วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์ : Chapter 8:

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์
Pairing: (LevixEren)
Rate: NC-17
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
Story By: AkeRah , Trendy Blood
………………………………………………………………………………………………..
Chapter 8:

          เพราะเหตุไม่คาดฝันทำให้กองทัพของอียิปต์ต้องหาที่ปักหลังกลางทะเลทรายชั่วคราวด้วยเหตุพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน อีกทั้งทะเลทรายตอนกลางคืนสำหรับผู้ที่คุ้นเคยนั้นย่อมรู้ดีว่าอันตรายเพียงใด ทั้งอุณหภูมิที่ลดลงต่ำอย่างรวดเร็วหรือพายุทรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
            “รุ่งเช้าเราจะรีบเดินทางไปยังโอเอซิสที่หมาย ขอให้ทุกคนพักผ่อนให้เต็มที่และตั้งหน่วยเวรยามสำหรับคืนนี้ด้วย” เบเซธผู้รับหน้าที่แทนองค์ราเมส ตรัสสั่งกับเหล่าทหารและองค์รักษ์คนสนิทก่อนจะให้ทุกคนแยกย้ายไปทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายก่อนที่เบเซธจะเดินไปตรวจตราดูความเรียบร้อยของกองทัพในส่วนต่างๆ
กระโจมสีขาวมากมายถูกตั้งขึ้นตามจุดต่างๆแถบช่องผาหิน เพราะการคำนวนการเดินทางและการเตรียมพร้อมกับภูมิประเทศเลยทำให้เหล่าทหารได้ใช้ช่องผาในการตั้งแคมป์ชั่วคราว อีกทั้งยังช่วยให้ปลอดภัยจากพายุทรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
กระโจมใหญ่ส่วนกลางที่ตั้งรายล้อมด้วยกระโจมสีขาวอื่นๆมากมายกำลังถูกเหล่าพลทหารช่วยกันตั้งขึ้นที่ละหลังอย่างขะมักเขม้น ร่างอวตารแห่งราที่ได้แต่นั่งมองอยู่บนรถม้าเพื่อรอคอยคนตั้งกระโจมเริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย การที่นั่งอยู่เฉยๆโดยไม่ทำตัวให้เป็นประโยชน์แบบนี้ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดกับตัวเอง เอเลนจึงตัดสินใจลงจากรถม้าแล้วเดินเข้าไปหาราชองครักษ์ไรเนอร์ที่กำลังจัดแจงกลุ่มทหารเพื่อเฝ้ายามสำหรับราตรีนี้
“ขอโทษนะ เออ...คุณมีอะไรให้ผมช่วยไหม?” เด็กหนุ่มเกาแก้มของตนแก้เขิน ทั้งหวังว่าเขาจะได้มีอะไรทำบ้างนอกจากนั่งมองคนอื่นที่ต่างทำงานกัน
ไรเนอร์ชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นร่างอวตารแห่งราเสด็จลงมาจากรถม้าที่นั่ง อีกทั้งยังถามไถ่เพื่อของานจากเขา ตัวเขาที่เป็นองครักษ์แม้จะเป็นองครักษ์คนสนิทขององค์ฟาโรห์แต่จะบังอาจใช้ร่างอวตารเทพได้เยี่ยงไร
“ทูลกระหม่อมต้องขออภัย แต่ข้ากระหม่อมมิบังอาจ...” ก่อนที่จะทันพูดจบคนตัวเล็กก็คว้ากระดาษรายงานในมือขององครักษ์หนุ่มไปดูอย่างถือวิสาสะ
ก็คิดไว้อยู่แล้วว่าคนพวกนี้คงไม่ยอมให้เขาทำอะไรง่ายๆ เห็นเขาเป็นแค่ของประดับหรือไงกัน นัยน์ตาสีทองอร่ามไล่อ่านเอกสารในมือ น่าแปลกทั้งที่เป็นภาษาอียิปต์โบราณที่เขาแม้จะเคยผ่านตามาบ้างแต่ไม่ได้ศึกษาอย่างจริงจัง ตอนนี้กลับอ่านออกราวกับเป็นภาษาบ้านเกิดอย่างน่าประหลาด บางทีคงเป็นเพราะนัยน์ตาสีอร่ามที่แปลกประหลาดนี้ก็เป็นได้....
“นายแบ่งกลุ่มกองกำลังตรวจตราสำหรับคืนนี้ทั้งหมดแล้วสินะ ฉันขอให้กลุ่มที่สามและสี่ขึ้นไปตั้งกระโจมบนหน้าผาทั้งสองฝั่งด้วย อย่างน้อยเราต้องระวังเรื่องฝ่ายสอดแนมของศัตรูที่อาจซู่มโจมตีจากด้านบน มีกองกำลังแบ่งไปบ้างจะได้เพิ่มความปลอดภัยของกองทัพเรา”
ไรเนอร์ชะงักงันกับแผนการจัดกลุ่มสำรวจของร่างอวตาร เพราะแผนการที่เปลี่ยนกระทันหันของการไปถึงโอเอซิสในค่ำคืนนี้ทำให้ต้องมาตั้งแคมป์กลางทะเลทรายระหว่างช่องแคบของผาหินทำให้เขาลืมนึกคิดไปว่านี่ก็ใกล้เขตของศัตรูมากพอดู ฝ่ายกบฏอาจส่งคนมาสำรวจพื้นที่แล้วเจอกองกำลังของเราก็เป็นได้การกระจายกลุ่มคนเพื่อความปลอดภัยเห็นจะเป็นเรื่องสมควรที่เขาเผลอเรอมองข้ามไป องครักษ์หนุ่มยิ้มอย่างพอใจก่อนจะส่งเสียหัวเราะอย่างภาคภูมิจนเอเลนหันมองด้วยความแปลกใจ
เยี่ยม ยอดเยี่ยม นอกจากจะมีรูปโฉมที่โดดเด่นและงดงาม แต่ร่างอวตารแห่งรายังมีความคิดที่แหลมคม
“ธีบส์ช่างโชคดียิ่งนักที่มีท่านร่างอวตารคอยห่วงใย” ไรเนอร์โค้งคำนับชื่นชมความเก่งกาจของเด็กหนุ่มร่างจำแลงแห่งเทพสุริยัน
เหล่าทหารใต้บังคับบัญชาที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อเห็นร่างอวตารตัวจริงต่างก็รู้สึกเกร็งทำตัวไม่ถูกยิ่งเห็นว่าร่างอวตารไม่ถือองค์ออกมาเดินสำรวจพร้อมทั้งยื่นความช่วยเหลือ ยิ่งเห็นองครักษ์ประจำพระองค์ผู้มียศสูงศักดิ์เอ่ยวาจาพร้อมทั้งทำความเคารพ เหล่าทหารทั้งหลายต่างยิ่งศรัทธาและปลื้มปิติต่อการมาเยือนของร่างอวตารเทพยิ่งนัก
เอเลนถอนหายใจเฮือกใหญ่ การที่ถูกปฏิบัติเป็นคนสูงศักดิ์ อีกทั้งเด็กที่ทั้งชีวิตต้องคลุกคลีกับการเดินทาง ตะลอนไปที่ต่างๆและต้องช่วยเหลือตัวเองรวมทั้งเจ้าพ่อบ้ามาตลอด เรียกได้ว่าชีวิตสมบุกสมบันพอดู พอต้องมาถูกปฏิบัติแบบนี้บอกตามตรงเขาทำใจให้ชินไม่ได้เสียที
“เอเลน”
ไรเนอร์และเหล่าทหารต่างมองร่างอวตารสุริยันด้วยสีหน้างุนงง
ให้ตายสิเจ้าพวกนี้ ทำไมถึงต้องคอยให้อธิบายอะไรซ้ำซากเรื่อยเลยนะ เด็กหนุ่มเกาผมสีน้ำตาลจนยุ่งอย่างนึกรำคาญ
“เรียกว่าเอเลนก็พอ เรียกว่าร่างอวตารเต็มยกแบบนั้นข้าไม่ชิน” ถึงแม้เจ้าตัวจะทำไปเพราะความรู้สึกไม่คุ้นชิน แต่หารู้ไม่ว่าการกระทำของเขาทำให้เหล่าทหารต่างรู้สึกนอบน้อมและปลื้มปิติกับท่าทางที่เป็นกันเองของอีกฝ่าย
เอเลนและไรเนอร์ต่างช่วยกันแบ่งกลุ่มสำหรับลาดตระเวนในยามค่ำคืน และยามคอยเฝ้าระวังภัยตามจุดต่างๆ อีกทั้งเอเลนยังเสนอการส่งสัญญาณด้วยเปลวเพลิงแทนการจุดเพลิงที่คบเพลิงหัวมุมในการแจ้งเหตุเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันเพื่อให้สามารถแจ้งเหตุได้อย่างทันท่วงที เมื่อทุกอย่างถูกเตรียมการจนเสร็จสิ้น คบเพลิงตามจุดต่างๆถูกจุดขึ้นเพื่อให้แสงสว่างในยามราตรีที่เริ่มครอบคลุมไปทั่วอาณาบริเวณ
“ท่านเอเลนข้าว่าท่านควรกลับไปพักผ่อนที่กระโจมได้แล้วนะขอรับ” ไรเนอร์เอ่ยทักเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มยังคงสนุกสนานกับการสอบสัญญาณไฟแบบต่างๆให้กับเหล่ากลุ่มทหารลาดตระเวน
เอเลนมองเหล่าบรรดาทหารอย่างนึกเสียดายเพราะเขากำลังสนุกกับการที่ทำตัวให้เป็นประโยชน์ แต่ที่ไรเนอร์กล่าวก็ถูก วันนี้เขาเดินทางมาทั้งวันอีกทั้งยังต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อรีบเร่งเดินทางต่อ ควรจะรีบพักเพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมกับความร้อนระอุของทะเลทรายยามรุ่งสางเฉกเช่นวันนี้ โชคดีที่เขาเดินทางผ่านทะเลทรายมาตั้งแต่เรียกว่าเพิ่งเริ่มหัดเดิน ป่วยจนนอนซมไปก็หลายครั้ง แต่เพราะอย่างนั้นทำให้ตอนนี้เขามีภูมิต้านฐานกับสภาพภูมิอากาศและสภาพแวดล้อมของดินแดนที่แห้งแล้งอยู่มาก
ระหว่างทางที่เดินกลับกระโจม เด็กหนุ่มเงยหน้ามองแสงของดารที่ทอระยับเป็นประกายราวกับงานศิลปะชิ้นเอกที่ถูกแต่งแต้มบนฟากฟ้าอย่างสนใจก่อนจะหัวเราะขำในลำคอ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ร้อยกี่พันปี ท้องฟ้านี่ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะยังคงงดงามเฉกเช่นเดิม นัยน์ตาสีอร่ามมองดาวที่ทอประกายเด่นกว่าดาวดวงอื่นๆ นักเดินทางทุกคนย่อมรู้ดีว่าดาวที่สุกสกาวกว่าดาวดวงใดๆคือดาวเหนือที่สามารถใช้บอกทางยามค่ำคืนได้ ใบหน้ามนมองดาวเหนืออย่างเหม่อลอย เหล่านักเดินทางใช้ดาวเหนือในการนำทางกลับบ้าน แล้วเขาตอนนี้จะสามารถใช้ดาวเหนือนำทางกลับที่ที่จากมาของตนได้รึเปล่านะ? มือบางกำกุญแจทองคำที่ทำเป็นสายสร้อยประดับไว้ที่คอก่อนจะสวดภาวนาในใจให้ตนได้ปลอดภัยแล้วกลับไปยังที่อยู่ของตนได้ในเร็ววัน
ม่านสีขาวถูกเปิดออกให้เด็กหนุ่มเข้าไปก่อนที่เหล่าทหารต่างจะโค้งคำนับจากลาเพื่อไปทำหน้าที่ของตนตามเดิม นัยน์ตาสีอร่ามมองเห็นร่างที่เริ่มคุ้นเคยดีกำลังยืนดูแผ่นกระดาษขนาดใหญ่ที่กางอยู่บนโต๊ะกลางห้อง เมื่อเดินเข้าไปใกล้ถึงเห็นว่าเป็นแผนผังของเมืองสักที่
“ดึกป่านนี้แล้วท่านยังไม่พักผ่อนเหรอไง?” เด็กหนุ่มเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าฟาโรห์หนุ่มยังคงขีดเขียนลงบนแผนที่อย่างขะมักเขม้น
“ถ้าเจ้าเหนื่อยก็นอนก่อนเลย พรุ่งนี้ยังต้องเดินทางอีกไกล” สายตาของฟาโรห์หนุ่มยังคงจับจ้องที่แผนผังโดยไม่เงยขึ้นมามองคนที่เสวนาด้วย
ให้ตายสิ รู้หรอกว่ายุ่งแต่อย่างน้อยเวลาคุยกันน่าจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากันซะบ้างไอฟาโรห์ไร้มารยาทนี่ เด็กหนุ่มพึมพำในใจก่อนจะตวัดเดินไปยังเตียงนอนที่ถูกจัดเตรียมไว้ด้านหลังของฟาโรห์รีไว ระหว่างที่เดินผ่านองค์ฟาโรห์พลันสายตาของเด็กหนุ่มก็มองเห็นรอยแผลเป็นทางยาวปรากฏบนท้องแขนขวาของชายหนุ่ม เอเลนแตะเบาๆลงบนแผลลากยาวของรีไว และนั่นทำให้คนที่ถูกสัมผัสหันมามองอีกคนอย่างสงสัย
“ข้ายังไม่ได้ขอบคุณท่านวันนี้เลย” มือบางสัมผัสลงบนแผลแผ่วเบาแม้จะเป็นรอยถากที่เริ่มขึ้นสเก็ด แต่แผลนี่ก็เกิดจากการที่ชายหนุ่มช่วยชีวิตเขาไว้ บางทีตาแก่มักมากนี่อาจไม่ได้มีดีแค่ฝักใฝ่ในเรื่องลามกอย่างเดียวก็ได้
องค์ฟาโรห์หนุ่มยกยิ้มก่อนจะวางมือลงบนผมสีน้ำตาลของเด็กหนุ่ม
“ข้าได้ของตอบแทนจากเจ้าแล้วอย่าห่วงเลย”
“ของตอบแทน?” เด็กหนุ่มทวนคำถามอย่างแปลกใจ
“น้ำผึ้งผสมเลมอนของเจ้า กับ.....” ฟาโรห์หนุ่มแตะลงที่ขมับของเด็กหนุ่มซึ่งเขาฝากรอยจุมพิตไว้
เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดเด็กหนุ่มพลันหน้าขึ้นสีทั้งใจที่เต้นโครมครามจนรู้สึกเสียงจะดังออกมาให้คนภายนอกได้ยิน
“แต่ถ้าเจ้าจะตอบแทนข้ามากกว่านั้นข้าก็ยินดี อวตารเทพแห่งข้า” ไม่ว่าเปล่าฟาโรห์หนุ่มโอบเอวบางของเอเลนเข้าหาตัว
“แว๊ก!! ได้คืบจะเอาศอกรึไง!” เอเลนผลักอกแกร่งตรงหน้าก่อนจะดีดตัวขึ้นไปอยู่มุมเตียงพร้อมทั้งส่งสายตาระแวงมาอีกทั้งยังขู่ฟ่อให้กับชายหนุ่ม
ฟาโรห์รีไวได้แต่หัวเราะขำกับท่าทางที่น่าหยอกเล่นของอีกฝ่ายก่อนจะจัดการม้วนกระดาษที่กางอยู่บนโต๊ะ
“ท่านจะไปไหนงั้นเหรอ?” เด็กหนุ่มเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเก็บม้วนกระดาษถือไว้แล้วเตรียมออกไปนอกกระโจม
“ข้าได้ยินมาว่าอวตารเทพนั้นทรงช่วยเหลือดูแลเหล่าทหารในกองทัพเป็นอย่างดี อีกทั้งยังสร้างขวัญและกำลังใจให้กับเหล่าทหารมากมาย ได้ยินแบบนั้นแล้วข้าผู้เป็นเป็นบุตรแห่งราก็ต้องทำหน้าที่ให้สมเกียรติกับการที่อวตารเทพทรงเอาใจใส่” ฟาโรห์หนุ่มเตรียมเดินออกจากกระโจมก่อนจะหันกลับมาสบตากับเอเลนราวกับลืมบอกเรื่องสำคัญ
“อย่าห่วงไปท่านร่างอวตาร ข้าไม่ปล่อยให้เจ้านอนเดียวดายท่ามกลางราตรีแห่งทะเลทรายที่หนาวเหน็บแน่แท้”
ม่านสีขาวปิดลงพร้อมทั้งเสียงหัวเราะในลำคอของคนที่จากไป ตามมาด้วยเสียงหมอนขนาดใหญ่ที่ถูกปาไล่หลังร่วงลงบนพื้นพรมเบื้องล่าง
ให้ตายสิเป็นตาแก่หัวงูที่เผลอไผลไม่ได้เลย! เด็กหนุ่มลุกจากเตียงเดินมาหยิบหมอนก่อนจะปัดฝุ่นทรายแล้วนำไปนอนกอดไว้ที่มุมเตียงตามเดิม หลายวันมานี้นับตั้งแต่ที่เขาโผล่ข้ามมิติเวลามาฟาโรห์รัไวราเมสไม่เคยปล่อยเขาให้ห่างสายตา แม้กระทั่งยามค่ำคืนที่เบเซธบอกไว้ว่าองค์ฟาโรห์มีเหล่าสนมมากมายที่เวียนไปหาได้ไม่รู้จักจบจักสิ้น แต่ทุกคืนเขากลับเห็นชายหนุ่มกลับมาห้องนอนของตนเอง ที่เจ้าตัวรับสั่งให้เขาอยู่ร่วมห้องโดยไม่คิดจะหาห้องส่วนตัวให้เขา จากเดิมที่ระแวงเริ่มเป็นความคุ้นชินที่จะมีชายหนุ่มนอนอยู่ข้างๆ เอเลนเกาผมสีน้ำตาลของตัวเองจนยุ่งกับความคิดที่เริ่มกระเจิดกระเจิงอย่างน่าประหลาด
ไม่ๆ ยังไงเขาก็ขอเปลี่ยนจากฟาโรห์เป็นคลีโอพัตตราสุดสวยหุ่นแซ่บดีกว่าฟาโรห์บ้ากามกล้ามเป็นมัดๆเป็นไหนๆ เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหยิบกุญแจทองคำขึ้นมาจ้องมอง ตกลงว่านี่เขาจะต้องทำเควสอะไรเพื่อให้กลับไปโลกปัจจุบันได้สินะ อย่าบอกนะว่าเควสคราวนี้คือเรื่องปราบกบฏ ให้ตายสินี่มันสงคราม สงครามจริงๆ ของจริง ของแท้ ไม่ใช้สแตนอิน ไม่มีตัวแสดงแทนด้วยนะ ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ใบหน้าหวานเริ่มซีดเซียวจนแทบจะหมดแรง มีหลายครั้งในการเดินทางกับคริชาผู้เป็นบิดาที่เขาจะต้องพบเจอกับเรื่องอันตรายอย่างกลุ่มกบฏหรือกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่พากันต่อต้านการทำงานของพ่อของเขา และหลายครั้งที่จะมีเหตุการณ์เลวร้ายจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือล้มตายไปบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องเหล่านั้นก็เทียบไม่ได้กับสิ่งที่เรียกว่าสงคราม
ร่างบางสั่นเกร็งกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตนในอีกไม่นาน ต่อให้เป็นร่างอวตารและต่อให้เขามาจากมิติอื่นแต่ไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าถ้าเกิดดวงซวยขึ้นมาเขาอาจจะต้องทิ้งชีวิตและอนาคตของตัวเองไว้ในอดีตหลายพันปีแบบนี้ก็ได้
มือใหญ่ของใครบางคนจับลงที่ไหล่มนที่ขดจนเกร็ง ใบหน้าหวานหันสบตากับชายหนุ่มผมรัตติกาลที่จ้องมองเขาอย่างแปลกใจ
“เจ้าหนาวรึไง?”
เอเลนส่ายศีรษะไปมาแทนคำตอบ เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่งหันหน้าเข้าหาฟาโรห์หนุ่มด้วยใบหน้าจริงจัง
“ท่านน่ะจะไม่ปล่อยให้ข้าตายใช่ไหม?”
“คนเราเกิดมาก็ต้องดับสูญกลับไปเป็นส่วนหนึ่งของเทพ”
นี่ท่าน..!!
ก่อนที่จะได้ต่อปากต่อคำกับคนชอบกวนประสาท พลันมือใหญ่ของฟาโรห์จับมือบางของเด็กหนุ่มขึ้นทาบทับลงบนอกซ้ายตำแหน่งเดียวกับหัวใจ
“ข้าผู้เป็นโอรสแห่งรา ราชาแห่งลุ่มน้ำไนล์ขอให้สัตย์สาบานต่ออวตารเทพเอเลน ข้าจักปกป้องดูแลไม่ให้เกิดภยันตราย ด้วยคำสัตย์นี้ข้าจักปกป้องคุ้มครองเจ้าด้วยเกียรติของฟาโรห์ราเมสที่สอง และชีวิตของข้า คนผู้เดียวที่จะสังหารหรือทำร่างอวตารหลั่งเลือดได้จักมีเพียงข้าฟาโรห์รีไวผู้นี้ผู้เดียว”
คำสัตย์สาบานดังก้องไปทั่วกระโจม ทั้งดังก้องโสตประสาทของเด็กหนุ่ม อกซ้ายพลันเต้นระรัวกับใบหน้าคมคายจริงจังที่จ้องตรงมาเพื่อเป็นการบอกว่าสิ่งที่เอ่ยนั้นเป็นคำมั่นที่เขาจะรักษาไว้ ทุกถ้อยคำทุกพยางค์ล้วนออกมาจากใจของผู้ที่เอ่ยจนเด็กหนุ่มรู้สึกได้ จะติดก็แต่ประโยคสุดท้ายที่ดูเหมือนว่ายังไงก็เท่ากับว่าถ้าเขาทำอะไรที่ส่อแววว่าจะเป็นศัตรูกับองค์ฟาโรห์ เจ้าตาแก่บ้านี่ก็พร้อมที่จะกุดหัวเขาทุกเมื่อเช่นกัน เอเลนหัวเราะแห้งกับคำสัตย์สาบานของชายหนุ่ม เกือบแล้วท่าน ข้าเกือบจะหลงไปกับถ้อยคำหวานหูของท่านแล้ว ดีนะที่เหมือนความซาดิสต์และเอาแต่ใจของท่านปรากฏออกมาเช่นเดียวกับความตั้งใจ
เอเลนเค้นยิ้มออกมาก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก เอาน่ะอย่างน้อยก็มั่นใจว่าตาฟาโรห์บ้านี่จะไม่ยอมให้ใครฆ่าเขานอกจากน้ำมือของตัวเอง
“ก็ได้ ตราบใดที่ข้าอยู่ที่นี้ คนที่จะฆ่าข้าได้มีท่านคนเดียวก็พอแล้ว” เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอคนที่พร้อมทั้งจะดูแลปกป้องแล้วฆ่าเขาในคนเดียวกัน บางทีนอกจากเจ้าฟาโรห์บ้านี่จะเป็นพวกซาดิสต์ขี้แกล้งแล้ว ยังจะเป็นพวกหลายบุคลิคด้วยล่ะมั่ง....
ก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้นเหล่ากองกำลังทหารของรีไวราเมสก็เริ่มเคลื่อนทัพเพื่อไปให้ถึงยังโอเอซิสที่หมาย เช้านี้เมื่อตื่นมาข้างตัวของเด็กหนุ่มก็ว่างเปล่า ดูเหมือนการผลุบๆโผล่ๆขององค์รีไวตั้งแต่เริ่มเคลื่อนทัพทำให้เขาเริ่มชิน แต่อย่างน้อยก็มั่นใจว่าฟาโรห์ไม่ปล่อยให้เขาคลาดสายตาอย่างแน่นอน เพียงแต่ตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจเท่าไรนักว่าการศึกที่สำคัญแบบนี้จะเอาเขามาด้วยทำไม?
“อย่าคิดมากเลยเอเลน ท่านจำเป็นต่อทัพของเราอย่างยิ่งยวดนัก” เบเซธที่เหมือนจะอ่านสีหน้าความสงสัยของเขาออกเอ่ยขึ้น
“แต่ฉันสู้รบไม่เป็น ดาบก็ไม่เคยจับจะทำอะไรได้?” ดูยังไงก็ตัวถ่วงชัดๆ
“ไม่เลย เมื่อวานเจ้ายังช่วยท่านไรเนอร์ในการเตรียมพลทหารลาดตระเวน อีกทั้งเจ้ายังไปถามไถ่เหล่าทหารตามจุดต่างๆ เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ รู้ไหมว่าตอนนี้เจ้าเป็นที่กล่าวถึงและนิยมมากขนาดไหน”
ตั้งแต่เมื่อวานที่เขาไปจัดการเตรียมการต่างๆกับองค์ฟาโรห์และเหล่าแม่ทัพอื่นๆ พอกลับเข้ามาก็ได้ยินเสียงพูดคุยของเหล่าทหารที่แสดงความชื่นชมต่อองค์อวตารเทพสุริยันไม่ขาดสาย คาดว่าเสียงนั้นองค์ฟาโรห์ผู้เป็นบิดาคงได้ยินเช่นกัน สีหน้าที่ตึงเครียดในการรบจึงแลดูผ่อนคลายลงมาก
ก็ไม่ค่อยเข้าใจนะว่าการที่เขาเดินไปเดินมาคุยกับคนนู้นทีคนนี้ทีจะทำให้มีคะแนนนิยมมากขนาดนี้ ถ้าเป็นที่โลกของเขาคงเปรียบได้ว่าเป็นไอดอลที่เข้าไปทักทายแฟนคลับอย่างใกล้ชิดก็ได้ล่ะมั่ง.... แต่ถึงอย่างนั้นเอเลนก็ยังหวังที่จะทำอะไรได้มากกว่าการที่ไปพบและพูดคุยกับเหล่าทหารเฉยๆ บางทีอย่างน้อยความคิดอ่านของคนในโลกอนาคตอย่างเขาอาจสามารถช่วยอะไรในการศึกครั้งนี้ได้บ้าง

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์ Chapter 7:

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์
Pairing: (LevixEren)
Rate: NC-17
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
Story By: AkeRah , Trendy Blood
………………………………………………………………………………………………..
Chapter 7:

องครักษ์หนุ่มร่างสูงเปิดประตูโถงห้องทรงงานให้เอเลนเดินเข้าไป ห้องทรงงานขนาดใหญ่แต่กลับมีเพียงโต๊ะทรงงานหนึ่งชุดและเบาะรองนั่งฟูกขนเป็ดหนานุ่มตั้งรับลมโกรกริมหน้าต่างที่ถูกเปิดทิ้งไว้ แต่ถึงจะมีเครื่องเรือนเพียงน้อยชิ้นแต่ฝาผนังและเสาต้นทุกต้นต่างก็ถูกตกแต่งด้วยทองสำริดให้ความรู้สึกราวกับอยู่ในดินแดนแห่งทองคำ“เชิญขอรับ”เบลทรูทนำทางผายมือเชิญให้เอเลนนั่งลงบนที่นั่งเล่นข้างหน้าต่าง เด็กหนุ่มร่างบางเดินไปหย่อนก้นนั่งลงบนเบาะหนานุ่มเงียบๆ มั่นใจแน่นอนว่าชายเจ้าของห้องผู้เชื้อเชิญเขามานั้นรับรู้ถึงการมาของเขาแล้ว แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเลือกที่จะเงียบเขาก็ขอเงียบด้วยเช่นกัน.......ดูเหมือนว่าฟาโรห์หนุ่มจะกำลังยุ่งอยู่กับเอกสารว่าราชการที่วางเกลื่อนโต๊ะ เอเลนกอดอกทอดสายตามองชายหนุ่มร่างใหญ่เงียบๆจะเงียบอีกนานแค่ไหนกันนะ!!!!
 ทุกสีหน้าทุกท่วงท่าของเด็กหนุ่มร่างอวตารได้อยู่ในสายตาของเขาตั้งแต่เมื่อเจ้าตัวก้าวเท้าเข้ามาในห้องแล้ว แค่ได้เห็นหน้างามที่บูดบึ้งเหยียบย่างเข้ามาก็ทำให้รู้แล้วว่าเจ้าตัวกำลังโมโหแค่ไหน และแน่นอนว่าคนที่สร้างความขุ่นเคืองให้แก่ร่างบางนั้นย่อมไม่ใช่ใครแต่เป็นตัวเขาเองเสียงถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายดังขึ้นมาก่อนที่เอเลนจะผุดลุกยืนขึ้นเต็มความสูง
“นั่งลง!!!” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นโดยฉับพลัน เอเลนตวัดหน่วยตาคมมองฉับมาที่เขาในทันที
“ข้าบอกให้เจ้านั่งลง” รีไวเอ่ยกับเด็กหนุ่มอย่างชัดถ้อยชัดคำด้วยใบหน้าสงบราบเรียบ เอเลนกลับขมวดคิ้วแน่น
“อย่าให้ข้าต้องพูดเป็นครั้งที่สาม”
เด็กหนุ่มร่างอวตารทรุดนั่งลงบนฟูกนุ่มอีกครั้งแล้วปิดปากเงียบ แม้อีกฝ่ายจะเป็นถึงร่างอวตารแห่งองค์เทพราแต่ถึงอย่างไรเด็กคนนั้นก็ควรจะเคารพยำเกรงตัวเขาผู้เป็นถึงบุตรแห่งพระอาทิตย์บ้าง
รีไวจ้องสบตากับเอเลนอยู่เงียบๆ และก็เป็นที่แปลกใจแก่เอเลนยิ่งนักด้วยไม่คิดว่าจะได้เห็นสีหน้าท่าทางเครียดขึ้งและแววตาขุ่นเคืองใจของฝ่ายนั้นขึ้นมาได้
ก็ส่วนมากก็มักจะเจอแต่กับสายตาหื่นกามนี่นะ...........
“เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ”
เด็กหนุ่มเอ่ยถามเขาด้วยสีหน้าฉงนแต่รีไวกลับยิ้มกริ่ม รอยยิ้มในตอนนี้ช่างสวนทางกับความรู้สึกขุ่นเคืองใจในอกยิ่งนัก
“เป็นถึงร่างอวตารเจ้าจะมิรู้เชียวหรือว่าสิ่งใดรบกวนจิตใจข้าอยู่” รีไวเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มเย็น เด็กหนุ่มหลุดท่าทางตกประหม่าออกมาเพียงชั่วครู่ก่อนจะเชิดหน้าเอ่ยตอบเขาอย่างท้าทาย
“ข้าย่อมรู้แน่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แต่อย่าหวังว่าข้าจะไขข้อข้องใจให้แก่ท่านโดยเด็ดขาด อย่าคิดจะหลอกถามข้าเสียให้ยากเลย” และเอเลนก็ปัดความซวยออกจากตัวไปได้อย่างเนียนๆ
“ใช่ว่าข้าอยากจะขอความช่วยเหลือจากร่างอวตารเสียที่ไหน เรื่องแค่นี้ข้าจัดการเองได้”
รีไวเอ่ยตอบด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย แน่นอนว่าปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควบคุมไม่ได้แต่มันก็ทำให้เขาหงุดหงิด หงุดหงิดเสียจนต้องหาทางระบายและก็ดูเหมือนว่าการได้กวนประสาทคนแถวนี้จะทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้น มือใหญ่เก็บรวบเอกสารราชการทั้งหมดกองวางไว้ที่มุมโต๊ะก่อนจะลุกยืนขึ้นเดินไปนั่งลงบนฟูกนุ่มที่มีเด็กหนุ่มร่างบางนั่งอยู่ เอเลนออกอาการหวาดระแวงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดฟาโรห์หนุ่มถึงกับต้องกลั้นยิ้ม มือใหญ่วางพาดเนียนโอบลาดไหล่เล็กขณะที่เอ่ยปากถาม
“เจ้าเคยเดินทางผ่านทะเลทรายมาก่อนหรือเปล่า”
“เคย” เอเลนมองหน้าฟาโรห์หนุ่มพลางเอ่ยตอบ แน่นอนอยู่แล้วเขาที่ต้องคอยติดสอยห้อยตามพ่อไปสำรวจพีระมิดสุสานกษัตริย์นับครั้งไม่ถ้วนย่อมต้องเคยใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางทะเลทรายแน่นอน
“ดี” ฟาโรห์หนุ่มขานรับคำอย่างพึงใจ
แบบนี้ก็คงจะง่ายขึ้น...........


“นี่มันอะไรกันเนี่ย” เอเลนทอดสายตามองกองทัพทหารที่ยาวเหยียดสุดหูสุดตาอย่างตื่นตะลึงดูเหมือนพลเมืองชาวธีบส์ต่างจะมารวมตัวกันที่หน้าพระราชวังแห่งนี้เสียหมด เสียงม้าเดินกุบกับควบเข้ามาใกล้พร้อมกับมือใหญ่ที่ฉุดร่างตนขึ้นไปนั่งบนหลังม้าด้วยกัน
“นี่ท่านกำลังจะไปที่ใด” เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยความฉงน
“ข้าคิดว่าร่างอวตารจะหยั่งรู้ได้เองเสียอีก” ฟาโรห์หนุ่มเอ่ยตอบกลั้วหัวเราะ
“อ๋อ....ใช่ ข้าย่อมรู้แน่” เอเลนโกหกออกไป ฟาโรห์หนุ่มควบม้าพันธุ์ดีมาส่งเอเลนที่หน้าขบวนก่อนจะควบม้ากลับไปตรวจแถวทหารพร้อมกับองครักษ์คนสนิททั้งสอง
“เอเลน เชิญทางนี้เถิด” เบเซธนำทางเขาขึ้นไปยังรถม้าสีทองอร่ามที่ดูเรืองรองราวกับแสงแห่งอาทิตย์
“เบเซธ ท่านก็ไปด้วยหรือ”
“แน่นอนที่สุด ข้าไม่อาจพลาดการยาตราทัพครั้งนี้ได้ด้วยเหตุผลประการทั้งปวง”
“ว่าแต่ เขาจะไปที่ไหนกัน” เอเลนเอ่ยถามพลางบุ้ยใบ้ไปยังฟาโรห์หนุ่มที่กำลังตรัสกับเบลทรูทด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เบเซธระบายรอยยิ้มอ่อนโยนให้อีกฝ่ายเบาใจก่อนจะเอ่ยตอบ
“เสด็จพ่อยกทัพไปเขตชายแดนเพื่อปราบกบฏทาสขอรับ”
คำตอบของเบเซธกลับไม่ได้ช่วยให้เอเลนเบาใจลงได้เลยกลับรู้สึกกลัดกลุ้มยิ่งกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ จากที่เคยผ่านหูผ่านตามาบ้างดูเหมือนว่าในรัชสมัยของฟาโรห์รีไวราเมสที่สองจะเกิดสงครามใหญ่ขึ้นหลายครั้งส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะความต้องการประกาศศักดาอันเกรียงไกรของตัวเองเป็นส่วนใหญ่และเป็นโชคดีที่ชัยชนะแทบจะตกอยู่ในมือของพระองค์เองแทบจะทั้งหมด แต่ดูเหมือนว่าการเสด็จปราบกบฏในดินแดนทาสจะไม่ได้ถูกบันทึกไว้เลย คิดในแง่ดีสงครามนี้อาจจะไม่ได้สลักสำคัญอะไรก็เป็นได้ เอเลนพยายามบอกตัวเองขณะที่ทอดสายตามองไปยังฟาโรห์หนุ่มอีกครั้ง
“คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกมั้ง”


กษัตริย์หนุ่มแห่งกรุงธีบส์ทรงม้าศึกควบเดินผ่านแถวทหารเป็นจังหวะเนิบนาบเพื่อตรวจความพร้อมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกเดินทัพ ฟาโรห์หนุ่มพลันสะดุดตากับทหารหนุ่มนายหนึ่ง ร่างกายสูงล่ำกำยำดูมีสง่าราศีผิดแผกจากทหารชั้นเลวทั่วๆไปอย่างเห็นได้ชัด
“ทหารใหม่?” ฟาโรห์รีไวเอ่ยถามเสียงเรียบ นายทหารใหม่คุกเข่าลงแสดงท่าทางเคารพนบนอบ
“พะยะค่ะ”
“เจ้ามีแววตาที่อวดดียิ่งนักทหาร” ฟาโรห์กล่าวตอบเสียงเรียบ แจนในคราบนายทหารเดินเท้าเงยหน้าจ้องสบตากับกษัตริย์หนุ่มชั่วครู่ก่อนจะหลุบตาลง
“หามิได้พะยะค่ะ กระหม่อมหาได้มีเจตนาจะล่วงเกิน”
“แล้วข้าจะรอดู ว่าจบศึกครั้งนี้สายตาของเจ้าที่มองข้าอย่างอวดดีจะเปลี่ยนไปหรือไม่”
รีไวควบม้าศึกตัวใหญ่กลับไปยังแถวหน้าสุดของขบวนทัพขณะที่เบลทรูทและไรเนอร์ตามอารักขาไปด้วย
“ทหารหนุ่มผู้นั้นคือคนสวนที่เจ้าพูดถึงอย่างนั้นหรือ เบลทรูท” กษัตริย์หนุ่มตรัสถามกับคนสนิทเสียงเบา
“พะยะค่ะ”
“การที่ฝ่ายนั้นเข้าหาเอเลนย่อมต้องมีเหตุผล พวกเจ้าจงระมัดระวังดูแลเอเลนไว้ให้ดี”
“พะยะค่ะ” เบทรูทและไรเนอร์ตอบรับโดยพร้อมเพรียง
“ข้าจะจับตาดูเจ้าหนุ่มนั่นเอง”
ขบวนทัพยาตราออกจากกรุงธีบส์พร้อมด้วยเสียงโห่ร้องของชาวพลเมือง กษัตริย์หนุ่มผู้ทรงม้าศึกทองคำชูมือขวาขึ้นสูงอย่างองอาจตอบรับเสียงโห่ร้องของประชาชนตลอดเส้นทางที่เสด็จออกจากเมืองมุ่งหน้าสู่ทะเลทรายอันเวิ้งว้าง แม้จะเข้าสู่ช่วงเที่ยงที่แสนจะร้อนระอุของวันแต่เด็กหนุ่มร่างบางที่เคียงข้างมากับเขาก็ยังไม่ปริปากพูดสักคำ ตาคมเหลือบมองไปยังคนข้างกายแสงแดดร้อนแรงแผดเผาผิวกายขาวเนียนละเอียดจนแดงเป็นปื้น เม็ดเหงื่อผุดพรายตามไรผมจนเปียกชื้น ริมฝีปากบางที่เคยต้อล้อต่อเถียงนั้นแห้งผาก
คงจะเพลียจนแผลงฤทธิ์ไม่ออกสินะ.........
มือใหญ่เอื้อมไปดึงผ้าคลุมไหล่ของเจ้าตัวขึ้นคลุมศีรษะให้แต่เอเลนกลับปัดมือเขาออก
“ทำอะไร”
“แสงแดดเพลานี้เป็นช่วงที่ทรมานที่สุดของวัน มันคงน่าเสียดายที่ผิวงามๆจะต้องถูกแดดเผาเสียหมด” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดพรายขึ้นบนริมฝีปากของฟาโรห์หนุ่ม แน่นอนว่าที่พูดไปนั้นก็แค่หยอกเย้าหมายจะแหย่ให้อีกฝ่ายมีน้ำโหเล่น แต่เอาเข้าจริงก็แค่เป็นห่วงไม่อยากจะให้เอเลนต้องทรมานจนเกินไป
ฟาโรห์หนุ่มยกมือส่งสัญญาณหยุดทัพหลายชั่วโมงที่รอนแรมผ่านทะเลทรายออกมาไม่ใช่แค่เอเลนที่อ่อนเปลี้ยจนแทบจะทนไม่ไหว แต่ข้างหลังยังมีทหารเดินเท้าอีกกองใหญ่พวกเขาต่างก็ต้องการพักเติมอาหารใส่ท้องที่ว่างเปล่าเช่นกัน กระโจมผ้าบังแดดถูกตั้งขึ้นอย่างรวดเร็ว เอเลนแทบจะเป็นคนแรกที่วิ่งเข้าไปหลบแดดเลยทีเดียว ฟาโรห์หนุ่มเดินตามมาติดๆพร้อมหิ้วกระติกน้ำติดมือมาด้วย
“ดื่มช้าๆ ให้ร่างกายของเจ้าได้ดูดซึมน้ำเพื่อชดเชยส่วนที่เสียไป”
“ขอบคุณ” เอเลนรับกระติกน้ำมาถือไว้พร้อมกับจิบช้าๆตามที่อีกฝ่ายแนะนำ แต่ก็ต้องเกือบสำลักเมื่อจู่ๆฟาโรห์หนุ่มเกิดเปลื้องผ้าต่อหน้าต่อตาเขาและเหล่าทหาร มือใหญ่ลูบแผ่นหลังเล็กเบาๆเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มขำขัน
“เจ้านี่ก็ซุ่มซ่ามเสียจริง”
“ท่านแก้ผ้าทำไมกัน” เด็กหนุ่มตวาดเสียงดัง
“ไม่ได้แก้ให้เจ้าดูก็แล้วกัน” ฟาโรห์หนุ่มตอบพลางโยนฉลองพระองค์ที่เพิ่งจะถอดทิ้งไปให้เอเลนซึ่งรับไว้ได้อย่างพอดิบพอดี ร่างใหญ่เดินหายออกไปจากกระโจมโดยไม่พูดไม่จา
จวบจนแม้กระทั่งเมื่อขบวนทัพเริ่มเคลื่อนเอเลนก็ยังไม่เห็นเงาร่างของฟาโรห์หนุ่มเลยแม้แต่น้อย รถม้าศึกที่เขานั่งก็กลายเป็นเบเซธที่ขึ้นมากุมบังเหียนแทนใครอีกคน
“ฟาโรห์รีไวราเมสหายไปไหนกัน”
“เสด็จพ่อบอกให้ข้าดูแลท่านแทน” เบเซธเลือกที่จะตอบเลี่ยงๆแทน
“นี่คือแผนรบที่เขาเตรียมการไว้หรือ” เอเลนเอ่ยถามย้ำอีกครั้ง
“ข้าคงบอกท่านได้เพียงเท่านี้”
นับว่าเส้นทางการเดินทางไปยังดินแดนทาสเป็นอะไรที่หฤโหดมากทีเดียว นอกจากจะต้องผ่านเวิ้งทะเลทรายที่ร้อนระอุเส้นทางเบื้องหน้ายังเป็นเทือกเขาสูงลาดชันที่แคบเสียจนน่าหวาดเสียว ขบวนเดินทางจำต้องลดความเร็วลงเบเซธจำต้องใช้ความพยายามในการควบคุมม้ามากยิ่งกว่าเดิมเส้นทางขรุขระตลอดสองข้างทางมีก้อนหินเศษเล็กๆกลิ้งตกหน้าผาเป็นระยะ
“รถคันนี้ไม่ใหญ่เกินไปหรอกหรือ” เอเลนเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล
“ข้าคิดว่าน่าจะพอไหว” แม้เบเซธจะตอบเช่นนั้นแต่แผ่นหลังเจ้าชายหนุ่มกลับเปียกชุ่มเม็ดเหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก แม้กระทั่งตัวม้าเองยังออกท่าทีลังเลในการจะก้าวย่างแต่ละก้าว เบเซธยื่นมือไปลูบแผงคอปลอบใจมันเบาๆ บังคับให้มันเดินต่อไปช้าๆ
เอเลนเองก็รู้สึกเกร็งไปด้วย มือบางเกาะขอบรถม้าเอาไว้เสียแน่น ทุกครั้งที่ล้อไม้บดผ่านก้อนกรวดก้อนหินรถจะสั่นสะเทือนเป็นระยะๆ เส้นทางแคบคดเคี้ยวยังอีกไม่ยาวไกลนักพอสิ้นสุดจากเขตหน้าผาชันเบื้องหน้าก็จะเป็นเพียงถนนดินเปิดโล่งที่กว้างมากขึ้น ด้วยความร้อนใจเบเซธเร่งความเร็วม้าทิ้งห่างขบวนทัพซึ่งเอเลนบอกได้เลยว่านั่นเป็นความคิดที่ผิดมากๆ ด้วยความเร็วที่มากขึ้นเพียงหินก้อนเล็กๆก็ทำให้รถเสียหลัก ตัวรถศึกเสียหลักปัดหลุดออกจากทาง เบเซธกุมบังเหียนม้ายึดไว้แน่น กลายเป็นเอเลนที่ไม่ทันระวังตัวลอยวืดหลุดออกจากตัวรถเด็กหนุ่มพยายามคว้าชายเสื้อของเบเซธเอาไว้แต่สิ่งที่คว้าได้กลับเป็นมือใหญ่ข้างหนึ่ง
ฟาโรห์หนุ่มที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากที่ไหนปรากฏตัวขึ้น มือซ้ายคว้าจับยึดรถม้าเอาไว้ไม่ให้ร่วงหล่นลงไปจากขอบหน้าผาส่วนมือขวาคอยยึดร่างของเด็กหนุ่มร่างอวตารภาชนะแห่งราเอาไว้ เบเซธลงแส้โบยม้าให้ออกแรงวิ่งขึ้นจากปากเหวหนักมือยิ่งขึ้น
ใบหน้าหล่อเหลานิ่งเฉยแต่ในใจกลับร้อนรุ่มเม็ดเหงื่อผุดพรายรินไหลผ่านคิ้วเข้มย้อยลงมาถึงปลายคาง วงแขนใหญ่แน่นมัดกล้ามออกแรงฉุดรั้งจนเส้นเลือดปูดโปน
“รีไว!!!” เด็กหนุ่มผู้หวาดกลัวร้องเรียกชื่อเขา แววตื่นตระหนกฉายชัดอยู่ในดวงตาสีทองอำพันคู่งาม
“ข้าไม่ปล่อยเด็ดขาด” ฟาโรห์หนุ่มกัดฟันแน่น ถึงตายก็ไม่มีวันยอมปล่อยมือ แต่ในเวลานี้มือของเอเลนที่ชื้นไปด้วยเหงื่อกลับกลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดหากละมืออีกข้างมาจับร่างบางไว้ เบเซธก็จะกลายเป็นฝ่ายที่ร่วงลงไปในหุบเหวเสียเอง เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะใครก็ปล่อยไม่ได้เด็ดขาด
ด้านฝ่ายม้าศึกเทียมรถก็เริ่มจะอ่อนแรงลงแผ่นหลังของมันถูกโบยจนแตกเลือดซิบ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ยอมหยุดมันตะกุยขาอย่างบ้าคลั่งพยายามขืนตัวดึงรถเอาไว้จนสุดกำลัง
หากยังเป็นเช่นนี้พวกเขาทั้งหมดคงต้องไปจบชีวิตลงที่ใต้หุบเหวเป็นแน่ เมื่อถึงเวลาจวนตัวรีไวส่งเสียงร้องคำรามดังลั่นรวบรวมกำลังทั้งหมดลากทั้งคนทั้งรถม้าขึ้นจากปากหน้าผาในคราเดียว ม้าศึกพันธุ์ดีทรุดฮวบลงกับพื้นอย่างหมดแรง เบเซธกลิ้งตกจากรถม้านอนแผ่ลงกับพื้น รีไวรับร่างบางของเด็กหนุ่มที่ถูกดึงขึ้นมาจากปากเหวล้มกลิ้งไปกับพื้นด้วยกัน ร่างบางในอ้อมแขนหอบหายใจสะท้านตาเบิกโพลงด้วยความตื่นตระหนก หัวใจดวงน้อยเต้นถี่ระรัวตึกตักเสียจนเขายังสัมผัสได้
“เจ้าปลอดภัยแล้ว เด็กน้อย” มือใหญ่ลูบไล้แผ่นหลังเล็กเบาๆขณะกระซิบปลอบ
เบเซธลุกขึ้นไปดูม้าที่นอนแผ่หราอยู่ใกล้ๆ
“เก่งมากเจ้าหนู” มันกระดิกหูรับเบาๆอย่างอ่อนแรง กลุ่มทหารติดตามเพิ่งจะตามมาทันก็เดี๋ยวนี้นี่เอง ต่างคนต่างคิดไม่ถึงว่าองค์ฟาโรห์จะรีบร้อนถึงขั้นฝ่าเส้นทางทุลักทุเลล่วงหน้าขึ้นมาก่อน
“ฝ่าบาท!!!” ไรเนอร์กำลังจะเอ่ยบางอย่างแต่กษัตริย์หนุ่มกลับยกมือห้ามไว้
“เอาม้าตัวนั้นไปพัก แล้วสั่งให้คนเผารถศึกเทพสุริยันทิ้งซะ”
“แต่ฝ่าบาท รถศึกคันนี้เป็น.........” ไรเนอร์พยายามเอ่ยทัดทาน
“ก็แค่ของเฮงซวยที่เกือบจะคร่าชีวิตคนสำคัญของข้าไปสองคนก็เท่านั้น เอามันไปเผาทิ้ง” ฟาโรห์หนุ่มเอ่ยย้ำคำ ไรเนอร์จำต้องรับคำอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
“ยังตกใจอยู่หรือไม่” กษัตริย์หนุ่มตรัสถามร่างบางที่ยังใบหน้าซีดเผือดเนื้อตัวสั่นเทาไม่หยุด
“ไม่เป็นไร” เอเลนเอ่ยตอบเสียงสั่น มือใหญ่ลูบเส้นผมอ่อนนุ่มของเด็กหนุ่มเบาๆ
ไม่ร้องโวยวายแม้สักแอะ เจ้าเด็กนี่ช่างเข้มแข็งดีจริง
“เบเซธ เจ้าต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากกว่านี้ อย่าให้ความไว้ใจที่ข้ามอบให้ต้องสูญเปล่า” รีไวหันไปตรัสกับบุตรชาย
“พะยะค่ะ เสด็จพ่อ” เจ้าชายหนุ่มค้อมศีรษะลงต่ำยอมจำนนในความผิดพลาด
ม้าศึกและรถคันใหม่ถูกจัดส่งถึงที่ รีไวลงมือตรวจสอบความแข็งแรงทนทานด้วยตนเองก่อนจะส่งเอเลนขึ้นไป
“ท่านไปอยู่ที่ไหนมา” เอเลนเอ่ยถามฟาโรห์หนุ่มที่กำลังจะจากไป เด็กหนุ่มยอมรับกับตัวเองโดยดุษดีหลังจากผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญเมื่อครู่นี้มาเขารู้สึกปลอดภัยมากขึ้นถ้ามีกษัตริย์หนุ่มผู้นี้อยู่ใกล้ๆ
“ข้าต้องดำเนินตามแผนรบ จงอย่าได้กังวลแม้เจ้าจะไม่เห็นข้าแต่ข้ารับรองได้ว่าเจ้าจะอยู่ในสายตาของข้าทุกอิริยาบถอีกอย่างเบเซธจะไม่เลิ่นเล่ออีกเป็นครั้งที่สองทั้งเบลทรูทและไรเนอร์ก็อยู่รอบตัวเจ้า ข้ารับรองได้ว่าเจ้าจะปลอดภัย” ฟาโรห์หนุ่มกล่าวทิ้งท้ายพลางประทับรอยจูบลงบนขมับชื้นเหงื่อของเอเลนเพื่อเป็นการปลอบขวัญ แต่คนถูกจูบนั้นตกใจจนค้างไปแล้ว เอเลนมองตามแผ่นหลังของกษัตริย์หนุ่มที่ควบม้าหายลับเข้าไปในกลุ่มทหารทัพหน้าด้วยหัวใจที่ว้าวุ่น เสียงกระแอมของเบเซธที่ดังขึ้นกระตุกหัวใจที่เหมือนจะล่องลอยตามใครอีกคนไปไกลให้กลับเข้าร่าง
“เราจะออกเดินทางกันแล้วนะ”
“อ๋อ อืม......” เอเลนรับคำแต่ก็ยังไม่วายส่งสายตามองหาใครอีกคนในหมู่ทหารนับพัน ซึ่งแน่นอนว่าต่อให้หาแทบตายยังไงก็ไม่มีทางเจอ
“ไปเถอะ”
รถม้าศึกออกวิ่งด้วยความรวดเร็วอีกครั้ง อย่างน้อยๆพวกเขาก็ควรจะได้ไปพักที่โอเอซิสสักแห่งก่อนพลบค่ำจะดีที่สุด เอเลนที่อยู่บนรถม้าได้แต่ถอนหายใจยาวด้วยความอึดอัด
การเดินทางครั้งนี้มันอันตรายชะมัด....................



.............อันตรายต่อหัวใจสุดๆไปเลย




วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Attack On Titan(LevixEren) : Incest บทสอง

บทสอง

“อรุณสวัสดิ์ครับ”
“อรุณสวัสดิ์จ้านมอุ่นตั้งอยู่บนโต๊ะนะลูกถ้าจะปิ้งขนมปังก็จัดการได้เลย”
ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก็เจอกับแม่ที่กำลังปั่นผ้าซักอยู่เพียงคนเดียว
“พ่อล่ะครับ”
“ออกไปแต่เช้าแล้วล่ะ เห็นว่าวันนี้จะอยู่ทำโอทีด้วย” เป็นไปตามที่คิด พ่อของผมยังเป็นมนุษย์เงินเดือนตัวอย่างเหมือนเคย
“รีไวล่ะครับ” นี่ต่างหากคือเป้าหมายที่แท้จริงของผม
“รายนั้นเขาออกไปกับเพื่อนตั้งแต่เช้าแล้วจ้ะ ไม่เคยบอกสักทีหรอกว่าไปไหน วันหยุดเมื่อไหร่ไม่เคยจะอยู่ติดบ้านติดช่องเลย วันนี้มีแพลนอะไรรึเปล่าเอเลน”
“ไม่หรอกครับกลับมาบ้านทั้งที ขออยู่บ้านสบายๆดีกว่า ผมขี้เกียจออกไปตะลอนข้างนอก”
“ไปที่สวนชิมิสุสิลูกต้นไม้เปลี่ยนสีกำลังสวยเลย ออกไปนั่งเล่นเปลี่ยนบรรยากาศข้างนอกก็ดีกว่าอุดอู้อยู่ในบ้านนะ”
“เอาไว้เย็นๆให้แดดมันอ่อนกว่านี้ดีกว่าครับ” ขืนออกไปทนร้อนข้างนอกต่อให้สวนจะสวยสักแค่ไหนก็คงไม่ไหวล่ะมั้ง
และหลังจากที่ทนนั่งๆนอนๆดูรายการทีวีไร้สาระอยู่ในบ้านไม่ไหวผมจึงตัดสินใจออกไปเตร่เดินเล่นใกล้ๆบ้าน อีกใจก็อยากจะเข้าไปดูโบสถ์คริสตจักรหลังนั้นอยู่เหมือนกัน เด็กๆอยู่กันเยอะไปเล่นกับเจ้าพวกนั้นแก้เหงาดีกว่า
เสียงเจี๊ยวจ๊าวของกลุ่มเด็กทโมนดังระงมกันอยู่หน้าโบสถ์ลูกลิงพวกนั้นกำลังสนุกกับการวัดฝีเท้าชิงลูกหนังกันคึกคัก
เป็นเด็กนี่ก็ดีจังนะ เล่นสนุกกินอิ่มนอนหลับไปวันๆแค่นั้นก็มีความสุขแล้ว............
แต่ชีวิตช่วงวัยเด็กของผมมันไม่สวยงามเอาเสียเลย แต่จะโทษใคร ในเมื่อปัญหาทุกอย่างมันเริ่มจากผมเอง
“พี่ชาย!!! วันนี้มาเล่นด้วยกันมั้ยฮะ” เด็กชายผมบลอนด์ที่เจอเมื่อวานนี้โบกมือเรียกผมไม่หยุด
“โอเค วันนี้พี่ว่างคงต้องรบกวนทุกคนด้วยแล้วกัน”

นาฬิกาบนผนังบอกเวลาขณะนี้ว่าบ่ายสามกว่าๆ ชายหนุ่มร่างสูงผมบลอนด์สว่างเหลือบสายตามองลอดหน้าต่างห้องพักออกไปที่สวนไม้เลื้อยด้านนอกแต่กลับไม่พบเงาของพวกลูกลิงฝูงนั้นเลยสักคนทั้งๆที่นี่ก็ใกล้เวลาที่เด็กพวกนั้นจะต้องมาเข้าคลาสเสริมพิเศษที่เขาจัดให้ตามตารางแล้วแท้ๆ
“ท่าทางจะเล่นกันจนติดลม” ตัดสินใจวางหนังสือในมือแล้วลุกออกไปตามตัวตั้งใจว่าถ้าวันนี้เจ้าลูกลิงพวกนั้นเบี้ยวกันอีกก็คงต้องมีสั่งสอนกันบ้าง
“เร็วเข้าๆ พี่ชายส่งมาให้ผม เดี๋ยวผมยิงเอง” เสียงตะโกนโหวกเหวกของไมค์ดังแว่วมาจากสนามดินหน้าบ้านก่อนจะมีเสียงใครอีกคนที่ไม่คุ้นหูแม้แต่น้อยตอบกลับมา
“เค!!! ยิงให้เข้านะไอ้หนู”
แล้วก็ตามมาด้วยเสียงเฮดังลั่นที่ปะปนมากับเสียงโห่ด้วยความผิดหวังของใครอีกหลายๆคน
“ยังเล่นกันอยู่จริงๆด้วย เด็กพวกนี้เห็นเราใจดีด้วยก็เอาใหญ่สินะ”
ตอนที่เปิดประตูโบสถ์ออกไปผมเห็นไมค์กำลังวิ่งรอบสนามดินส่งยิ้มร่าทำท่าทำทางจูบนิ้วชี้ตัวเองดีใจเหมือนกับพวกนักฟุตบอลอาชีพทำประตูได้ในการแข่งใหญ่ แต่ที่น่าแปลกกว่านั้นคือมีชายหนุ่มร่างบางอีกคนที่ถอดเสื้อเปลือยอกวิ่งตีคู่ไปกับไมค์ด้วยความดีใจจนออกนอกหน้า เส้นผมสีอ่อนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อสะท้อนกับแสงแดดอ่อนๆยามบ่ายเปล่งประกายระยับ เรือนกายบอบบางแลดูชมพูระเรื่อเพราะเลือดลมสูบฉีด ใบหน้าจิ้มลิ้มแย้มยิ้มกว้างอย่างร่าเริงเสียงหวานเปล่งหัวเราะคละเคล้าไปกับฝูงลิงน้อยราวกับเขาเองก็เป็นเด็กไปด้วยอีกคน
“พี่เอลวิน มาเล่นด้วยกันมั้ยล่ะ” ไมค์วิ่งมาหาผมพยายามลากผมให้ตามไปด้วย
“มาช่วยทีมเจ้าไนล์มันหน่อย ไม่ได้เรื่องเลย” ไมค์เอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงดังลั่นขณะที่ไนล์รีบเถียงกลับ
“ทีมฉันไม่มีคนขายาวเหมือนทีมนายนี่”
“ก็ถึงได้ส่งพี่เอลวินลงมาช่วยนี่ไง นะ.....พี่ไปอยู่ทีมเดียวกับพวกไนล์ผมอยู่กับพี่ชายสองคนก็พอ” ไมค์บอกกับผมพร้อมกับโผเข้าไปกอดขาชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้น
“จะดีเหรอ แต่พี่เหนื่อยแล้วนะจะวิ่งไม่ไหวอยู่แล้ว” เขาคนนั้นก้มหน้าพูดกับไมค์ด้วยรอยยิ้ม
“โหพี่!!! นี่เราเพิ่งแข่งครึ่งแรกกันเองนะ”
“แต่พี่แก่แล้ว วิ่งสู้เด็กๆไม่ไหวแล้วล่ะนะ” เขากล่าวขณะที่ทรุดนั่งลงบนสนามหญ้าโบกมือพัดให้ตัวเองเบาๆ พวกลูกลิงส่งเสียงโห่ด้วยความเสียดายกันยกใหญ่
“ได้ยินแล้วใช่มั้ย พี่ชายเขาเหนื่อยแล้วอย่าไปกวนพี่เขาอีก เข้าไปอาบน้ำอาบท่าแล้วไปนั่งรอที่ห้องหนังสือ ให้เวลาสามสิบนาทีถ้ายังมาไม่ครบกันวันนี้จะเพิ่มคาบเป็นสองชั้วโมง”
พวกลูกลิงส่งเสียงโห่ก่อนจะเดินคอตกเรียงแถวกลับเข้าไปในโบสถ์
“ดุจังเลยนะครับ ถ้าเป็นผมคงกลัวคุณแย่” ชายแปลกหน้าคนนั้นยิ้มให้ผม
“ใจดีด้วยก็มีแต่เหลิงครับต้องเข้มงวดกันบ้างไม่อย่างนั้นก็ปรามเด็กดื้อพวกนี้ไม่อยู่ แต่ผมไม่เคยเห็นคุณมาก่อนเลยอยู่แถวนี้เหรอครับ”
“ครับบ้านผมอยู่ห่างจากนี้ไปไม่ไกล” ชายแปลกหน้าตอบพร้อมกับชี้ไปยังบ้านหลังหนึ่งซึ่งผมจำได้ว่าเป็นบ้านเยเกอร์
“เอ๊ะ!!! ผมคิดว่าบ้านเยเกอร์มีลูกชายคนเดียวเสียอีก คนที่หน้าดุๆเป็นนักแข่งรถน่ะครับ”
“รีไวเป็นน้องชายผมครับบังเอิญว่าผมไปเรียนที่โตเกียวเกือบสิบปีแล้วถ้าคุณเพิ่งย้ายมาจะไม่รู้จักก็ไม่แปลก”
“คุณพ่อผมท่านเพิ่งจะมาตั้งโบสถ์ที่นี่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาเองครับ มิน่าผมถึงไม่เคยเห็นคุณมาก่อน”
“ติดช่วงปิดเทอมผมก็เลยถือโอกาสนี้กลับมาที่บ้าน เบื่อๆก็เลยออกมาเล่นกับพวกเด็กๆแก้เซ็งครับ”
“ยินดีที่ได้พบครับ ผมเอลวิน สมิธ”
“เอเลน เยเกอร์ครับ”
ขณะที่ผมพวกเรากำลังทำความรู้จักกันเสียงดังกระหึ่มของมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ก็ดังแว่วเข้ามาก่อนจะหยุดลงตรงหน้าพวกเรา ชายหนุ่มหน้าเข้มถอดหมวกกันน็อคเต็มใบออก ผมไม่แน่ใจว่านี่เป็นสีหน้าปกติของเขาหรือเปล่าแต่ผมรู้สึกว่าเขากำลังไม่พอใจกับอะไรบางอย่างอยู่
“เอเลน เสื้อไปไหน”
“อยู่แถวนี้แหละ เหงื่อออกแล้วมันร้อนก็เลยถอดทิ้งไว้ก่อน” เอเลนเอ่ยตอบขณะที่กวาดสายตาหาเสื้อของตัวเองไปด้วย
“ใส่ซะ มาขึ้นรถ”
“จะไปไหน” เอเลนรับเสื้อแจ็คเก็ตหนังของน้องชายมาสวมใส่ลวกๆพร้อมกับเอ่ยถามกลับ
“มาขึ้นรถ.......เดี๋ยวนี้” ฝ่ายเจ้าน้องชายยังคงใช้น้ำเสียงนิ่งๆและสายตาดุๆพูดกับเอเลนเหมือนเคย
“ฝากบอกไมค์ด้วยนะครับ ว่างๆคงได้เล่นกันอีก”
เอเลนพูดกับผมก่อนจะเดินเข้าไปหาน้องชายผู้ที่ถอดหมวกกันน็อคของตนสวมให้และรัดสายเข้าที่ปลายคางอย่างแน่นหนา มือใหญ่รูดซิบเสื้อแจ็คเก็ตที่พี่ชายสวมเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่ปิดจนถึงคอ
“แล้วหมวกตัวเองล่ะ” เอเลนเปิดกระจกหมวกขึ้นพูดกับคนที่คร่อมบิ๊กไบค์คันใหญ่อยู่
“อย่าถามมาก ขึ้นรถได้แล้ว”
เอเลนที่กำลังหน้าหงิกตะกายตัวขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายน้องชายก่อนจะโบกมือลากับผม บิ๊กไบค์คันใหญ่ออกตัวด้วยความแรงควบบึ่งออกไปไกลจนแทบไม่เห็นแม้แต่เงา ดูเหมือนว่าน้องชายของเอเลนจะไม่ได้ให้ความเคารพยำเกรงกับพี่ชายเลยสักนิด และสายตาที่มองมายังเขาเองก็ไม่ได้มีความเป็นมิตรแม้แต่น้อย
“มันเป็นอะไรมากมั้ยนั่น เจ้าเด็กไร้มนุษยสัมพันธ์คนนั้น”
ขณะที่ผมกำลังจะเดินกลับเข้าไปในโบสถ์ผมก็เห็นเสื้อยืดสีน้ำเงินถูกถอดพาดทิ้งเอาไว้กับชิงช้าไม้ กลิ่นหอมอ่อนๆที่โชยมาจากตัวเสื้อคล้ายกับกลิ่นที่ผมสัมผัสได้จากตัวเอเลน
“ของเอเลนสินะ.......”


“จะไปไหน!!! นี่ ได้ยินรึเปล่าที่ถามน่ะ จะไปที่ไหนกันเนี่ย” ผมต้องตะเบ็งเสียงแข่งกับเสียงรถที่ดังกระหึ่มและเสียงลมที่พัดอู้มาด้วยความแรงจนตัวผมแทบปลิว ทางเดียวที่ผมจะทรงตัวอยู่ได้คือต้องกอดเอวรีไวและหลบซุกตัวอยู่กับแผ่นหลังของเขา
“..............” ผมมั่นใจว่าเจ้าเด็กนี่มันได้ยินเสียงผมแต่แค่กวนบาทาไม่ยอมตอบเท่านั้น
“พูดอะไรสักหน่อยสิ!!!” ผมตะเบ็งเสียงตะคอกใส่ข้างๆหูเขาแต่กลับกลายเป็นว่าผมที่สวมหมวกกันน็อคอยู่ถูกเสียงตัวเองกลบจนหูแทบอื้อ
ชิ!!! ได้.......ไม่ตอบก็อย่าตอบสิ ไม่ต้องคุยกันเลยยิ่งดี


“ว้าว!!! สวยขนาดนี้เชียวเหรอ” ทั้งๆที่ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะไม่ยอมพูดกับเจ้าน้องชายปากหนักเด็ดขาด แต่ภาพความสวยงามตรงหน้าก็ทำให้ผมหลุดอุทานออกมา
“ช่วงกลางวันคนค่อนข้างจะมากันเยอะ แต่นี่เย็นมากแล้วไม่ค่อยมีใครเขาอยู่กันจนมืดค่ำหรอก”
รีไวบอกกับผมพร้อมกับถอดรองเท้าเขาเดินเท้าเปล่าลงทะเลเลียบชายหาดไปช้าๆ เห็นแบบนั้นผมจึงถอดเสื้อแจ็คเก็ตที่ดูท่าทางจะหลายตังค์ของเขาออกเดินตามรอยเท้าของรีไวบนพื้นทรายที่กำลังจะเลือนหายไปเพราะถูกน้ำทะเลชะล้างทีละก้าว
“อาทิตย์กำลังจะตกดิน.......ไม่สิมันเหมือนจะตกน้ำมากกว่า เหมือนกับมันกำลังจะจมลงไปในทะเลเลยแฮะ” ผมหยุดมองทอดสายตาไปไกล ดวงตะวันสีส้มอมเหลืองกำลังลาลับเคลื่อนคล้อยตนเองจมลงสู่พื้นน้ำอีกฟากฝั่งของทะเล ก่อนหน้านี้ผมอาจจะกำลังโมโห แต่ตอนนี้ผมต้องแอบยอมรับว่าความโมโหของผมถูกความสวยงามของดวงตะวันลบฟ้าลบไปจนหมดแล้ว
“ถ้ามาช้ากว่านี้คงไม่ทันได้ดู” รีไวที่หยุดยืนมองดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าอยู่ข้างๆผมเอ่ยขึ้น
“ก็เลยรีบบึ่งมาไม่พูดไม่จา”
“หายโกรธเถอะนะ เอเลน” รีไวบอกกับผมขณะที่เอื้อมมือมากุมมือของผมเอาไว้
“ก็น่าจะรู้นะว่ายังไงก็โกรธไม่ลง” ผมเอ่ยตอบพร้อมกับบีบมือกระชับกับเขาเอาไว้
สายลมเย็นๆพัดผ่านเราไปช้าๆระหว่างเราไม่มีใครปริปากพูดอะไรกันอีกมีเพียงความเงียบงันที่รายล้อมรอบตัวเราแต่แปลกที่ผมกลับไม่รู้สึกอึดอัดอะไรแม้แต่น้อยกลับรู้สึกดีมากกว่าที่ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกันเลย มีเพียงผมและรีไวเพียงสองคนเท่านั้นริมทะเลแห่งนี้ซึมซับความงดงามของดวงอาทิตย์อัสดงด้วยกันเพียงสองคน
เหมือนกับโลกทั้งโลกเป็นของเรา.......มีเพียงเราแค่สองคน
ชั่ววูบหนึ่งผมเกิดความคิดที่ว่าหากเป็นเช่นนี้ตลอดไปก็คงดี
แต่..................เราต่างก็รู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้
“จะกลับเมื่อไหร่ ค่ำแล้วนะ แม่จะเป็นห่วงเอา”
“ไม่เป็นไรถ้าขับเร็วกว่าขามากลับถึงบ้านก่อนสองทุ่มแน่นอน”
“ขับรถเร็วมันอันตรายนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ยอมให้เกิดอะไรขึ้นกับเอเลนหรอก ไม่เชื่อรึไง” รีไวหันหน้ามามองผม มือใหญ่รั้งแขนดึงร่างผมเข้าไปใกล้
“ไม่ใช่ไม่เชื่อ ก็แค่เป็นห่วง ไม่รู้รึไง”
“ทิ้งกันไปตั้งนานยังบอกว่าห่วงได้อีกเหรอ” รีไวเอ่ยถามเสียงเบาขณะที่เชิดหน้าขึ้นมองผมลมหายใจอุ่นๆของเขารินรดคลอเคลียอยู่เหนือริมฝีปากชวนให้ขนลุก
“ฉันไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้เลยนะ จริงๆ” ผมหลับตาลงซบหน้าผากกับเขา
ผมไม่ได้ต้องการให้เราแยกกัน หากเป็นไปได้ผมอยากจะใช้เวลาทุกๆนาทีทั้งหมดอยู่กับเขาให้นานที่สุดหากไม่ใช่เพราะเรื่องในวัยเด็กของเราถูกจับได้ ผมคงจะมีโอกาสเก็บความทรงจำเรื่องราวระหว่างเราได้มากกว่านี้
มือใหญ่บีบกระชับมือผมแรงขึ้นเหมือนต้องการจะส่งผ่านความรู้สึกอะไรบางอย่างมาให้ ความรู้สึกที่เราสองไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาได้แต่เราต่างก็เข้าใจมันดี
“ฟ้าเปิดแบบนี้เห็นดาวสวยมาก ดูดาวอีกสักเดี๋ยวแล้วจะพากลับ” รีไวกระซิบข้างหูผมขณะที่โอบแขนกอดร่างผมเอาไว้ ผมถือโอกาสซุกหน้าลงกับไหล่ของเขา คิดไม่ถึงจริงๆว่าน้องชายขี้โรคของผมจะเติบโตมาเป็นชายหนุ่มกำยำแบบนี้เล่นเอาผมที่เป็นพี่ชายแท้ๆถึงกับอายไปเลยทีเดียว
“อืม......” ผมเอ่ยตอบขณะที่ยกแขนกอดเขาไว้เช่นกัน
อย่างน้อยๆขอยืดเวลาที่เราจะได้อยู่ด้วยกันสองคนอีกเพียงนิดก็ยังดี


ผิดจากที่รีไวคาดการณ์เอาไว้นิดหน่อยเรามาถึงบ้านเอาตอนสองทุ่มกว่า ทั่วทั้งบ้านปิดไฟมือสนิทเหมือนไม่มีใครอยู่เลย
“พ่อน่าจะยังไม่กลับ ส่วนแม่ก็คงจะกลับมาราวๆห้าทุ่ม” รีไวบอกกับผมตอนที่ไขกุญแจประตูบ้าน นี่ถ้าผมกลับมาบ้านคนเดียวคงแย่แน่ๆเพราะผมไม่มีกุญแจบ้านน่ะสิ
“แม่ไปไหน”
“ทุกวันพุธที่ห้างจะมีเซลล์ลดราคา แม่จะไม่กลับมาจนกว่าห้างจะปิดหรอก”
ดังนั้นเราจึงตกลงกันว่าจะหาอะไรที่ง่ายและสะดวกที่สุดกินกันนั่นก็คือบะหมี่ถ้วย ตอนที่ผมออกมาจากห้องน้ำก็ได้กลิ่นหอมของบะหมี่โชยอบอวลอยู่ทั่วห้องนอน เชื่อผมเหอะถ้าแม่รู้ว่าเราเอาของกินมากินในห้องนอนต้องเคืองหนักแน่ๆ เสียงเกากีตาร์เบาๆดังแว่วมาจากระเบียงนอกห้องเสียงดนตรีเพลงคุ้นหูดังมาพร้อมเสียงทุ้มๆนุ่มนวลที่ร้องคลอจังหวะเนิบๆ
Please don't see just a boy caught up in dreams and fantasies. Please see me reaching out for someone I can't see. Take my hand let's see where we wake up tomorrow..
ผมนั่งลงข้างๆกับรีไว บะหมี่สองถ้วยถูกวางอยู่บนพื้น หนึ่งถ้วยนั้นหมดเกลี้ยงแล้วแน่นอนว่าที่เหลือต้องเป็นของผม ผมนั่งซดบะหมี่ฟังรีไวดีดกีตาร์ร้องเพลงคลอไปเบาๆด้วยความแปลกใจ ทั้งๆที่มันก็เป็นแค่บะหมี่ถ้วยธรรมดาแต่ทำไมผมกลับรู้สึกว่าเวลานี้รสชาติมันดีมาก
Best laid plans sometimes it's just a one night stand. I'd be damned Cupid's demanding back his arrow. So let's get drunk on our tears and……

และแล้วก็มาถึงท่อนที่ผมชอบที่สุดผมรีบวางบะหมี่ถ้วยลงแล้วร้องคลอตามเขาไปด้วย
God, tell us the reason youth is wasted on the young. It’s hunting season and the lambs are on the run searching for meaning. But are we all lost stars, trying to light up the dark?
Who are we? Just a speck of dust within the galaxy?
จู่ๆเสียงกีตาร์ก็หยุดลง แม้แต่เสียงร้องเพลงก็เงียบไปด้วย
“ทำไมไม่ร้องต่อล่ะ” ผมเอ่ยถามรีไวที่เอาแต่จ้องหน้าผมเงียบๆ เขาไม่ยอมพูดอะไรแต่กลับส่ายหน้าช้าๆ มือใหญ่ยกขึ้นมาเคลียแก้มผมเบาๆ
“เราคือใคร? หรือเป็นแค่เศษฝุ่นละอองเล็กๆในจักรวาล” เขาเอ่ยถามขณะที่มองสบตากับผม ผมจ้องตอบเขาไปแล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ
“เราเป็นแค่ดวงดาวที่หลงทางและลูกแกะที่สับสน”
ความรักของฉันมันไปผิดทางจนทำให้นายสับสน........น้องชายของพี่

รีไวส่ายหน้าราวกับไม่ยอมรับกับคำตอบของผม เขาเริ่มเกากีตาร์และร้องเพลงขึ้นอีกครั้ง
Woe is me, if we’re not careful turns into reality. Don’t you dare let our best memories bring you sorrow. Yesterday I saw a lion kiss a deer. Turn the page maybe we’ll find a brand new ending. Where we're dancing in our tears…….. 

“ฉากจบแบบใหม่ที่เราเต้นรำเคล้าน้ำตาเหรอ เรื่องแบบนั้นมันจะไปมีได้ยังไงกัน” ผมเอื้อมมือไปหยุดมือที่เกากีตาร์ของรีไวเอาไว้แล้วพูดกับเขาตรงๆ
“มีสิ ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ” รีไวบอกกับผมขณะที่เอื้อมตัวยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“ในเมื่อสิงโตยังจุมพิตกับกวางได้ ก็แล้วทำไมจะเป็นไปไม่ได้สำหรับเรา”
ริมฝีปากหยักค่อยๆทาบทับลงมาช้าๆแผ่วเบาคลอเคล้าบดคลึงด้วยความระมัดระวัง ผมหลับตาลงจินตนาการว่าตนเองเป็นลูกกวางน้อยที่กำลังได้รับจุมพิตแสนหวานจากพญาราชสีห์ผู้เงียบงัน ความรู้สึกอุ่นซ่านหวานล้ำชวนให้ค้นหา ความตื่นเต้นจากการที่เราค่อยๆก้าวข้ามเส้นขีดกั้นของคำว่าเป็นไปไม่ได้ไปพร้อมกันแล่นริ้วไปทั่วร่าง เมื่อรู้สึกว่าน้ำหนักที่กดทับบนริมฝีปากผ่อนปรนลงผมจึงลืมตาขึ้นมองสบตากับรีไวที่กำลังจ้องมองผมในระยะประชิดชั่วครู่ก่อนที่มือใหญ่จะเริ่มเกากีตาร์และร้องเพลงขึ้นอีกครั้ง

But are we all lost stars, trying to light up the dark?
I thought I saw you out there crying
I thought I heard you call my name
I thought I heard you out there crying……….

ผมหลับตาลงเอนหลังพิงกับไหล่ของเขา ตั้งใจฟังเสียงเพลงจากน้ำเสียงทุ้มนุ่มหูอย่างตั้งใจเงียบๆ
ในเมื่อสิงโตยังจุมพิตกับกวางได้ ก็แล้วทำไมความรักระหว่างเราสองคนจะเป็นไปไม่ได้ ฉากจบที่รออยู่อาจไม่ใช่ฉากเต้นรำเคล้าน้ำตาก็เป็นได้...........
มันอาจเป็นฉากจบที่สวยงามกว่าที่เราจะนึกถึงก็เป็นได้