วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2558

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์ : Chapter 5

Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์
Pairing: (LevixEren)
Rate: NC-17
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
Story By: AkeRah , Trendy Blood
………………………………………………………………………………………………..
Chapter 5:

นัยน์ตาสีทองอร่ามที่จ้องมองมานั้นเต็มไปด้วยความชิงชังอย่างแรงกล้า
หืม?.........เจ้าเด็กนี่หาได้กลัวข้าแม้แต่น้อย ไม่เลว.....ไม่เลว
ริมฝีปากหยักคู่งามพลันบิดรอยยิ้มเย้ยหยัน ปลายมีดคมในมือใหญ่ถูกจ่อเข้ากับลำคอระหงเชยปลายคางให้มองสบกับดวงตาของตนชัดๆ
“ดื้อรั้น......เย่อหยิ่งไม่เข้าท่า”
“มีสิทธิ์อะไรมาว่ากัน” น้ำเสียงหวานตอบสะบัดเอเลนกัดฟันกรอด
“ปากบางๆนี่มันมีดีแค่พ่นคำจาว่าร้ายหรืออย่างไรกัน” มือใหญ่ล็อคจับปลายคางมนบีบแน่นให้เด็กหนุ่มเผยอริมฝีปากก่อนจะก้มหน้าลงทาบทับ ลิ้นอุ่นแทะโลมผ่านกีบปากบางไล้เลียเข้าไปในโพรงปากหวาน เด็กหนุ่มเกร็งแน่นกับสัมผัสรุกล้ำจาบจ้วงออกแรงขบกัดลงบนเรียวลิ้นที่กำลังพัวพันเต็มแรง
“......................” ใบหน้าคมคายตีหน้าขรึมสีหน้าดูถมึงทึง
“เจ้ากล้ามากที่ทำให้จ้าวแห่งธีบส์ผู้เป็นสมมติเทพอย่างข้าต้องหลั่งโลหิต” นัยน์ตาคมมองสะกดร่างบางด้วยความหงุดหงิด
เด็กนี่......ถ้าไม่มีใครสั่งสอนจะไม่รู้จักหลาบจำ
เอเลนออกอาการหวาดกลัวเขาอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าทำอะไรลงไป
“ผม......ขอโทษ......ผมไม่ได้ตั้งใจ” เอเลนกล่าวเสียงสั่นขณะกระถดร่างชิดกับมุมเสาเตียง มือใหญ่กลับคว้าหมับเข้าที่ข้อเท้าเรียวลากร่างบางให้เลื่อนไถมาอยู่ใต้ร่างของตน
ใบหน้าตื่นตระหนกแบบนั้นช่างน่ามองยิ่งนัก..........
มือใหญ่ควงมีดสั้นในมืออย่างคล่องแคล่วแล้วปักฉึก!!! ลงบนที่นอนนุ่มเฉียดปอยผมเด็กหนุ่มขาดไปหลายเส้น
“ต่อให้เจ้าเป็นเทพ เมื่ออยู่ต่อหน้าข้าเจ้าก็ต้องยอมสยบ ข้าคือกษัตริย์ผู้ได้รับพรบริบูรณ์จากองค์เทพแห่งสุริยัน เจ้าผู้อ้างตนว่าเป็นภาชนะขององค์ราแต่กลับทำร้ายข้า...........หรือว่าเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ในฐานะภาชนะแห่งองค์เทพสุริยันกันเล่า”
“ข้าขอโทษ.......ก็ใครใช้ให้ท่าน........แหย่ลิ้นเข้ามากัน” น้ำเสียงตวาดในที่แรกพลันผ่อนลง ใบหน้าขาวใสขึ้นสีเลือดฝาดชัดเจน ท่าทีเคอะเขินแบบนั้นเรียกความสนใจของฟาโรห์หนุ่มได้อักโข
“ครั้งแรก?” สัญชาตญาณของเขามันร่ำร้องตะโกนบอกอยู่เร่าๆ สำหรับผู้ที่ผ่านประสบการณ์ครั้งแรกของใครต่อใครมามากมายเยี่ยงเขาเหตุใดจะมองไม่ออก กอปรกับอาการกัดฟันตีหน้าหงิกงอของเด็กหนุ่มที่นอนตัวเกร็งอยู่ใต้ร่างนั้นเป็นคำตอบที่ชัดเจน
น่าสนๆ ภาชนะแห่งราผู้นี้นั้นน่าสนใจยิ่งนัก
“วางใจเถอะ เมื่อมีครั้งแรกย่อมต้องมีสองสาม เมื่อผ่านครั้งที่สามแล้วเจ้าจะคุ้นชินกับมันเอง” ฟาโรห์หนุ่มก้มลงกระซิบเสียงพร่า เอเลนที่ขนลุกเกรียวเกือบเผลอทำร้ายฟาโรห์หนุ่มอีกรอบด้วยความหมั่นไส้ แต่เมื่อเหลือบตามองเห็นมีดสั้นที่ปักอยู่ข้างแก้มก็ทำให้เด็กหนุ่มต้องพยายามระงับอารมณ์กรุ่นไว้ในใจ
เสียงหัวเราะทุ้มต่ำยั่วโมโหดังขึ้นอีกระลอก ขณะที่มือใหญ่ดึงมีดที่ปักอยู่บนที่นอนออกไป
“เสื้อผ้าแปลกประหลาดพวกนี้ไม่เหมาะกับเจ้าเลยสักนิด เจ้าหายไปที่ไหนมา”
“ข้ามีบ้านก็ต้องกลับบ้านมาน่ะสิ อีกอย่างชุดที่ข้าสวมใส่ก็ใช่ว่าจะแปลก ชุดที่พวกท่านสวมต่างหากที่มันทั้งแปลกและโคตรเชย”
“เชย?” ใบหน้าคมคายดูฉงน เด็กหนุ่มเพิ่งรู้สึกตัวว่าเขาเริ่มจะใช้คำพูดผิดกาละเข้าเสียแล้ว
“ข้าหมายถึงมันโบราณ ตกยุค คร่ำครึยังไงล่ะ”
โบราณ.....ตกยุค......คร่ำครึ
ฟาโรห์หนุ่มใคร่ครวญขณะก้มมองกระโปรงผ้าฝ้ายบางเบาเนื้อดีของตนก่อนจะกอดอกเชิดหน้าตอบอย่างไว้ที
“นี่เรียกว่าสมัยนิยม อาภรณ์ทุกชิ้นที่ข้าสวมใส่ถือเป็นที่สุดของอาณาจักรธีบส์แล้ว”
เอเลนเกือบหลุดหัวเราะก๊าก เด็กหนุ่มได้แต่พยายามกัดริมฝีปากกลั้นขำจนตัวสั่น
จ้า.......พ่อนายแบบชุดนอนกระโปรงผ้าฝ้ายสุดหล่อ!!!!
เอเลนได้แต่แอบค่อนขอดในใจ
“ชุดของเจ้าต่างหากที่มันขัดหูขัดตาข้า” ฟาโรห์หนุ่มตวาดแก้เก้อ มือใหญ่ตวัดปลายมีดกรีดลงบนเสื้อผ้าของเด็กหนุ่มขาดเป็นริ้วๆโดยไม่สนใจเสียงทักท้วงท่าทีขัดขืนของอีกฝ่ายเลย
“อะไรอีกล่ะเนี่ย!!!!” เอเลนตวาดแว้ด กอดร่างเปลือยตนเองไว้แน่น
“ข้าไม่ชอบอาภรณ์ของเจ้า” ฟาโรห์หนุ่มตอบหน้านิ่ง
ใครใช้ให้เจ้ามาว่าอาภรณ์ของข้าว่าเชยกัน!!!!
“ก็แล้วมันต้องทำกันถึงขนาดนี้เชียวเหรอ”
“ก็ข้าพอใจ” ฟาโรห์หนุ่มตอบหน้านิ่ง ควงมีดในมือเล่นอย่างสบายใจ เอเลนกัดฟันกรอด.........
ไอ้ฟาโรห์ผีนี่กวนโอ๊ยชะมัด
“เอาเสื้อผ้ามาสิ”
“ที่นี่ไม่มีอาภรณ์สำหรับเจ้า ร่างกายที่แสนงดงามของภาชนะแห่งรา ใยต้องปิดบัง” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ประดับขึ้นที่มุมปากขณะที่มือใหญ่คว้าเอาข้อเท้าเรียวยึดไว้แน่น
“ใครที่ได้เชยชม ย่อมถือเป็นบุญตา เจ้าผู้เป็นร่างอวตารแห่งเทพผู้คุ้มครองข้า ย่อมต้องให้ข้าได้เชยชม” ถ้อยคำพูดจาเอาแต่ได้นี้ช่างลื่นไหลพอๆกับมือใหญ่ที่ถือวิสาสูบคลำมาตามเรียวขาขาว
เอเลนเกร็งแรงหนีบขาไว้แน่น ได้แต่ร้องด่าในใจ
ไอ้ฟาโรห์ผีโรคจิต!!!!!
มือเรียวคว้าผ้าห่มผืนหนาขึ้นพันกายพลิกตัวหนีจากฟาโรห์หนุ่มจนร่วงตกลงไปจากที่นอนดังพลั่ก!!!!
รู้สึกจุกจนเห็นดาว.......
เสียงหัวเราะร่วนดังขึ้นกางห้องนอนที่เงียบสงบ
“ข้าเพิ่งรู้ว่านอกจากจะมีฝีปากกล้า ภาชนะแห่งรายังมีทักษะการหลบหนีชั้นยอดอีกด้วย เตียงสูงถึงเพียงนี้ข้าคงไม่กล้ากระโดดลงไป
เด็กหนุ่มในกองผ้าห่มช้อนตามองเขาอย่างค่อนขอด..........
ใบหน้าหวานแสนรั้นที่แสดงอารมณ์ตรงไปตรงมาอย่างหลากหลายถือเป็นความแปลกใหม่ที่ชวนให้ค้นหา นับเป็นการแสดงออกที่จริงจังและชัดแจ้ง เขาสามารถล่วงรู้สิ่งที่อยู่ในความคิดของเจ้าเด็กนี่ผ่านทางดวงตาสีอำพันอร่ามคู่งามได้จนหมด นี่เป็นสาเหตุที่เจ้าเด็กนี่ไม่มีทางเอาชนะเขาได้.......
“ยิ้มบ้าอะไร!!!!” เด็กหนุ่มที่ซุกตัวอยู่ในกองผ้าห่มพันตวาดลั่น ในใจรู้สึกตุ้มๆต่อมๆกับรอยยิ้มชวนขนลุกนั่น
“เปล่า” ฟาโรห์กล่าวตอบเสียงเบาขณะทอดกายลงนอนราบกับที่นอน เท้าศีรษะด้วยแขนข้างเดียวจ้องมองเด็กหนุ่มที่เอาแต่นั่งนิ่งอยู่กับพื้นเงียบๆ
“จะอยู่ตรงนั้นไปถึงเมื่อไหร่......ขึ้นมาสิ”เสียงทุ้มเอื้อนเอ่ยเรียบเรื่อยขณะที่มืออีกข้างที่ว่างลูบคลึงที่นอนนิ่มข้างตัวเล่นเบาๆ นัยน์ตาคู่คมวาววับสั่นระริกด้วยนัยแอบแฝง
“อยู่บนนั้นแล้วไม่ปลอดภัย” เด็กหนุ่มถึงตาตอบกระชับผ้าห่มพันร่างตัวเองแน่นขึ้น ฟาโรห์หนุ่มพยักหน้ารับรอยยิ้มสุขุมเผยขึ้นช้าๆ
“ยิ่งตกดึก อุณหภูมิจะยิ่งลดต่ำ ข้าแนะนำให้เจ้าขึ้นมานอนตรงนี้......กับข้าจะดีกว่า” ฟาโรห์หนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนผิดกับเมื่อก่อนหน้านี้เป็นคนละคน นิ้วเรียวตวัดเขี่ยลากไล้ที่นอนนุ่มไม่หยุด
เอเลนส่ายหน้าดิกอดคิดไม่ได้ว่าถ้าขึ้นไปจริงๆนิ้วเรียวนั่นคงเลิกลวนลามที่นอนหันมาเล่นเขาแทน
ฟาโรห์หนุ่มจ้องมองนัยน์ตาไหวระริกของเด็กหนุ่มแล้วหลุดขำออกมา
เจ้าเด็กนี่มันกำลังกลัว..............
“เจ้าไม่ไหวใจข้า?”
“ที่สุด!!!
“งั้นก็ตามใจ.......ถ้าเช่นนั้น ราตรีสวัสดิ์” ฟาโรห์หนุ่มกล่าวพลางนอนตะแคงหันหลังให้เด็กหนุ่มเอาเสียดื้อๆ
บทจะเลิกสนใจก็ง่ายขนาดนี้เชียวเหรอ..........เด็กหนุ่มค่อนขอดในใจขณะขยับปากแอบด่าสาปส่งคนที่ดีแต่กวนตนไม่เลิกโดยไม่ส่งเสียง
“ไอ้แก่โรคจิต!!!!

และท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบสงัดคืนนั้นเหยี่ยวนำสาสน์ได้แอบบินออกจากพระราชวังหลักกรุงธีบส์ไปอย่างเงียบเชียบ

แสงแรกแห่งดวงอรุณรุ่งโผล่พ้นขอบผืนทะเลทรายอาบไล้ไปทั่วทั้งผืนธุลีดินให้เม็ดทรายได้ทอสีเหลืองอร่าม ราตรีกาลถูกขับไล่ มวลอากาศในยามอรุณรุ่งอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย เสียงฝีเท้าม้าหนักๆวิ่งฝ่าผืนทะเลทรายเข้าใกล้แค้มป์ทหารที่ปรากฏให้เห็นรำไร พวกเขาต่างก็เป็นบุรุษหนุ่มทหารหาญที่แต่งกายด้วยอาภรณ์สีดำรัดกุมราวกับกลุ่มกองโจร ม้าอารเบียนตัวเขื่องถูกส่งให้กับหนึ่งในทหารรับใช้นำไปดูแลเมื่อพวกเขากลับมาถึงที่พัก ทหารประจำการนายหนึ่งเดินเข้ามาทำความเคารพชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้ที่สวมผ้าคุมศีรษะปิดบังใบหน้าเปิดเผยไว้เพียงส่วนของดวงตาสีน้ำตาลสุกสว่างราวกับแสงอาทิตย์ในยามเช้าตรู่ มือใหญ่รับนกส่งสาสน์มาอุ้มไว้ก่อนจะโบกมือให้เหล่าทหารผู้ติดตามแยกย้ายกันไปพักผ่อนหลังจากที่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการออกลาดตระเวนมาแล้วทั้งคืน เหล่านักรบชุดดำผู้สะพายดาบวงเดือนเล่มโตไว้ด้านหลังต่างทำความเคารพก่อนจะแยกย้ายกันออกไป ชายหนุ่มร่างสูงอุ้มนกตัวใหญ่ไว้ในวงแขนเดินเข้ากระโจมไปเงียบๆ เมื่อกลับถึงที่พักมือใหญ่ก็ได้ปลดผ้าคลุมศีรษะและใบหน้าออกทิ้งเผยให้เห็นโฉมหน้าหล่อเหลาคมสันภายใต้ผ้าคลุมสีเข้ม เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนตัดสั้นเป็นทรงอย่างเรียบร้อยเพื่อความคล่องตัว
“ฝ่าบาท!!!
“เข้ามา” ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ไม้พร้อมกับกล่าวเชื้อเชิญผู้มาเยือนเข้ามา
ทหารหนุ่มสองนายเดินผ่านม่านปิดกระโจมเข้ามาแล้วทำความเคารพ
“ถวายบังคมฝ่าบาทฮัตตูซิลิส........สายของเราส่งข่าวมาจากกรุงธีบส์พะยะค่ะ”
“อืม” เจ้าชายหนุ่มตอบรับเรียบๆขณะที่เกาคอนกส่งสาสน์ในอ้อมแขนเล่น ทหารหนุ่มเงยหน้าสบตากับเจ้าชายของเขาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“เอ่อ......กระหม่อมไม่ทราบว่าฝ่าบาท.....”
“ข้ายังไม่ได้เปิดดู” เจ้าชายหนุ่มกล่าวพลางแกะกระบอกนำสาสน์ออกจากขานกวางไว้บนโต๊ะ
“เอาไว้เราจะคุยกันเรื่องนี้อีกที หลังจากที่ข้าได้อ่านข้อความพวกนี้แล้ว” เจ้าชายหนุ่มกล่าวกับทหารหัวเกรียนในสังกัดหน้านิ่ง
“พะยะค่ะ” ทหารหนุ่มรับคำก่อนจะถอยร่นออกจากกระโจมไปเงียบๆ
“ฝ่าบาท ไยจึงเย็นชานัก” หนึ่งในทหารอีกคนที่เหลือเอ่ยขึ้น เจ้าชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่โบกมือตอบแบบส่งๆ
“เจ้าเข้าใจคำว่าเหนื่อยหรือไม่มาร์โค......ทั้งๆที่ไม่ได้ออกไปลาดตระเวนกับข้าแท้ๆ”
“ฝ่าบาทไม่ทรงรับสั่งหา”
“ใช่ว่าข้าอยากพาคนป่วยไปด้วยให้เป็นภาระ”
นายทหารหนุ่มยิ้มรับถ้อยคำประชดประชันนั้น ใครๆต่างก็รู้เรื่องที่เขามีสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอดี แต่ถึงกระนั้นเจ้าชายหนุ่มผู้นี้ก็ยังคงเก็บเขาไว้ข้างกายไม่ยอมห่าง แม้สภาพร่างกายของเขาจะไม่เอื้ออำนวยต่อการรบพุ่ง แต่สติปัญญาที่เขามีนั้นก็เป็นที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง
“แล้วก็เลิกค่อนขอดข้าด้วยคำว่าเจ้าชายสักที อยากจะเรียกอะไรก็เรียกไป”
“พะยะค่ะ.....แจน” นับเป็นชื่อที่มีเพียงสหายสนิทเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์ให้เอื้อนเอ่ย
“เจ้าโคนี่มันจะเร่งอะไรกันนักหนา” เจ้าชายหนุ่มเอ่ยพลางทำหน้าเหม็นเบื่อชนิดที่น้อยคนนักจะมีโอกาสได้เห็น
“จดหมายที่ส่งมาครั้งนี้มีใจความสำคัญอยู่ โคนี่อยากจะฟังความเห็นของท่านหลังจากได้อ่านจดหมายจบแล้ว”
“เจ้าเหม่งเอ้ย!!!!” สบถออกมาหนึ่งคำขณะที่แกะม้วนจดหมายออกดู
บนกระดาษปาปิรุสแผ่นหนามีตัวอักษรภาษาอัคเคเดียนเขียนบรรยายจนแทบจะเต็มหน้ากระดาษ เจ้าชายหนุ่มไล่อ่านข้อความบนจดหมายฉบับนั้นด้วยใบหน้าเครียดขมึงขึ้นเรื่อยๆ
“รุ่งอรุณแห่งอียิปต์ ภาชนะแห่งเทพรา? หมายความว่าร่างอวตารแห่งองค์ราจุติมากำเนิดยังธีบส์อย่างนั้นหรือ.....เป็นไปได้อย่างไรกัน”
“เมื่อสามเดือนก่อนก็ได้ยินข่าวคราวว่ากษัตริย์ราเมสรับสั่งให้จัดพิธีบวงสรวงเทพสุริยัน ในคราแรกข้าคิดว่าเขาทำเพียงแค่ต้องการจะข่มขวัญฝ่ายเรา ไม่คิดว่าเขาจะบูชาร่างอวตารจริงๆ”
“มาร์โค.........เจ้าเชื่อว่ารุ่งอรุณแห่งอียิปต์ร่างอวตารแห่งราจะมีจริงอย่างนั้นหรือ”
“เชิญท่านดูสาสน์ฉบับที่สองเองเถิด”
เจ้าชายหนุ่มคลี่แกะกระดาษอีกแผ่นที่ซ้อนทับกับฉบับของจดหมายออกดู กระดาษแผ่นที่สองไม่มีถ้อยคำบรรยายใดๆทั้งนั้นแต่กับเป็นภาพเหมือนของคนผู้หนึ่ง
บุรุษหนุ่มร่างบางในภาพมีดวงตาสีอำพันที่เป็นเอกลักษณ์ ใบหน้าหวานเชิดรั้นเย่อหยิ่ง ดวงตากลมโตสุกสกาวดูลุ่มลึกชวนให้ค้นหา มองโดยรวมแล้วเรียกได้ว่าเป็นบุรุษรูปงามเลยทีเดียว รอยยิ้มเย็นผุดพรายขึ้นบนใบหน้าคมสัน
“ข้าไม่เชื่อว่ารุ่งอรุณแห่งอียิปต์จะโปรยแสงแห่งชัยชนะให้กรุงธีบส์มีชัยเหนือฮิตไตต์ของเราจริงๆ” มือใหญ่ลูบไล้ภาพเหมือนด้วยความลุ่มหลง
“ข้าต้องการรอยยิ้มของภาชนะแห่งรา..........ไปเอาตัวมา!!!!



วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2558

Attack On Titan Fiction : Morals? Pairing : Bertholt x Eren

Attack On Titan Fiction : Morals?
Pairing : Bertholt x Eren

                ฟิคสั้นพิเศษฉลองวันเกิดน้องสาวค่ะ แย้บมาว่าขอเป็นแก๊งทริโอกับเอเลน ตอนแรกพี่ว่าจะปั่นเรื่องยาวให้ แต่......ด้วยอะไรหลายๆอย่าง ไม่ทันจริงๆค่ะ เรื่องนี้จับคู่ให้ด้วยความติ่งปลื้มพี่เบลเป็นการส่วนตัว >///<

                เสียงฝีเท้าสม่ำเสมอก้าวผ่านระเบียงทางเดินที่ปลอดผู้คนเป็นจังหวะเนิบนาบ เด็กหนุ่มไม่รู้สึกแปลกใจสักเท่าไหร่เพราะรู้ดีว่าเวลานี้ผานชั่วโมงเข้าเรียนมาเนิ่นนานแล้ว เพราะนั้นเขาจึงคร้านจะใส่ใจที่จะต้องรีบร้อน จุดหมายห้องเรียนประจำชั้นอยู่เบื้องหน้า มือบางเลื่อนเปิดประตูบานเลื่อนเข้าไปอย่างถือวิสาสะ อาจารย์ประจำวิชาที่กำลังบรรยายบทเรียนเหลือบตาหันมามองชั่วครู่ก่อนจะทำการสอนต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ก็แค่เหตุการณ์ปกติเหมือนอย่างที่เคยเป็นเช่นทุกวัน........
เด็กหนุ่มเดินผ่านหน้าชั้นเรียนเข้าไปนั่งประจำที่ เจ้าตัวไม่ใส่ใจจะหยิบหนังสือเรียนประจำวิชาขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ แค่นั่งอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้เวลาหมดไปอีกวัน
สัมผัสอุ่นๆที่ท้ายทอยทำให้เจ้าตัวสะดุ้ง........
นัยน์ตากลมโตตวัดฉับหันไปมองเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านหลังอย่างเอาเรื่อง
“วันนี้ก็ไปมีเรื่องมาอีกแล้วสินะ ถ้าไม่เจ็บตัวสักวันนี่ชีวิตจะไม่มีความสุขรึไง” น้ำเสียงกวนประสาทช่างขัดกับใบหน้าหวานที่เจ้าตัวมักจะสวมหน้ากากแห่งรอยยิ้มไว้ตลอดเวลาเสียจริงๆ”
“.........” เขาเลือกที่จะไม่สนใจและไม่ยอมตอบโต้
“ร่างกายที่พี่ชายหวงแหน ปล่อยให้บอบช้ำบ่อยๆแบบนี้ เขาจะเสียใจเอาได้ไม่ใช่รึไง”
ถ้อยคำประโยคนี้เรียกความสนใจของเด็กหนุ่มได้อีกครั้ง เขาหันกลับไปเผชิญหน้ากับตัวการที่กำลังก่อกวนอารมณ์ของเขาตรงๆ เด็กหนุ่มช่างจ้อเลิกคิ้วขึ้นด้วยความตกใจเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ
“ที่ฉันพูดน่ะ แทงใจดำล่ะสิ......เอเลน”

หนึ่งวันแห่งความน่าเบื่อหน่ายผ่านพ้นไป
เพียงแค่เปิดประตูเข้าไปในบ้านน้ำเสียงที่คุ้นเคยก็เอ่ยทักมาทันที
“กลับมาแล้วเหรอเอ......... เอาอีกแล้วเหรอเนี่ย” ชายหนุ่มร่างสูงที่หอบตะกร้าผ้าใบโตเอ่ยทักทันทีที่เห็นสภาพของน้องชายเดินเข้ามาในบ้าน ตะกร้าผ้าถูกวางทิ้งไว้บนพื้นขณะที่เจ้าตัวก็เข้ามาลากคอคนชอบหาเรื่องใส่ตัวขึ้นไปบนห้อง
“ไปทะเลาะกับใครมาทำไมถึงได้แผลกลับบ้านติดตัวทุกวันแบบนี้ แม่เห็นก็ต้องโดนดุอีกแน่ๆ” คนบ่นก็ได้แต่พร่ำไปแต่เจ้าตัวต้นเรื่องกลับเอาแต่เงียบเฉย
“ถอดเสื้อผ้าออกมาให้พี่ พี่จะเอาไปซักให้ ไปอาบน้ำซะ เดี๋ยวค่อยมาทำแผล”
ใบหน้างามตีมึนอยู่ชั่วครู่ทำเป็นไม่ได้ยิน
“เอเลน!!! พี่บอกให้เราถอด.......” ยังไม่ทันได้พูดให้จบประโยค เสื้อผ้าชุดเก่าก็ถูกปาใส่หน้าพร้อมด้วยเสียงประตูห้องน้ำปิดดังปัง!!!! เบลทรูทได้แต่ส่ายหน้ากับความดื้อรั้นของน้องชาย
ไม่เข้าใจจริงๆว่าเจ้าเด็กนี่คิดอะไรอยู่กันแน่........
“ก้มหน้าทำไม หันหน้ามาให้พี่ดูแผลดีๆสิ” พี่ชายร่างสูงเอ่ยพร้อมกับเชยคางมนขึ้นดู
ร่องรอยฟกช้ำบนใบหน้ายังปรากฏให้เห็นเด่นชัด ผ้าห่อน้ำแข็งถูกวางประคบลงบนรอยช้ำม่วงแดงเบาๆ มือใหญ่ค่อยๆปฐมพยาบาลให้กับน้องชายอย่างเบามือในขณะที่แผลเปิดที่มีเลือดออกก็ใส่น้ำยาฆ่าเชื้อและพาสเตอร์ปิดแผลเป็นการปิดท้าย ตามแขนขาก็ยังปรากฏร่องรอยบาดแผลให้เห็น
“มีเรื่องเจ็บตัวไม่เว้นแต่ละวัน พี่ถามจริงๆว่าไปโรงเรียนเพื่ออะไรกันแน่”
นอกจากจะไม่ตอบคำถามเอเลนยังเอาแต่ก้มหน้ามองมือตัวเองอย่างเดียว
“..........”
“ที่พูดอยู่ทุกวันนี่ก็ไม่ใช่เพื่อใคร เพื่อเราเองทั้งนั้น พี่เป็นห่วงเข้าใจรึเปล่า” ร่างสูงลุกขึ้นจากที่นอนกล่าวขณะเก็บอุปกรณ์ปฐมพยาบาลลงกล่อง
“เสร็จแล้วก็ตามลงไปล่ะ พี่ซื้อของชอบเรามาเผื่อ กินรองท้องไปก่อนเดี๋ยวทำข้าวเย็นให้กิน” มือใหญ่ลูบศีรษะน้องชายเบาๆก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ร่างบางได้แต่กัดริมฝีปากแน่น..........ให้ตายยังไงก็ไม่มีวันพูดเด็ดขาด!!!


“ท่าทางดีใจนะ แผลพวกนั้นน่ะ คุณพี่ชายใจดีทำให้ล่ะสิคค” เด็กหนุ่มร่างบางเอ่ยขึ้นลอยๆขณะที่กัดขนมปังในมือ
“หยุดพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องสักที!!!!!
“อ่า...........” เสียงตวาดที่ตอบกลับมาทำให้เขาอึ้งไปชั่วครู่ นัยน์ตากลมโตทอดมองไปไกลยังสนามกีฬาที่มีกลุ่มนักเรียนรุ่นพี่จับกลุ่มแข่งขันกันอยู่ ชายหนุ่มร่างสูงผมสีเข้มที่วิ่งอยู่กลางสนามเตะตาเขาเข้าพอดี
“ถ้าอยากจะเรียกร้องความสนใจจากคุณพี่ชายจริงๆมันก็มีวิธีที่ดีกว่าการเอาตัวไปเสี่ยงเจ็บตัวบ่อยๆแบบนี้ไม่ใช่รึไง”
“ไม่ใช่เรื่องที่นายจะต้องยุ่งเลยนะอาร์มิน”
“มันคุ้มกันแล้วเหรอเอเลน........อา........แต่ก็คงจะคุ้มสินะ ชอบใช่มั้ยล่ะเวลาที่มือใหญ่ๆคู่นั้นสัมผัสตัวน่ะ รู้สึกยังไงบ้างล่ะ รุ่มร้อนตื่นเต้นจนแทบทนไม่ไหว อยากถูกสัมผัสให้มากกว่านี้ใช่มั้ยล่ะ” เด็กหนุ่มผมทองกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ฉันบอกให้หุบปาก!!!” เมื่อถึงที่สุดแห่งความอดทนเอเลนลุกขึ้นกระชากคอเสื้อเพื่อนตัวเล็กเข้าเต็มแรง นอกจากจะไม่มีท่าทีหวาดกลัว อาร์มินยังเอาแต่หัวเราะไม่หยุด
“ร้อนตัวอีกแล้ว!!!! ดูสินายร้อนตัวอีกแล้ว!!!
ยิ่งถูกหัวเราะเยาะหนักขึ้นเท่าไหร่ อารมณ์เคืองก็ยิ่งทวีคูณมากขึ้นเท่านั้น
“ชกฉันเลยสิเอเลน ใช้กำลังเหมือนอย่างทุกทีที่นายชอบทำไง” อาร์มินส่งยิ้มยั่วขณะที่ยื่นหน้าเข้าไปใกล้กระซิบเบาๆ
“คุณพี่ชายจะได้เห็นว่าที่จริงแล้ว น้องชายสุดที่รักเป็นพวกกักขฬะชอบความรุนแรง” เมื่อกล่าวจุ๊บอาร์มินก็ประทับริมฝีปากลงบนพวงแก้มใสของเพื่อนสนิทอย่างจงใจ เอเลนผงะถอยหลังโดยอัตโนมัติแต่อาร์มินกลับตีหน้าซื่อส่งยิ้มตาปิดไปให้แทน
“อ้าว!!! สวัสดีครับคุณพี่ชาย มาหาเอเลนสินะครับ” อาร์มินเอ่ยทักด้วยใบหน้าแช่มชื่น เมื่อเอเลนหันหลังกลับไปมองตามสายตาของเพื่อนก็พบเข้ากับคนที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุด เบลทรูทกำลังมองเขาด้วยใบหน้าตื่นตะลึง ร่างบางได้แต่กัดฟันแน่นผลุนผลันวิ่งหนีออกไป
“ทำไมไม่อยู่คุยกับคุณพี่ชายก่อนล่ะ” อาร์มินตะโกนไล่หลังพลางหัวเราะร่วนไม่หยุด
“นายทำอะไรน้องฉัน!!!” ร่างสูงตรงเข้าไปขย้ำเด็กหนุ่มที่เอาแต่หัวเราะไม่หยุดอย่างเอาเรื่อง
“อะไรกันครับ......ผมเปล่าสักหน่อย”
“นายจูบแก้มน้องฉัน..........หรือว่า.........พวกนาย........คบกัน?” ร่างสูงรู้สึกสับสนกับความรู้สึกกังวลในใจอยู่ไม่น้อย
เอเลนมีแฟนแล้ว และน้องชายของเขาก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับเขาเลยสักครั้ง
“ผมกับเอเลนนี่นะ คบกัน? พี่นี่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย” เสียงหัวเราะยิ่งดังร่วนขึ้นกว่าเดิม เบลทรูทกัดฟันกรอด
“ผมถามจริงๆว่าพี่มีตาเอาไว้ประดับหน้าเท่านั้นหรือครับ ถึงได้มองไม่ออกว่าจริงๆแล้ว หมอนั่นมันมองใครอยู่...............”

ไม่บอก..........ไม่มีวันบอก........จะไม่ยอมให้รู้เด็ดขาด!!!!
เรียวขายาวได้แต่วิ่งเต็มฝีเท้าไปตามท้องถนน ต่อให้ชนใครก็ใครก็ไม่ได้สนใจ
จะให้พี่รู้......ความรู้สึกนี้ไม่ได้เด็ดขาด
ได้แต่กัดฟันวิ่งอย่างไม่ลืมหูลืมตา จนกระทั่งชนเข้ากับชายร่างใหญ่จนล้มคว่ำกันไปคนละทาง เมื่อตั้งตัวยืนขึ้นได้เอเลนก็ออกวิ่งอีกครั้งแต่แรงยึดจากด้านหลังก็ทำให้เขาไปได้อีกแค่ไม่กี่ก้าว ชายร่างใหญ่ย่างสามขุมเข้ามาใกล้พร้อมกระแทกหมัดเข้าที่ปลายคางเรียวเต็มแรง

“เอเลน!!!!
ประตูห้องนอนถูกกระชากเปิดออกอย่างรุนแรง เมื่อเบทรูทก้าวเข้ามาในห้องก็เจอกับน้องชายที่ซุกตัวคลุมโปงอยู่ในผ้าห่มแอบอยู่มุมห้อง
“เอเลน คุยกันหน่อย พี่มีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย”
“................”
“เอเลน!!!!
ร่างสูงในตอนนี้ที่อยู่ในภาวะสับสนและร้อนรุ่มไม่อาจทำใจให้นิ่งสงบเหมือนปกติได้ มือใหญ่กระชากผ้าห่มผืนหนาออกจากร่างของน้องชาย บาดแผลฟกช้ำบนใบหน้าร่างกายที่เพิ่มขึ้นกว่าวันก่อนทำให้ชะงัก ความรู้สึกค้างคาในใจพลันถูกกลบไปด้วยอารมณ์โกรธขึ้งแทบจะในทันที
“เอเลน!!! ทำไมถึงได้เจ็บตัวกลับมาอีกแล้ว รอยแผลพวกนี้มันยังไง แอบไปมีเรื่องมาอีกแล้วใช่มั้ย ทำไมถึงได้ชอบหาเรื่องเจ็บตัวมาไม่เว้นแต่ละวัน นายทำอะไรกันแน่”
ร่างบางไม่ตอบคำถามแต่กลับพยายามตลบผ้าห่มคลุมกายเพื่อหนีหน้าแทนที่จะเผชิญกับพี่ชายตรงๆ
“เอเลน!!! อย่าเอาแต่เงียบ.....พูด.....บอกพี่ออกมาเดี๋ยวนี้” มือใหญ่บีบแขนเรียวจนขึ้นรอยแดง จริงอยู่ที่ก่อนหน้านี้เขาได้พยายามอดทนกับความดื้อรั้นของน้องชายมาโดยตลอด แต่สำหรับวันนี้หลังจากที่ได้รับรู้ความจริงจากเด็กหนุ่มผมทองคนนั้นเขาก็ไม่สามารถอดกลั้นกับอาการดื้อเงียบของเอเลนได้อีกต่อไป เขาอยากให้เอเลนพูดความจริงทั้งหมด
แต่แทนที่จะตอบคำถาม ฝ่ายน้องชายกลับร้องไห้ออกมาเงียบๆ ริมฝีปากบางเม้มแน่นกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้
“บอก.....ไม่ได้” เอเลนก้มหน้านิ่งส่งเสียงออกมาเบาๆ
“เพราะพี่สำคัญที่สุด.........ผมถึงบอกไม่ได้” เสียงกระซิบปนสะอื้นกลับทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม
มือใหญ่ปล่อยมือออกจากร่างของน้องชายเอเลนจึงได้โอกาสแอบซุกร่างเข้ากับกองผ้าห่มอีกครั้ง
เบลทรูทลุกขึ้นยืนสูดหายใจลึก มองผ่านหน้าต่างออกไปยังบรรยากาศมืดครึ้มของฝนที่กำลังตกพรำๆ ท้องฟ้าในเวลานี้แลดูขมุกขมัวไม่ต่างไปจากจิตใจของเขาเลย
คงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก.................
ร่างสูงเดินห่างออกไปพร้อมกับเสียงประตูห้องที่ปิดลง เสียงสะอื้นที่ดังลอดออกมาจากกองผ้าห่มยิ่งดังมากขึ้น
“ผมขอโทษ.......ผมพูดไม่ได้จริงๆ”
จู่ๆก็รู้สึกถึงแรงกอดรัดผ่านผ้าห่ม ร่างบางถูกยกลอยขึ้นโยนลงไปบนเตียงอย่างรุนแรง
“ถ้าไม่อยากพูดก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก นายแค่ฟังพี่ก็พอ” เบลทรูทกล่าวขณะที่เสื้อเชิ้ตเครื่องแบบนักเรียนของตนออก
“พี่ไม่ชอบเวลาที่นายไปมีเรื่องกับคนอื่น” ร่างสูงกล่าวพร้อมกับถอดเข็มขัดออกจากบั้นเอว รวบเรียวแขนบางไปผูกยึดตรึงไว้กับหัวเตียง
“พี่ไม่ชอบเวลาที่นายเจ็บตัว” มือใหญ่ริดกระดุมเสื้อเม็ดเล็กออกจากร่างบางเปิดผิวขาวเนียนออกสู่สายตา
“พี่ไม่ชอบเห็นแผลพวกนี้อยู่บนตัวของนาย” มือใหญ่ลูบไล้ไปตามร่องรอยฟกช้ำแผ่วเบา ร่างบางสั่นสะท้านเกร็งแน่นด้วยความตื่นตระหนก
“พี่ไม่ชอบให้ใครแตะต้องนาย” เรือนกายสูงใหญ่ก้มลงทาบทับกดจูบริมฝีปากที่สั่นระริก
“ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์จะแตะต้องนาย คนที่จะทิ้งร่องรอยไว้บนร่างนี้ได้ มีแค่พี่เท่านั้น” ฟันคมขบกัดดูดดึงจนเลือดสีเข้มไหลซิบออกมาตามเรียวปากบาง เบลทรูทไล้เลียคราบเลือดบนเรียวปากบวมเจ่อของน้องชายซ้ำๆ
“อย่าให้พี่เห็นอีกว่าเจ็บตัวกลับมา.......ไม่อย่างนั้นจะถูกลงโทษ”
ไม่อาจตอบโต้ ไม่อาจขัดขืน แม้ร่างกายจะถูกกระทำล่วงล้ำจาบจ้วงเพียงไหนก็ไม่คิดแม้แต่จะปัดป้องในเมื่อหัวใจนั้นพร้อมยินยอมให้กับพี่ชายมาตั้งแต่แรกแล้ว
“จะบอกได้ยังไงว่าเป็นเพราะผมรักพี่......เรื่องนี้จะให้พี่รู้ไม่ได้เด็ดขาด” น้ำเสียงหอบกระเส่าพร่ำกระซิบพึมพำไม่หยุด มือเรียวโอบกอดร่างใหญ่ไว้เป็นหลักยึดปล่อยให้ร่างกายเคลื่อนไหวสอดประสานไปกับการชักนำของผู้เป็นพี่ชายโดยละมุนละม่อม
“ไม่อยากพูดก็เงียบเอาไว้ แค่นายเป็นเด็กดีเชื่อฟังพี่ก็พอ.......แล้วพี่จะให้รางวัลที่ไม่ไปหาเรื่องเจ็บตัวอีก” เสียงทุ้มเอ่ยสำทับขณะที่ลิ้มชิมรสกลีบปากหวานของร่างบางที่กำลังครวญครางเสียงกระเส่าด้วยความสุขสมปั่นป่วนชนิดที่ว่าสายฝนที่เย็นฉ่ำไม่อาจดับไฟราคะของสองพี่น้องลงได้

เสียงฮัมเพลงของคนที่กำลังเดินทอดน่องสบายใจอยู่กลางสายฝนดังก้องไปทั่วทั้งถนน ไม่ว่าใครต่างก็ต้องหันมองเด็กหนุ่มร่างบางที่เดินฝ่าสายฝนร้องเพลงอย่างอารมณ์ดีโดยไม่ยอมกางร่มที่ถืออยู่ในมือ อาร์มินหันไปยิ้มให้กับหญิงวัยกลางคนที่ยืนถือร่มบังฝนรอรถประจำทางอยู่ใกล้ๆกับตน
“มองอะไรกันครับ คุณน้า.........คุณเองก็คงเป็นพวกที่ฉลาดน้อยเหมือนกันสินะครับ” อาร์มินกล่าวพร้อมกับส่งยิ้มหวาน
“ก็โลกใบนี้น่ะ.....ใครๆก็เป็นพวกฉลาดน้อยกันทั้งนั้นนี่นะ” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นเสียงดังอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับหัวเราะร่วนก่อนจะออกเดินตากฝนผิวปากไปโดยไม่ใส่ใจสายตาของคนรอบข้างอีก

“เยเกอร์!!! นี่แกไปมีเรื่องกับคนอื่นเขามาอีกแล้วเหรอ” น้ำเสียงดุๆที่มาพร้อมกับใบหน้าขรึมๆของอาจารย์ประจำวิชาคณิตศาสตร์ตวัดฉับมาใส่เขาทันทีที่เดินเข้าห้อง
“คาบของฉันแกมาสายสามครั้งแล้วในอาทิตย์นี้ หลังเลิกเรียนไปหาฉันที่ห้องพักครูด้วย” เมื่ออาจารย์หนุ่มร่างสันทัดกล่าวจบจึงหันไปให้ความสนใจกับสูตรในกระดานต่อ
จะเอาอะไรกันนักหนา.......ก็แค่ปล่อยๆไปเหมือนพวกอาจารย์คนอื่นๆก็พอแล้ว.....น่ารำคาญ!!!
เอเลนถอนหายใจขณะที่หย่อนก้นลงนั่งกับที่
“แผลเพิ่มมาอีกแล้วนะ หน้าตาก็ดูโรยๆเหมือนนอนไม่พอ เมื่อวานทะเลาะกับคุณพี่ชายจนดึก หรือทำอะไรกันจนดึกดื่นกันแน่”
อาร์มินที่นั่งอยู่ด้านหลังเลื่อนโต๊ะเข้าไปชิดกับเก้าอี้ของเอเลนแล้วกระซิบถามเสียงเบา
“เป็นไงล่ะ เหมือนอย่างที่จินตนาการไว้มั้ย........หรือของจริงมันรู้สึกดีกว่า”
“แก!!!” เอเลนที่ถูกกวนอารมณ์จนขุ่นตบโต๊ะเสียงดังลุกขึ้นตวาดใส่อาร์มินจนเพื่อนสะดุ้งกันทั้งห้อง แต่อาร์มินกลับเอาแต่ยิ้มร่าไม่ได้มีท่าทีสำนึกผิดแม้แต่น้อย
เศษชอล์กที่ปลิวจากหน้าห้องกระทบเข้ากับศีรษะกลมมนของเด็กหนุ่มจนแตกเป็นผุยผง เอเลนถึงกับตื้อไปชั่วขณะ
“มาสายแล้วยังจะกวนเพื่อนอีก!!! นั่งลงแล้วหุบปากซะ”
เอเลนตวัดตามองอาร์มินด้วยความเคืองอีกครั้งก่อนจะทรุดนั่งลงแต่โดยดี
“ไม่ต้องรอเลิกเรียน หมดคาบนี้แกตามฉันไปที่ห้องพักครูได้เลย”

“ไหนดูสิ พี่ทิ้งรอยไว้บนตัวนายเยอะไปสินะ” เบลทรูทกล่าวด้วยรอยยิ้มพอใจขณะที่แกะพาสเตอร์ตามตัวของน้องชายออก เผยร่องรอยจ้ำสีกุกลาบที่ประดับอยู่ทั่วทั้งเรือนกายบางและจุดซ่อนเร้น
“ได้ยินว่าถูกอาจารย์รีไวเรียกพบเหรอ” เอเลนที่กอดไหล่ร่างสูงแน่นพยักหน้ารับจนผมสะบัด
“ถูกดุอะไรบ้างล่ะ”
“เขาบอกว่า......ร่างกายพ่อแม่ให้มา.....ต้องรักษาให้ดี......ไม่เข้าเรียนสาย......อย่าไป.....มีเรื่องกับคนอื่น....อื้ม!!!!” น้ำเสียงกระเส่าเอ่ยตะกุกตะกักเบลทรูทยิ้มรับ
“ตรงนี้สินะ” ใบหน้าคมคายประดับด้วยรอยยิ้มบาดใจขณะที่แกล้งควานนิ้วสอดลึกเข้าไปในร่างของน้องชายกดย้ำจุดกระสันเรียกเสียงครางของคนในอ้อมกอดเล่นๆ
“อาจารย์พูดถูกแล้ว ทั้งร่างกายและสายเลือดของเราต่างก็ผูกพันกัน พี่ทนไม่ได้ที่จะเห็นน้องชายของพี่ต้องเจ็บตัว” เอเลนพยักหน้ารับขณะที่ถูกกดร่างนอนราบลงกับที่นอนขณะที่เบลทรูทขึ้นทาบทับ
“แล้ววันนี้น้องชายของพี่อยากให้ดูแลตรงไหนเป็นพิเศษ”
เอเลนที่ใบหน้าแดงก่ำแยกเรียวขาขาวเผยให้เห็นช่องทางที่ชุ่มฉ่ำชัดๆโดยไร้ซึ่งคำพูดใดๆ เบลทรูทเผยยิ้มมุมปากด้วยความพอใจขณะที่เริ่มให้รางวัลน้องชายด้วยความเอ็นดู
“ใช่.....ว่าง่ายๆแบบนี้แหละเด็กดี เอเลนของพี่!!!

…………………………………………………………………….. End.

ถือเป็นแนว incest เรื่องที่สองเลย (เรื่องแรกเพิ่งได้แค่ตอนเดียวเอง ฮา..........) เซอร์วิสน้องสาวในวันเกิดสักนิด แต่อยากจะถามเด็กๆผู้ร่วมขบวนการโม่ยทั้งหลายว่า จะให้จบแค่นี้หรือจะชิพกลับเรือหลักไปหา รีเอ กันดีคะ สำหรับเบลเอเลนนี่ถือว่าจบได้แล้วล่ะกับพี่น้องคู่นี้ แต่ถ้าจะกลับไปหารีเอก็ต้องต่ออีกนิสสสสสสสส





วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2558

{Attack On Titan:Levi x Eren } Kill me - Kiss me.-13:

13:

นับว่าเป็นการร่วมรับประทานอาหารกันครั้งแรกที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอึมครึมชวนอึดอัด ผู้ร่วมโต๊ะแต่ละคนต่างให้ความสนใจกับอาหารที่อยู่ตรงหน้ามากเกินความจำเป็น มิคาสะเหลือบสายตามองชายหนุ่มร่างบางสมาชิกใหม่ของบ้านอยู่บ่อยครั้ง เอเลนเองก็พอจะรู้ตัวแต่ก็ทำเป็นวางเฉยไม่ใส่ใจตั้งหน้าตั้งตาจัดการอาหารที่อยู่ตรงหน้าอย่างเดียว จะมีบ้างบางครั้งที่เผลอมองชายหนุ่มร่างสันทัดที่นั่งอยู่หัวโต๊ะคนที่เพิ่งจะผ่านช่วงเวลาอันเร่าร้อนมาด้วยกันหมาดๆ อีกฝ่ายกำลังจิบกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์ในมืออย่างสบายอารมณ์ ในขณะที่เขากำลังรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างที่สุด
มองหน้าไม่ติด........... เรื่องเมื่อก่อนหน้านี้ทำให้เอเลนอับอายจนไม่กล้ามองหน้าเลยจริงๆ
จู่ๆรีไวก็วางหนังสือพิมพ์ลงกับโต๊ะ
“ถ้าอิ่มแล้วก็ตามเข้าบริษัทด้วย” รีไวหยัดกายยืนขึ้นกล่าวกับมิคาสะเสียงเรียบ
“จะไปแล้วเหรอ......แล้วเขาล่ะ” มิคาสะเอ่ยถามขณะที่รีไวปรายตามอง เขาคนที่มิคาสะกล่าวถึงเงียบๆ
“ให้เบลทรูทคอยเฝ้าอยู่ที่นี่ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องตามไปที่บริษัท อยู่ที่นี่คงมีเรื่องต้องจัดการมากกว่า”
“ครับ” ชายหนุ่มร่างสูงขานรับเสียงเบาไม่ใคร่จะเต็มใจนัก
“แล้วอย่าให้ได้ยินว่าทำอะไรไม่คิด”
รีไวกล่าวกับเอเลนที่เอาแต่นั่งก้มหน้านิ่งก่อนจะเดินจากไป มิคาสะส่งยิ้มแหยไปให้กับร่างบางแล้วกล่าวกับเขา
“แล้วเจอกันนะครับเอเลน ผมคงต้องรีบไปก่อนที่หมอนั่นจะอารมณ์เสียไปมากกว่านี้”
มิคาสะเดินออกจากห้องไปอีกคน ทั่วทั้งห้องจึงเหลือเพียงแค่เอเลนและเบลทรูทเท่านั้น
“คุณจะยืนอยู่แบบนั้นจนถึงเมื่อไหร่กันครับ” เอเลนเท้าคางเอ่ยถามคนที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ
“จนกว่าคุณจะอิ่มครับ” เบลทรูทตอบหน้านิ่ง เอเลนอดคิดไม่ได้จริงๆว่าคนๆนี้มันไม่ต่างอะไรกับรูปปั้นเลยสักนิด
มือเรียวหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่มแล้วลุกเดินออกจากห้องซึ่งเบลทรูทก็ตามติดทันที
“นี่คุณจะตามผมจริงๆใช่มั้ย” เอเลนกอดอกเอ่ยถามคนตัวสูงที่เดินตามหลังมาติดๆ
“ตามคำสั่งของคุณรีไวครับ” เอเลนยักไหล่กับคำตอบนั้น
“ถ้างั้นก็ ช่วยพาทัวร์รอบๆบ้านหน่อยจะได้มั้ย”
“ถ้าคิดที่จะหนีก็เลิกหวังเถอะครับ อย่างที่คุณรีไวบอก ไม่มีที่อื่นให้คุณไปอีกแล้วนอกจากที่นี่” เอเลนยิ้มรับพลางแสร้งถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“เข้าใจที่ผมพูดมั้ย ผมแค่อยากดูบ้านนี้รอบๆก็เท่านั้น ส่วนจะหนียังไงก็ค่อยว่ากันอีกที”
“ผมแค่อยากจะเตือนคุณเอาไว้ ทำให้คุณรีไวโมโหมันย่อมไม่เป็นผลดีต่อตัวคุณเอง เชิญทางนี้ครับ”
เบลทรูทเปิดประตูกระจกด้านหลังออกไปซึ่งเป็นส่วนของสระว่ายน้ำที่เอเลนเคยกระโดดลงมาแล้วเมื่อวานนี้ ในส่วนของทุ่งหญ้าที่อยู่เวิ้งถัดออกไปมีส่วนที่สร้างรั้วไม้กั้นไว้เป็นสนามดินขนาดกว้าง ในนั้นมีเรือนไม้ขนาดใหญ่ปลูกอยู่ด้านใน
“นั่นอะไร”
“คอกม้าครับ ส่วนนั้นเป็นสนามดินสำหรับขี่ม้า”
“ไปดูได้มั้ย”
“ได้ครับ ถึงคุณจะเคยไปหลายครั้งแล้วก็เถอะ”เบลทรูทเดินนำหน้าออกไปขณะที่เอเลนรู้สึกตงิดในใจ

ดูเหมือนว่าตัวเขาเมื่อก่อนหน้านี้จะคุ้นเคยกับชายหนุ่มร่างสูงคนนี้พอดู แต่อะไรที่เป็นสาเหตุให้เบลทรูทต้องทำตัวห่างเหินถึงเพียงนี้
หรือจะเป็นเหตุการณ์เมื่อตอนอยู่ในโรงพยาบาล............
ว่าตามจริงก็ไม่รู้จะโทษว่าเป็นความผิดของใครในเมื่ออารมณ์พาไปล้วนๆ
“จะลองขี่ได้มั้ย” เอเลนเอ่ยถามขณะกวาดตามองม้าแต่ละตัวในคอก
“ตามสบายครับ”
เบลทรูทตอบรับ เอเลนกวาดตามองม้าที่อยู่ในคอกแต่ละตัวจนไปสะดุดตากับม้าสีดำขนมันวาวตัวใหญ่
“เอาตัวนั้นนะ”
“ได้ทุกตัวยกเว้นตัวนั้นครับ......นั่นของคุณรีไว”
เอเลนหน้ายู่เดินเข้าไปมองม้าตัวนั้นใกล้ๆ มันเชิดหน้าสะบัดหางไปมาช้าๆ ดวงตากลมโตใสแจ๋วแทบจะไม่ชายตามองเขาเสียด้วยซ้ำ
เหมือนเจ้าของไม่มีผิด!!!!
ขณะนั้นเองเบลทรูทก็ไปจูงม้าอีกตัวออกมาจากคอก สีน้าตาลอ่อน ที่ขาทั้งสี่ข้างมีสีขาวปนเหมือนกับใส่ถุงเท้าขาว ท่าทางดูเป็นมิตรกว่าเจ้าตัวสีดำอยู่มาก ตัวก็โตไม่แพ้กัน เอเลนตะกายตัวปีนขึ้นไปนั่งบนหลังมันทันที มือเรียวลูบขนแผงคอมันเบาๆ
“ชื่อล่ะ”
“ลิลลี่ครับ”
“ค่อยดูน่ารักกว่าเจ้าตัวนั้นหน่อย” เอเลนพึมพำกับเจ้าลิลลี่เสียงเบา
“สตอร์มมันไม่ยอมให้ใครแตะต้องนอกจากคุณรีไว”
“ม้ามันก็เหมือนเจ้าของมันนั่นแหละ” เอเลนกล่าวพร้อมกับควบม้าออกจากโรงเลี้ยงพุ่งตรงออกไปยังลานดิน
“กรุณาระวังด้วยครับ อย่าเร่งความเร็วมากไป” เบลทรูทตะโกนไล่หลังมา เอเลนจึงหันไปตะโกนตอบ
“วางใจได้ ตอนเด็กๆผมเคยเรียนขี่ม้า ผมรู้ว่าต้องทำยังไง”
ถึงเอเลนจะทำได้อย่างที่พูดก็เถอะ แต้ถ้าเกิดเจ้าตัวมีแผลขึ้นมาเพียงนิด นั่นก็เท่ากับเป็นความผิดของเขาเต็มๆ เบลทรูทจึงได้แต่คอยระวังอยู่ห่างๆปล่อยให้เอเลนได้เล่นจนพอใจ จวบจนเมื่อร่างบางควบลิลลี่เลียบรั้วเข้ามาใกล้
“สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลยนะ” เอเลนเอ่ยแซวยิ้มๆ
“กรุณาลดความเร็วลงด้วยครับ คุณจะคุมลิลลี่ไม่อยู่เอา”
“ลิลลี่เป็นเด็กดี......ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วง”
“ถ้าคุณบาดเจ็บขึ้นมามันก็ต้องเป็นห่วงอยู่แล้ว แผลเดิมยังไม่หาย ถ้าได้แผลใหม่มาเพิ่มเจ้านายคงไม่ชอบใจเท่าไหร่”
เอเลนหัวเราะขำเบาๆขณะที่มือเรียวคว้าเอาคอเสื้อของเบลทรูทลากตัวเข้ามาใกล้ ใบหน้าเรียวก้มลงกระซิบกับชายหนุ่มเบาๆ
“ใครกันแน่ที่เป็นห่วง ใครกันแน่ที่ไม่ชอบใจ........คุณ.....หรือเจ้านายของคุณ”
เอเลนกระซิบถามพร้อมกับจ้องตาชายหนุ่มชัดๆ ดวงตากลมโตสีเขียวมรกตไร้แววขี้เล่นซุกซนเหมือนกับที่ผ่านมาทำเอาคนถูกจ้องถึงกับหายใจสะดุด กลีบปากบางแตะประทับลงบนริมฝีปากได้รูปของชายหนุ่มเบาๆเพียงผิวเผินก่อนจะส่งยิ้มชวนเอ็นดูให้อีกฝ่าย
“ไม่ตอบก็ไม่เป็นไร แค่มองตาคุณผมก็รู้แล้ว” เอเลนเอ่ยกลั้วหัวเราะพร้อมกับควบลิลลี่วิ่งเหยาะๆห่างออกไป
แต่จังหวะนั้นมือใหญ่กลับคว้าฉุดแขนเรียวเอาไว้ แรงดึงจากด้านหลังทำให้เอเลนพลิกตัวตกลงจากหลังม้าแต่ก่อนที่จะกระแทกลงกับพื้นก็ถูกคว้าเอวไว้ได้ก่อน เบลทรูทมือขวารับเอเลนไว้มือซ้ายดึงลิลลี่ที่กำลังตกใจให้สงบลง ร่างบางถูกกดเข้ากับสีข้างม้าขณะที่ถูกคนตัวใหญ่ทาบทับ การจู่โจมที่ไม่ทันได้ตั้งตัวทำให้เอเลนตกใจ แต่เมื่อยามที่ริมฝีปากถูกฉกชิงไปจะขัดขืนก็ไม่ทันแล้ว รสจูบที่จาบจ้วงตะกละตะกรามอย่างที่ไม่ค่อยจะได้เจอนักทำให้เอเลนถึงกับอึ้ง ไม่บอกก็รู้ว่าชายคนนี้ปรารถนาในตัวเขามากแค่ไหน แม้จะมีลิลลี่ช่วยบดบังการกระทำของพวกเขาจากสายตาคนอื่นๆ แต่การที่เบลทรูทกล้าลงมือจูบเขากลางวันแสกๆภายใต้จมูกของเจ้านายแบบนี้ก็นับว่าเป็นการกระทำที่กล้าและบ้าบิ่นมากทีเดียว
เอเลนพยายามผลักร่างสูงออก แต่มือเรียวกลับถูกยึดเอาไว้ มือใหญ่บีบเค้นฟอนเฟ้นตั้งแต่ต้นแขนลงไปถึงสะโพกนุ่มล้วงรุกผ่านกางเกงชั้นในตัวจิ๋วเข้าไปสัมผัสส่วนอ่อนไหวด้านใน
มากเกินไปแล้ว!!!!
เอเลนจิกเล็บลงกับข้อมือของชายหนุ่มเลือดซิบพร้อมกับกัดลิ้นอีกฝ่ายอย่างแรง เบลทรูทสะดุ้งเฮือกละมือจากตัวร่างบางทันที
“ผมแค่จะบอกว่ามีคนกำลังมาทางนี้” เอเลนกล่าวขณะที่ลูบผมจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง แล้วโหนตัวขึ้นขี่ลิลลี่ควบห่างจากเบลทรูทออกไปไกล
ดูเหมือนว่าลูกบ้าของเบลทรูทจะถูกใจเอเลนมากทีเดียว
คงใช้ประโยชน์ได้มากพอดู.........
เพียงเท่านี้ก็ได้เบี้ยงามๆมาใช้อีกหนึ่ง ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆเป็นค่อยๆไป
เบลทรูทที่เหมือนจะเพิ่งได้สติมองตามเอเลนที่ห่างออกไปไกลเรื่อยๆ
ติดกับอีกแล้ว........ติดกับน้ำเสียงหวานกับใบหน้างามนั้นเข้าอีกจนได้

“คุณเบลทรูทครับ มีแขกมาหานายท่านครับ”
เมื่อเดินตามเด็กรับใช้ออกไปยังหน้าบ้านก็พบกับชายหนุ่มแปลกหน้าร่างสูงผมสีน้ำตาลหยักศกหน้าตากวนอารมณ์ยืนนิ่งพิงรถเมอร์เซเดสเบ็นซ์สีขาวคันหรูกำลังถูกการ์ดประจำบ้านล้อมไว้อยู่
“ใคร” เบลทรูทเอ่ยถามขณะที่เด็กรับใช้ตอบ
“ไม่ทราบครับ แต่บอกว่ามีธุระมาพบกับนายท่าน”
เมื่อเห็นเบลทรูทก้าวออกมา ชายแปลกหน้าคนนั้นก็ตะโกนถามขึ้นทันที
“คุณรึเปล่าที่สามารถติดต่อกับเจ้าบ้านแอคเคอร์แมนได้ บอกเขาด้วยนายของผมมีเรื่องจะคุยกับเขา” น้ำเสียงห้วนสั้นของอีกฝ่ายไม่ค่อยจะเข้าหูเบลทรูทนัก แต่เขาก็ยังทนใช้คำสุภาพออกไป
“ไม่ทราบว่าพวกคุณเป็นใคร มีธุระอะไรกับเจ้านายของผมครับ”
“ก็บอกว่าเจ้านายของฉันน่ะ.....อ่ะ....เฮ้ย” ขณะที่ชายแปลกหน้าผู้นั้นกำลังจะเอ่ยตอบประตูรถด้านหลังฝั่งที่นั่งคนขับพลันเปิดออกกระแทกชายคนนั้นจนล้มคว่ำลงกับพื้น แล้วชายหนุ่มร่างสูงผมบลอนด์ทองในชุดสูทสีขาวก็ก้าวออกมาจากรถ
“อย่าเสียมารยาท ออลโอ เป็นแขกก็ควรจะทำตัวให้เกียรติเจ้าของบ้าน”
เมื่อเห็นใบหน้าชายหนุ่มผมบลอนด์เต็มตา เบลทรูทจึงรีบต่อสายหารีไวทันที


“รบกวนคุณแอนโทนี่กรุณารอสักครู่นะครับ วันนี้เจ้านายเข้าบริษัทแต่เช้า ตามกำหนดการที่แจ้งไว้ที่คุณจะมาคืออาทิตย์หน้า ทางเราจึงไม่ได้เตรียมการต้อนรับไว้ก่อน” เบลทรูทกล่าวขณะที่เดินนำผู้มาเยือนเข้ามารอที่ห้องรับแขก แอนโทนี่ยิ้มรับประโยคที่เหมือนจะต่อว่าอยู่กลายๆนั้น
“ก็คิดว่าจะเผื่อเวลามาเที่ยวด้วยน่ะ ไม่เคยได้มาอิตาลีสักที ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยแล้วกันที่มาโดยไม่แจ้งล่วงหน้า”
“รบกวนรอสักครู่นะครับ” เบลทรูทกล่าวก่อนจะเดินหายออกไปจากห้องเพื่อสั่งการกับพ่อบ้าน
“ก็แค่มาก่อนเวลานัดนี่มันจะตายรึไง” ออลโอบ่นไล่หลังชายหนุ่มร่างสูงที่เดินหายออกไปเบาๆ
“เราก็ผิดเองนั่นแหละที่ย่องมาเงียบๆไม่บอกเขาก่อน” แอนโทนี่กล่าวยิ้มๆขณะที่มองทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง ที่สนามดินไกลๆดูเหมือนจะมีใครบางคนควบม้าเล่นอยู่ในนั้น
“อยู่ที่นี่นะ ถ้าเผื่อเจ้าคนนั้นมันย้อนกลับมาก็บอกว่าฉันอยู่ข้างนอก” แอนโทนี่กล่าวขณะถือวิสาสะลุกเดินออกไปยังสระน้ำด้านหลังผ่านไปยังทุ่งหญ้าที่อยู่ไกลๆ ท่ามกลางแดดที่ร้อนเปรี้ยงขนาดนี้นึกไม่ถึงจริงๆว่าจะมีใครมาขี่ม้าเล่นอยู่แถวนี้
“ออกจะร้อนไปหน่อยสำหรับกีฬากลางแจ้งนะ” แอนโทนี่เอ่ยทักชายหนุ่มร่างบางที่ควบม้าผ่านหน้าเขาไป ชายคนนั้นชักม้าให้หยุดพลางกวาดสายตามองโดยรอบ เมื่อแน่ใจแล้วว่าเขาพูดกับตนจึงตอบกลับด้วยรอยยิ้มสดใส
“ไม่ได้เจอแดดมานาน ออกมาโดนแดดบ้างก็ดี”
“น่าเสียดายที่ผิวขาวๆแบบนั้นจะต้องถูกแดดเผาเสียหมด” แอนโทนี่กล่าวพร้อมกับเอนร่างพิงรั้วไม้อย่างสบายอารมณ์ ชายหนุ่มร่างบางหัวเราะขันขณะที่ควบม้าเลียบเข้าใกล้กับรั้วไม้
“ถ้าอย่างนั้นวันหลังผมจะทาครีมกันแดดไว้ก็แล้วกัน” เอ่ยตอบทีเล่นทีจริง ในเมื่ออีกฝ่ายหวังจะผูกมิตรกับเขาเอเลนก็ไม่คิดจะขัด
“แอนโทนี่ เลออนฮาร์ท” ชายหนุ่มร่างสูงผมบลอนด์ทองแนะนำตัวพร้อมกับยื่นมือมาหา เอเลนยิ้มรับขณะที่จับมือนั้นไว้
“เอเลน เยเกอร์ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“คุณเป็นเพื่อนกับเจ้าของบ้านนี้งั้นหรือ”
“ผมก็ไม่ค่อยจะแน่ใจนักว่าตัวเองเป็นอะไรกับเขากันแน่” เอเลนตอบด้วยใบหน้าที่เครียดขึ้งเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมา
“แล้วคุณเป็นเพื่อนเขาเหรอครับ”
“ผมกับคุณรีไวกำลังจะตกลงทำธุรกิจร่วมกัน เรียกว่าคงจะเป็นเพื่อนกันเร็วๆนี้ก็ได้”
ทำธุรกิจ!!!!
คำๆนี้ทำให้เอเลนหูผึ่งแทบจะทันที ถ้าหากธุรกิจที่ว่าเป็นธุรกิจผิดกฎหมาย ไม่แน่ว่าเขาอาจจะหาหลักฐานส่งให้กับผู้กองเอลวินได้จริงๆ บางที ผูกมิตรกับผู้ชายคนนี้ไว้ก็ไม่น่าเสียหายออกจะเป็นประโยชน์เสียด้วยซ้ำ
“จะรังเกียจมั้ยถ้าผมจะขอยืมม้าสักตัว”
“บังเอิญว่าผมก็ไม่ใช่เจ้าของม้าพวกนี้เสียด้วยสิ แต่สำหรับเจ้าลิลลี่นี่คงไม่มีปัญหาในเมื่อเจ้าของมันอนุญาตให้ผมขี่แล้วจะให้คุณขี่ด้วยก็คงได้” เอเลนกล่าวพร้อมกับกำลังจะปีนลงจากอานม้า แต่จังหวะนั้นแอนโทนี่กลับโหนตัวขึ้นนั่งซ้อนท้ายและกุมมือบางที่กำลังจะปล่อยบังเหียนเอาไว้แน่น
“ผมไม่เคยขี่ม้ามาก่อน คุณจะสอนผมได้รึเปล่า”
ไอ้นี่มันปากว่ามือถึงชะมัด!!!!
“ถ้าจะให้ผมสอน คุณควรจะมานั่งข้างหน้ามากกว่านะ” เอเลนเอ่ยตอบเสียงขรึม
“ผมตัวสูงกว่าคุณ ถ้าต้องนั่งข้างหน้าก็บังคุณแย่สิ นั่งแบบนี้แหละดีแล้ว” แอนโทนี่ก้มตัวลงกระซิบข้างใบหู เอเลนชักมือออกจากบังเหียนกอดอกตัวเองไว้แน่น ใบหน้าหวานหงิกงอขึ้นมาหน่อยๆ
“งั้นก็เชิญคุณตามสบายก็แล้วกัน”
แอนโทนี่ควบม้าให้วิ่งเหยาะๆแล้วฟาดมือลงกับบั้นท้ายเร่งให้ลิลลี่วิ่งเร็วขึ้น แรงกระชากดึงเอเลนให้หงายหลังชนกับอกของเขาพอดิบพอดี วงแขนใหญ่ละจากบังเหียนโอบเอวบางไว้ควบคุมม้าด้วยมือข้างเดียวสบายๆ
“ระวังด้วย ตกลงไปคงไม่สนุกเท่าไหร่” เอเลนกัดฟันกรอด เอ่ยสวนกลับไป
“ไหนคุณบอกว่าไม่เคยขี่ม้ามาก่อน”
“ผมเพิ่งจะนึกได้เมื่อครู่นี้ว่าที่จริงก็คุ้นเคยกับมันพอดู ไม่ว่ากันนะครับ”
ความเร็วที่ลิลลี่กำลังวิ่งทำให้เอเลนรู้สึกตาลายขึ้นมา ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่มีทางกล้าควบม้าในความเร็วขนาดเทียบเท่าม้าแข่งแบบนี้เด็ดขาด ในท้องพลันรู้สึกบิดมวนเหมือนจะขย้อนของที่กินไปเมื่อเช้าออกมา
ในจังหวะนั้นเองลิลลี่ก็ได้ผ่อนความเร็วลง มันค่อยๆวิ่งเลียบรั้วไม้ไปช้าๆก่อนจะหยุดนิ่ง นอกรั้วไม้นานาบะและเบลทรูทยืนรออยู่แล้ว เบื้องหน้าพวกเขาคือรีไว แอคเคอร์แมนที่ใบหน้าบึ้งตึงสนิท มิคาสะนั่งอยู่ที่โต๊ะน้ำชาใต้ร่มไม้ใหญ่กำลังคุยอยู่กับชายแปลกหน้าอีกคน แอนโทนี่เหวี่ยงตัวลงจากหลังม้าช่วยลูบหลังเอเลนที่ยกมืออุดปากตัวเองไว้ขำๆ
“ขอบคุณที่ช่วยสอนนะ ผมสนุกมาก” แอนโทนี่กล่าวพลางขยิบตาให้ เอเลนถลึงตาใส่อีกฝ่าย
เดี๋ยวปั๊ดอ้วกใส่เลยนี่!!!!
เขาหัวเราะเสียงดังแล้วกระโดดข้ามรั้วไม้ออกไป พูดคุยอะไรบางอย่างกับรีไวแล้วยกโขยงกันไปนั่งที่โต๊ะน้ำชาที่มิคาสะนั่งรออยู่ก่อนแล้ว เอเลนถือโอกาสเดินเนียนเข้าไปร่วมวงจิบชาด้วย แต่ยังไม่ทันจะหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยซ้ำน้ำเสียงหงุดหงิดเคร่งขรึมของเจ้าบ้านก็เอ่ยขึ้น
“จะไปเล่นที่ไหนก็ไป ตรงนี้ไม่ใช่สนามเด็กเล่น” รีไวเอ่ยขึ้นลอยๆ เอเลนหันไปถลึงตาแยกเขี้ยวใส่เขาด้วยความหงุดหงิด จำใจต้องเดินจากมาอย่างช่วยไม่ได้
ไม่เป็นไร อย่างไรเสียก็ยังมีเบี้ยตัวงามอย่างเบลทรูทอยู่ หรือค่อยไปแอบถามจากเจ้าหนุ่มผมทองทีหลังก็ได้...
ตัดสินใจปีนข้ามรั้วไม้กระโดดขึ้นหลังลิลลี่ควบห่างออกไปด้วยท่าทางไม่สนใจอีก แต่ในหัวกลับใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว
ไอ้คนขี้เก๊กนั่นโคตรหมั่นไส้มันจริงๆ ถ้าไม่เอาคืนเสียบ้างก็คงไม่หายแค้น.......
เอเลนควบม้าอ้อมผ่านโรงเลี้ยงผูกลิลลี่ไว้กับต้นไม้ใกล้ๆแล้วแอบเดินเข้าโรงเลี้ยงม้าเงียบๆเปิดประตูคอกปล่อยม้าทั้งหมดให้เป็นอิสระแล้วจึงไปหยุดอยู่หน้าคอกของสตอร์ม ริมฝีปากบางเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์เอ่ยกับเจ้าม้าหน้าหยิ่งเสียงเบา
“ให้ความร่วมมือกันหน่อยนะเจ้าหนู........”

“ผมยังมีเวลาอยู่ที่นี่ได้อีกเป็นเดือน แต่ที่เดินทางมาก่อนเพราะอยากจะจัดการข้อตกลงของเราให้เสร็จเรียบร้อย แล้วหลังจากนั้นคิดว่าจะได้มีเวลาพอได้พักผ่อนอีกหน่อย พรุ่งนี้ผมมีแพลนว่าจะไปล่องเรือที่ทะเลสาบมาโจเลสักหน่อย ถ้ายังไง ถือโอกาสนี้ล่องเรือไปด้วยคุยเรื่องข้อตกลงของเราไปด้วยแบบนั้นน่าจะเป็นส่วนตัวดีนะ คุณเห็นด้วยรึเปล่า”
แอนโทนี่แสร้งทำทีพูดจาไปเรื่อยเปื่อยแต่ก็ยังประเมินท่าทีของรีไวไปด้วยในตัว ด้านฝ่ายรีไวเองก็เงียบเขารู้ดีว่าจุดประสงค์ของแอนโทนี่คืออะไร นัดทำข้อตกลงกันบนเรือสำราญล่องทะเล แน่นอนว่าถ้าหากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกิดตุกติกแล้วเปิดฉากใส่กันขึ้นมาอาศัยภูมิประเทศทางทะเลอำพรางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นย่อมทำได้ง่าย อีกอย่างเพื่อการนี้แอนโทนี่ย่อมต้องมีการเตรียมพร้อมไว้รอท่าและถ้าหากพวกเขาก้าวลงเรือไปแล้วย่อมต้องเสียเปรียบเต็มๆ แต่จะมองอีกทางหนึ่ง นี่ก็คือบททดสอบแรกของการทำธุรกิจร่วมกัน
ความจริงใจและความเชื่อใจ.........
นี่คงเป็นแผนอีกอย่างที่พวกเลออนฮาร์ทใช้ทดสอบเขา
ก็ช่างมันสิ!!!!
ถ้าอีกฝ่ายเกิดตุกติกขึ้นมา ก็ใช่ว่าเขาจะยอมปล่อยไปง่ายๆ ที่นี่คืออิตาลี ทั่วทุกตารางนิ้วบนแผ่นดินนี้นั้นอยู่ในการควบคุมของเขาอยู่แล้ว รีไวไม่เชื่อว่ามาเฟียฝรั่งเศสพวกนี้จะแผลงฤทธิ์ได้ง่ายๆ
“ถ้าคุณไม่สะดวกใจ จะพาคนของคุณไปด้วยเท่าไหร่ก็ได้ ผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” แอนโทนี่กล่าวด้วยรอยยิ้มสบายๆ
“จะยังไงก็ได้ ผมยินดีพาทัวร์เต็มที่” รีไวกล่าวตอบตกลง แอนโทนี่ยิ้มรับ
“พูดกันง่ายๆแบบนี้ค่อยน่าร่วมงานด้วยหน่อย”
มิคาสะที่เอาแต่นั่งเงียบเฝ้าสังเกตท่าทีของแอนโทนี่อยู่ตั้งแต่ต้นให้ข้อสรุปกับตัวเองในทันทีว่า
ไอ้หมอนี่มันไว้ใจไม่ได้!!!! แต่ก็นั่นแหละ จะกระโตกกระตากตอนนี้ก็คงไม่ได้ เขาคงต้องคุยเรื่องนี้กับรีไวทีหลัง

แต่ในขณะนั้นเองเสียงโหวกเหวกจากทางโรงเลี้ยงม้าก็ดึงความสนใจของทุกคน ประตูไม้ถูกกระแทกเปิดออกอย่างแรงขณะที่ม้าทั้งฝูงวิ่งกรูกันออกมาอย่างตื่นตระหนก ในจำนวนนั้นมีเอเลนที่ขี่สตอร์มรวมอยู่ด้วย ม้าสีดำออกตัวพยศอย่างรุนแรงมันพยายามวิ่งรวมฝูงสะบัดเอเลนให้ตกลงจากหลังแต่เอเลนกลับยึดแผงคอมันไว้แน่น สตอร์มวิ่งตีคู่แซงม้าตัวอื่นๆขึ้นไปนำเป็นจ่าฝูง เบลทรูทออกวิ่งไล่ตามม้าฝูงนั้นไปแต่รีไวกลับเร็วกว่าเขากระโดดข้ามรั้ววิ่งตีคู่ไปกับม้าสีขาวที่อยู่วงนอกสุดคว้าจับแผงคอแล้วโหนตัวขึ้นนั่งควบมันไล่ตามสตอร์มและเอเลนไป
“เอเลนจับไว้ให้แน่นๆ ห้ามปล่อยมือเด็ดขาด” รีไวตะโกนไล่หลังไป เอเลนกัดฟันกรอดมือเรียวที่ขยุ้มขนแผงคอเจ้าม้าเจ้าปัญหาชุ่มไปด้วยเหงื่อจนรู้สึกลื่นแทบจับไม่อยู่
“ชิ!!!” รีไวสบถเสียงเบา ฝีเท้าของสตอร์มนับว่าเป็นที่หนึ่ง ม้าตัวที่เขาขี่อยู่วิ่งตามได้ถึงขนาดนี้ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว
เข้าสู่ช่วงโค้งของสนามสตอร์มเริ่มผ่อนแรงลง แต่รีไวกลับเร่งความเร็วม้าที่ขี่ขึ้นตีคู่ เมื่อได้ระยะที่พอเหมาะ ร่างใหญ่ทิ้งตัวกระโจนร่างโถมเข้าหาเอเลนวงแขนใหญ่คว้ากอดล็อคท้ายทอยและเอวบางไว้ปกป้องส่วนสำคัญของร่างกายใช้ร่างของตนทาบทับห่อหุ้มร่างเอเลนลดแรงกระแทก เมื่อสัมผัสกับพื้นเขาพลิกตัวพาเอเลนหมุนตลบลอดรั้วไม้ออกมานอกสนามม้าหลายเมตร ม้าสีขาวเสียหลักชนเข้ากับสตอร์มม้าทั้งฝูงแทบจะล้มระเนระนาดไปคนละทิศละทางจนฝุ่นตลบ ตัวที่ตั้งหลักได้พวกมันต่างพากันลุกขึ้นแล้วออกวิ่งกันต่อ
“เป็นอะไรรึเปล่า” รีไวก้มหน้าถามคนในอ้อมกอด เอเลนส่ายหน้า มือบางขืนตัวผลักร่างใหญ่ของรีไวออกไป ทั้งตัวเขาเต็มไปด้วยรอยแผลถลอกปอกเปิกเศษหญ้าเศษดินติดเต็มเสื้อผ้าในขณะที่ตัวเอเลนเองไม่เป็นอะไรเลยนอกจากฝุ่นดินที่เลอะเสื้อผ้าเท่านั้น
ดี!!! เจ็บเสียบ้างก็ดี......
เอเลนหยัดกายลุกขึ้นยืนไม่สนใจคนที่ยังนั่งคลุกฝุ่นอยู่ที่พื้น ดวงตากลมโตมองไปยังลานดินเบื้องหน้า สตอร์มนอนดิ้นชักอยู่บนพื้นในท่วงท่าที่แปลกประหลาดขาทั้งสี่ข้างเหยียดชี้ฟ้า คอพับหักผิดรูป มันกำลังดิ้นอย่างแรงด้วยความทุรนทุราย
“มันเป็นอะไร สตอร์มมันเป็นอะไร” เอเลนเกาะรั้วไม้หันไปถามรีไวที่ยังนั่งเจ่าอยู่กับพื้น
“คิดว่าคอมันคงหักตอนที่ล้มเมื่อครู่” รีไวตอบเสียงเรียบหยัดกายยืนขึ้นเดินกะเผลกมาหยุดอยู่ข้างเอเลน
“รออะไรอยู่ล่ะ คุณรีบตามหมอสิ ช่วยมันหน่อย” เอเลนหันไปตวาดใส่เขาด้วยความร้อนใจ แต่รีไวกลับยืนนิ่งทอดสายตามองม้าคู่ใจที่กำลังทุกข์ทรมานเงียบๆ
แล้วทำไมยังเฉยอยู่ล่ะ!!!
เอเลนรู้สึกหงุดหงิดจึงหันไปโวยวายกับนานาบะและเบลทรูท
“ทำอะไรสักอย่างสิ ตามหมอมาที ดูมันสิมันจะตายอยู่แล้ว”
ร่างบางรู้สึกร้อนรน สาเหตุเรื่องวุ่นวายทั้งหมดนี้แน่นอนว่าเป็นเพราะเขา แต่เขาก็ไม่อยากจะให้มันบานปลายถึงขนาดนี้
“นี่อย่ามัวแต่เฉยสิ.....พวกคุณใครก็ได้ ตามหมอมาเถอะ” เอเลนเอ่ยขอร้องอีกครั้งแต่ในตอนนั้นเองเสียงระเบิดของลูกปืนที่ดังจนหูแทบดับก็แผดเสียงขึ้นหนึ่งนัด
ร่างที่กำลังดิ้นด้วยความทรมานก็แน่นิ่ง ฝุ่นควันที่ฟุ้งตลบค่อยๆจางลง เอเลนละสายตาจากร่างของสตอร์มมองไปยังชายหนุ่มร่างใหญ่ที่ยืนอยู่ห่างจากเขาออกไปหลายเมตร
รีไว แอคเคอร์แมนยังยืนอยู่ที่เดิมในมือถือเบอร์เร็ตต้าสีดำที่ขึ้นควันโขมงไว้มั่น เขาเก็บปืนซุกไว้กับเสื้อโค้ทด้านในด้วยสีหน้าเรียบเฉยกล่าวกับพ่อบ้านขณะที่เดินออกจากสนามไป
“จัดการเก็บกวาดให้เรียบร้อยด้วย” ขณะที่เดินผ่านเอเลนเขาปรายตามองสีหน้าร่างบางเล็กน้อยแต่ก็เดินผ่านออกไปเฉยๆ
เอเลนได้แต่อ้าปากค้างด้วยความตกใจ เขาไม่คิดว่ารีไวจะลงมือฆ่ามันด้วยตัวเองจริงๆ ไม่ใช่ว่าสตอร์มเป็นม้าตัวโปรดของเขาหรอกหรือ......
“น่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ เป็นการแสดงที่น่าดูชมดีนะครับ” แอนโทนี่เอ่ยกลั้วหัวเราะพร้อมกับตบมือด้วยความชอบใจ แต่รีไวก็ไม่ได้ใส่ใจเขาเดินเข้าบ้านไปเงียบๆ
“เฉียบขาดมากจริงๆ” รอยยิ้มทะเล้นค่อยๆเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
รีไว แอคเคอร์แมน คนๆนี้ประมาทไม่ได้จริงๆ
เอเลนทอดสายตามองร่างของม้าตัวใหญ่ที่นอนนิ่งอยู่กลางสนามรู้สึกเสียวสันหลังวาบ เสื้อเชิ้ตที่สวมอยู่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

แม้แต่ของรักของหวง ผู้ชายคนนั้นยังตัดสินใจสลัดทิ้งได้โดยไม่ลังเล.........แล้วตัวเขาที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องเกี่ยวพันอะไรกับคนๆนั้นแม้แต่น้อย เมื่อถึงคราวจำเป็นขึ้นมาก็คงต้องถูกสลัดทิ้งอย่างไม่มีเยื่อไยเหมือนกัน