Attack On
Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์
Pairing: (LevixEren)
Rate: NC-17
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง
ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน
แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
Story By: AkeRah , Trendy Blood
………………………………………………………………………………………………..
Chapter
5:
นัยน์ตาสีทองอร่ามที่จ้องมองมานั้นเต็มไปด้วยความชิงชังอย่างแรงกล้า
หืม?.........เจ้าเด็กนี่หาได้กลัวข้าแม้แต่น้อย ไม่เลว.....ไม่เลว
ริมฝีปากหยักคู่งามพลันบิดรอยยิ้มเย้ยหยัน ปลายมีดคมในมือใหญ่ถูกจ่อเข้ากับลำคอระหงเชยปลายคางให้มองสบกับดวงตาของตนชัดๆ
“ดื้อรั้น......เย่อหยิ่งไม่เข้าท่า”
“มีสิทธิ์อะไรมาว่ากัน”
น้ำเสียงหวานตอบสะบัดเอเลนกัดฟันกรอด
“ปากบางๆนี่มันมีดีแค่พ่นคำจาว่าร้ายหรืออย่างไรกัน” มือใหญ่ล็อคจับปลายคางมนบีบแน่นให้เด็กหนุ่มเผยอริมฝีปากก่อนจะก้มหน้าลงทาบทับ
ลิ้นอุ่นแทะโลมผ่านกีบปากบางไล้เลียเข้าไปในโพรงปากหวาน
เด็กหนุ่มเกร็งแน่นกับสัมผัสรุกล้ำจาบจ้วงออกแรงขบกัดลงบนเรียวลิ้นที่กำลังพัวพันเต็มแรง
“......................” ใบหน้าคมคายตีหน้าขรึมสีหน้าดูถมึงทึง
“เจ้ากล้ามากที่ทำให้จ้าวแห่งธีบส์ผู้เป็นสมมติเทพอย่างข้าต้องหลั่งโลหิต”
นัยน์ตาคมมองสะกดร่างบางด้วยความหงุดหงิด
เด็กนี่......ถ้าไม่มีใครสั่งสอนจะไม่รู้จักหลาบจำ
เอเลนออกอาการหวาดกลัวเขาอย่างเห็นได้ชัด
ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าทำอะไรลงไป
“ผม......ขอโทษ......ผมไม่ได้ตั้งใจ”
เอเลนกล่าวเสียงสั่นขณะกระถดร่างชิดกับมุมเสาเตียง
มือใหญ่กลับคว้าหมับเข้าที่ข้อเท้าเรียวลากร่างบางให้เลื่อนไถมาอยู่ใต้ร่างของตน
ใบหน้าตื่นตระหนกแบบนั้นช่างน่ามองยิ่งนัก..........
มือใหญ่ควงมีดสั้นในมืออย่างคล่องแคล่วแล้วปักฉึก!!!
ลงบนที่นอนนุ่มเฉียดปอยผมเด็กหนุ่มขาดไปหลายเส้น
“ต่อให้เจ้าเป็นเทพ เมื่ออยู่ต่อหน้าข้าเจ้าก็ต้องยอมสยบ
ข้าคือกษัตริย์ผู้ได้รับพรบริบูรณ์จากองค์เทพแห่งสุริยัน
เจ้าผู้อ้างตนว่าเป็นภาชนะขององค์ราแต่กลับทำร้ายข้า...........หรือว่าเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ในฐานะภาชนะแห่งองค์เทพสุริยันกันเล่า”
“ข้าขอโทษ.......ก็ใครใช้ให้ท่าน........แหย่ลิ้นเข้ามากัน”
น้ำเสียงตวาดในที่แรกพลันผ่อนลง ใบหน้าขาวใสขึ้นสีเลือดฝาดชัดเจน
ท่าทีเคอะเขินแบบนั้นเรียกความสนใจของฟาโรห์หนุ่มได้อักโข
“ครั้งแรก?” สัญชาตญาณของเขามันร่ำร้องตะโกนบอกอยู่เร่าๆ
สำหรับผู้ที่ผ่านประสบการณ์ครั้งแรกของใครต่อใครมามากมายเยี่ยงเขาเหตุใดจะมองไม่ออก
กอปรกับอาการกัดฟันตีหน้าหงิกงอของเด็กหนุ่มที่นอนตัวเกร็งอยู่ใต้ร่างนั้นเป็นคำตอบที่ชัดเจน
น่าสนๆ ภาชนะแห่งราผู้นี้นั้นน่าสนใจยิ่งนัก
“วางใจเถอะ เมื่อมีครั้งแรกย่อมต้องมีสองสาม
เมื่อผ่านครั้งที่สามแล้วเจ้าจะคุ้นชินกับมันเอง” ฟาโรห์หนุ่มก้มลงกระซิบเสียงพร่า
เอเลนที่ขนลุกเกรียวเกือบเผลอทำร้ายฟาโรห์หนุ่มอีกรอบด้วยความหมั่นไส้
แต่เมื่อเหลือบตามองเห็นมีดสั้นที่ปักอยู่ข้างแก้มก็ทำให้เด็กหนุ่มต้องพยายามระงับอารมณ์กรุ่นไว้ในใจ
เสียงหัวเราะทุ้มต่ำยั่วโมโหดังขึ้นอีกระลอก
ขณะที่มือใหญ่ดึงมีดที่ปักอยู่บนที่นอนออกไป
“เสื้อผ้าแปลกประหลาดพวกนี้ไม่เหมาะกับเจ้าเลยสักนิด
เจ้าหายไปที่ไหนมา”
“ข้ามีบ้านก็ต้องกลับบ้านมาน่ะสิ อีกอย่างชุดที่ข้าสวมใส่ก็ใช่ว่าจะแปลก
ชุดที่พวกท่านสวมต่างหากที่มันทั้งแปลกและโคตรเชย”
“เชย?” ใบหน้าคมคายดูฉงน
เด็กหนุ่มเพิ่งรู้สึกตัวว่าเขาเริ่มจะใช้คำพูดผิดกาละเข้าเสียแล้ว
“ข้าหมายถึงมันโบราณ ตกยุค คร่ำครึยังไงล่ะ”
โบราณ.....ตกยุค......คร่ำครึ
ฟาโรห์หนุ่มใคร่ครวญขณะก้มมองกระโปรงผ้าฝ้ายบางเบาเนื้อดีของตนก่อนจะกอดอกเชิดหน้าตอบอย่างไว้ที
“นี่เรียกว่าสมัยนิยม
อาภรณ์ทุกชิ้นที่ข้าสวมใส่ถือเป็นที่สุดของอาณาจักรธีบส์แล้ว”
เอเลนเกือบหลุดหัวเราะก๊าก
เด็กหนุ่มได้แต่พยายามกัดริมฝีปากกลั้นขำจนตัวสั่น
จ้า.......พ่อนายแบบชุดนอนกระโปรงผ้าฝ้ายสุดหล่อ!!!!
เอเลนได้แต่แอบค่อนขอดในใจ
“ชุดของเจ้าต่างหากที่มันขัดหูขัดตาข้า”
ฟาโรห์หนุ่มตวาดแก้เก้อ
มือใหญ่ตวัดปลายมีดกรีดลงบนเสื้อผ้าของเด็กหนุ่มขาดเป็นริ้วๆโดยไม่สนใจเสียงทักท้วงท่าทีขัดขืนของอีกฝ่ายเลย
“อะไรอีกล่ะเนี่ย!!!!” เอเลนตวาดแว้ด
กอดร่างเปลือยตนเองไว้แน่น
“ข้าไม่ชอบอาภรณ์ของเจ้า” ฟาโรห์หนุ่มตอบหน้านิ่ง
ใครใช้ให้เจ้ามาว่าอาภรณ์ของข้าว่าเชยกัน!!!!
“ก็แล้วมันต้องทำกันถึงขนาดนี้เชียวเหรอ”
“ก็ข้าพอใจ” ฟาโรห์หนุ่มตอบหน้านิ่ง
ควงมีดในมือเล่นอย่างสบายใจ เอเลนกัดฟันกรอด.........
ไอ้ฟาโรห์ผีนี่กวนโอ๊ยชะมัด
“เอาเสื้อผ้ามาสิ”
“ที่นี่ไม่มีอาภรณ์สำหรับเจ้า
ร่างกายที่แสนงดงามของภาชนะแห่งรา ใยต้องปิดบัง”
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ประดับขึ้นที่มุมปากขณะที่มือใหญ่คว้าเอาข้อเท้าเรียวยึดไว้แน่น
“ใครที่ได้เชยชม ย่อมถือเป็นบุญตา เจ้าผู้เป็นร่างอวตารแห่งเทพผู้คุ้มครองข้า
ย่อมต้องให้ข้าได้เชยชม”
ถ้อยคำพูดจาเอาแต่ได้นี้ช่างลื่นไหลพอๆกับมือใหญ่ที่ถือวิสาสูบคลำมาตามเรียวขาขาว
เอเลนเกร็งแรงหนีบขาไว้แน่น ได้แต่ร้องด่าในใจ
ไอ้ฟาโรห์ผีโรคจิต!!!!!
มือเรียวคว้าผ้าห่มผืนหนาขึ้นพันกายพลิกตัวหนีจากฟาโรห์หนุ่มจนร่วงตกลงไปจากที่นอนดังพลั่ก!!!!
รู้สึกจุกจนเห็นดาว.......
เสียงหัวเราะร่วนดังขึ้นกางห้องนอนที่เงียบสงบ
“ข้าเพิ่งรู้ว่านอกจากจะมีฝีปากกล้า
ภาชนะแห่งรายังมีทักษะการหลบหนีชั้นยอดอีกด้วย เตียงสูงถึงเพียงนี้ข้าคงไม่กล้ากระโดดลงไป
เด็กหนุ่มในกองผ้าห่มช้อนตามองเขาอย่างค่อนขอด..........
ใบหน้าหวานแสนรั้นที่แสดงอารมณ์ตรงไปตรงมาอย่างหลากหลายถือเป็นความแปลกใหม่ที่ชวนให้ค้นหา
นับเป็นการแสดงออกที่จริงจังและชัดแจ้ง
เขาสามารถล่วงรู้สิ่งที่อยู่ในความคิดของเจ้าเด็กนี่ผ่านทางดวงตาสีอำพันอร่ามคู่งามได้จนหมด
นี่เป็นสาเหตุที่เจ้าเด็กนี่ไม่มีทางเอาชนะเขาได้.......
“ยิ้มบ้าอะไร!!!!”
เด็กหนุ่มที่ซุกตัวอยู่ในกองผ้าห่มพันตวาดลั่น
ในใจรู้สึกตุ้มๆต่อมๆกับรอยยิ้มชวนขนลุกนั่น
“เปล่า” ฟาโรห์กล่าวตอบเสียงเบาขณะทอดกายลงนอนราบกับที่นอน
เท้าศีรษะด้วยแขนข้างเดียวจ้องมองเด็กหนุ่มที่เอาแต่นั่งนิ่งอยู่กับพื้นเงียบๆ
“จะอยู่ตรงนั้นไปถึงเมื่อไหร่......ขึ้นมาสิ”เสียงทุ้มเอื้อนเอ่ยเรียบเรื่อยขณะที่มืออีกข้างที่ว่างลูบคลึงที่นอนนิ่มข้างตัวเล่นเบาๆ
นัยน์ตาคู่คมวาววับสั่นระริกด้วยนัยแอบแฝง
“อยู่บนนั้นแล้วไม่ปลอดภัย”
เด็กหนุ่มถึงตาตอบกระชับผ้าห่มพันร่างตัวเองแน่นขึ้น
ฟาโรห์หนุ่มพยักหน้ารับรอยยิ้มสุขุมเผยขึ้นช้าๆ
“ยิ่งตกดึก อุณหภูมิจะยิ่งลดต่ำ ข้าแนะนำให้เจ้าขึ้นมานอนตรงนี้......กับข้าจะดีกว่า”
ฟาโรห์หนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนผิดกับเมื่อก่อนหน้านี้เป็นคนละคน
นิ้วเรียวตวัดเขี่ยลากไล้ที่นอนนุ่มไม่หยุด
เอเลนส่ายหน้าดิกอดคิดไม่ได้ว่าถ้าขึ้นไปจริงๆนิ้วเรียวนั่นคงเลิกลวนลามที่นอนหันมาเล่นเขาแทน
ฟาโรห์หนุ่มจ้องมองนัยน์ตาไหวระริกของเด็กหนุ่มแล้วหลุดขำออกมา
เจ้าเด็กนี่มันกำลังกลัว..............
“เจ้าไม่ไหวใจข้า?”
“ที่สุด!!!”
“งั้นก็ตามใจ.......ถ้าเช่นนั้น ราตรีสวัสดิ์”
ฟาโรห์หนุ่มกล่าวพลางนอนตะแคงหันหลังให้เด็กหนุ่มเอาเสียดื้อๆ
บทจะเลิกสนใจก็ง่ายขนาดนี้เชียวเหรอ..........เด็กหนุ่มค่อนขอดในใจขณะขยับปากแอบด่าสาปส่งคนที่ดีแต่กวนตนไม่เลิกโดยไม่ส่งเสียง
“ไอ้แก่โรคจิต!!!!”
และท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบสงัดคืนนั้นเหยี่ยวนำสาสน์ได้แอบบินออกจากพระราชวังหลักกรุงธีบส์ไปอย่างเงียบเชียบ
แสงแรกแห่งดวงอรุณรุ่งโผล่พ้นขอบผืนทะเลทรายอาบไล้ไปทั่วทั้งผืนธุลีดินให้เม็ดทรายได้ทอสีเหลืองอร่าม
ราตรีกาลถูกขับไล่ มวลอากาศในยามอรุณรุ่งอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย
เสียงฝีเท้าม้าหนักๆวิ่งฝ่าผืนทะเลทรายเข้าใกล้แค้มป์ทหารที่ปรากฏให้เห็นรำไร
พวกเขาต่างก็เป็นบุรุษหนุ่มทหารหาญที่แต่งกายด้วยอาภรณ์สีดำรัดกุมราวกับกลุ่มกองโจร
ม้าอารเบียนตัวเขื่องถูกส่งให้กับหนึ่งในทหารรับใช้นำไปดูแลเมื่อพวกเขากลับมาถึงที่พัก
ทหารประจำการนายหนึ่งเดินเข้ามาทำความเคารพชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้ที่สวมผ้าคุมศีรษะปิดบังใบหน้าเปิดเผยไว้เพียงส่วนของดวงตาสีน้ำตาลสุกสว่างราวกับแสงอาทิตย์ในยามเช้าตรู่
มือใหญ่รับนกส่งสาสน์มาอุ้มไว้ก่อนจะโบกมือให้เหล่าทหารผู้ติดตามแยกย้ายกันไปพักผ่อนหลังจากที่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการออกลาดตระเวนมาแล้วทั้งคืน
เหล่านักรบชุดดำผู้สะพายดาบวงเดือนเล่มโตไว้ด้านหลังต่างทำความเคารพก่อนจะแยกย้ายกันออกไป
ชายหนุ่มร่างสูงอุ้มนกตัวใหญ่ไว้ในวงแขนเดินเข้ากระโจมไปเงียบๆ เมื่อกลับถึงที่พักมือใหญ่ก็ได้ปลดผ้าคลุมศีรษะและใบหน้าออกทิ้งเผยให้เห็นโฉมหน้าหล่อเหลาคมสันภายใต้ผ้าคลุมสีเข้ม
เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนตัดสั้นเป็นทรงอย่างเรียบร้อยเพื่อความคล่องตัว
“ฝ่าบาท!!!”
“เข้ามา”
ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ไม้พร้อมกับกล่าวเชื้อเชิญผู้มาเยือนเข้ามา
ทหารหนุ่มสองนายเดินผ่านม่านปิดกระโจมเข้ามาแล้วทำความเคารพ
“ถวายบังคมฝ่าบาทฮัตตูซิลิส........สายของเราส่งข่าวมาจากกรุงธีบส์พะยะค่ะ”
“อืม”
เจ้าชายหนุ่มตอบรับเรียบๆขณะที่เกาคอนกส่งสาสน์ในอ้อมแขนเล่น
ทหารหนุ่มเงยหน้าสบตากับเจ้าชายของเขาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“เอ่อ......กระหม่อมไม่ทราบว่าฝ่าบาท.....”
“ข้ายังไม่ได้เปิดดู”
เจ้าชายหนุ่มกล่าวพลางแกะกระบอกนำสาสน์ออกจากขานกวางไว้บนโต๊ะ
“เอาไว้เราจะคุยกันเรื่องนี้อีกที
หลังจากที่ข้าได้อ่านข้อความพวกนี้แล้ว”
เจ้าชายหนุ่มกล่าวกับทหารหัวเกรียนในสังกัดหน้านิ่ง
“พะยะค่ะ” ทหารหนุ่มรับคำก่อนจะถอยร่นออกจากกระโจมไปเงียบๆ
“ฝ่าบาท ไยจึงเย็นชานัก” หนึ่งในทหารอีกคนที่เหลือเอ่ยขึ้น
เจ้าชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่โบกมือตอบแบบส่งๆ
“เจ้าเข้าใจคำว่าเหนื่อยหรือไม่มาร์โค......ทั้งๆที่ไม่ได้ออกไปลาดตระเวนกับข้าแท้ๆ”
“ฝ่าบาทไม่ทรงรับสั่งหา”
“ใช่ว่าข้าอยากพาคนป่วยไปด้วยให้เป็นภาระ”
นายทหารหนุ่มยิ้มรับถ้อยคำประชดประชันนั้น
ใครๆต่างก็รู้เรื่องที่เขามีสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอดี
แต่ถึงกระนั้นเจ้าชายหนุ่มผู้นี้ก็ยังคงเก็บเขาไว้ข้างกายไม่ยอมห่าง
แม้สภาพร่างกายของเขาจะไม่เอื้ออำนวยต่อการรบพุ่ง แต่สติปัญญาที่เขามีนั้นก็เป็นที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง
“แล้วก็เลิกค่อนขอดข้าด้วยคำว่าเจ้าชายสักที
อยากจะเรียกอะไรก็เรียกไป”
“พะยะค่ะ.....แจน”
นับเป็นชื่อที่มีเพียงสหายสนิทเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์ให้เอื้อนเอ่ย
“เจ้าโคนี่มันจะเร่งอะไรกันนักหนา” เจ้าชายหนุ่มเอ่ยพลางทำหน้าเหม็นเบื่อชนิดที่น้อยคนนักจะมีโอกาสได้เห็น
“จดหมายที่ส่งมาครั้งนี้มีใจความสำคัญอยู่
โคนี่อยากจะฟังความเห็นของท่านหลังจากได้อ่านจดหมายจบแล้ว”
“เจ้าเหม่งเอ้ย!!!!”
สบถออกมาหนึ่งคำขณะที่แกะม้วนจดหมายออกดู
บนกระดาษปาปิรุสแผ่นหนามีตัวอักษรภาษาอัคเคเดียนเขียนบรรยายจนแทบจะเต็มหน้ากระดาษ
เจ้าชายหนุ่มไล่อ่านข้อความบนจดหมายฉบับนั้นด้วยใบหน้าเครียดขมึงขึ้นเรื่อยๆ
“รุ่งอรุณแห่งอียิปต์ ภาชนะแห่งเทพรา? หมายความว่าร่างอวตารแห่งองค์ราจุติมากำเนิดยังธีบส์อย่างนั้นหรือ.....เป็นไปได้อย่างไรกัน”
“เมื่อสามเดือนก่อนก็ได้ยินข่าวคราวว่ากษัตริย์ราเมสรับสั่งให้จัดพิธีบวงสรวงเทพสุริยัน
ในคราแรกข้าคิดว่าเขาทำเพียงแค่ต้องการจะข่มขวัญฝ่ายเรา
ไม่คิดว่าเขาจะบูชาร่างอวตารจริงๆ”
“มาร์โค.........เจ้าเชื่อว่ารุ่งอรุณแห่งอียิปต์ร่างอวตารแห่งราจะมีจริงอย่างนั้นหรือ”
“เชิญท่านดูสาสน์ฉบับที่สองเองเถิด”
เจ้าชายหนุ่มคลี่แกะกระดาษอีกแผ่นที่ซ้อนทับกับฉบับของจดหมายออกดู
กระดาษแผ่นที่สองไม่มีถ้อยคำบรรยายใดๆทั้งนั้นแต่กับเป็นภาพเหมือนของคนผู้หนึ่ง
บุรุษหนุ่มร่างบางในภาพมีดวงตาสีอำพันที่เป็นเอกลักษณ์ ใบหน้าหวานเชิดรั้นเย่อหยิ่ง
ดวงตากลมโตสุกสกาวดูลุ่มลึกชวนให้ค้นหา
มองโดยรวมแล้วเรียกได้ว่าเป็นบุรุษรูปงามเลยทีเดียว
รอยยิ้มเย็นผุดพรายขึ้นบนใบหน้าคมสัน
“ข้าไม่เชื่อว่ารุ่งอรุณแห่งอียิปต์จะโปรยแสงแห่งชัยชนะให้กรุงธีบส์มีชัยเหนือฮิตไตต์ของเราจริงๆ”
มือใหญ่ลูบไล้ภาพเหมือนด้วยความลุ่มหลง
“ข้าต้องการรอยยิ้มของภาชนะแห่งรา..........ไปเอาตัวมา!!!!”