Attack On Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์ Chapter 27
ผ่าภิภพบันทึกฟาโรห์
Pairing: Levi x Eren
Rate: NC-17
Story by: AkeRah + Trendy Blood
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง
ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน
แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
………………………………………………………………
Chapter: 27
“คืนนี้เป็นคืนเดือนดับ
ทัศนวิสัยโดยรอบไม่ใคร่จะแจ้งนักแต่โดยรวมแล้วดูปกติดี”
“......................”
“เอ๋!!! ท่านเอเลน?.......ท่านมิคาสะ?”
หญิงสาวที่กลับจากการเดินตรวจตราเพิ่งจะรู้สึกว่าในห้องที่เพิ่งก้าวเข้ามานี้ว่างเปล่าไม่มีผู้ใดอยู่ก็ต่อเมื่อกวาดตามองฝ่าความมืดในห้องที่ปราศจากซึ่งแสงตะเกียง
“นี่ไม่อยู่กันหรอกหรือ”
กล่าวถามเสียงเบาด้วยความฉงน
พร้อมกับเดินไปที่เตียงกว้างตลบรื้อผ้าห่มขึ้นค้นหาแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า
กอปรกับที่หูได้ยินเสียงเคลื่อนไหวแผ่วเบาจากภายนอกจึงดีดตัวพลิกร่างปีนป่ายขึ้นไปบนขื่อคานมุดลอดออกไปทางช่องแคบๆบนหลังคาคอยซุ่มดูสถานการณ์อยู่บนนั้นเงียบๆ
กลุ่มคนชุดดำราวๆสามถึงสี่คนลอบเข้ามาในห้องพักของร่างอวตาร
โดยไม่มีผู้ใดปริปากกลุ่มคนเหล่านั้นเคลื่อนไหวแทบจะพร้อมกัน ประกายดาบตวัดขวับตัดความมืดจ้วงแทงเข้าไปที่กองผ้าห่มบนเตียงอย่างพร้อมเพียง
เศษผ้าห่มปลิวว่อนเป็นชิ้นๆกระจายเกลื่อนทั่ว
“ไม่มี”
“มันออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ค้นให้ทั่ว เจอตัวแล้วฆ่าได้ทันที”
กลุ่มชายชุดดำสนทนากันสั้นๆก่อนจะแยกกันกระจายตัวออกไปจากห้อง
แอนนี่ที่แอบซุ่มดูสถานการณ์อยู่บนหลังคาได้แต่ใจกระตุกเงียบๆ
ดูท่าพวกฮิตไทต์คงจะเล่นไม่ซื่อกับพวกตนเสียแล้ว
แต่นับว่ายังโชคดีที่เอเลนและมิคาสะเคลื่อนไหวกันไปก่อน
เห็นท่าคงต้องรีบตามหาและรีบพาเอเลนกลับไปสมทบกับทัพของธีบส์ให้เร็วที่สุด
เพียงแต่ว่าตอนนี้.............
“พวกท่านไปอยู่ที่ไหนกันล่ะ.......”
โลกปัจจุบัน
“โอย.........ตาฉัน.....ล้าไปหมดแล้วเนี่ย”
เสียงบ่นโอดครวญของหญิงสาวดังลอดออกมาจากกองหนังสือที่แทบจะถล่มทับศีรษะเธออยู่รอมร่อ
“เอาน่าๆ รายงานก็ทำจนเสร็จแล้ว
อีกไม่กี่วันก็สอบ ตั้งใจเข้าน่ามิคาสะ”
อาร์มินเอ่ยให้กำลังใจขณะที่ยกกาแฟเข้ามาเสิร์ฟให้เพื่อนทั้งสองด้วยรอยยิ้มสดใส
มิคาสะรับถ้วยกาแฟไว้ด้วยรอยยิ้มตาปรอยพร้อมกับเอ่ยขอบคุณเบาๆ
“แต่ฉันอ่านจบแล้วนะ เดี๋ยวจะออกไปผ่อนคลายซะหน่อย”
เอเลนยิ้มกริ่มตอบพร้อมกับจิบกาแฟร้อนให้สดชื่นขึ้นบ้าง
“ทำไมถึงเหลือแต่ฉันล่ะเนี่ย”
มิคาสะบ่นอุบขณะที่ยกกาแฟขึ้นซดโฮกแก้เซ็ง
“น่าๆ ตั้งใจเถอะ อาร์มินอุตส่าห์ช่วยติวให้นะ
ไม่งั้นไม่ทันสอบแน่ ฉันจะเข้าไปในเมืองสักหน่อยแล้วกัน”
เอเลนลูบผมหญิงสาวที่ฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะอย่างหมดแรงก่อนจะสะพายกระเป๋าเป้ใบโปรดออกจากห้องพลางแว่วได้ยินเสียงบ่นลอดออกมาเบาๆ
“ฉันก็อยากไปเดินเที่ยวกับเอเลนบ้างจัง”
“น่าๆ
ถ้าเธออ่านวิชานี้จบเย็นนี้เราชวนเอเลนออกไปหาอะไรกินกันในเมืองก็ได้นา”
ใช้เวลาเดินออกจากมหาวิทยาลัยมาประมาณสิบห้านาทีก็เข้าสู่เขตตัวเมืองที่เป็นย่านจับจ่ายสินค้า
ขณะที่กำลังครุ่นคิดว่าจะซื้ออะไรกลับไปฝากคนที่ธีบส์กับฮิตไทต์ดีก็พลันเหลือบไปเห็นร้านสไตล์วินเทจเล็กๆ
ที่ด้านหน้าประดับโคมไฟตกแต่งโทนสีส้มแขวนกระดิ่งโบราณสีทองอันใหญ่เอาไว้คอยส่งเสียงกรุ๋งกริ๋งเมื่อประตูปิดเปิด
บนประตูไม้ที่ลงแล็คจนเงาวับติดป้ายชื่อ Mr.Wooden เอาไว้หน้าร้าน
เมื่อเอเลนเปิดประตูร้านเข้าไปก็พบว่าข้างในนี้มีสินค้าทำมือที่ทำจากงานไม้หลายอย่าง
มีตั้งแต่ของตั้งโชว์เล็กๆไปจนถึงนาฬิกาตั้งพื้นเรือนใหญ่ที่จะมีกระรอกวิ่งออกจากรังมาแทะวอลนัทให้ดูทุกๆ1ชั่วโมง
“มีอะไรถูกใจบ้างมั้ยล่ะพ่อหนุ่ม”
“สวยๆทั้งนั้นเลยครับ เลือกยากไปอีก”
เอเลนยิ้มตอบชายชราเคราขาวที่ถือกล้องยาสูบไม้ลวดลายแปลกตายืนพ่นควันปุ๋ยๆอยู่หลังเคาน์เตอร์ไม้ตัวโต
“คนสมัยนี้เขาไม่สนใจสินค้าทำมือราคาถูกๆกันหรอก......นู่นจะหาของขวัญแต่ละทีต้องวิ่งไปเสียเงินกันในห้างหรูๆนู่นแน่ะ”
“แต่แบบนั้นก็ดูดาษดื่นเกินไปนะครับ
ดูไม่ค่อยมีความหมายเท่าไหร่” เอเลนเอ่ยตอบขณะก้มหน้าก้มตาดูกล่องไม้แกะสลักกล่องหนึ่งพลางคิดไปพลาง
‘เอาปากกาสวยๆสักด้ามใส่กล่องใบนี้ไว้ให้เจ้าคนหื่นกามคนนั้นใช้ก็ไม่เลวแฮะ’
ท่านผู้เฒ่าหัวเราะหึหึกับคำตอบของเด็กหนุ่มก่อนจะเอ่ย
“สนใจกล่องใส่ของนั่นเหรอ เอาสิจะลดให้พิเศษ
สินค้าทุกชิ้นในร้านปู่ทำเองกับมือรับประกันความคงทนแข็งแรงสวยงาม”
“ตกลงฮะ ผมเอาชิ้นนี้”
ทั้งสองตกลงราคากันเล็กน้อยไม่นาน
กล่องไม้แกะสลักก็ไปอยู่ในมือเอเลนเรียบร้อย
“ปู่ถนัดงานไม้พวกนี้มากใช่มั้ยครับ”
“ฉันเกิดมากับงานไม้พวกนี้
ตายก็คงจะตายกับของพวกนี้ด้วยเหมือนกัน นี่ขนาดโลงศพก็ทำไว้เองแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น
ปู่ช่วยทำของสิ่งนี้ให้มันคงทนแข็งแรงขึ้นหน่อยได้มั้ยครับ” เอเลนถอดแหวนต้นกกที่ดูจะเปื่อยมากขึ้นลงตรงหน้าผู้เฒ่า
“ของสำคัญเหรอ.......อืม.......อีกสองวันค่อยมารับแล้วกัน”
เดินเตร่ไปเตร่มาในเมืองอยู่อีกพักใหญ่เจ้าตัวก็ไปลงเอยที่หอสมุดกลางมหาวิทยาลัย
ใช้เวลารื้อค้นหนังสือประวัติศาสตร์อียิปต์มาได้ตั้งใหญ่ๆค่อยหามุมสงบนั่งอ่านคนเดียวเงียบๆ
“ไม่นึกเลยว่าจะเจอคนที่หมกมุ่นกับองค์รามเมสที่2ถึงขนาดนี้อีกคน”
เอเลนเงยหน้ามองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เจ้าของเสียงทุ้มลึกที่เอ่ยกับตน
พี่ชายหน้าหมีคนนั้นถือวิสาสะลากเก้าอี้มานั่งโต๊ะเดียวกันกับเขา
“ถ้าเป็นเพื่อนฉัน มันก็จะตอบว่าแน่นอนเรื่องนี้เป็นหัวข้อหลักในการทำวิจัยป.โทของมัน
แต่เจ้านั่นก็ออกจะหมกมุ่นเกินไปนิด เล่นตามรอยทุกสถานที่อนุสรณ์สถานของรามเมสที่2
เสียขนาดนั้น นี่ฉันยังอดสงสัยไม่ได้ว่าชาติก่อนมันเกิดเป็นคนอียิปต์หรือยังไง
นี่ๆ ดูนี่นะ............”
เอเลนมองพี่ชายแปลกหน้าที่จู่ๆก็เข้ามานั่งพูดคุยด้วยเป็นควุ้งเป็นแควทั้งที่ไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกันแล้วก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ
“มหาวิหารอาบูซิมเบลเนี่ยไปบ่อยเหลือเกินก็เข้าใจนะว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่สมบูรณ์ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์
แต่เจ้าหมอนี่มันก็ไปบ่อยจนแทบจะนับหินทุกก้อนได้ปรุหมดแล้วเหอะ โดยเฉพาะนี่เลยรู้อะไรมั้ยรูปพวกนี้เขาไม่อนุญาตให้ถ่ายออกมาหรอกนะแต่แน่นอนเราเป็นคณะสำรวจวิจัยโบราณคดีนี่นาทำไมจะถ่ายไม่ได้กันล่ะ
เจ้านั่นมันเอาแต่ไปเฝ้ายืนดูรูปปั้นทั้งสี่ตัวนี้ได้เป็นวันๆแล้วก็พึมพำกับตัวเองว่าไม่ใช่ๆ
อยู่นั่นแหละ”
เอเลนรับโทรศัพท์มาดูรูปที่ว่า
รูปปั้นตัวแรกส่วนศีรษะเสียหายจนไม่เห็นใบหน้า
แต่อีกสามตัวถัดมาสภาพยังสมบูรณ์ดีเยี่ยม
“ผมไม่เคยไปวิหารนั่นมาก่อนเลย”
“อ้าว จริงเหรอเนี่ย สำหรับแฟนคลับขององค์รามเมสที่ไม่ได้ไปทัวร์อาบูซิมเบลถือว่าพลาดนะน้องชาย
นี่คือห้องบูชาด้านในวิหารว่ากันว่ารูปสลักบูชาทั้งสี่ตัวที่พระองค์ให้ทรงสร้างขึ้นนี่คือรูปสลักของพระองค์กับเหล่าเทพน่ะสิ
คิดเอาเถอะว่าองค์รามเมสที่2จะต้องเป็นผู้ชายที่มีความมั่นใจขนาดไหนถึงได้กล้ายกตัวเองขึ้นเป็นเทพได้ขนาดนี้”
พี่ชายหน้าหมีกล่าวพลางหัวเราะร่วนซึ่งทำให้เอเลนรู้สึกฉุนนิดๆ
“ถ้าคุณได้รู้จักเขาผมว่าคุณคงจะหัวเราะไม่ออกแน่ๆ.......แต่รูปปั้นเหล่านี้เป็นรูปของเทพอะไรเหรอครับ”
“นี่นะตัวแรกที่หน้าหายไปเป็นเทพราสุริยะเทพถัดมาตัวที่สองที่อยู่ข้างกันนั้นคือรูปของพระองค์เองไงล่ะ
เห็นมั้ยเขากล้าจริงๆนะถึงกับกล้ายกตนเสมอเทพราได้เนี่ย แล้วตัวที่สามก็คือเทพอามุนเทพประจำเมืองธีบส์ตัวที่สี่คือเทพพทาห์เทพประจำเมมฟิสไงล่ะ”
เอเลนรับฟังคำอธิบายพร้อมกับรอยยิ้มที่กว้างขึ้นเรื่อยๆก่อนจะเอ่ยตอบ
“นั่นก็เป็นเพราะพระองค์ทรงให้ความสำคัญกับเทพราไม่ใช่หรือครับ
ยุคสมัยของพระองค์ถึงได้รุ่งเรืองเป็นสุขยาวนานได้ถึงหกสิบกว่าปี
นั่นต้องเป็นเพราะบารมีของเทพราช่วยปกป้องคุ้มครองแน่ๆ”
เอเลนยิ้มพร้อมทั้งหอบหนังสือทั้งหมดขึ้นจากโต๊ะ
“ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับ
เห็นทีผมคงต้องหาโอกาสไปเยือนมหาวิหารอาบูซิมเบลบ้างซะแล้วสิ” เอเลนเดินจากมาโดยไม่แม้แต่จะคิดทำความรู้จักกับพี่ชายหน้าหมีผู้ฝอยน้ำลายแตกฟองคนนี้เลยด้วยซ้ำพลางหวนนึกกลับไปถึงธีบส์ที่ตนเพิ่งจากมา
ดูเหมือนว่าจะยังไม่มีวี่แววการสร้างวิหารนี้เลยแฮะ
ดูท่ามหาวิหารที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ตนคงจะได้เห็นกับตาตัวเองตั้งแต่เริ่มก่อสร้างจนเสร็จสิ้นแน่นอน
คิตชูวัตนา
เจ้าชายแจนกวาดตามองพืชพันธุ์ที่เน่าเปื่อยเสียหายตรงหน้าแล้วก็ไร้ซึ่งคำพูด
“หม่อมฉันได้กราบทูลไปแล้วว่านี่ต้องเป็นแผนลวงของพวกอียิปต์
แสร้งส่งร่างอวตารมาเชื่อมสัมพันธไมตรีแท้จริงแล้วเข้ามาเป็นไส้ศึกดีๆนี่เอง
ทำให้พืชพันธุ์ธัญญาหารเสียหายตัดแหล่งอาหารของพวกเราอาศัยช่วงที่กำลังรบของพวกเราอ่อนแอปั่นป่วนเข้ามาโจมตี
นี่ตั้งแต่เกิดเรื่องพวกนี้ร่างอวตารคนนั้นก็หายสาบสูญไปไม่แน่ว่าป่านนี้คงคาบข่าวกลับไปให้กษัตริย์รามเมสไปแล้ว
ท่านพี่โปรดตัดสินพระทัยด้วยเถิดว่าถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่เราจะเปิดสงครามกับอียิปต์อย่างเป็นจริงเป็นจังเสียที”
“ยังก่อน อย่าวู่วามเกินไป
ข้าไม่.................”
ไม่เชื่อว่าเอเลนจะเป็นตัวการทำเรื่องร้ายกาจเช่นนี้ ต้องไม่ใช่แน่นอน
“แต่ ท่านพี่
พระองค์ก็ทรงเห็นกองกำลังของอียิปต์ยังคงรั้งรออยู่ที่นี่
ทั้งๆที่คนของพวกเขาก็มิได้อยู่กับเราแล้วหากมิใช่ว่าคอยเฝ้ารอให้เราเสียสูญแล้วชิงโอกาสบุก
พวกเขาจะยังรั้งอยู่ที่นี่เพื่ออันใดกัน”
“เราต้องสืบเรื่องนี้ให้ชัดเจนเสียก่อน
สั่งทหารให้เตรียมรับสถานการณ์ไว้หากไม่มีคำสั่งจากข้าห้ามเคลื่อนไหวใดๆ”
แจนยื่นคำขาดให้กับเอลามก่อนจะสะบัดกายเดินทิ้งห่างจากพระอนุชากลับเข้าห้องทรงงาน
ตราบเมื่ออยู่กันสองคนกับมาร์โคแล้วจึงเอ่ยถาม
“ยังมิเจอตัวเอเลนอีกหรือ”
“ฝ่าบาท ไร้ซึ่งแม้แต่เงาพะยะค่ะ ทั้งผู้อารักขาทั้งสองอย่างท่านแอนนี่และท่านมิคาสะก็หายตัวไปด้วย
ไม่แน่ว่า......เรื่องนี้อาจจะมีเงื่อนงำอย่างที่เจ้าชายเอลามทรงตรัสทูลก็เป็นได้พะยะค่ะ”
“ไม่มีทาง ไม่มีทางที่เอเลนจะทำเช่นนี้
ข้ารู้จักเขาดี เขาไม่มีวันหักหลัง.......ไม่หักหลังข้า” มือใหญ่กำแน่นด้วยความขุ่นข้องใจ
แม้จะมีเบาะแสชวนให้นึกสงสัยแต่แจนก็ไม่มีทางเชื่อว่าเอเลนจะตลบหลังเขาได้จริงๆ
เจ้าจะไม่หักหลังข้า
ใช่มั้ยเอเลน.....................
อีกด้านหนึ่ง
“ฝ่าบาท!!! ฝ่าบาท!!!
ได้โปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วย”
เด็กหนุ่มร่างสูงโปร่ง ผิวขาวบางที่ถูกจับมัดโยนทิ้งไว้บนพื้นกล่าวอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน
“หืม.....ไม่เลวนี่”
เจ้าชายเอลามเชยใบหน้ามนของเด็กหนุ่มผู้ร่ำไห้ด้วยความหวาดกลัวขึ้นพิศ
“โปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยเถิด”
“ใบหน้าหล่อเหลาดีทีเดียว
แต่ผมและดวงตาสีดำนี่........”
“ทูลฝ่าบาท เรื่องนี้มิเป็นปัญหาพะยะค่ะ
สีผมสามารถใช้สีย้อมปกปิดได้ ส่วนดวงตา ควักออกเสียก็สิ้นเรื่องพะยะค่ะ”
คนสนิทกราบทูลเสียงเหี้ยมนั่นยิ่งทำให้เด็กหนุ่มร้องเอะอะโวยวายหนักขึ้น
“ปิดปากมัน” เจ้าชายเอลามโบกมือสั่งอย่างรำคาญ
เด็กหนุ่มก็ถูกปิดปากไว้แน่นหนาแต่ดวงตายังคงเหลือกค้างร่างกายสั่นเทิ้มอย่างหวาดกลัว
“ไปหาตัวมันได้จากไหน”
“แค่ทาสธรรมดาคนหนึ่ง
จับมาขัดถูตัวสักหน่อยก็เป็นอย่างที่เห็นพะยะค่ะ แต่ระหว่างพาตัวมาถึงจะถูกคนเข้ามาขวางก็ถูกคนของเราจัดการเสียบาดเจ็บหนักไปแล้วพะยะค่ะ”
“มีคนล่วงรู้แผนการนี้รึ ใช่คนของพี่ข้าหรือไม่”
“คนผู้นั้นแต่งกายรัดกุมสีดำไม่ระบุสถานะที่ชัดเจน
แต่ฝ่าบาทอย่าได้กังวลไปเพราะกระหม่อมสั่งให้คนของเราตามเก็บผู้ที่รู้เห็นทั้งหมดแล้วพะยะค่ะ”
“ดี ฆ่าให้หมด
ส่วนเจ้าเด็กนี่ก็ไปจัดการให้เรียบร้อย ในเมื่อพระเชษฐาของข้ายังทรงนิ่งเฉยอยู่ได้เช่นนี้
ข้าก็จะเป็นธุระจัดการเรื่องทุกอย่างให้พระองค์เอง”
กองทัพอียิปต์
“เสด็จพ่อ ลูกขอเข้าเฝ้าได้รึไม่พะยะค่ะ”
เสียงกราบทูลจากนอกกระโจมทำให้คนที่กำลังใจลอยพลันได้สติขึ้นมา
“เบเซ็ทรึ......เข้ามา”
หลังสิ้นเสียงตรัสเจ้าชายหนุ่มก้าวเข้ามายังกระโจมด้วยใบหน้าหมองหม่นอย่างเช่นหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
เมื่อทรงเห็นเป็นเช่นนั้นพระองค์ก็รู้สึกได้ทันทีว่าวันนี้ยังคงไม่มีข่าวดีอีกเช่นเคย
“ยังไม่เจอตัวอีกรึ”
“พะยะค่ะ
เงียบหายกันไปทั้งสามคนเช่นนี้ลูกเกรงว่าคงจะไม่ใช่เรื่องดีเสียแล้ว”
ได้ฟังคำกล่าวทูลแล้วก็ได้แต่นิ่วพระพักตร์อย่างหงุดหงิด
ตาย...............อย่างนั้นหรือ
จะเป็นไปได้อย่างไรกัน พระองค์ไม่ยอมเชื่อเด็ดขาด
“ทางฝั่งมูวาตัลลิส เคลื่อนไหวอะไรหรือยัง”
องค์รามเมสตรัสถามเสียงนิ่ง
“ยังพะยะค่ะ
จนถึงขณะนี้ทางฝั่งเจ้าชายแจนยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แต่ว่าเสด็จพ่อ
หากนี่คือแผนการของฮิตไทต์ที่คิดจะกักตัวท่านเอเลนเอาไว้เล่าพะยะค่ะ
ลูกเห็นว่า.................”
“ทูลฝ่าบาท
เจ้าชายเอลามจากคิตชูวัตนาขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ”
สิ้นเสียงขอพระราชทานอนุญาตองค์ฟาโรห์รามเมสส่งสายพระเนตรให้พระโอรสสงบคำในทันทีก่อนจะเอ่ยตรัส
“เชิญ”
ทหารองครักษ์ประจำพระองค์เดินนำผู้มาเยือนเข้ามาด้านใน
ด้านหน้าสุดคือเจ้าชายเอลามผู้เดินเข้ามาด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ ส่วนด้านหลังได้แก่ทหารคนสนิทที่แบกเปลผ้าตามเข้ามา
บนเปลนั้นมีร่างที่นอนนิ่งเหยียดยาวถูกคลุมด้วยผ้าขาวที่ชุ่มเลือดวงใหญ่ๆ
ท่อนแขนขาวเนียนเลอะคราบเลือดห้อยตกร่องแร่งออกมาด้วยสภาพผิดรูป
เปลผืนนั้นถูกวางลงต่อพระพักตร์ขององค์รีไวทั้งที่ยังมีผ้าคลุมปิดไว้
พร้อมกันนั้นเจ้าชายเอลามก็ได้ถึงกับคุกเข่าอย่างผู้ลุแก่โทษ
“โปรดทรงลงพระอาญา
กระหม่อมบากหน้ามาครานี้เพื่อขอรับโทษพะยะค่ะ
ด้วยพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ที่มีแก่ชาวฮิตไทต์ถึงขนาดส่งร่างอวตารแห่งเทพราไปเป็นราชทูต
ในฐานะเจ้าบ้านกระหม่อมบกพร่องในหน้าที่ที่มิอาจดูแลราชอาคันตุกะให้ดี
ปล่อยให้พระเชษฐากำเริบเสิบสานกระทำการใหญ่ถึงขั้นสังหารร่างอวตารผู้นี้
ด้วยความที่มิอาจทนนิ่งเฉยอยู่ได้กระหม่อมจึงจำต้องลอบนำข่าวนี้มากราบทูลแก่พระองค์
แม้มีใจอยากจะช่วยท่านร่างอวตารแต่นึกไม่ถึงว่าจะสายเกินไปเช่นนี้
ขอฝ่าบาทโปรดทรง........”
“ออกไป!!!!”
พระสุรเสียงตวาดก้องดังราวกับฟ้าผ่า ทั่วทั้งพระวรกายสั่นเทิ้มด้วยความพิโรธ
ตั้งแต่ที่เห็นร่างในเปลถูกหามเข้ามาพระองค์ก็แทบจะควบคุมองค์เองไม่ได้แล้ว
เช่นนั้นสิ่งที่เจ้าชายเอลามกราบทูลถวายจึงไม่ได้เข้าถึงพระกรรณแม้แต่น้อย
“ออกไปให้หมด!!!”
ตรัสตวาดขึ้นอีกคำรบ ทหารประจำพระองค์ก็แทบจะเชิญแขกออกไปแทบไม่ทัน
แม้แต่เบเซ็ทเองก็จำต้องระเห็จออกไปด้วยทั้งกระโจมจึงเหลือเพียงองค์รีไวรามเมส
และร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเปล ต้องใช้เวลาอยู่ชั่วครู่กว่าพระองค์จะตัดสินพระทัยเผชิญหน้ากับความจริงเข้าไปทอดพระเนตรดูศพนั้นใกล้ๆ
เมื่อเปิดผ้าขาวที่คลุมร่างนั้นออกในคราแรกพระองค์ถึงกับต้องเบือนพระพักตร์หนีด้วยความอาดูร
ใบหน้าของร่างนั้นถูกกระหน่ำทุบตีจนไม่เหลือเค้าโครงกระบอกตาทั้งสองข้างกลวงโบ๋เนื่องจากลูกตาถูกควักออกไป
ตามร่างกายเองก็ถูกกระหน่ำทุบตีจนหักผิดรูป
จำเป็นต้องทำถึงเพียงนี้เชียวหรือ................
พระองค์กุมมือร่างที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นด้วยพระทัยที่เจ็บหนึบก่อนจะทรงตระหนักได้ว่าเหมือนจะมีบางอย่างไม่ถูกต้อง
“เบเซ็ท....เข้ามา”
พระสุระเสียงทุ้มต่ำตรัสเรียกอย่างอ่อนแรง แต่สำหรับผู้ที่ตั้งท่าคอยเงี่ยหูรับฟังอยู่แล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะได้ยิน
เข้าไปได้สักครู่เจ้าชายเบเซ็ทก็เป็นฝ่ายออกมาเชิญเจ้าชายเอลามเข้าเฝ้าด้วยตนเอง
เมื่อก้าวเข้าไปในกระโจมภาพที่เห็นเบื้องหน้าก็ทำให้เจ้าชายเอลามชะงักไปชั่วครู่
ก่อนจะตีสีหน้ารับความผิดเสียเต็มประดาพลางลอบมององค์รีไวรามเมสที่คุกเข่าอยู่ข้างศพร่างอวตาร
พระหัตถ์ขวากุมมือร่างขาวบางเย็นชืดนั้น
พระหัตถ์ซ้ายลูบสางเส้นผมเลอะเลือดเกรอะกรังให้กับร่างที่อยู่บนพื้นอย่างอ่อนโยนไม่สนพระทัยแม้แต่น้อยว่าเลือดนั้นจะทำให้พระหัตถ์ของพระองค์เปรอะเปื้อนแต่อย่างใด
แม้สีพระพักตร์จะว่างเปล่าแต่สายพระเนตรที่ทอดมองใบหน้าที่ถูกตีจนบิดเบี้ยวนั้นกลับเต็มไปด้วยความโทมนัสอาดูร
“เจ้าต้องการสิ่งใด”
“ก.....กระหม่อม ต้องการเห็นคนผิดถูกลงโทษพะยะค่ะ”
“เจ้ากล่าวว่าคนที่ทำการนี้คือมูวาตัลลิสพระเชษฐาของเจ้ารึ”
“พะยะค่ะ”
เอลามกล่าวตอบพร้อมกับก้มหน้าต่ำยิ่งขึ้นเพื่อซ่อนรอยยิ้มกริ่มของตน
“ที่เจ้ามาครั้งนี้นั้นเจ้าต้องการสิ่งใด”
“กระหม่อมเพียงแค่อยากเห็นคนผิดถูก...........”
“ข้าถามว่าเจ้าต้องการสิ่งใด!!!”
พระสุรเสียงตรัสเข้มขึ้นขณะที่ทรงประทับยืนค้ำร่างของเจ้าชายเอลาม
เมื่อเงยหน้าขึ้นมองเอลามจึงได้เห็นสายพระเนตรเย็นเยียบที่จ้องมองมา
“ต้องให้ข้าเอ่ยถามเป็นครั้งที่สามหรือไม่”
“กระหม่อม.....กระหม่อมต้องการให้พระองค์สังหารเจ้าชายมูวาตัลลิสในความผิดที่ได้ก่อ
และแต่งตั้งให้กระหม่อมเป็นผู้ครองดินแดนคิตชูวัตนาโดยยินยอมสวามิภักดิ์ขึ้นตรงต่ออียิปต์แต่โดยดีพะยะค่ะ”
“ได้.......ไสหัวกลับไปให้หมด!!!”
“กราบทูลลา”
ไม่ทันได้ตั้งตัวดีก็ถูกโยนออกมาเสียแล้ว
เจ้าชายเอลามและทหารคนสนิทได้แต่อาศัยความมืดเร้นกายเข้าเมืองกลับมาตั้งหลักกันที่วังเสียก่อน
“ฝ่าบาท แผนยุแยงนี้ของเราจะได้ผลหรือไม่พะยะค่ะ”
“หึหึ ดูเหมือนว่าองค์รีไวรามเมสจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับร่างอวตารเจ้าปัญหานั่นจริงๆ
หมากนี้เดินได้รุกฆาต สงครามต้องเกิดขึ้นแน่เมื่อนั้นที่พระเชษฐาของข้าถูกกำจัดทุกสิ่งทุกอย่างจักต้องเป็นของข้า”
กองทัพอียิปต์
“เสด็จพ่อ นี่คือ........” ยังไม่ทันได้เอ่ยถามจนจบ
พระหัตถ์ใหญ่ก็โบกขัดขึ้นเสียก่อน
“ให้คนเอาไปฝัง”
“ฝัง? เสด็จพ่อ ไม่ใช่ว่าเราต้องนำร่างของเขากลับไปที่วิหารแห่งสุริยะเทพหรอกหรือพะยะค่ะ”
“แค่ฝังก็พอ”
ตรัสตอบพร้อมกับหยิบธนูคันใหญ่เสด็จดำเนินออกไปจากกระโจมโดยมีเบเซ็ทคอยตามติด
ขณะที่ผินพระพักตร์ทอดพระเนตรไปยังใจกลางเมืองหลังประตูบานใหญ่ทรงใช้ลูกธนูชุบน้ำมันจุดไฟเล็งเป้าไปยังต้นไม้ที่สูงที่สุดของเมืองคิตชูวัตนา
พระหัตถ์เปื้อนเลือดน้าวดึงสายธนูสุดความยาว คันธนูโก่งงอนเต็มพิกัด
ด้วยพละกำลังอันมหาศาลส่งลูกธนูพุ่งไปปักอยู่ที่ลำต้นของไม้ต้นนั้นอย่างแม่นยำจนผ่าแยกออกเป็นสองซีก
ไฟลามเลียแผดเผาลุกโชนทั่วลำต้นสร้างความโกลาหลให้แก่ชาวเมืองที่กำลังหลับใหลจำต้องช่วยกันลุกขึ้นมาดับไฟ
“ต่อไปนี้คือสงคราม”
องค์รีไวรามเมสตรัสเอ่ยสำทับขณะทอดพระเนตรมองไฟที่โหมไหม้อยู่กลางเมืองคิตชูวัตนาจนส่งให้ท้องฟ้าที่มืดมิดนั้นแดงฉาน
อันเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า
สงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์เมื่อหลายพันปีก่อนได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว