chapter 31
Pairing:(Levi x Eren)
Rate: NC-17
Warning: เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง
ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน
แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมุติที่แอบมีเขาเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย
Story by: Akerah,Trendy Blood
Chapter 31:
…………………………………………………
เสียงโหวกเหวกด่าทอดังลอดออกมาจากกระโจมของผู้ตกเป็นเชลย
ในขณะที่ผู้ถูกคุมขังอยู่ภายในกำลังบริภาษสบถด่าด้วยความเกรี้ยวกราด
แต่ทหารยามแห่งอียิปต์ผู้ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมดูแลอยู่ด้านนอกยังคงนิ่งเฉยอยู่เช่นเดิม
"บังอาจยิ่งนัก พวกเจ้ากล้าคุมขังข้าผู้เป็นเจ้าชายแห่งฮิตไทต์ได้เชียวหรือ
เจ้าฟาโรห์ทรราชนั่นไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนี้ ปล่อยข้า!!! ข้าต้องการพบพระเชษฐาของข้า"
เจ้าชายแจนที่ยืนนิ่งอยู่หน้ากระโจมแห่งนี้มาเป็นเวลานานแล้วได้หันไปกล่าวกับคนสนิทด้วยความแคลงใจ
"มาร์โค
เจ้าคิดว่าเอลามเป็นต้นเหตุของความเข้าใจผิดและสงครามทั้งหมดนี้อย่างที่องค์ฟาโรห์ราเมสว่าจริงหรือไม่"
"ฝ่าบาท
กระหม่อมต้องกราบทูลตามตรงเรื่องที่เจ้าชายเอลามเป็นตัวการผู้อยู่เบื้องหลังความวุ่นวายทั้งหมดนี้จะเป็นความจริงหรือไม่
กระหม่อมก็เชื่อว่าพระองค์จะทรงมีคำตอบในพระทัยของพระองค์เองแล้ว
ด้วยเหตุว่าไม่อาจมีผู้ใดจะรู้จักเจ้าชายเอลามได้มากไปกว่าพระองค์เองแล้วพะยะค่ะ"
"ความมักใหญ่ใฝ่สูงและทะยานอยากของน้องชายข้า ข้าย่อมรู้จักดี
เพียงแต่ข้าคิดไม่ถึงว่าเขาจะกล้าทำได้ถึงเพียงนี้วางแผนตบตาข้าตบตาอียิปต์ก่อสงครามระหว่างเขตแคว้นเกิดความเสียหายร้ายแรงถึงเพียงนี้.....ข้าไม่อยากเชื่อจริงๆว่าเขาจะทำได้ลงคอ"
แม้นมันจะยากที่จะทำใจยอมรับได้เพียงใด
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้วหากตนเองไม่สามารถเค้นความจริงออกมาจากปากของน้องชายได้
สุดท้ายเอลามก็ไม่อาจหนีพ้นเงื้อมมือขององค์ฟาโรห์แห่งอียิปต์ได้อยู่ดี
เจ้าชายแจนได้แต่ทอดถอนใจด้วยความผิดหวังก่อนจะเดินเข้าสู่กระโจมไปเผชิญหน้ากับพระอนุชาที่ถูกคุมขังอยู่ภายในนั้น
ทันทีที่เห็นพระเชษฐาเอลามก็ทรุดกายลงคุกเข่าเบื้องหน้าเจ้าชายรัชทายาทแห่งฮิตไทต์
กล่าววิงวอนด้วยใบหน้าสิ้นหวัง
"ท่านพี่โปรดช่วยข้าด้วย
พวกอียิปต์ใส่ร้ายข้าสิ่งที่พวกนั้นเกล่าล้วนแล้วแต่มิใช่ความจริง
ข้าถูกใส่ความข้าไม่เคยมีความคิดที่จะแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทกับพระองค์ได้โปรดท่านพี่เชื่อข้าเถิด
ข้าหาได้โป้ปดแม้แต่น้อย"
เจ้าชายแจนทอดสายตามองพระอนุชาผู้คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาว่างเปล่าก่อนจะตรัสเสียงเรียบ
"เช่นนั้นหรือ เป็นพวกอียิปต์พวกนั้นหรือที่ใส่ความเจ้า
หาว่าเจ้าต้องการจะแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทกับข้า"
"ใช่แล้วพะยะค่ะ ท่านพี่ได้โปรดอย่าหลงกลข้าศึกโดยเด็ดขาด
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแผนการที่อียิปต์วางหมากไว้ตั้งแต่ต้นแม้แต่ร่างอวตารแห่งเทพรานั่นก็ด้วยพวกมันหมายจะบ่อนทำลายฮิตไทต์ของเราจนสิ้นซาก"
"เป็นเช่นนั้นสินะ.....แต่เจ้ารู้หรือไม่น้องข้า องค์ราเมสหาได้ตรัสบอกสิ่งใดกับข้าแม้แต่น้อย
เขาบอกเพียงแต่ว่าหากอยากรู้ความจริงเบื้องลึกเบื้องหลังสงครามครั้งนี้ทั้งหมดก็ให้สอบถามจากเจ้า
หากเจ้ายอมสารภาพทั้งหมดข้ายังพอจะขอกราบทูลละเว้นโทษสถานหนักให้แก่เจ้าได้บ้าง
แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วเจ้ายังไม่ยอมพูดความจริงอีกหรือ
หากแม้นแต่กับพี่ชายของเจ้า
เจ้ายังโป้ปดอยู่เช่นนี้เห็นทีข้าคงต้องส่งเจ้าให้องค์รีไวราเมสจัดการเรื่องทั้งหมดนี้เองเสียแล้วหวังว่าเจ้าคงจะรู้หากถึงมือองค์ฟาโรห์แห่งอียิปต์แล้วไม่ว่าเรื่องใดๆก็คงไม่อาจละเว้นได้อีก"
"ข้า.....ข้า...." เอลามเบิกตามองพี่ชายด้วยความตกตะลึง
"เจ้าควรจะรู้ตัวว่าสิ่งที่เจ้าทำสร้างความเสียหายให้กับฮิตไทต์ของเรามากแค่ไหน
จนถึงตอนนี้ข้าก็ได้แต่หวังว่าเจ้าจะยังมีความสำนึกเสียใจในความผิดที่เจ้าได้ก่อขึ้น
แต่หากไม่แล้วข้าก็คงไม่อาจทำอะไรได้
เอลามหากเจ้ายังไม่ยอมพูดความจริงก็จงรอรับผลกรรมที่เจ้าได้ก่อในภายหลังทั้งหมดเสียเถิด"
เจ้าชายแจนเดินกลับออกจากกระโจมด้วยสีหน้าเรียบเฉยพระองค์ทรงทำใจยอมรับผลที่จะตามมาไว้ล่วงหน้าแล้ว
เรื่องการชำระความกับเอลามนี้คงต้องยกให้เป็นหน้าที่ขององค์กษัตริย์แห่งอียิปต์เป็นผู้จัดการแล้ว
หลังจากนี้ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นจะต้องเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องกราบทูลความจริงให้แก่กษัตริย์มูวาตัลลิสผู้เป็นบิดาได้ทราบในภายหลังเอง
การไต่สวนความจริงได้เริ่มขึ้นในเช้าวันถัดมาเจ้าชายเอลามผู้อยู่ในฐานะนักโทษฉกรรจ์ของกษัตริย์แห่งอียิปต์ถูกคุมตัวเข้ารับการไต่สวนต่อหน้าเจ้าชายฮัตตูซิลิสผู้เป็นพระเชษฐา
โดยมีร่างอวตารแห่งราเป็นผู้สังเกตการณ์และมีองค์ฟาโรห์แห่งอียิปต์เป็นประธานนำการสอบสวนครั้งนี้ด้วยพระองค์เอง
องค์รีไวราเมสทอดพระเนตรชายหนุ่มผู้คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าด้วยสายพระเนตรเย็นเยียบ
"เจ้าชายเอลามจนถึงขั้นนี้แล้วเจ้าจะยังไม่ยอมพูดความจริงอีกเชียวหรือ
ครั้งหนึ่งเจ้าเคยมาพบข้าพร้อมบอกกล่าวเรื่องร่างอวตารแห่งราถูกสังหารโดยพี่ชายของเจ้าเพื่อเป็นชนวนเหตุให้ข้าก่อสงครามครั้งนี้ขึ้น
เจ้าจะยอมรับความจริงนี้หรือไม่"
"ไม่...ข้าไม่ได้ทำ...พวกเจ้าใส่ร้ายข้า"
เอลามตวาดก้องอย่างเกรี้ยวกราดราวกับกำลังเสียสติ
เมื่อเห็นเช่นนั้นองค์รีไวราเมสก็ได้แย้มสรวลบางเบาก่อนจะตรัสเอ่ยออกมา
"หากไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนเจ้าก็จะไม่มีวันยอมรับสินะ
เช่นนั้นแล้วก็จงนำตัวคนเข้ามา"
ในขณะนั้นเองหญิงสาวร่างบางผู้หนึ่งได้เดินเข้าสู่กระโจม
วงแขนของนางประคองหญิงสาวร่างสูงอีกคนซึ่งกำลังได้รับบาดเจ็บเข้ามาพร้อมกับนางด้วย
"ถวายบังคมพระบิดา" เจ้าหญิงแอนนี่กล่าวพลางยอบกายคุกเข่าคำนับลงต่อเบื้องพระพักต์ขององค์ราเมส
หญิงสาวที่นางประคองเข้ามาก็คุกเข่าลงด้วยเช่นกัน
"ลุกขึ้นแล้วให้นางเล่าความจริงออกมาทั้งหมด" องค์รีไวราเมสตรัสกล่าวแก่สตรีทั้งสอง
แอนนี่จึงช่วยประคองหญิงสาวร่างสูงผู้นั้นให้ลุกขึ้นยืน
"ขอบพระทัยองค์ฟาโรห์เพคะ
กระหม่อมมีนามว่าซาช่าเป็นหนึ่งในองครักษ์ผู้มีหน้าที่อารักขาเจ้าชายฮัตตูซิลิสเพคะ"
"ซาช่าเจ้าสามารถยืนยันความผิดของเจ้าชายเอลามผู้นี้ ได้จริงหรือ" องค์รีไวราเมสตรัสถามหญิงสาวผู้ยืนอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์
"แน่นอนเพคะ กระหม่อมอยู่ในเหตุการณ์ที่เจ้าชายเอลามมีรับสั่งให้ทหารคนสนิทจับตัวทาสมาสวมรอยเป็นร่างอวตารแห่งราก่อนจะสังหารทิ้งแล้วนำศพปลอมศพนั้นมาตบตาพระองค์
โดยบอกว่าเป็นการกระทำของเจ้าชายฮัตตูซิลิสเพคะ
ซึ่งในครั้งนั้นกระหม่อมได้พยายามช่วยเหลือทาสผู้นั้นแล้วแต่กระหม่อมเพียงผู้เดียวไม่สามารถเอาชนะทหารคนสนิทของเจ้าชายเอลามได้สุดท้ายถึงขั้นบาดเจ็บเจียนจะเอาชีวิตไม่รอด
หากไม่ได้พระธิดาของพระองค์ช่วยชีวิตเอาไว้ป่านนี้ก็คงไม่สามารถมาเป็นพยานชี้มูลความผิดของคนผู้นี้ได้แล้วเพคะ"
"เป็นความจริงหรือ"
"ด้วยสัจจะของเทพีฮิตทาร์ ทุกสิ่งที่กระหม่อมพูดล้วนเป็นความจริงเพคะ
หลังจากถูกทำร้ายจนบาดเจ็บประจวบเหมาะกับที่อยู่ๆ
ร่างอวตารแห่งราได้หายตัวไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ
กระหม่อมจึงได้กบดานรักษาตัวอยู่กับพระธิดาของพระองค์มาโดยตลอดเพื่อรอเวลาเปิดโปงความชั่วช้าของคนผู้นี้เพคะ
ครั้งนี้นับว่าติดค้างหนี้ชีวิตกับอียิปต์แล้ว
หากไม่ได้เจ้าหญิงแอนนี่ช่วยเอาไว้กระหม่อมก็คงจะสิ้นใจไปตั้งแต่ครานั้นแล้ว"
"ไม่จริง!!! มันโกหก พวกเจ้าล้วนใส่ความข้า" เอลามตะโกนก้องอย่างไม่ยอมรับ
"ความผิดมากมายที่เจ้าได้ก่อขึ้นนี้จะมีผู้ใดรู้ดียิ่งกว่าตัวเจ้าเองอีกเอลาม
มาจนถึงบัดนี้จงยอมรับเสียเถิด ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจ้านำศพปลอมนั่นมาหลอกลวงข้า
ข้าก็รับรู้ได้ตั้งแต่แรกว่านั่นหาใช่คนของข้าไม่
เมื่อเป็นเช่นนี้จุดประสงค์ของเจ้าก็ย่อมมีเพียงสิ่งเดียว
นั่นคือใส่ร้ายพี่ชายของตนเองหวังจะยืมมือข้าจัดการพี่ชายของเจ้าเพื่อชิงตำแหน่งรัชทายาทในท้ายที่สุด"
องค์รีไวราเมสตรัสสรุปพระวินิจฉัย
ก่อนจะตรัสถามความคิดเห็นของเจ้าชายแห่งฮิตไทต์ผู้ซึ่งร่วมรับฟังการไต่สวนครั้งนี้อยู่เงียบๆตั้งแต่ต้นจนจบ
"เจ้าชายฮัตตูซิลิสคิดเห็นเป็นเช่นไร
ดูท่าตัวการผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารเจ้าในครั้งนั้นก็คงไม่อาจเป็นผู้อื่นใดได้อีกแล้วกระมัง"
"เป็นเช่นนั้นจริงหรือ....." น้ำเสียงที่ไต่ถามเต็มไปด้วยความไม่เชื่อแม้นจะรู้นิสัยทะเยอทะยานอยากของน้องชายดีแต่ก็คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมีความคิดถึงขั้นต้องการจะสังหารตนเองเช่นนี้
"หุบปาก!!! เจ้าใส่ร้ายข้า พวกเจ้าทุกคนต่างใส่ร้ายข้า" เอลามตวาดก้อง ขณะที่กวาดสายตามองผู้คนที่อยู่ในที่แห่งนั้นอย่างมาดร้าย
"หากข้าจักบอกว่าแท้จริงแล้วข้ารู้ว่าศพที่เจ้านำมามอบให้แก่ข้ามิใช่คนของข้านับแต่ครานั้นแล้ว
แต่ข้ายังคงร่วมเล่นละครในแผนการร้ายที่เจ้าคิดยืมมือข้าเพื่อสังหารพี่ชายของตนเอง
เพื่อที่จะตลบหลังเปิดโปงเจ้าในท้ายที่สุดเจ้าจะเชื่อหรือไม่เจ้าชายเอลาม
ในเมื่อร่างอวตารของข้ายังไม่ตายดังนั้นที่เจ้าใส่ร้ายเจ้าชายฮัตตูซิลิสว่าเป็นผู้สังหารร่างอวตารแห่งราย่อมเป็นเรื่องโป้ปด
และเจ้าผู้ซึ่งนำเรื่องนี้มาบอกแก่ข้าย่อมต้องเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผนการนี้ทั้งหมดเจ้าจะยอมรับหรือไม่"จนถึงบัดนี้ด้วยพยานและหลักฐานทั้งหมดที่ปรากฏถึงแม้เอลามจะปฏิเสธสักเพียงไหนก็ไม่อาจหลุดพ้นความผิดนี้ได้อีกแล้ว
"เจ้าต้องการให้พี่ตายจริงหรือ" แม้ในช่วงเวลาที่ความจริงทั้งหมดเปิดเผยขึ้นตรงหน้าเจ้าชายแจนก็ยังมิอาจจะปักใจเชื่อได้ว่าอนุชาผู้ร่วมสายโลหิตจะเป็นผู้คิดปองร้ายแก่ตนเองจริงๆ
"เจ้า....จะสังหารข้าจริงๆหรือเอลาม" น้ำเสียงทุ้มต่ำที่หนักแน่นอยู่เป็นนิจ ณ
เวลานี้มันช่างสั่นไหวและแผ่วเบาเหลือจะกล่าว
"ข้า...." ราวกับจะกล่าวสิ่งใดออกมา
แต่ในท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่หลุดออกมาจากริมฝีปากของเจ้าชายเอลามกลับมีเพียงเสียงหัวเราะอันยาวเหยียดและเย้ยหยัน
"ข้า.....ข้าคิดมาตลอดเหตุใดจึงต้องเป็นเจ้า
เจ้าผู้ซึ่งได้รับทุกสิ่งทุกอย่างในขณะที่ข้าจักต้องตกเป็นรองเจ้าอยู่ร่ำไป
ไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใดพระบิดาล้วนแต่ยินดีและชมชอบในตัวเจ้าเสมอ
ในขณะที่ข้าไม่เคยอยู่ในสายพระเนตรของพระองค์เลยขอเพียงไม่มีเจ้า
เพียงโลกนี้ไม่มีเจ้าสักคน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าควรได้รับก็จะเป็นของข้าทั้งหมด
รู้อะไรไหมแจนเจ้าไม่ควรเกิดมาเลย ข้าไม่เคยเห็นเจ้าเป็นพี่ชายเลย!!!" เอลามตวาดเสียงกร้าว
นัยน์ตาแดงก่ำถลึงมองจับจ้องผู้เป็นที่ชายราวกับอยากจะฉีกเนื้อดื่มเลือดกำจัดคนผู้นี้ไปเสียให้พ้นๆ
"ถูกต้องเป็นข้าเองที่วางแผนการทั้งหมด
การลอบสังหารเจ้าในครานั้นก็เป็นฝีมือของข้าด้วย
ติดเพียงแต่ว่าทหารคนสนิทพวกนั้นของเจ้ามาขัดขวางข้าไว้เสียก่อนถ้าไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่มีสิทธิ์มายืนลอยชายต่อหน้าต่อตาข้าเช่นนี้แน่
หลังจากที่จัดการเจ้าได้คนต่อไปที่จักต้องตายก็คือมูวาตัล......"
ยังไม่ทันจะกล่าวได้จบคำดาบวงเดือนเล่มยาวก็เสียบทะลุท้องจนเอลามกระอักเลือดออกมาคำใหญ่
เจ้าชายหนุ่มก้มมองปลายดาบแหลมที่แหวกทะลุท้องของตนออกมาอย่างไม่อยากเชื่อและไม่ยินยอมก่อนที่ใบมีดดาบจะบิดหมุนคว้านช่องท้องอย่างรุนแรงและถูกดึงกลับออกไปในทันที
เลือดสีเข้มสาดกระจายลงกับพื้นร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มล้มลงจมอยู่ท่ามกลางกองเลือดนัยน์ตาเบิกโพลงจ้องมองแจนด้วยความเคียดแค้นปากยังพึมพำถ้อยคำตัดพ้อไม่หยุด
"ทำไม....ท.....ทำ...ไม....ต้อง....เป็น....ข้า.....ท...ไม" แม้สุดท้ายจะสิ้นลมหายใจแต่ความโกรธแค้นที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจก็ไม่อาจทำให้เอลามจากไปอย่างสงบได้จริงๆ
"ความผิดโทษฐานสังหารเชื้อพระวงศ์กระหม่อมยินดีรับโทษตายเพคะ" ซาช่าคุกเข่าลงเบื้องหน้าแจนพร้อมกับทูนดาบเปื้อนเลือดขึ้นเหนือศีรษะอย่างผู้ยอมรับผิด
"ขอประทานอภัยที่กระหม่อมต้องกราบทูลตามตรง
โทษทัณฑ์นี้เทียบเท่าได้กับการก่อกบฏแต่กระหม่อมไม่เสียใจแม้แต่น้อยที่ได้ทำลงไป
อย่างน้อยสุดท้ายกระหม่อมก็ได้ชำระหนี้แค้นนี้ให้แก่โคนี่แล้ว
หากจะต้องโทษตายก็ไม่เสียดายชีวิตเพคะ"
เจ้าชายแจนทอดสายตามองร่างไร้ชีวิตของพระอนุชาที่จมกองเลือดอย่างหดหู่ก่อนจะกล่าวกับหญิงสาวว่า
"ผู้ที่ต้องโทษก่อกบฏความจริงแล้วคือน้องชายของข้าเอง
สิ่งที่เจ้าได้ทำนับเป็นความดีความชอบด้วยซ้ำซาช่า
ข้าจะนำความทั้งหมดนี้กราบทูลกับพระบิดาในภายหลัง
กับความผิดที่เอลามได้กระทำก็ถือว่าเขาได้รับโทษอย่างสาสมแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างเขาล้วนเป็นผู้ก่อกรรมขึ้นเองย่อมต้องรับผลที่จะตามมาในท้ายที่สุด" เจ้าชายแจนกล่าวพลางปลดผ้าคลุมที่สวมอยู่ออกมาคลุมร่างน้องชายเอาไว้ก่อนจะหันไปกล่าวกับองค์รีไวราเมส
"หากพระองค์มิขัดข้อง ข้าจะขอนำร่างของเอลามกลับไปยังฮัตตูซาได้หรือไม่
หลังจากนี้ยังจะต้องหารือข้อตกลงสนธิสัญญาสงบศึกกันอีกที"
"สำหรับเรื่องนี้ ก็แล้วแต่เจ้าชายจะจัดการเถอะ
อียิปต์จะไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วยอีก"
เจ้าชายแจนส่งสัญญาณให้ทหารนำร่างเอลามออกไปจากกระโจมในขณะที่องค์ฟาโรห์ราเมสได้ตรัสเอ่ยอีกครั้ง
"นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปกองทัพแห่งอียิปต์จะถอนกำลังกลับสู่ธีบส์
เอเลนจะกลับอียิปต์พร้อมกับข้าด้วย จะเป็นเกียรติอย่างยิ่งหากเจ้าชายฮัตตูซิลิส
จะเสด็จเข้าร่วมงานเลี้ยงอำลาในค่ำคืนนี้ด้วยเพื่อแสดงถึงสัมพันธไมตรีอันดียิ่งระหว่างธีบส์และฮิตไทต์"
แจนหันไปสบตากับเอเลนชั่วครูก่อนจะเอ่ยตอบ
"ด้วยความยินดีและเป็นเกียรติแก่ข้าอย่างยิ่ง"
"แล้วเจอกัน"เอเลนโบกมือให้กับอีกฝ่ายในขณะที่แจนพยักหน้ารับและออกจากกระโจมไป
"เหตุใดพระองค์ต้องมองกระหม่อมเยี่ยงนั้น"
"ดูเหมือนเจ้ากับเจ้าชายฮัตตูซิลิส จะสนิทสนมกันมากเสียทีเดียว"
"ฝ่าบาท คงจะไม่ทรงลืมไปหรอกนะ
ว่าเป็นพระองค์เองที่ทรงอนุญาตให้กระหม่อมไปอยู่กับเขา
แล้วนี่ยังจะมาทำท่าทางหึงหวงไม่เข้าเรื่องแบบนี้ได้อย่างไรกัน"
"หึงหวงไม่เข้าเรื่อง? ความรู้สึกของข้าเป็นเรื่องไร้สาระในสายตาเจ้าเชียวหรือเอเลน" องค์รีไวราเมสตรัสถามด้วยพระสุรเสียงทุ้มต่ำพลางโอบรั้งร่างของเด็กหนุ่มผู้เป็นดั่งดวงใจเข้าสู่อ้อมกอดและกระซิบย้ำพร่ำเตือนอยู่ข้างใบหูของเด็กหนุ่มซ้ำๆ
"เจ้าเป็นคนของข้าจะให้ข้ามีความสุขที่เห็นเจ้าให้ความสนิทสนมกับผู้อื่นไปทั่วได้หรือ
เจ้าออกจะเป็นที่ปรารถนาของผู้อื่นไปทั่วเช่นนี้จะไม่ให้ข้าหึงหวงได้อย่างไร
ดูท่ากลับไปธีบส์ครานี้เห็นทีข้าจะต้องคุมตัวเจ้าไว้ไม่ให้พบหน้าผู้ใดนอกจากข้าทั้งคืนทั้งวันเสียแล้วกระมัง"
"บ้าอำนาจ…" เด็กหนุ่มกล่าวตอบขณะที่ยิ้มเย้าพลางยกแขนเรียวโอบรอบคอฟาโรห์หนุ่มและเลื่อนใบหน้าเข้าไปกระซิบข้างๆพระกรรณอย่างหยอกล้อ
"หากพระองค์คิดว่าทำได้ กระหม่อมก็อยากจะรอดูเช่นกัน"
องค์รีไวราเมสส่งเสียงคำรามลอดไรฟันขณะที่ช้อนอุ้มร่างเด็กหนุ่มร่างอวตารขึ้นแนบอกและขบกัดริมฝีปากบางของเจ้าตัวจนแดงช้ำ
"ปากดีไปเถอะกลับไปถึงธีบส์เมื่อไหร่
ข้าจะทำให้เจ้าต้องวิงวอนร้องไห้จนน้ำตาแทบจะไม่มีให้ไหลเลยทีเดียว"
งานเลี้ยงฉลองรอบกองไฟดำเนินขึ้นตั้งแต่ดวงจันทร์เริ่มส่องสว่างเหล่าทหารทั้งธีบส์และฮิตไทต์ต่างร่วมฉลองกินดื่มกันให้กับสันติที่จะเกิดขึ้นระหว่างทั้งสองแคว้นนับตั้งแต่นี้ไป
อาวุธที่ใช้ประหัตประหารถูกวางทิ้งไว้อีกฟากหนึ่ง สิ่งที่คงเหลือในเพลานี้มีเพียงเสียงหัวเราะสรวลเสของเหล่าชายฉกรรจ์
มีเพียงเจ้าชายแจนที่ยังคงนั่งนิ่งจ้องมองอาหารที่ถูกวางอยู่ตรงหน้าอยู่เงียบๆด้วยใบหน้าที่เงียบขรึมและอารมณ์ที่หนักอึ้ง
"บางครั้งศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดก็คือคนใกล้ตัวของเราเอง" องค์ราเมสตรัสกับเจ้าชายหนุ่มขณะที่พระองค์ทรงรินไวน์รสเลิศให้กับแจนด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง
"ยิ่งใกล้ตัวมากเท่าไหร่ก็ยิ่งยากที่จะทำใจยอมรับได้
นี่เป็นบทเรียนที่ดีจงจดจำไว้ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเชื่อใจได้"
"ทรงตรัสเช่นนี้
หมายความว่าพระองค์เองก็ไม่เคยไว้ใจคนข้างกายผู้ใดเลยอย่างนั้นหรือ"
"ผิดแล้วความไว้วางใจของข้ามีไว้ให้กับคนที่คู่ควรเท่านั้นไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับสิทธิ์นี้"
"แล้วเอเลน?"
"ข้าไม่เคยคลางแคลงสงสัยในตัวเด็กหนุ่มผู้นั้นเลย
สิ่งที่ข้ามอบให้เจ้าหนูนั่นไม่ได้มีเพียงความไว้เนื้อเชื่อใจเท่านั้นแต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้ามี
ข้าสามารถมอบให้เขาได้ทั้งหมด" ฟาโรห์หนุ่มตรัสกล่าวขณะที่ทอดพระเนตรมองเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งที่กำลังล้อมวงดูการพนันประลองกำลังของทหารทั้งสองแคว้นอยู่กับเบเซ็ทอย่างสนอกสนใจด้วยสายพระเนตรอันอ่อนโยน
แจนมองตามสายตานั้นไปแล้วหยุดนิ่งลงที่ตัวเอเลนเสียเนิ่นนานก่อนจะยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มรวดเดียวหมด
ในใจรู้สึกขมขื่นอยู่ลึกๆแต่ในท้ายที่สุดก็ตัดสินใจเก็บกดความรู้สึกนั้นไว้ในก้นบึ้งของหัวใจเงียบๆ
"กราบทูลพระบิดา
หากลูกจะขอประทานอนุญาตมอบรางวัลให้แก่ทหารผู้ได้รับชัยชนะในการประลองได้หรือไม่พะยะค่ะ" เบเซ็ทปลีกตัวออกมาจากวงต่อสู้เพื่อสอบถามเรื่องนี้โดยเฉพาะ
"ย่อมได้ไม่ว่าจะเป็นทหารของอียิปต์หรือฮิตไทต์ขอแค่เพียงมีความสามารถก็ตบรางวัลให้พวกเขาไป"
"ขอบพระทัยพะยะค่ะพระบิดา
ไม่ทราบว่าเจ้าชายแจนสนใจจะไปร่วมชมการต่อสู้กับพวกข้าหรือไม่"เบเซ็ทกล่าวตอบองค์ราเมสก่อนจะหันไปกล่าวกับแจน
"ย่อมได้" แจนเอ่ยตอบรับลุกขึ้นเดินไปพร้อมกับเบเซ็ทในระหว่างนั้นเองซาช่าก็ได้คุกเข่าลงเบื้องหน้าของเขา
"ทูลฝ่าบาทหากกระหม่อมจะขอประทานอนุญาตประลองการต่อสู้กับพระธิดาขององค์ฟาโรห์แห่งอียิปต์จะได้หรือไม่เพคะ"
"เจ้าอยากจะประลองกับแอนนี่อย่างนั้นหรือ" องค์ฟาโรห์ราเมสตรัสถามอย่างสนพระทัย
"หากพระองค์ทรงประทานอนุญาตจะถือเป็นเกียรติแก่กระหม่อมเป็นอย่างสูงเพคะ
กระหม่อมรู้สึกเลื่อมใสฝีมือการต่อสู้ของเจ้าหญิงแอนนี่ยิ่งนักหากเป็นไปได้ก็อยากจะขอชื่มชมสักครา"
"เจ้ามีความเห็นเช่นไรแอนนี่"
"กราบทูลพระบิดาเรื่องการต่อสู้นี้ลูกย่อมมิอาจขัดข้อง
เพียงแต่เพลานี้เกรงว่าถึงจะประลองกันไปผลที่ได้ก็คงจะไม่เป็นธรรมนัก
เอาไว้รอให้ซาช่าหายจากอาการบาดเจ็บเสียก่อนเมื่อนั้นค่อยมาประลองกันก็ไม่สายเพคะ"
องค์ฟาโรห์ราเมสก็ทรงรู้สึกเห็นพ้องกับพระธิดาเช่นกัน
ด้วยเหตุนั้นพระองค์จึงได้ให้คำมั่นกับซาช่าไว้
"เอาไว้เมื่อเจ้าหายดีเมื่อไหร่เมื่อนั้นเจ้าและพระธิดาของข้าจักได้ประลองฝีมือกันโดยมีทหารอียิปต์และฮิตไทต์เป็นสักขีพยานอย่างแน่นอน"
"ขอบพระทัยเพคะ" ซาช่ากล่าวตอบองค์ฟาโรห์แห่งอียิปต์ก่อนจะหันไปกล่าวกับเจ้าชายแห่งฮิตไทต์อย่างมุ่งมั่น
"กระหม่อมจะไม่ทำให้ฮิตไทต์ต้องผิดหวังเพคะ"
ซึ่งแจนก็ได้พยักหน้ารับเรียบๆ
"เป็นเช่นนั้นได้ก็ดี"
และการเฉลิมฉลองในค่ำคืนนี้ก็ดำเนินผ่านพ้นไปจนค่อนคืนกว่าทุกอย่างจะอยู่ในความสงบ
ยามรุ่งอรุณมาเยือนทั้งกองทัพแห่งฮิตไทต์และอียิปต์ต่างก็พร้อมจะออกเดินทางกันแล้ว
"ต้องขอโทษจริงๆที่ทำให้เกิดเรื่องราววุ่นวายถึงขนาดนี้"
บัดนี้ต้องจากกันแล้วหลังจากนี้จะได้มีโอกาสพานพบกันอีกหรือไม่ก็ไม่อาจบอกได้เอเลนจึงถือโอกาสนี้บอกลาและขอโทษกับเจ้าชายแจนเป็นครั้งสุดท้าย
"หาใช่ความผิดของเจ้าไม่หากจะถามหาคนผิดก็คงต้องเป็นน้องชายของข้า
เขาต่างหากที่อยู่เบื้องหลังความวุ่นวายทั้งหมดนี้จริงๆ"
หากไม่เป็นเพราะเอลามใช้ประโยชน์จากการหายตัวไปของเอเลนมาปั่นหัวทั้งตัวเขาและองค์ฟาโรห์แห่งอียิปต์สงครามนองเลือดครั้งนี้ก็คงไม่อาจเกิดขึ้นได้
"กลับไปคราวนี้คงมีเรื่องมากมายให้ข้าต้องสะสางยังมีเรื่องของสนธิสัญญาสงบศึกที่จะต้องจัดการต่อจากนี้อีก
คงต้องใช้เวลาสักพักแต่หลังจากจัดการทุกอย่างเข้าที่เข้าทางดีแล้ว….ข้าจะต้องไปพบเจ้าอย่างแน่นอน" เมื่อแจนกล่าวจบก็ฉวยโอกาสขณะที่เอเลนไม่ทันระวังจุมพิตลงบนแก้มของเด็กหนุ่มร่างอวตารไวๆไปหนึ่งทีก่อนจะนำทัพศึกของฮิตไทต์มุ่งหน้ากลับสู่ฮัตตูซาอย่างเด็ดเดี่ยว
"ลาก่อนเอเลน"
"ล….ลาก่อน"
ฝ่ายเอเลนเองก็ตกใจจนแทบจะพูดไม่เป็นคำ
แต่สุดท้ายก็มองส่งจนแผ่นหลังของอีกฝ่ายจมหายไปในขบวนกองทัพศึก
"ตามไปสิ"
"ห๊ะ!!!"
เอเลนแสดงสีหน้าอย่างชัดเจนว่าไม่เข้าใจแต่องค์รีไวราเมสก็ยังแสร้งทำเป็นไม่สนใจ
พระองค์ชักม้าคู่กายนำขบวนทัพศึกออกจากเมมฟิสมุ่งหน้ากลับสู่ธีบส์
และเป็นเอเลนที่ต้องชักม้าตามขบวนเสด็จขึ้นไปขวางหน้าขบวนทัพเอาไว้
เพราะเหตุนี้พระองค์จึงต้องหยุดม้าและประจันหน้ากับเด็กหนุ่มร่างอวตารอย่างเลี่ยงไม่ได้
"พระองค์จะทรงตรัสอีกรอบได้หรือไม่"
"ข้าบอกว่าให้เจ้าตามเขาไปสิ"
"อา…..ถ้าพระองค์ทรงอนุญาตแล้วเช่นนั้นกระหม่อมขอทูลลา"
เมื่อเห็นท่าว่าเอเลนจะจากไปจริงๆ
ก็กลับกลายเป็นพระองค์เองที่ร้อนพระทัยขึ้นมา
"นั่นเจ้าจะไปไหน"
"ก็ในเมื่อพระองค์ทรงบอกให้กระหม่อมตามเจ้าชายฮัตตูซิลิสไป
กระหม่อมก็จะตามไปน่ะสิ"
พระหัตถ์ใหญ่ที่ฉุดรั้งแขนของเด็กหนุ่มไว้ข้างกายบีบแรงเสียจนขึ้นรอยนิ้ว
"ให้เจ้าไปเจ้าก็จะไปง่ายๆอย่างนี้เชียวหรือทั้งที่ปกติช่างดื้อรั้นยิ่งนัก
เหตุใดจู่ๆถึงได้ว่าง่ายเพียงนี้"
"หากพระองค์ไม่ต้องการกระหม่อมแล้วมีเหตุผลอะไรที่กระหม่อมจะต้องอยู่ต่ออีกกันล่ะ"
"แล้วข้าบอกว่าไม่ต้องการเจ้าเสียเมื่อไหร่กัน"
"ถ้าเช่นนั้นพระองค์ก็ควรจะตรัสมาตามตรงประชดประชันกันแบบนี้กระหม่อมก็ไม่รู้หรอกนะ"
เจ้าเด็กนี่รู้ทั้งรู้ว่ากำลังทำให้พระองค์ขุ่นเคืองพระทัย
แทนที่จะหันมาสนใจกันกลับยังมีหน้ามาบอกว่าจะตามคนอื่นไปอีกมันน่าโมโหยิ่งนัก
"นี่แหละน้า...ทั้งที่ไม่ได้พบหน้ากันตั้งนานพอกลับมาก็เอาแต่ดุว่าแล้วยังออกปากไล่ให้ไปอยู่กับคน…..อ้ากกกกกก"
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของเด็กหนุ่มดังลั่น
ยิ่งพระองค์เห็นริมฝีปากบางๆที่จ้อไม่หยุดเถียงคำไม่ตกฟากแบบนั้นแล้วก็ยิ่งพาให้รู้สึกคันยุบยิบอยู่ในพระทัยจนลืมพระองค์เผลอกัดพวงแก้มใสของเด็กหนุ่มไปคำโต
"เจ็บนะ!!! เจ็บ!!! พระองค์ทรงทำอะไรเนี่ย"
"จำเอาไว้หากภายหน้าเจ้ากล้าให้ผู้อื่นมาแตะต้องเจ้าได้อีกข้าจะไม่ทำแค่กัดแต่จะกินเจ้าไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด"
ได้ระบายโทสะออกไปเช่นนี้พระองค์ก็ทรงรู้สึกสบายพระทัยแล้วต่อให้ได้ยินเสียงเอเลนบ่นว่าอะไรมาอีกพระองค์ก็ไม่ทรงถือสา
"เกรี้ยวกราดชะมัดคนอะไรยิ่งแก่ยิ่งอารมณ์ร้ายขึ้นทุกวัน"
ศึกสงครามในครานี้กินเวลายาวนานเกินครึ่งปีใช้เวลาเดินทางรอนแรมอยู่กลางทะเลทรายนานหลายเดือนในที่สุดกองทัพอียิปต์ก็กลับมาถึงธีบส์ในที่สุด
เหล่าชาวเมืองต่างเตรียมการต้อนรับการกลับมาของมหากษัตริย์แห่งอียิปต์อย่างยิ่งใหญ่
มหานักบวชฮันจ์พร้อมทั้งเหล่าสนมชายาและลูกหลานเชื้อพระวงศ์ต่างพากันต้อนรับการกลับมาขององค์ฟาโรห์ราเมสอย่างพร้อมเพียง
"ฝ่าบาท ยินดีต้อนรับกลับมาเพคะ" เพตร้าเดินนำเหล่านางสนมมาหยุดอยู่ด้านหน้าขบวนทัพใหญ่
"ทรงตรากตรำทำศึกมายาวนานถึงเพียงนี้ ทูลเชิญเสด็จกลับเข้าวังเถอะเพคะ
ข้าได้เตรียมการทุกอย่างเอาไว้พร้อมแล้ว หลังจากนี้จะได้ปรนนิบัติพระองค์ให้หายเหนื่อย" พระชายาเพตร้ากล่าวพร้อมส่งร้อยยิ้มพริ้มเพรา
มือเรียวหมายจะยื่นมาจับพระหัตถ์ที่กุมบังเหียนม้าเอาไว้แต่องค์ฟาโรห์ราเมสกลับชักม้าให้ออกเดินไปอีกทาง
"ไม่เป็นไร ข้าไม่เหนื่อย เจ้าไปดูแลเบเซ็ทเถอะ ส่วนทหารผู้ร่วมรบก็ปูนบำเหน็จให้ทุกคนแล้วให้พวกเขาลากลับไปพักผ่อนที่บ้านได้สามวัน"พระองค์หันไปตรัสสั่งการกับฮันจ์ก่อนจะหันไปหาเอเลน
"ส่วนเจ้า...ตามข้ามา ทหารไม่จำเป็นต้องติดตาม"
"นี่ๆ เพิ่งจะมาถึง จะไปไหนกันอีกแล้วนั่น" เสียงฮันจ์ที่ตะโกนไล่หลังมาได้ถูกเสียงฝีเท้าม้ากลบไปในที่สุด
เอเลนชักม้าขึ้นตีคู่กับองค์รีไวราเมสพลางเอ่ยถาม
"พระองค์จะทรงนำกระหม่อมไปที่ใดกัน
เดินทางกันมานานขนาดนี้กระหม่อมอยากจะอาบน้ำจะแย่อยู่แล้วนะ
ผมเหนียวไปหมดแล้วเนี่ย"
"ตามข้ามาให้ทัน ข้าจะพาเจ้าไปดูที่แห่งหนึ่ง ส่วนเรื่องอาบน้ำไม่ต้องห่วง
กลับไปแล้วข้าจะอาบให้เจ้าเอง"
ม้าของทั้งสองมุ่งหน้าออกจากตัวเมือง
ใช้เวลาอยู่สักพักก็เห็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่
เหล่าทาสต่างพากันทำงานอย่างขมักเขม้นท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ร้อนระอุ
เอเลนทอดสายตามองรูปสลักหินขนาดใหญ่ที่กำลังถูกก่อสร้างอยู่หน้าวิหารข้างหน้า
เห็นแล้วก็รู้สึกคุ้นตาเสียเหลือเกิน
องค์รีไวราเมสควบม้าศึกผ่านประตูหินทางเข้าวิหารเข้าสู่ด้านใน
เหล่าทาสที่กำลังทำงานอยู่ในนั้นต่างพากันหยุดมือและถอยหลบออกมาด้านนอกจนหมด
"เดี๋ยวนะฝ่าบาท ที่นี่คือ…."
"ข้าสั่งให้เริ่มสร้างวิหารแห่งนี้ตั้งแต่ก่อนที่เราจะเริ่มออกเดินทางกันแล้ว" พระองค์กล่าวขณะที่ลงจากหลังอาชาแล้วช่วยประคองเอเลนลงจากหลังม้าออกเดินชมภายในวิหารพร้อมกัน
"ที่นี่คือมหาวิหารอาบูซิมเบล"
เนื่องจากเพิ่งเริ่มการก่อสร้างได้ยังไม่ถึงปีโครงสร้างด้านนอกจึงยังไม่เสร็จสมบูรณ์มากนัก
แต่ในส่วนของภายในวิหารรูปสลักหินต่างๆเริ่มเป็นรูปเป็นร่างงดงามดีทีเดียว
"ข้าอยากให้เจ้าได้เห็นที่ตรงนี้"
พระองค์ทรงนำเอเลนเดินเข้าสู่ในห้องด้านในสุด
ห้องซึ่งเป็นที่สถิตของรูปสลักหินขนาดใหญ่สี่ตัวตั้งเรียงกัน
"นี่คือรูปเคารพของเทพรา ตัวข้า เทพอามุน และเทพพทาห์
ตัวแทนแห่งเทพทั้งสี่ผู้ปกครองดินแดนแห่งลุ่มน้ำไนล์"
เอเลนมองตามรูปสลักสูงใหญ่เหล่านั้นไปทีละตัวก่อนจะไปสะดุดกับใบหน้าของเทพรา
เขาจำได้ว่าก่อนหน้านี้ที่ไปเที่ยววิหารอาบูซิมเบลในคราวนั้นใบหน้าของรูปสลักหินเทพราได้ถูกกาลเวลาทำลายกัดกร่อนจนไม่เห็นซึ่งใบหน้าไปแล้ว
แต่ในคราวนี้ที่ได้ยืนอยู่เบื้องหน้ารูปสลักหินขนาดมหึมาจ้องมองใบหน้าที่แกะสลักได้สมจริงด้วยหัวใจที่้ต้นรัวแล้วก็ถึงกับพูดไม่ออกไปพักใหญ่
ในดวงตากลมโตนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายทั้งเต็มตื้นและสับสน
เมื่อเห็นท่าทีเอเลนเป็นเช่นนั้นองค์รีไวราเมสก็ทรงแย้มพระสรวลด้วยความเอ็นดู
พระหัตถ์ใหญ่เกาะเกี่ยวกอบกุมมือเรียวของเด็กหนุ่มเอาไว้มั่น
"ข้าให้พวกเขาแกะใบหน้ารูปสลักเทพราด้วยใบหน้าของเจ้า
เอเลนร่างอวตารแห่งเทพราของข้า"
พระองค์ตรัสเอ่ยขณะที่ทอดพระเนตรมองรูปสลักหินเบื้องหน้าด้วยความชื่นชม
"มีเจ้าและข้าอยู่เคียงข้างกัน
เป็นเทพผู้คอยปกปักรักษาดินแดนแห่งผืนทรายเหนือลุ่มน้ำไนล์แห่งนี้ชั่วนิจนิรันดร์"
ท่ามกลางความเงียบที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองคน
องค์ฟาโรห์แห่งอียิปต์เฝ้ารอการตอบรับจากเด็กหนุ่มด้วยพระทัยที่หวั่นไหว
เรื่องนี้พระองค์ไม่เคยบอกกับเอเลนมาก่อนในพระทัยได้แต่หวังว่าจะสร้างความประทับใจให้แก่เด็กน้อยได้บ้าง
สำหรับความเงียบที่เกิดขึ้นนี้พระองค์ก็ไม่อาจเดาใจได้เลยว่าเด็กน้อยกำลังรู้สึกอย่างไร
รับรู้ได้เพียงแต่ว่ามือเรียวที่พระองค์ทรงกอบกุมไว้นั้นกำลังสั่นน้อยๆ
พระองค์ทรงส่งเสียงกระแอมด้วยความประหม่าก่อนจะตรัสถาม
"เจ้า...รู้สึกว่า….มันเป็นเช่นไร เจ้าชอ…."
ยังตรัสถามไม่ทันจบความ
ริมฝีปากบางที่อุ่นนุ่มก็บดเบียดพระโอษฐ์อย่างแผ่วเบาปิดถ้อยคำทั้งหมดให้กลืนหายไปหมด
"พระองค์ไม่จำเป็นจะต้องทำแบบนี้เลย"
"จำเป็นสิ จำเป็นมาก เจ้าคือร่างอวตารแห่งราเทพแห่งแสงสว่างของข้า
มีเพียงเทพผู้เป็นกษัตริย์อย่างข้าเท่านั้นที่จะคู่ควรเคียงข้างเจ้าได้
เรื่องแบบนี้ต้องจารึกไว้ให้โลกได้รับรู้มิใช่หรือ"
ความรักที่พระองค์ทรงมีให้แก่เจ้าหนูคนนี้นั้นไม่ควรค่าที่โลกจะจารึกไว้อย่างนั้นหรือ
"ฝ่าบาท กระหม่อมขอประทานอนุญาตกราบทูลบางอย่างได้รึไม่พะยะค่ะ"เอเลนเอ่ยถามพร้อมกับคล้องแขนโอบรอบคอฟาโรห์หนุ่ม
พระหัตถ์ใหญ่เองก็โอบกระชับเอวคอดบางของเด็กหนุ่มไว้
"เคยมีบางคนกล่าวไว้ว่า การกระทำย่อมสำคัญกว่าคำพูด
แต่ในบางครั้งแค่การกระทำเพียงอย่างเดียวก็ไม่เพียงพอที่จะตัดสินอะไรได้
ดีไม่ดีอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ด้วยซ้ำ
เพราะฉะนั้นนอกจากการแสดงออกทางกายแล้ว การแสดงออกทางวาจาก็มีความสำคัญมากเช่นกัน
ไม่ทราบว่าในตอนนี้พระองค์จะทรงบอกกระหม่อมตรงๆได้หรือไม่พะยะค่ะ"
พระองค์มองสบกับดวงตากลมโตของเด็กหนุ่มในอ้อมกอดก่อนจะตรัสออกมาด้วยพระสุรเสียงดังฟังชัด
"ได้….ข้าจะพูด"
เอเลนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มกริ่ม
สีหน้าท่าทางตั้งอกตั้งใจฟังเต็มที่
"เอเลน ข้ารักเจ้า
ให้เทพราเป็นพยานหัวใจข้านั้นไม่เคยมีผู้ใดมาก่อนเจ้าเป็นคนแรกและเป็นเพียงผู้เดียวที่ได้ครอบครองสิ่งนี้" พระองค์กล่าวพลางคว้ามือเรียวมาทาบทับลงบนพระอุระด้านซ้ายของพระองค์
"หัวใจของข้าขอมอบให้แก่เจ้า
นับตั้งแต่นี้ไปหยดน้ำทุกหยดผืนทรายทุกเม็ดบนแผ่นดินอียิปต์จะมีเพียงข้าและเจ้าร่วมกันดูแลดินแดนแห่งนี้ไปชั่วนิจนิรันดร์" เอเลนยิ้มรับกับคำสัตย์นั้นแล้วก้มลงมอบจุมพิตลงบนพระหัตถ์ของฟาโรห์หนุ่ม
"หากพระองค์ได้ทรงเลือกแล้ว
กระหม่อมก็จะขอรับความปรารถนานี้ไว้ด้วยหัวใจของกระหม่อมเช่นกัน"
พระองค์ทรงแย้มโอษฐ์บางเบาให้กับคำสารภาพที่ช่างน่ารักเสียเหลือเกินนั้นก่อนจะตรัสต่อ
"ที่ควรพูดก็พูดไปแล้ว ต่อจากนี้ก็คงเป็นเรื่องของการกระทำ
ดังนั้นเราก็ควรจะ….."
"อ๊ะ…. เรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรรีบร้อนเกินไปนัก เดินทางกันมานานขนาดนี้
เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวไปหมด กระหม่อมคิดว่าเรารีบกลับกันดีกว่า"
เอเลนกล่าวพลางยืดตัวคลายความเมื่อยขบก่อนจะโหนตัวขึ้นนั่งบนหลังม้า
เมื่อถูกบ่ายเบี่ยงเช่นนี้พระพักตร์อันหล่อเหลาก็ขมวดมุ่นด้วยความขัดใจ
"ใครกันนะที่บอกว่าจะอาบน้ำให้น่ะ
นี่ถ้ายังไม่กลับไปอีกก็ไม่ต้องอาบด้วยกันแล้วล่ะนะ" เสียงตะโกนของเอเลนดังสะท้อนก้องไปทั่วทั้งวิหารขณะที่ควบม้ากลับออกไป
องค์รีไวราเมสจึงได้แต่เร่งควบอาชาคู่กายตามหลังไปติดๆ
เพราะถ้าขืนกลับไปถึงช้ามีหวังอดได้ลวนลามเจ้าเด็กจอมเจ้าเล่ห์นั่นพอดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น