบอียิปต์เป็นอย่างมาก” แจนกล่าวพร้อมกับหยิบหินแร่ขึ้นมาโยนเล่นก่อนจะเอ่ยต่อ “หินพวกนี้จะถูกนำไปสกัดจนได้เหล็กออกมา และเหล็กพวกนี้ก็จะถูกนำไปหลอมทำเป็นอาวุธอีกที” แจนกล่าวพร้อมกับโยนหินขึ้นแล้วชักดาบวงเดือนที่เหน็บอยู่ข้างเอวมาฟันหินแร่ก้อนนั้นจนขาดครึ่งโดยที่ใบดาบยังคงส่องประกายวาววับเช่นเดิมไม่มีแม้แต่รอยขีด
“นี่คือสิ่งที่อียิปต์ไม่มีทางสู้เราได้” แจนเอ่ยด้วยรอยยิ้มร้ายก่อนจะกล่าวต่อ “ยังมีอาวุธชั้นดีเยี่ยงนี้รอลับคมกับพวกอียิปต์อีกนับไม่ถ้วน” เมื่อกล่าวจบจึงเก็บดาบกลับเข้าฝัก เอเลนมองประกายดาบที่หายลับไปในฝักพลางกล่าวอย่างใจเย็น
“อียิปต์ไม่ได้ปรารถนาเรียกร้องสงคราม”
“คาดว่านี่คงเป็นสาส์นที่องค์รีไวราเมสฝากถึงข้า......แต่จะเชื่อได้สักแค่ไหนกัน” แจนกระซิบเสียงเครียดก่อนจะผินตัวเดินนำออกไปจากเหมือง
“เพื่อพิสูจน์ความจริงใจ ตัวข้าถึงต้องมาที่นี่อย่างไรล่ะ” เอเลนวิ่งตามพร้อมกับอธิบายเสียงอ่อนก่อนจะเอื้อมมือไปยึดชายผ้าคลุมของเจ้าชายแห่งฮิตไทต์ไว้
“ข้ามาที่นี่ เพื่อบอกข่าวนี้แก่ท่าน สงครามนำพามาแต่ความสูญเสีย แม้จะกุมซึ่งชัยชนะแต่ความสูญเสียที่เกิดขึ้นก็ใช่ว่าจะถูกชดเชยได้”
“ เจ้าจะบอกว่าฟาโรห์โฉดนั่นไม่ได้กระหายในสงครามเช่นนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้นเจ้าจงดูสิ่งนี้ด้วยดวงตาของเจ้าเถิดร่างอวตาร” แจนกล่าวขณะฉุดแขนลากเอเลนไปยืนประชิดริมเนินเขาสูง ไกลออกไปสุดสายตาผ่านผืนดินแห้งแล้งและทะเลทรายอันเวิ้งว้าง จุดดำเล็กๆที่ปรากฏให้เห็นอยู่ปลายสุดลูกหูลูกตาดูราวกับว่ามีกองคาระวานปักหลักตั้งพำนักอยู่ แต่ถ้าจะให้กล่าวตามตรงทั้งๆที่ห่างไกลถึงเพียงนั้นแต่ยังสามารถมองเห็นได้ชัดเจนเกรงว่าคงไม่ใช่กองคาระวานเล็กๆธรรมดา ถ้าหากจะกล่าวว่าเป็นกองทัพนั่นยังจะดูเข้าเค้ามากกว่า
กองทัพ........... คำๆนี้วนเวียนอยู่ภายในใจของเอเลน คงไม่ใช่ว่า.............
“เขาส่งเจ้ามาเพื่อยับยั้งสงคราม แต่ตัวเองกลับยกทัพมาปักหลักอยู่ที่เมืองชายแดนอย่างเมมฟิส หากว่าไม่ได้ต้องการสงครามแล้วเจ้าจะบอกว่าเขาต้องการสิ่งใดกัน”
เอเลนปวดหัวตุ้บจนแทบจะอยากเอาหน้ามุดดินทรายเสียให้รู้แล้วรู้รอด นี่ตาลุงฟาโรห์หื่นกามนั่นจะไม่ไว้ใจกันเลยใช่มั้ย ถึงอยากจะตามมาจริงๆก็เถอะ แอบมาเงียบๆไม่ได้รึไงยกทัพกันมาขนาดนี้แล้วเขาจะเชื่อมั้ยล่ะว่าตั้งใจแค่มานอนตากอากาศเล่นที่เมืองชายแดนเฉยๆ
“เรียนเจ้าชายมูวาตัลลิสต่อให้องค์ฟาโรห์ราเมสยกทัพมาปักหลักที่เมมฟิสนั้นเป็นความจริง แต่ตราบใดที่อียิปต์ยังไม่ล่วงล้ำแก่ฮิตไทต์ก็ไม่อาจกล่าวหาว่ามีเจตนารุกรานได้ ในเมื่อเมมฟิสก็เป็นหนึ่งในแผ่นดินของอียิปต์ย่อมเป็นสิทธิ์ของพระองค์ที่จะเสด็จประพาสได้ทุกเมื่อ แค่เพียงแต่ทัพหลวงกรีฑาทัพมาปักหลักอยู่ที่เมืองชายแดนแบบนี้ท่านยังตีความว่าองค์รีไวราเมสปรารถนาจะประกาศสงคราม แล้วการที่ท่านยกทัพใหญ่มาปักหลักอยู่ที่เมืองท่าที่แสนแร้นแค้นอย่างคิชชูวัตานาแบบนี้จะไม่ให้องค์ฟาโรห์ของเราเกิดความระแวงระวังในตัวท่านบางเลยหรือ” เอเลนมองสบตาเจ้าชายหนุ่มอย่างเยือกเย็น แจนที่ถูกดักทางได้เผยรอยยิ้มเหี้ยมออกมา
“ทั้งๆที่เขาเกิดความระแวงในตัวข้า ยังกล้าส่งเจ้ามาที่นี่”
“นั่นเพราะองค์ราเมสต้องการแสดงความบริสุทธิ์ใจกับท่านถึงได้ส่งข้ามาเป็นทูตเชื่อมสัมพันธ์กับฮิตไทต์ หากเป็นไปได้ พระองค์ก็ไม่ปรารถนาให้เกิดสงคราม”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงจำไว้ร่างอวตารแห่งรา หากวันใดพวกอียิปต์มันเหยียบย่างเข้ามาบนแผ่นดินฮิตไทต์ บัดนั้นข้าจะนำเลือดของพวกมันมาขีดเส้นแบ่งชายแดนให้องค์ราเมสได้ยล........ระหว่างนี้เจ้าก็จงอยู่ที่นี่ในฐานะทูตสันถวไมตรีอย่างสงบต่อไปเสียเถิด”
เอเลนถึงกับต้องถอนหายใจเฮือกกับความดื้อรั้นของเจ้าชายแห่งฮิตไทต์ แม้เขาจะสามารถเกลี้ยกล่อมให้องค์ฟาโรห์รีไวชะลอการศึกออกไปก่อนได้ แต่หากเป้าประสงค์ที่แท้จริงของเจ้าชายมูวาตัลลิสคือการก่อสงครามตั้งแต่แรก องค์ราเมสจะต้องตอบโต้อย่างแน่นอน และเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงสงครามได้อีก
“จะไม่มีทางอื่นอีกแล้วจริงๆหรือ”


“หากจะให้ทูลตามตรง คิชชูวัตนาแม้จะเป็นเมืองเล็กๆที่ค่อนข้างกันดาร แต่ด้วยความที่เป็นดินแดนที่มีแต่หินและภูเขานั้นเป็นผลดีต่อพวกฮิตไทต์พะยะค่ะ”
“ภูเขาที่ห้อมล้อมถือเป็นปราการจากธรรมชาติ อีกอย่างพวกนั้นเชี่ยวชาญการศึกแบบกองซุ่ม พวกมันสามารถเล่นงานทัพของเราจากที่สูงได้โดยง่ายสินะ”
“ถูกต้องแล้วพะยะค่ะ เพราะฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะยกทัพไปทลายเมืองคิชชูวัตนา”
“แต่หากเป็นการรบในที่ราบ พวกเราจะได้เปรียบในทันที”
“เสด็จพ่อคงไม่คิดที่จะทำสงครามกับฮิตไทต์จริงๆหรอกนะพะยะค่ะ ในเมื่อเอเลนเองยังอยู่ในกำมือของฝ่ายนั้นหากบุ่มบ่ามทำอะไรไปลูกเกรงว่าเอเลนจะกลายเป็นเหยื่อ”
“วางใจเถอะเบเซท ตราบใดที่มูวาตัลลิสยังไม่ได้แสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจน สงครามก็จะไม่เกิด แผนการพวกนี้ก็แค่เตรียมไว้ในกรณีเลวร้ายที่สุดที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ก็เท่านั้น” องค์รีไวราเมสตรัสตอบพลางแย้มสรวลให้แก่โอรส ขณะนั้นเองที่เบลทรูทก้าวเข้ามาในกระโจมพร้อมกับพญาเหยี่ยวตัวใหญ่
“อิลเซ่?” พระองค์ตรัสเรียกนามพญานกด้วยความฉงน มันตีปีกขานรับหนึ่งที
“เพิ่งมาถึงเมื่อสักครู่พะยะค่ะ”
“ออกไปให้หมดก่อน” ตรัสสั่งพลางผิวปากเรียกเหยี่ยวยักษ์เข้ามาหา
“รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ” เจ้าชายเบเซทและเหล่าทหารแม่ทัพรับคำก่อนจะทยอยเคลื่อนตัวกันออกไปจากกระโจม ในพลับพลาที่ประทับจึงเงียบสงัดลงทันตา
ฟาโรห์หนุ่มทรุดพระวรกายประทับลงบนเก้าอี้ทรงงานพลางแกะจดหมายที่ถูกผูกติดมากับอิลเซ่ออกทอดพระเนตร เพียงแค่เห็นอักษรตัวแรกพระองค์ก็แทบจะหัวหมุนในทันที
เจ้าเด็กบ้านี่กล้าเขียนภาษาเทพมาถึงข้าเชียวรึ!!!
งานนี้ต่อให้เป็นฮันจ์เองก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้พระองค์มีแต่ต้องพึ่งตัวเองเท่านั้น อุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ที่แสนแปลกตาจึงถูกหยิบยกขึ้นมา ฟาโรห์หนุ่มทอดพระเนตรสมาร์ทโฟนที่วางอยู่บนโต๊ะนิ่งเขม็งพลางหวนคำนึงไปถึงสิ่งที่เด็กหนุ่มร่างอวตารได้เคยสอนเอาไว้
กดตรงนี้ เมื่อหน้าจอสว่างขึ้นมาพระองค์ต้องใส่รหัสนี้ลงไปแล้วเข้าไปที่เมนู เลือกโปรแกรมสอนภาษา
พระองค์ทรงทำตามขั้นตอนที่นึกได้ก่อนจะมาสะดุดอยู่ที่ส่วนของการใส่รหัสผ่าน พระองค์ใส่รหัสผิดไปแล้วหนึ่งครั้ง
รหัสผ่านคือวันเดือนเกิดของกระหม่อม
“ก็ใส่ถูกแล้วนี่นา” พระองค์พึมพำตรัสเสียงเบาขณะที่จิ้มหน้าจอสมาร์ทโฟนอย่างเก้ๆกังๆอีกครั้ง
แต่เอาอย่างนี้ดีกว่ากระหม่อมเข้าใจว่าฝ่าบาทก็สูงวัยมากแล้ว เพราะฉะนั้นจะตั้งรหัสใหม่ตามใจพระองค์ก็แล้วกัน ฝ่าบาทโปรดเลขไหนหรือพะยะค่ะ เมื่อหวนคำนึงถึงใบหน้าเปื้อนยิ้มขี้เล่นของเด็กหนุ่มแล้วก็เผลอแย้มสรวลขณะที่ใส่รหัสลงไปใหม่ ครานี้หน้าจอปลดล็อคในทันที
เอ๋.........ยังโปรดจะใช้วันเดือนเกิดของกระหม่อมอีกหรือ ทำไมล่ะ มันจำง่ายล่ะซี่ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมก็จะสลับเลขกันซะเลย อยากรู้เหมือนกันว่าพระองค์จะจำได้รึเปล่า เด็กหนุ่มร่างอวตารหัวเราะร่วนขณะที่ตั้งรหัสผ่านใหม่เข้าไป
“เด็กโง่......ข้าไม่ได้เลอะเลือนถึงเพียงนั้นเสียหน่อย” ตรัสพลางแย้มพระสรวลให้กับเด็กหนุ่มที่อยู่บนภาพหน้าจอ มือใหญ่กดเลือกเข้าไปที่คลังรูปภาพซึ่งเก็บภาพถ่ายของเจ้าตัวกับเพื่อนสนิทเอาไว้ แทบทุกภาพจะมีมิคาสะที่อยู่ในร่างสตรีอยู่ด้วยเสมอ อ่อ.....และเด็กหนุ่มเทพแห่งปัญญาที่เคยพบกันมาแล้วผู้นั้น และที่คาดไม่ถึงก็คือมีรูปของพระองค์เองอยู่ด้วย แม้จะเป็นรูปตอนที่บรรทมอยู่ก็เถอะ
“เด็กบ้านี่แอบถ่ายตอนที่ข้าหลับหรอกรึ” ถึงพระองค์จะรู้สึกหงุดหงิดแต่ก็หาได้โกรธเคืองแม้แต่น้อย ขณะที่เปิดดูรูปภาพอย่างเพลินตาก็พลันเหลือบไปเห็นจดหมายที่กางอยู่บนโต๊ะจึงรู้สึกพระองค์ว่าที่เปิดเจ้าเครื่องนี่ไม่ใช่เพราะจะดูรูป แต่จะทำอย่างอื่นต่างหาก เมื่อเปิดเจอโปรแกรมที่ต้องการก็หยิบสมุดคำศัพท์ที่เจ้าตัวดีอุตส่าห์หอบหิ้วมาจากดินแดนเทพควบคู่กันไปด้วย ค่อยๆแปลพร้อมกับฝึกออกเสียงไปด้วยทีละคำ กว่าจะเงยพระพักตร์ขึ้นมาอีกทีก็เป็นเวลาเย็นย่ำแล้ว พระองค์ทรงเอนพระวรกายพิงที่ประทับอย่างอ่อนล้า ตรัสกับตนเองแผ่วๆ
“เหนื่อยยิ่งกว่าตอนทำศึกเสียอีก”
จากที่พระองค์ทรงแปลได้คร่าวๆดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะบ่นเรื่องการเดินทางที่กินเวลานานอยู่นิดหน่อยแต่ก็ไปถึงที่หมายโดยปลอดภัยดี เหมือนจะมีใครสักคนที่ป่วยหรืออาจจะหลายคน.......
“หวังว่าเจ้าคงจะไม่ป่วยนะเจ้าเด็กบ้า”
พระองค์ก็ได้แต่หวังว่าจะเป็นผู้อื่น แต่ถึงจะป่วยจริงหากเอเลนยังเขียนจดหมายหาพระองค์ได้เช่นนี้ก็คงจะไม่มีอะไรมาก และเหมือนจะมีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับฮันจ์ซึ่งยังไม่ค่อยกระจ่างนัก คงต้องถามเจ้าตัวเรื่องนี้อีกทีเมื่อพบหน้า แต่หากจะให้พระองค์แปลต่อในวันนี้ก็คงไม่ไหวแล้วจริงๆจึงคิดที่จะเขียนจดหมายตอบไปให้อีกฝ่ายแทน เมื่อหยิบกระดาษเปล่าขึ้นมาก็ทำให้พระองค์ต้องย้อนถามตนเองอีกครั้ง
“จะเขียนอะไรดี”


“เฮ้อ........” วันนี้ตระเวนรอบเมืองมาทั้งวันคลุกฝุ่นจนเหนียวไปทั้งตัว หลังจากที่ได้อาบน้ำล้างตัวสระผมผลัดเปลี่ยนชุดใหม่แล้วก็ให้รู้สึกสดชื่นจนต้องถอนหายใจด้วยความโล่ง แต่เมื่อทิ้งร่างนอนแผ่ลงบนที่นอนก็ต้องถอนหายใจออกมาอีกครั้ง คิตชูวัตนาช่างแตกต่างจากธีบส์เสียเหลือเกิน ด้วยภูมิประเทศที่มีแต่ดินกับหินทำให้การเกษตรกรรมของที่นี่ไม่เฟื่องฟูเช่นที่อียิปต์ หัวใจหลักที่เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชาวเมืองที่นี่ดูจะมีเพียงเหมืองแร่เท่านั้น เพราะการขุดเจาะแร่แบบนี้ทำให้ฝุ่นควันฟุ้งกระจายลอยตัวกันอยู่มากเพราะแบบนี้คนที่นี่ถึงได้ป่วยกันหมดไม่ว่าจะเด็กหรือแก่
“แบบนี้ก็คงไม่พ้นเป็นวัณโรคกันหมดแน่ๆ”
ส่วนที่หนักยิ่งกว่านั้น บ่อน้ำหลักประจำเมืองที่มีเพียงแค่บ่อเดียวก็แทบจะแห้งขอด ไม่ว่าคนหรือแม้แต่สัตว์เลี้ยงก็ใช้น้ำในบ่อนั้นร่วมกันทั้งนั้น ตามถนนหนทางก็เต็มไปด้วยมูลสัตว์ที่ถ่ายทิ้งเรี่ยราด คุณภาพชีวิตของคนที่นี่นั้นย่ำแย่จริงๆ
“ต้นน้ำหลักที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ไกลออกไปตั้งสามสิบไมล์ มันก็ไม่สะดวกจริงๆนั่นแหละที่ต้องไปตักน้ำ ชาวคิชชูวัตนานี่น่าสงสารจริงๆ”
ถ้าจะเทียบกันแล้วก็นับว่าเป็นบุญของอียิปต์จริงๆที่มีแม่น้ำไนล์ไหลผ่าน แล้วจะมีทางไหนที่ลำเลียงน้ำจากต้นน้ำมาที่บ่อได้บ้างล่ะ..............เอเลนครุ่นคิดพลางค่อยๆนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่อยู่ธีบส์ ห้องอาบน้ำที่อยู่ในวังหลวงก็ใช้รางส่งน้ำดึงน้ำจากต้นทางเข้ามาที่สระกับที่นี่ก็น่าจะใช้ได้ผลเช่นกัน
เอเลนลุกพรวดพราดกระวีกระวาดหากระดาษเปล่ามาร่างภาพรางน้ำออกมาอย่างรวดเร็ว สายตาพลันสะดุดกับเงาคนที่อยู่นอกประตู แต่เมื่อสบตากันฝ่ายผู้มาเยือนกลับผินหน้ากลับทางเดิมเสียอย่างนั้น
“เฮ้ๆ เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไปเจ้าชาย มาคุยกันก่อน” เอเลนรีบวิ่งไปรั้งตัวชายหนุ่มร่างสูงเอาไว้
“ยังมีอะไรต้องคุยอีก” แจนเอ่ยถามพลางขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด
“เข้ามาคุยกันหน่อยสิ มีอะไรจะให้ดู” เอเลนตอบพลางลากแขนอีกคนเดินเข้าห้องแล้วจับยัดนั่งลงบนเก้าอี้
“ดูนี่สิ” ร่างอวตารกล่าวพลางยื่นกระดาษไปตรงหน้า
“นี่คืออะไร”
“รางน้ำไงล่ะ ด้วยสิ่งนี้เราจะสามารถนำน้ำมาเติมที่บ่อให้เต็มได้โดยไม่ต้องใช้แรงงานไปตัก ทั้งยังแจกจ่ายไปใช้ในการปศุสัตว์และการเกษตรได้อีกด้วย” เอเลนเอ่ยตอบหน้าระรื่น
“ทำไม” แจนกลับถามเสียงเครียด
“แบบนี้ทุกคนในเมืองก็จะไม่ลำบากอีกต่อไปอย่างไรล่ะ”
“จำเป็นที่เจ้าจะต้องทำเรื่องพวกนี้ด้วยหรือ”
“ข้าบอกไปแล้วว่ามาในฐานะทูตเป็นตัวแทนน้ำใจไมตรีจากอียิปต์ ทุกสิ่งที่ข้าทำข้าเต็มใจช่วยเหลือฮิตไทต์อย่างเต็มที่”
“เพื่อแลกกับการที่ข้าจะไม่ก่อสงครามอย่างนั้นหรือ”
“ก็เปล่าหรอกแค่รู้สึกว่าถ้ามีสิ่งนี้มันจะทำให้คนที่นี่ใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายขึ้น ส่วนเรื่องสงครามถ้าหากท่านยอมอ่อนข้อก็นับว่าเป็นผลพลอยได้” เอเลนยิ้มเผล่สารภาพตามตรง ถ้าจะบอกว่าไม่หวังผลอะไรเลยก็เหมือนกับโกหกล่ะ ลึกๆแล้วเขาก็อยากให้การช่วยเหลือนี้ถือเป็นบุญคุณที่อียิปต์มีต่อฮิตไทต์อยู่บ้างนี่ก็ถือเป็นกลยุทธหนึ่ง แต่ถ้านับจากใจจริงก็แค่อยากช่วยแค่นั้นแหละ
“หึ!!! ไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก” แจนแค่นเสียงตอบอย่างเย็นชา
“เอาเถอะๆ เรื่องสงครามน่ะพับไว้ก่อน ให้คนของท่านทำได้มั้ยรางน้ำแบบนี้ ต้องใช้ไม้เยอะหน่อยเพราะระยะทางจากเมืองไปถึงแหล่งน้ำค่อนข้างไกล นอกจากตัวรางแล้วยังต้องสร้างฐานที่แข็งแรงเอาไว้ด้วย”
“ถ้าอยากได้ที่แข็งแรงจริงใช้เหล็กไม่ดีกว่ารึ”
“ไม่ได้ๆ ถ้าใช้เหล็กเมื่อโดนน้ำนานๆต่อไปก็กลายเป็นสนิม จะให้ดื่มกินน้ำที่เป็นสนิมก็อันตราย ลองใช้ไม้ดูก่อนดีกว่า”
“ต้องตัดไม้ให้เป็นรูปทรงแบบนี้รึ”
“ใช่ๆ  ส่วนฐานก็ต้องเป็นแบบนี้” เอเลนตอบพลางวาดรูปให้ดู “อาจต้องใช้ไม้กับกำลังคนมากหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่านะ”
หลังจากปรึกษากันเรื่องรางน้ำเอเลนยังเสนอความคิดอีกหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือการกำจัดสิ่งปฏิกูลที่พวกสัตว์เลี้ยงทิ้งไว้เรี่ยราดด้วย
“มูลสัตว์ เอามาทำเป็นปุ๋ยได้ เจ้าของที่เลี้ยงสัตว์ต้องมีความรับผิดชอบ มีจิตสาธารณะไม่ปล่อยให้พวกมันถ่ายเรี่ยราด เพราะของพวกนั้นน่ะเป็นพาหะนำเชื้อโรคชั้นยอดต้องเก็บกวาดให้เกลี้ยงแล้วเอาไปทำปุ๋ยต่อก็ได้ ขายก็ยังได้ด้วยนะ”
“มูลสัตว์น่ะเหรอ”
“อืม ฮึ”
หลังจากนั้นก็ยังพูดคุยกันอีกหลายเรื่องจวบจนดวงจันทร์ลอยเด่นไปค่อนฟ้า
“ดึกขนาดนี้เชียวหรือ” แจนมองดวงจันทร์พลางรำพึงเสียงเบา
“อ่า.....นั่นสิ ง่วงแล้วนะเนี่ย” เอเลนตอบรับพลางกระชับผ้าห่มที่ห่อตัวให้แน่นขึ้น
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัว” แจนกล่าวพร้อมกับเก็บแบบร่างทั้งหมดที่เอเลนวาดให้ดูกลับไปด้วย
“โอเค กู๊ดไนท์” ร่างโปร่งเอ่ยบอกอย่างลืมตัว แจนหันกลับมาทันที “เจ้าว่าสิ่งใดนะ”
“เอ่อ.....ฝันดีนะ ฝันดี” เจ้าตัวยิ้มพร้อมกับโบกมือให้เขาหยอยๆก่อนจะล้มตัวลงกับที่นอน เห็นแบบนั้นแจนก็ปิดประตูห้องให้อีกฝ่ายอย่างเบามือ
เพียงแค่คล้อยหลังแจนไปได้ไม่นานอิลเซ่ก็บินเข้ามาในห้อง มันร่องลงเกาะขอบเตียงส่งเสียงทักเอเลนเบาๆ
“อ้าว.....นี่กลับมาแล้วรึ” อิลเซ่ส่งเสียงตอบรับเอเลนพร้อมกับยื่นขาที่ถูกผูกจดหมายมาด้วยไปให้
“ตอบกลับมาด้วยเหรอเนี่ย” รู้สึกแปลกใจอยู่หน่อยๆ แต่ก็แอบตื่นเต้นอยู่นิดๆว่าลุงฟาโรห์คนนั้นจะเขียนอะไรมา แล้วจะแปลจดหมายที่เขาเขียนไปให้ได้รึเปล่า แต่พอเปิดอ่านข้อความในจดหมายนั้นแล้วก็ได้แต่ระเบิดหัวเราะลั่นก่อนจะกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง
“ดูท่า คืนนี้ฉันต้องฝันร้ายแน่ๆ” เอ่ยกับตนเองกลั้วหัวเราะก่อนจะหันไปเอ่ยกับดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนฟ้า
“คุณพระจันทร์ บอกกับเขาให้ผมทีนะว่า กู๊ดไนท์”
ว่าแล้วก็ยกจดหมายขึ้นอ่านอีกครั้ง ก่อนจะกอดจดหมายเข้าสู่นิทราพร้อมกับรอยยิ้ม

ich vermisse dich” องค์รีไวราเมสตรัสเอ่ยกับดวงจันทร์ก่อนจะเข้าสู่บรรทม
ในจดหมายนั้นมีเรื่องราวมากมายที่พระองค์อยากจะบอกกล่าวกับเด็กหนุ่มผู้นั้น แต่หากจะให้สรุปรวบความรู้สึกทั้งหมดของพระองค์เป็นประโยคสั้นๆ ก็ดูจะมีแต่ประโยคนี้เท่านั้น พระองค์จึงได้เขียนฝากอิลเซ่ส่งไปถึงเอเลน

ich vermisse dich............................ ผมคิดถึงคุณ






วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2559

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์ Chapter 22


Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์

Pairing: (LevixEren)

Rate: NC-17

Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*

Story By: AkeRah , Trendy Blood

………………………………………………………………………………………………..

Chapter 22:

 

วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์ Chapter 21

 Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์
Pairing: (LevixEren)
Rate: NC-17
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
Story By: AkeRah , Trendy Blood

………………………………………………………………………………………………..

Chapter 21:

ขบวนเสด็จยาตราถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ เอเลนที่ได้แต่เฝ้ามองอยู่ห่างๆถึงกับปวดหัวตุบ ก็พอจะรู้อยู่หรอกนะว่าฟาโรห์หนุ่มนั้นหมายมาดที่จะประกาศแสนยานุภาพของอียิปต์ในดินแดนแห่งฮิตไทต์แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะเว่อวังถึงเพียงนี้
“นี่ก็เข้าวันที่สามแล้วนะ พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแล้วด้วยถ้าขบวนเสด็จยังไม่เรียบร้อยก็คงไม่ต้องไปกันแล้วสินะ” ร่างบางตีหน้าเอื่อยเฉื่อยถอนหายใจเฮือกบ่นงึมงำเสียงเบา
“เป็นพระประสงค์ของเสด็จพ่อที่ต้องการจะให้ทุกอย่างออกมาดีที่สุด” เบเซทยิ้มตอบเสียงอ่อน
“ก็แค่อยากอวดเท่านั้นแหละ” เอเลนเบะปากตอบ
“หากมีของดีย่อมเป็นธรรมดาที่ใครๆก็อยากจะอวด” สุระเสียงทรงอำนาจตรัสแทรกขึ้นมาฉับพลัน เอเลนเหลือบสายตามองคนที่เพิ่งจะก้าวเข้ามาก่อนถอนหายใจเฮือก เบเซททำความเคารพบิดาที่เพิ่งมาถึงก่อนจะปลีกตัวออกไปอย่างรู้เวลา
“เหมือนใครบางคนแถวนี้จะตีความคนกับสิ่งของสลับกันมั่วไปหมด” เอเลนที่กำลังเท้าคางมองขบวนเสด็จที่อยู่ด้านล่างบ่นขึ้นเบาๆด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย
“ข้าก็แค่เปรียบเปรย” ฟาโรห์หนุ่มเคลื่อนกายเข้าไปใกล้สองพระหัตถ์ยกจับวงแขนเรียวของเด็กหนุ่มให้หันมาเผชิญหน้ากับพระองค์ก่อนจะตรัสเอ่ยพร้อมกับแย้มพระสรวลอีกครั้ง
“ข้าไม่เคยคิดว่าเจ้าเป็นสิ่งของ......แต่ต่อให้เป็นสิ่งของจริงเจ้าก็เป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในแผ่นดินอียิปต์นี้แล้ว” เอเลนป้องปากทำท่าคลื่นไส้ให้กับความสำบัดสำนวนของฟาโรห์หนุ่ม ทำให้องค์รีไวราเมสเปลี่ยนสีพระพักตร์ทันที
“นี่เจ้าไม่สบายรึ หากเป็นเช่นนี้ก็ยกเลิกการเดินทางไปเยือนคิตชูวัตนาเสียเถิด”
“เปล่าๆ ไม่ได้เป็นอะไรแค่รู้สึกหมั่นไส้คนน่ะ” เอเลนรีบตอบเป็นพัลวันด้วยเกรงว่าฟาโรห์หนุ่มจะยกเลิกการเดินทางครั้งนี้จริงๆ เมื่อได้ฟังคำตอบของเด็กหนุ่มร่างอวตารสีพระพักตร์กังวลของพระองค์ก็คลายออกก่อนจะส่งยิ้มมุมปากน้อยๆไปให้
“เจ้านี่นะ......” พระหัตถ์ใหญ่บิดจมูกด้วยความหมั่นเขี้ยวเบาๆ
“หากเจ้าไม่อยู่ข้าคงเหงาปากไปอีกนานทีเดียว” ฟาโรห์หนุ่มรั้งเอวเด็กหนุ่มร่างอวตารพาไปนั่งพักยังที่ประทับริมหน้าต่างที่ลมเย็นพัดผ่านจนผ้าม่านสีขาวบางปลิวพลิ้วสะบัด
“ถ้าเหงานักก็ไปชวนมิคาสะทะเลาะก็ได้นี่” ฟาโรห์หนุ่มส่ายพระพักตร์พร้อมแย้มสรวลน้อยๆอย่างอ่อนพระทัยกับคำตอบของเด็กหนุ่ม
“เหงาปากของข้ามันคนละความหมายกับของเจ้า” พระพักตร์คมคายยื่นเข้าไปประชิดกับใบหน้าหงุดหงิดของเด็กหนุ่มพระหัตถ์ใหญ่ลูบไล้แก้มนุ่มแผ่วเบาหยอกเย้าให้ใบหน้างามผ่อนคลายร่องรอยความไม่พอใจออกไปจากใบหน้า กลีบพระโอษฐ์อิ่มคลอเคลียกับริมฝีปากบางของเด็กหนุ่มช้าๆตรัสกระซิบเสียงแผ่ว
“คงไม่มีใครให้จูบไปอีกนาน”ตรัสพลางเลาะเล็มริมฝีปากของเด็กหนุ่มอย่างพอพระทัย เอเลนเองก็ไม่ได้มีท่าทีขัดขืนแต่ก็ตอบโต้กลับไปด้วยวาจาแทบจะในทันที
“ก็ไปหาบรรดาเมียๆของท่านเสียเถอะ” เด็กหนุ่มตอบกลับด้วยใบหน้าบึ้งตึ้ง ยิ่งเห็นท่าทีไม่พอใจที่เอเลนมีต่อพระองค์เองเมื่อยามที่อีกฝ่ายพูดถึงบรรดาสนมรักทั้งหลายฟาโรห์รีไวก็ยิ่งพอพระทัย
“ไม่เกี่ยวกับพวกนาง” กระซิบตรัสเสียงแผ่วก่อนจะมอบจูบล้ำลึกนุ่มนวลให้กับเด็กหนุ่มในอ้อมแขนช้าๆ ค่อยๆใช้เวลาละเลียดชิมรสกลีบปากบางของคนช่างเถียงอย่างอ้อยอิ่งจนเด็กหนุ่มหลุดเสียงครางออกมาแผ่วๆ พระองค์ถอนพระโอษฐ์ผละจากด้วยสีพระพักตร์เสียดายสุดแสนแล้วจึงโอบกอดร่างของเด็กหนุ่มแนบพระอุระ
“มีเพียงเจ้า.....แค่เจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้นหาใช่ใครที่ไหนหรือสตรีนางอื่น”
เอเลนทอดกายอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่ายเงียบๆอย่างว่างง่ายในใจอดคิดไม่ได้ว่าหากไม่มีคนๆนี้มาคอยกวนอารมณ์กวนใจก็คงจะเหงาพิลึกเหมือนกัน คิดได้ดังนั้นจึงยกแขนขึ้นโอบกอดอีกฝ่ายแนบแน่นไม่แพ้กัน แม้องค์รีไวราเมสจะแปลกพระทัยกับอาการว่าง่ายของเด็กหนุ่มอยู่ไม่น้อยแต่พระองค์ก็ไม่ได้แสดงท่าทีใดๆที่จะทำให้บรรยากาศอุ่นๆระหว่างพวกเขาทั้งสองคนต้องเสียไป
“พรุ่งนี้ก็ต้องออกเดินทางแล้วนะ ดูเข้าเถอะขบวนเสด็จยังไม่เรียบร้อยด้วยซ้ำ”
“สิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือความปลอดภัยของเจ้า จึงมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ข้าต้องตระเตรียมเป็นพิเศษ” เอเลนเงยหน้ามองคนที่กอดตนอยู่เงียบๆจากสีพระพักตร์เรียบเฉยแบบนั้นดูท่าว่าองค์ฟาโรห์หนุ่มคงจะไม่ยอมบอกเขาเป็นแน่ว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่เตรียมไว้นั้นมีอะไรบ้าง
“อืม” เด็กหนุ่มจึงตอบรับเสียงเบาแล้วทำตัวว่าง่ายอยู่ในอ้อมกอดอีกฝ่ายแทน
“หากเป็นไปได้ข้าอยากจะไปกับเจ้าด้วยตัวเอง” ฟาโรห์หนุ่มตรัสพร้อมกับจุมพิตกลุ่มผมนุ่มของคนในอ้อมกอดเบาๆ
“ก็รู้อยู่ว่าไปไม่ได้” เด็กหนุ่มในอ้อมกอดตอบกลับมาเสียงเขียว
“อืม.....ข้าจึงได้แต่เฝ้าภาวนาว่าอย่าให้วันพรุ่งนี้มาถึง แต่ทุกอย่างยังต้องดำเนินต่อไป เพียงชั่วพริบตาผ่านมันก็มาถึงจนได้”
“สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้คือปัจจุบัน ถึงฝ่าบาทจะกังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นมันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรเปลี่ยนแปลงได้ ทุกสิ่งทุกอย่างมีครรลองในตัวของมันเองเมื่อถึงกาลเกิดย่อมต้องเกิด เมื่อถึงกาลดับย่อมต้องดับไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้”
“ถ้าหากว่าคำภาวนาของข้าจะไม่มีวันเป็นจริง ข้าก็ได้แต่ปรารถนาให้ช่วงเวลานี้ยาวนานไม่มีที่สิ้นสุด” ตรัสพลางกระชับอ้อมกอดแน่นยิ่งขึ้นด้วยความกังวลพระทัย
“ไม่มีสิ่งไหนยืนยาวเป็นนิรันดร์ แม้ช่วงเวลานี้ก็เช่นกัน แต่ข้าจะพยายามยื้อช่วงเวลานี้ให้ยาวนานที่สุดเพื่อพระองค์ก็แล้วกัน” เอเลนตอบเสียงเบาพลางหลับตาลงทิ้งร่างทั้งร่างให้จมอยู่ในอ้อมกอดของฟาโรห์หนุ่มนิ่งนาน ด้านองค์รีไวราเมสเองก็ทอดพระเนตรออกไปยังผืนทะเลทรายอันเวิ้งว้างที่เห็นได้ผ่านบานหน้าต่าง ยามเมื่อดวงอาทิตย์เคลื่อนคล้อยลาลับผืนทรายเมื่อจบวันและโคจรกลับขึ้นมาส่องสว่างอีกครั้งในยามรุ่งสางของวันใหม่เมื่อนั้นการเดินทางของเด็กหนุ่มในอ้อมกอดก็จะเริ่มต้นขึ้น ยิ่งอยู่ห่างไกลกันมากเพียงใดความห่วงหาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นตามระยะทางและกาลเวลา หากไม่ได้อยู่ในสายพระเนตรของพระองค์แล้วพระองค์ก็ไม่อาจวางพระทัยในความปลอดภัยใดๆของอีกฝ่ายได้เลยจริงๆ แต่ก็อย่างที่เจ้าตัวได้กล่าวไว้ต่อให้พระองค์ทรงกังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นพระองค์ก็มิอาจกระทำการอันใดได้อยู่ดีได้แต่เฝ้าภาวนาให้เหล่าทวยเทพเป็นหูเป็นตาปกป้องร่างอวตารผู้นี้แทนพระองค์
สายลมอ่อนพัดเอื่อยผ่านบานหน้าต่างเข้ามาไล้เส้นพระเกศาสีดำเข้มของฟาโรห์หนุ่มเบาๆ องค์รีไวราเมสหลุบพระเนตรลงต่ำจ้องมองเด็กหนุ่มที่หลับตานิ่งอยู่ในอ้อมกอดของพระองค์พลางทอดถอนพระทัยต่อให้กังวลต่อไปก็ไม่อาจทำให้สิ่งใดดีขึ้นพระองค์จึงเลือกที่จะให้ความสำคัญกับช่วงเวลานี้และเด็กหนุ่มในอ้อมกอดผู้นี้แทน
ข่าวคราวที่ว่าร่างอวตารแห่งราเป็นตัวแทนราชทูตเชื่อมสัมพันธไมตรีกับแคว้นคิตชูวัตนานั้นสร้างความตื่นเต้นให้แก่ประชาชนชาวธีบส์เป็นอย่างมากด้วยสงครามที่ยืดเยื้อระหว่างอียิปต์และฮิตไทต์นั้นยาวนานมาหลายชั่วอายุหากการเชื่อมสัมพันธไมตรีครานี้ประสบผลสำเร็จสองดินแดนตกลงจบข้อพิพาทกันได้ด้วยความสันติย่อมเป็นเรื่องดี ดังนั้นผู้คนเหล่านี้จึงพร้อมใจกันมารอส่งเสด็จร่างอวตารผู้เป็นตัวแทนแห่งอียิปต์ไปเยือนดินแดนศัตรูด้วยความหวังและรู้สำนึกถึงความเมตตาขององค์เทพราอย่างล้นเหลือ
เอเลนมองสองข้างทางที่คลาคล่ำไปด้วยประชากรชาวธีบส์พลางยิ้มกริ่มอย่างใจชื้นรู้สึกว่าที่ตัดสินใจครั้งนี้ก็ไม่ได้ย่ำแย่อะไรนัก มองแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังของคนเหล่านี้แล้วก็ได้แต่ตั้งมั่นว่าจะต้องทำให้ฮิตไทต์และอียิปต์สงบศึกกันให้จงได้
“ใกล้จะได้เวลาแล้วนะ” เบเซทกระซิบเตือนเสียงเบา คนใจลอยถึงกับสะดุ้ง
“อ๋อ......อืม” เอเลนกวาดตามองเหล่ามิตรสหายที่พร้อมใจกันมาส่งเขาเดินทางไกลครั้งนี้ทุกคนพร้อมส่งยิ้มอ่อนโยนให้เป็นครั้งสุดท้าย
“ไม่รู้ว่าต้องไปนานแค่ไหน แต่ข้าสัญญาจากกันครานี้เมื่อพบกันครั้งหน้าข้าขอสัญญาว่าจะนำความสงบสุขมาสู่แผ่นดินของเรา” น้ำเสียงกังวานใสสะท้อนก้องให้ได้ยินกันถ้วนทั่ว พวกเบเซททุกคนและเหล่าประชาชนชาวธีบส์จึงต่างพากันคุกเข่าลงกับพื้นเปล่งเสียงดังกังวานโดยพร้อมเพรียงกัน
“เทพราโปรดทรงคุ้มครองร่างอวตาร”
“อ่า....ขอบคุณๆ” เอเลนเกาแก้มยิ้มรับรู้สึกเขินหน่อยๆก่อนจะผายมือส่งสัญญาณบอกให้ทุกคนลุกขึ้น
“เอเลนระวังตัวด้วย เจ้าชายมูวาตัลลิสไม่ใช่คนที่จะประมาทได้ง่ายๆ” เบเซทกล่าวสำทับอีกครั้ง
“อย่าได้ห่วงไป ข้ารู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไร ข้าก็หวังว่าท่านจะดูแลตัวเองและ.......ดูแลเขาด้วยนะเบเซท” ไม่ต้องเดาให้ยากว่า เขาที่เอเลนพูดถึงนั้นคือใคร
“นั่นคือสิ่งที่คนเป็นลูกพึงกระทำ” เบเซทกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม เอเลนพยักหน้ารับก่อนจะกวาดสายตามองหาคนผู้นั้นเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งๆที่เมื่อวานนี้ยังทำท่าทางอาลัยอาวรณ์ถึงเพียงนั้นแต่เมื่อรุ่งเช้ามากลับไม่เห็นแม้แต่ฝุ่น รู้สึกโมโหตัวเองนิดๆที่ไปหลงใจอ่อนให้กับคนร้อยลิ้นมากเล่ห์เข้าจนได้ ที่ควรลาก็ลากันหมดแล้วใครจะไม่อยู่ก็ช่างมันละกัน
เอเลนผิวปากเรียกอิลเซ่ให้ร่อนมาเกาะลงที่แขนก่อนจะผันกายขึ้นรถม้า ในจังหวะนั้นเองเสียงฝีเท้าม้าที่ทั้งแรงและเร็วก็ควบมาจากท้ายขบวนแล้วหยุดเทียบข้างรถม้า
“เราออกเดินทางกันได้แล้วสินะ” ฟาโรห์รีไวราเมสผู้อยู่ในชุดทรงเกราะเหล็กบางควบไนยาลีเหยาะย่างเข้าไปหาเอเลนด้วยรอยยิ้มกริ่ม
“เรา? เราไหน” เอเลนโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างรถม้าถามเสียงเขียว
“ก็เราอย่างไรล่ะ” คำตอบกำกวมแบบนี้ไม่ได้ช่วยไขข้อข้องใจอะไรได้เลย แต่ก่อนที่เอเลนจะมีโอกาสได้ซักไซ้ต่อ ฟาโรห์หนุ่มเจ้าปัญหาก็ควบไนยาลีทิ้งฝุ่นตลบขึ้นนำหน้าขบวนไปแล้ว
“เดี๋ยว....เดี๋ยวก่อนสิท่าน” เอเลนได้แต่ตะโกนไล่หลังโบกกำปั้นชูให้อีกฝ่ายอย่างแค้นๆเมื่อทำอะไรไม่ได้จึงได้แต่มุดร่างกลับเข้ามาในรถม้าแต่โดยดี
“ทำอะไรไม่เคยปรึกษา ไม่เคยบอกกันก่อนเลย” แม้เสียงบ่นจะห้วนสั้นอย่างหงุดหงิดแต่ใบหน้างามกลับยกยิ้มอย่างห้ามไม่ใจไม่อยู่
ข่าวคราวการนำขบวนเสด็จราชทูตขององค์ฟาโรห์รีไวราเมสด้วยพระองค์เองแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าก็เล่าลือไปไกลถึงแคว้นคิตชูวัตนา ด้วยความที่องค์ฟาโรห์รีไวราเมสปฏิบัติต่ออีกฝ่ายอย่างให้เกียรติถึงเพียงนี้ทุกคนจึงยิ่งตระหนักถึงความสำคัญของเด็กหนุ่มร่างอวตารผู้นี้มากยิ่งขึ้น เจ้าชายแจนเองก็เข้าใจดีจึงหมายมั่นที่จะใช้โอกาสทองในครั้งนี้หาประโยชน์จากอียิปต์ให้ได้มากที่สุดเช่นกัน

“นี่.....เราคุยกันแล้วไม่ใช่รึไง แล้วจะตามมาทำไม” เอเลนเยี่ยมหน้าออกจากรถม้าพูดกับชายหนุ่มที่ควบม้าเหยาะย่างอยู่เคียงข้างอย่างหงุดหงิด
“หาได้ตามเจ้าไป ข้าแค่ตามมาส่ง” ฟาโรห์หนุ่มแย้มพระสรวลตรัสตอบอย่างสบายๆ
“ฝ่าบาท แต่กระหม่อมดูแล้วไม่เห็นท่าทางว่าพระองค์จะยอมเสด็จกลับไปง่ายๆเลยนะพะยะค่ะ”
“ข้าก็แค่ตามมาส่งเจ้า........เรื่อยๆนั่นแหละ”
“ไม่ใช่ว่าส่งไปส่งมาแล้วไปโผล่ที่แคว้นคิตชูวัตนาด้วยกันหรอกนะ”
ครานี้ไม่มีคำตอบใดๆจากองค์ฟาโรห์หนุ่ม มีเพียงรอยยิ้มกริ่มที่เป็นเอกลักษณ์ประดับอยู่บนพระพักตร์ยิ่งทำให้เอเลนกลัวเหลือเกินว่าความจริงจะเป็นเช่นนั้น ร่างบางตัดสินใจมุดตัวเข้าไปในรถม้าอีกครั้งเกิดเสียงกุกกักรื้อค้นข้าวของอยู่พักใหญ่ ด้วยม่านที่กั้นบานหน้าต่างไว้ฟาโรห์หนุ่มจึงไม่อาจทอดพระเนตรได้ว่าเจ้าตัวยุ่งกำลังทำอะไร แต่เมื่อเวลาผ่านไปชั่วอึดใจเดียวพระองค์ก็ต้องรีบรั้งไนยาลีควบเข้าไปเทียบรถม้าให้ใกล้ขึ้นแล้วยื่นพระหัตถ์ไปรองรับเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งที่จู่ๆก็เกิดบ้าบิ่นตกมันกระโดดลงมาจากรถม้าที่กำลังวิ่งเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด
“นี่เจ้ากลัวว่าไปถึงแคว้นคิตชูวัตนาแล้วมูวาตัลลิสจะไม่หาทางกำจัดเจ้าใช่หรือไม่ถึงได้หาเรื่องตายก่อน” ฟาโรห์หนุ่มตีพระพักตร์เคร่งขรึมตวาดดุคนในอ้อมกอดเสียงเข้ม
“ก็อยู่ในรถม้าแล้วมันเบื่อนี่” เอเลนตอบพลางจัดแจงท่านั่งทรงตัวอยู่บนหลังของไนยาลีอย่างมั่นคง
“สอนกระหม่อมขี่ม้าหน่อยสิฝ่าบาท”
“ไม่” โดยไม่ต้องดำริฟาโรห์หนุ่มตวัดสุระเสียงตอบในทันที
“ไม่เอาน่า.....สมมตินะสมมติว่าเกิดวันดีคืนดีกระหม่อมหนีออกจากคิตชูวัตนา พระองค์คิดว่ากระหม่อมควรจะเดินฝ่าทะเลทรายออกมาหรืออย่างไร อย่างน้อยๆหากกระหม่อมขี่ม้าเป็นยังจะพอมีหวังในการหนีได้บ้าง”
“หากเกิดเหตุสุดวิสัยเจ้าแค่กลับไปยังดินแดนเทพของเจ้าก็พอแล้ว” องค์รีไวราเมสตรัสเสียงแข็งไม่ยอมพระทัยอ่อนง่ายๆ เอเลนจึงใช้ลูกอ้อนพิงร่างไปกับพระวรกายของฟาโรห์หนุ่มที่โอบเอวตนอยู่แล้วกระซิบเสียงแผ่ว
“ถ้าทุกอย่างมันอยู่นอกเหนือการควบคุมแล้วกระหม่อมกลับไปแน่ แต่ตราบใดที่ยังไม่ถึงทางตันกระหม่อมก็จะไม่มีวันยอมถอย ฝ่าบาทพระองค์ก็ทรงเห็นว่ากระหม่อมอุตส่าห์ทำเพื่อดินแดนของพระองค์ถึงเพียงนี้แล้ว จะไม่ยอมสอนกระหม่อมขี่ม้าเพื่อเป็นการตอบแทนเชียวหรือ” ร่างบางกระซิบตัดพ้อแสร้งถอนหายใจยาวอย่างผิดหวัง
“แต่เอาเถอะ ไม่ได้ก็คือไม่ได้ กระหม่อมก็ไม่อยากจะเซ้าซี้”
ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ว่านี่เป็นหลุมพรางเล็กๆที่เด็กหนุ่มได้ขุดดักหน้าพระองค์ไว้เท่านั้น แต่ถึงจะตระหนักได้เช่นนั้นพระองค์ก็ยังยินยอมที่จะกระโดดลงไปอยู่ดี
พระหัตถ์ใหญ่กระชับผ้าโพกศีรษะให้กับคนในอ้อมกอดอย่างรัดกุมพลางยื่นบังเหียนให้ แม้สีพระพักตร์เคร่งขรึมเฉยชาแต่พระสุระเสียงที่ตรัสออกมาก็ยังเจือไปด้วยความอ่อนโยน
“สิ่งสำคัญอยู่ที่การควบคุม ท่าทางที่เป็นการออกคำสั่งมีอยู่ไม่กี่อย่างแต่คนส่วนมากเมื่อเวลาตกใจหรือขาดสติก็มักจะลืมคำสั่งเหล่านั้นไปทำให้ควบคุมม้าไม่อยู่ ดังนั้นจำเป็นต้องใช้สมาธิในการควบคุมค่อนข้างมาก”
เอเลนพยักหน้าหงึกหงักปฏิบัติตามบทเรียนระยะสั้นของฟาโรห์หนุ่มอย่างเคร่งครัด เมื่อตกบ่ายก็เริ่มที่จะขี่ม้าได้คล่องขึ้นพอสมควร เนื่องจากเวลานี้พายุทรายเริ่มตั้งเค้ามาให้เห็นแต่ไกลขบวนเสด็จจึงต้องปักหลักตั้งกระโจมใกล้แหล่งน้ำพักหลบพายุไปเสียก่อน เพราะหากจะดันทุรังเดินทางฝ่าพายุกันไปก็มีแต่จะหลงทิศกันได้ง่ายๆ
“อ่า.....ขี่ม้าก็เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย” ร่างบางบ่นเสียงดังขณะที่ทิ้งร่างลงนอนบนฟูกขนแคชเมียร์อย่างเหนื่อยอ่อน
“ข้าบอกแล้วว่าให้เจ้าเข้าไปอยู่ในรถม้าก็ไม่ฟัง” องค์รีไวราเมสตรัสตอบพลางวางดาบคู่กายเก็บเข้าที่
“ก็มันไม่สนุกน่ะสิ” เอเลนเอ่ยตอบพร้อมกับกลิ้งตัวไปมาอยู่บนฟูกนิ่ม
“ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่ทรายอย่าไปทำที่นอนสกปรก” ฟาโรห์หนุ่มตรัสพลางฉุดเด็กหนุ่มขึ้นจากที่นอน
“รักสะอาดจริงๆนะ” เอเลนแอบบ่นให้ฟาโรห์หนุ่มเบาๆ ร่างใหญ่ที่กำลังถอดชุดเกราะออกจากพระวรกายหยุดชะงักก่อนจะหันมาดุเสียงเข้ม
“ข้าได้ยินนะ” เอเลนเองก็ทำหูทวนลมไม่ตอบโต้อะไรต่อ ขณะนั้นเองหญิงรับใช้ก็ได้ยกอ่างทองคำใส่น้ำเดินเข้ามา
“อีกสักครู่น้ำสรงถึงจะพร้อม ฝ่าบาทจะโปรดล้างพระบาทตอนนี้หรือไม่เพคะหม่อมฉันจะได้ถวายงาน”
“เอาไว้ก่อน” ตรัสตอบพลางส่งสัญญาณให้หญิงรับใช้ออกจากกระโจมไป รอจนผ้าม่านบังสายตาหน้ากระโจมปิดสนิทดีพระองค์จึงได้ยกอ่างทองคำไปหาเอเลนเงียบๆ
เอเลนเฝ้ามองอิริยาบถของฟาโรห์หนุ่มด้วยความสงสัยก่อนจะอุทานลั่นเมื่อกระจ่างแก่ใจ
“ฝ่าบาทอย่า!!!
ฟาโรห์หนุ่มเงยพระพักตร์สบตากับเขาพลางตรัสถามด้วยความแปลกพระทัย พระหัตถ์ใหญ่ที่กำลังถอดรองเท้าออกจากข้อเท้าขาวเรียวถึงกับชะงัก
“เป็นอะไรไป”
“โปรดอย่าทำเช่นนี้เลยพะยะค่ะ” เอเลนพยายามจะชักเท้าออกแต่ก็ถูกอีกฝ่ายจับไว้แน่น ฟาโรห์หนุ่มถอดรองเท้าให้เอเลนอย่างไม่รีบร้อนก่อนจะจุ่มเท้าทั้งคู่นั้นลงในน้ำอุ่นสะอาดแล้วนวดคลึงเบาๆ
“ข้าพอใจจะทำให้เจ้า ใครจะทำไม” องค์รีไวราเมสยังคงตรัสด้วยสีพระพักตร์สบายๆนวดเท้าให้เอเลนต่อไป กลับกลายเป็นเด็กหนุ่มเองที่มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกสบายตัวเหลือเกิน
หลังจากนวดเท้าให้เด็กหนุ่มเสร็จ พระองค์ก็ยกเท้าขาวเปลือยทั้งสองข้างของเอเลนวางไว้บนพระชานุหยิบผ้านุ่มมาซับน้ำให้จนแห้ง เอเลนได้แต่เม้มปากแน่นจนด้วยคำพูดแม้พระองค์จะเปียกไปด้วยน้ำล้างเท้าของเขาหรือจับต้องเท้าของเขาโดยตรงพระองค์ก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจแม้แต่น้อยกลับกันกลับแสดงสีพระพักตร์เยือกเย็นสงบนิ่งราวกับนี่เป็นสิ่งที่พระองค์ควรทำเสียด้วยซ้ำ
เห็นใบหน้าหงอยๆของเด็กหนุ่มแล้วพระองค์ก็อดที่จะตรัสปลอบไม่ได้
“อย่าได้คิดมากไป คิดเสียว่านี่เป็นโปรโมชั่นที่ข้าให้เจ้าก่อนไปก็แล้วกัน”
เอเลนถึงกับเถียงไม่ออกนึกไม่ถึงว่าอีกฝายจะย้อนเขาด้วยประโยคเดียวกัน ในขณะนั้นเองหญิงรับใช้ก็เดินเข้ามาบอกว่าน้ำสรงเตรียมพร้อมแล้ว ด้วยความที่ก้มหน้าก้มตาอยู่ตลอดนางจึงไม่อาจได้เห็นภาพที่ฟาโรห์หนุ่มคุกเข่าอยู่แทบเท้าเด็กหนุ่มร่างอวตาร พระองค์หยัดพระวรกายขึ้นเต็มความสูงแล้วจึงตรัสกับเด็กหนุ่ม
“ข้าจะไปก่อน เจ้าก็พักผ่อนไปพลางๆแล้วข้าจะมาเรียก” เมื่อตรัสจบก็เดินออกจากกระโจมไปทิ้งเอเลนที่เหมือนกลายเป็นใบ้หาเสียงตัวเองไม่เจอไปชั่วขณะอยู่ในกระโจมแต่เพียงผู้เดียว ร่างบางทิ้งตัวลงกับฟูกนอนฟุบหน้าลงกับหมอน ผิวแก้มร้อนฉ่าจนเกินจะควบคุมได้แล้ว
ให้ตายเถอะ!!!! การกระทำของคนๆนั้นเมื่อครู่นี้มันยากจะต้านทานไหวจริงๆ
หลังจากไตร่ตรองอยู่กับตัวเองสักพักเมื่อตัดสินใจได้แล้วจึงลุกออกจากกระโจมไปทันที
ส่วนที่ถูกจัดเป็นห้องสรงน้ำนั้นถูกกั้นเป็นกระโจมขนาดใหญ่อย่างมิดชิด ไอร้อนจากน้ำอุ่นลอยม้วนอบอวลชวนให้บรรยากาศขมุกขมัว เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาใกล้ฟาโรห์หนุ่มที่หลับพระเนตรแช่น้ำอุ่นผ่อนคลายก็ตื่นขึ้น
“เจ้าเองหรือ มาสิข้ากำลังจะขึ้นจากน้ำพอดี” ตรัสเอ่ยพร้อมกับหยิบผ้าคลุมพระวรกายหมายจะขึ้นจากอ่างน้ำแต่กลับถูกมือบางยื้อแย่งผ้าผืนนั้นไว้เสียก่อน
เอเลนส่ายหน้าโยนผ้าห่มกายผืนนั้นไปไกลๆแล้วเปลื้องผ้าบนร่างกายของตนเองออกเปิดเผยร่างเปลือยเปล่าต่อสายพระเนตรของฟาโรห์หนุ่มช้าๆพลางก้าวเท้าลงไปแช่ตัวในอ่างใบเดียวกัน หนนี้กลับกลายเป็นฝ่ายพระองค์เองที่ถึงกับตรัสอะไรไม่ออก ได้แต่ทอดพระเนตรเด็กหนุ่มร่างอวตารด้วยความฉงน
“กระหม่อมจะช่วยถูหลังให้” ว่าพลางเคลื่อนกายเข้าไปใกล้หยิบผ้านุ่มผืนเล็กจุ่มน้ำขัดสีแผ่นหลังแน่นมัดกล้ามให้กับฟาโรห์หนุ่มเบาๆ มือเรียวที่ค่อยๆลูบไล้ไปตามแนวสันหลังของพระองค์ช้าๆทำให้เสียวซ่านจนขนบนร่างกายลุกชัน บางสิ่งบางอย่างที่ไม่ควรจะลุกชันไปตามขนก็เริ่มจะตื่นขึ้นมาด้วย
“ไม่เป็นไร ข้าอาบเสร็จแล้ว”ตรัสพลางปัดมือเรียวออกจากพระวรกายแล้วหันกายหลบจะขึ้นจากอ่าง
“ถ้าเช่นนั้นฝ่าบาทจะทรงเมตตาถูหลังให้กระหม่อมได้หรือไม่พะยะค่ะ” แล้วก็ต้องชะงักไปกับถ้อยคำประโยคนี้ เอเลนหันแผ่นหลังขาวเนียนให้ทอดพระเนตรชัดๆพลางเอียงคอวักน้ำลงบนไหล่ตนเอง
“ไม่สะดวกเอาเสียเลยพะยะค่ะ” ว่าพลางแสดงให้เห็นว่าถูหลังตัวเองไม่ถนัดจริงๆ เห็นดังนั้นด้วยพระเมตตาที่มีล้นเปี่ยมอวัยวะท่อนล่างพระองค์จึงไม่ลังเลที่จะช่วยถูหลังให้เอเลนอีก พระหัตถ์ใหญ่ลากไล้ไปตามแผ่นหลังนวนเนียนช้าๆลูบไล้เบาๆ ยิ่งได้เห็นลำคอระหงที่ระด้วยเส้นผมเปียกน้ำบนท้ายทอยใกล้ๆแล้วก็อดไม่ได้ที่จะขบกัดลงไปบนท้ายทอยของร่างบางเสียเต็มแรง เอเลนนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีขัดขืน ต่อเมื่อรู้สึกถึงบางสิ่งที่ดุนดันอยู่เบื้องหลังแล้วจึงกัดฟันเอ่ยออกไปด้วยความตระหนก
“ฝ่าบาท......กระหม่อมไม่พร้อม”
“อืม.....”เสียงครางรับทุ้มต่ำดังมาสั้นๆยามเมื่อฟาโรห์หนุ่มไล้เลียรอยกัดที่เลือดซิบบนท้ายทอยของเด็กหนุ่มเบาๆก่อนจะลงแรงกัดอีกครั้งด้วยความหมั่นเขี้ยว
“ฝ่า....บาท” เอเลนส่งเสียงครางแผ่วราวกับจะประท้วง แต่นอกจากจะตะโบมกัดและถูไถนัวเนียพระวรกายเข้ากับเขาแล้วองค์รีไวราเมสก็ไม่ได้กระทำการล่วงล้ำอื่นใดเข้าสู่ร่างกายของเขาเลยอย่างมากก็เพียงแค่ปลดปล่อยด้วยฝ่ามือของกันและกันเท่านั้น เสียงหอบหายใจสะท้านและเสียงน้ำดังจ๋อมแจ๋มก้องสะท้อนทั่วทั้งห้องสรงน้ำ บรรยากาศเร่าร้อนดำเนินไปจนถึงขีดสุดก่อนที่ทุกอย่างจะสงบลง
“ขอโทษที่ทำให้เจ็บ” ตรัสเสียงแผ่วขณะที่ลูบไล้รอยกัดบนท้ายทอยของเด็กหนุ่มเบาๆ
“เจ็บแค่นี้เป่าทีเดียวก็หายแล้ว”
เมื่อได้ยินเด็กหนุ่มกล่าวเช่นนั้นองค์รีไวราเมสก็เป่าลมหายใจลงบนรอยแผลของเด็กหนุ่มจริงๆ
“แต่มันคงจะยังทิ้งรอยแผลเป็นอยู่ดี”
“กระหม่อมไม่ใช่ผู้หญิงที่จะต้องมาห่วงเรื่องรอยแผลเป็นเสียหน่อย”
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี รอยแผลนี้เป็นเครื่องยืนยันว่าเจ้าเป็นของข้า”
“ฝ่าบาทกระหม่อมเคยทูลไปแล้วนะว่าอย่าเอาคนไปรวมกับสิ่งของน่ะ”
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็เป็นคนของข้า” ตรัสตอบพลางทอดพระเนตรเด็กหนุ่มที่อิงแอบอยู่ข้างกาย
“เขาว่ากันว่าคนแก่มักจะหวงของ ท่าจะจริง” เอเลนเอ่ยกลั้วหัวเราะก่อนจะเอ่ยต่อ
“ฝ่าบาท พอแค่นี้เถอะ ส่งกันไกลแค่ไหนก็ต้องจาก จะแยกจากกันตอนนี้หรือหลังจากนี้สุดท้ายก็ยังต้องแยกกันอยู่ดี โปรดทรงเสด็จกลับธีบส์เถิดพะยะค่ะ”
“ถ้าหากว่าข้าแฝงตัวเข้าไปในขบวน.........”
“ไม่ได้เด็ดขาดเลิกดำริไปได้เลย งานการก็ออกจะล้นพระหัตถ์ โปรดเสด็จกลับไปนั้นถูกต้องที่สุดแล้ว”
ฟาโรห์หนุ่มทอดพระเนตรมองใบหน้าหวานของคนข้างกายก่อนจะพยักพระพักตร์รับอย่างยอมจำนน
“ถ้าเจ้าต้องการเช่นนั้น ก็ตามใจเจ้าเถิด” ตรัสพลางจุมพิตลงบนหน้าผากเนียนของเอเลนแผ่วเบา
เมื่อรุ่งเช้ามาเยือนขบวนเสด็จก็จัดเตรียมพร้อมอีกครั้ง แต่หนนี้องค์รีไวราเมสหาได้เสด็จตามไปด้วย พระองค์นั่งทรงบนไนยาลีเฝ้ามองขบวนราชทูตออกเดินทางผ่านโพ้นทะเลทรายไปจนลับสายพระเนตรอย่างเงียบงัน หลังจากนั้นก็มีทหารคนสนิทเข้ามาทูลข่าวล่าที่เพิ่งได้รับ
“ทูลฝ่าบาท เจ้าชายเบเซทและกองกำลังธีบส์เดินทัพสู่ที่หมายแล้วพะยะค่ะ” สีพระพักตร์เรียบเฉยเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันที หันไปตรัสสั่งกับทหารในบัญชาเสียงดังฟังชัด
“เคลื่อนทัพสู่เมมฟิส!!!
เสียงโห่ร้องของเหล่าทหารหาญดังกึกก้องฮึกเหิม องค์รีไวราเมสนำทัพออกมุ่งหน้าสู่เมืองท่าซึ่งเป็นเขตชายแดนอียิปต์ที่ใกล้กับฮิตไทต์ที่สุดอย่างมุ่งมั่นไม่มีเหลียวหลังกลับ
ส่งกันไกลแค่ไหนก็ต้องจาก จะช้าหรือเร็วสุดท้ายก็ต้องแยกกันอยู่ดีสู้จากกันตอนนี้ย่อมดีกว่ายื้อไปให้มากความเพราะต่อจากนี้พระองค์ยังมีเรื่องที่ต้องให้สะสางกันอีกยาว