Attack On
Titan Fan fic.: ผ่าพิภพบันทึกฟาโรห์
Pairing: (LevixEren)
Rate: NC-17
Warning: *เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง
ตัวละครมีตัวตนจริงในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน แต่เหตุการณ์และสถานที่ทั้งหมดเป็นนามสมมติที่แอบมีเค้าเรื่องจริงปะปนเล็กน้อย!!!!*
Story By: AkeRah , Trendy Blood
………………………………………………………………………………………………..
Chapter 6:
นัยน์ตาสีอร่ามปรือขึ้นเมื่อแสงของสุริยันฉายฉาบลงมากระทบใบหน้า
เอเลนขยี้ตาของตัวเองก่อนจะคลายผ้าห่มผืนหนาที่พันรอบตัวให้ลงมากองเฉพาะช่วงเอว
ใบหน้าหวานมองทัศนียภาพรอบกายแล้วต้องถอนหายใจ ตกลงว่านี่ไม่ใช่ฝันจริงๆสินะ
ย้ำกับตัวเองเป็นรอบที่ร้อยทั้งที่รู้คำตอบดีกับสิ่งที่ฉายชัดอยู่เบื้องหน้า
เอเลนถอนหายใจก่อนจะเหลือบมองขึ้นบนเตียงที่ตอนนี้ชายหนุ่มจะรู้สึกตัวตื่นแล้วเช่นกัน
“นี่คุณคงไม่ปล่อยให้ผมเดินไปไหนต่อไหนในสภาพนี้หรอกใช่ไหม?”
เอเลนลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
สองมือบางกระชับผ้าห่มห่มผืนหนาที่ให้ความอบอุ่นเขาทั้งคืน
ต้องขอบคุณไอผ้าห่มหนาผืนนี้ที่ทำให้เขารอดพ้นความหนาวเหน็บของทะเลทรายยามค่ำคืนมาได้
อย่างที่รู้แม้ตอนเช้าจะร้อนระอุขนาดไหน
พอตกกลางคืนทะเลทรายที่ร้อนระอุนั้นอุณหภูมิจะเย็นลงอย่างเฉียบพลัน
ต้องขอบคุณไอพ่อบ้าที่ชอบลากเขามาเที่ยวแถบทะเลทรายบ่อยๆจึงทำให้เขาคุ้นชินกับสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศที่เอาแน่เอานอนไม่ได้
นัยน์ตาสีหมอกเพียงแค่สบตากับเขาชั่ววูบก่อนจะก้าวลงจากเตียง
เอเลนที่มีเพียงผ้าห่มผืนใหญ่ปกคลุมจึงต้องรีบเร่งฝีเท้าตาม
เดี๋ยวสิไอหมอนี่ตกลงจะทิ้งให้เขาเป็นชีเปลือยแบบนี้เหรอไง?
ต่อให้ที่นี้ช่วงกลางวันจะร้อนขนาดไหนเขาก็ไม่หน้าด้านเดินโทงๆเป็นชีเปลือยชอบโชว์อย่างคนตรงหน้านี้ได้หรอกนะ
ทันทีที่ร่างของคนสูงน้อยกว่าหยุดชะงักคนที่รีบเร่งฝีเท้าเดินตามจึงได้ชนกับแผ่นหลังแกร่งอย่างไม่ตั้งตัว
บทจะหยุดก็หยุดเสียดื้อๆแบบนี้ หมอนี่เอาแต่ใจตัวเองชะมัด
คนปกครองบ้านเมืองแบบนี้ทำให้อียิปต์เจริญรุ่งถึงขีดสุดได้ไงกันต้องมีใครบันทึกหรือบิดเบือนประวัติศาสตร์แน่ๆ
บ่นในใจพลางเอามือกุมจมูกของตนที่เผลอก้มลงไปชนกันไหล่หนาของชายหนุ่ม
พอจะหันไปบ่นคนเอาแต่ใจพลันมีผ้าฝ้ายสีขาวถูกโยนเข้าใส่หน้าเด็กหนุ่ม
เอเลนดึงผ้าออกจากศีรษะของตนเองก่อนจะมองผ้าฝ้ายสีขาวและเหล่าเข็มขัดที่คล้ายกับของชายหนุ่มในมือ
“แค่นี้เนี่ยนะ!”
เสียงใสบ่นขึ้นพลางจ้องเขม็งเครื่องแต่งกายที่มีเพียงผ้าคลุมสะโพกในมือ
“คุณทำลายชุดผมซะไม่มีชิ้นดีจะให้ผมใส่แค่ผ้าพันเอวเดินตัวเปล่าแบบนี้เหรอไง!?”
ถ้าจะให้เจาะลึกกว่านั้นชุดที่โดนไอฟาโรห์บ้านี่ทำซะไม่เป็นชิ้นดีเป็นไนกี้คอลเลคชั่นใหม่ที่เขาอุตส่าห์อ้อนเจ้าพ่อบ้านซื้อมาด้วย
ใส่เพียงแค่สองครั้งเองแท้ๆยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจแล้วเกลียดหมอนี่ชะมัด!!
“เรื่องมากชะมัด!”
ฟาโรห์หนุ่มบ่นพลางโยนผ้าคลุมโปร่งผืนบางอีกชิ้นให้กับเด็กหนุ่ม
คิ้วมนขมวดมุ่นกับเสียงของฟาโรห์ที่ได้ยิน
ก็ว่าทำไมเช้านี้คนโมโหร้ายเอาแต่ใจถึงได้ดูหงุดหงิด
แม้จะดูหงุดหงิดตลอดเวลาเป็นปกติก็เถอะ และไม่ค่อยแขวะเขาเท่าไรนัก
“อากาศตอนกลางคืนของทะเลทรายมันเย็นมากสินะครับ”
ใบหน้ามนยกยิ้มขึ้นอย่างยียวน
“ถึงที่นอนจะนุ่มแต่พอไม่มีผ้าห่มแล้วคนร่างกายแข็งแรงอย่างท่านอากาศหนาวคงส่งผลมั่งสินะ”
นัยน์ตาสีอร่ามมองหน้าฟาโรห์เจ้าเล่ห์พลางยิ้มหยัน สมน้ำหน้าอยากแกล้งเขาดีนัก
ใครจะไอคิดว่าเพียงแค่ไม่ได้ห่มผ้าคืนเดียวจะทำให้องค์ฟาโรห์ผู้มีร่างกายกำยำแบบนี้เกิดอาการเจ็บคอได้
ระหว่างที่กระหยิ่มยิ้มย่องในใจเอเลนรู้สึกถึงเงาที่ทาบทับมายังตน
พอหันมองใบหน้ามนหน้าเจื่อนทันทีเพราะใบหน้าดุดันขององค์ฟาโรห์อยู่ใกล้เขาเพียงแค่คืบ
“โฮ่....
อย่างน้อยข้าก็นอนบนเตียงนุ่ม
การที่เจ้าต้องนอนขดแบบนั้นทั้งคืนบนพื้นแข็งคงทำให้ปวดเมื่อไม่น้อยสินะ”
ฟาโรห์หนุ่มยกยิ้มอย่างผู้มีชัยเมื่อเห็นใบหน้าซีดเผือดของเด็กหนุ่ม
ก่อนใบหน้านั้นจะขยับเข้าใกล้กว่าที่ใบหูของร่างบางที่ยืนแน่นิ่ง
“ถ้าเจ้าอยากปวดเมื่อยมากขึ้นโดยเฉพาะช่วงสะโพกข้าจะช่วยเจ้าดีไหมอวตารเทพของข้า?”
ลิ้นร้อนเลียหยอกเย้ากับใบหูของเด็กหนุ่มที่ยืนนิ่งไม่ไหวติ่ง
พอฟันคมขบเข้าที่ใบหูเอเลนจึงได้แต่ตะครุบหูของตนเองพลางทรุดตัวลงไปนั่งกองกับพื้นจ้องมองใบหน้าคมคายที่ยิ้มเยาะอย่างผู้มีชัยด้วยใบหน้าที่ขึ้นสีสุกปลั่ง
แต่นัยน์ตาสีอร่ามของเด็กหนุ่มก็ยังมองค้อนอย่างหาเรื่อง
ไอฟาโรห์บ้ากามเอ๊ยขอให้เป็นหวัดตายไปเลย!!!
หลังจากพยายามใส่ชุดอียิปต์โบราณอยู่นานในที่สุดเขาก็รู้วิธีพันผ้าที่เอวให้ไม่หลุดได้โดยง่ายเสียที
ครั้งที่แล้วที่เขามาเวลาอาบน้ำและแต่งตัวมักจะมีเหล่าคนมาคอยปรนนิบัติให้เขาโดยที่เขาไม่เต็มใจเท่าไรนัก
แม้การแต่งตัวเองแบบนี้จะยากอยู่สักหน่อยแต่มันก็สบายใจกว่าการที่ให้ใครต่อใครมามองร่างกายของเขายังกับของสาธารณะ
ผ้าคลุมบางถูกตวัดขึ้นคลุมร่างกายท่อนบนก่อนจะคาดทับด้วยสร้อยคอเส้นหนา
แม้รู้ดีว่าการแต่งกายเช่นนี้จะไม่แปลกในยุคโบราณแต่กับเขาที่มาจากอนาคตมันไม่คุ้นชินเอาเสียเลยกับการที่ไม่มีเสื้อใส่ทับบังท่อนบน
ถึงเขาจะไม่ใช่ผู้หญิงก็เถอะ พูดถึงผู้หญิงแล้ว........
ริมฝีปากบางเม้มหากันแน่นด้วยความเจ็บใจก่อนมือจะพยายามขยี้เช็ดปากไปมาราวกับมีสิ่งสกปรกติดอยู่
รอบแรกก็เห็นของลับของหมอนั่น
พอรอบนี้ทำไมต้องมาโดนคนมักมากแบบนั้นขโมยจูบแรกไปด้วยน่าโมโหชะมัด!!! แล้วทำไมเด็กหนุ่มวัยสดใสอย่างเราจะต้องมาเจออะไรแปลกๆแบบนี้เนี่ย
จะเสียจูบแรรกหรือเจออะไรแบบนี้ทั้งทีขอเป็นพี่สาวแสนสวยหน่อยไม่ได้รึไง
ตะโกนบ่นในใจด้วยความขุ่นเคืองพลางขยี้ริมฝีปากของตัวเองแรงขึ้นเรื่อยๆ
“ท่านอวตารองค์เทพทำแบบนั้นเลือดจะออกเอานะขอรับ”
เสียงตะโกนด้วยความเป็นห่วงทำให้เอเลนที่กำลังกร่นด่าฟาโรห์อยู่ในใจหันไปมอง
เด็กหนุ่มอายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเขาในชุดแต่งการอียิปต์
นัยน์ตาสีเข้มเปลือกไม้มองเขาด้วยความเป็นห่วง
“นายคือ?”
เด็กหนุ่มแปลกหน้ามองเอเลนชั่วครู่ก่อนจะนึกออกว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอกับคนตรงหน้า
เด็กหนุ่มผิวสีน้ำผึ้ง
ผมดำดุจรัตติกาลและใบหน้าที่เป็นมิตรนั้นยิ้มให้เขาก่อนจะก้มศีรษะทำความเคารพ
“ขออภัยข้าแนะนำตัวช้าไป
ข้าชื่อเบเซท บุตรชายคนโตขององค์ฟาโรห์รีไว ราเมสที่สอง”
ลูกของไอฟาโรห์บ้ากามนั่นสินะ
ก็ว่าว่าหน้าตาคุ้นๆ เอเลนมองเด็กหนุ่มอีกคนพลางยิ้มเหยเก
“เมื่องานบวงสรวงข้าไม่ได้มีโอกาสแนะนำตัว
พอสิ้นงานท่านก็ไม่อยู่เสียแล้วไม่คิดเลยว่าจะมีโอกาสได้พบกับท่านร่างอวตารเช่นนี้”
เบเซทส่งยิ้มเป็นมิตรให้กับเอเลน
แววตาของหนุ่มน้อยฉายแววความตื่นเต้นและประทับใจในตัวเขาชัดเจน
“ที่จริงข้าก็ไม่ได้อยากกลับมานักหรอกแต่.........คง.....มีเหตุจำเป็น...ล่ะมั่ง”
มือบางกุมกุญแจทองคำที่ตอนนี้ทำเป็นสร้อยคล้องคอสวมใส่
ทั้งที่พยายามหาที่พอจะเสียบเจ้ากุญแจบ้านี่ได้แต่ที่นี้กลับไม่มีประตูสักบาน
เห็นทีเขาอาจต้องแอบลงคุกใต้ดินเผื่อจะมีไอรูกุญแจบ้าๆนี้ให้เขาลองไขดูบ้าง
“ไม่ว่าจะด้วยเหตุอันใดแต่ข้ายินดีที่ได้พูดคุยกับท่านเช่นนี้”
เบเซทยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตรจนเอเลนที่ตั้งแง่เพราะเป็นลูกของคนเอาแต่ใจพลอยรู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง
“ท่านร่างอวตารคงหิวแล้ว
ท่านพ่อบอกให้ข้าช่วยรับรองท่านจนกว่าท่านพ่อจะว่าราชการเช้านี้เสร็จ”
เบเซทกวักมือเรียกให้เหล่านางกำนัลและข้ารับใช้ที่ยกสำรับอาหารเข้ามาในห้อง
พานทองและเครื่องสำฤทธ์ที่พรั่งพรูไปด้วยอาหารและเครื่องดื่มค่อยๆทยอยนำมาวางเรียงบนโต๊ะกลางที่อยู่ภายในห้อง
เมื่อสำรับทุกอย่างถูกวางเรียบร้อยเหล่าบริวารจึงทยอยออกจากห้องไป
“ไม่รู้ว่าท่านร่างอวตารจะชอบหรือไม่
แต่ฝีมือการปรุงอาหารของธีบส์ข้ามั่นใจว่าไม่เป็นรองที่ใด”
เบเซทกล่าวพลางผายมือไปยังม้านั่งยาวที่อยู่อีกฝากของโต๊ะกลางเพื่อเชิญให้เอเลนนั่งลง
เด็กหนุ่มมองอาหารที่ถูกขนมาอย่างระรานตา
ต้องยอมรับว่าหมอนั่นต้อนรับเรื่องอาหารดีอยู่ไม่น้อยครั้งที่แล้วที่เขาลุ่มๆดอนๆมาจำได้เพียงว่าตลอดระยะเวลาที่อยู่อย่างไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงดีนั่นเขามีแค่ขนมปังหนึ่งก้อนกับน้ำเปล่ารองท้อง
ก่อนจะถูกจับโยนให้ไปแต่งตัวบ้าๆบอ แถมยังเกือบจะถูกเผาทั้งเป็นอีก
นัยน์ตาสีอร่ามวูบไหว
ครั้งที่แล้วเขาเกือบถูกย่างสด คงไม่ใช่ว่าอาหารพวกนี้จะมีพิษอีกหรอกนะ?
ไอเจ้าฟาโรห์บ้านั่นมันจะตั้งใจควักนัยน์ตาเขาจริงๆใช่ไหม!?
เอเลนที่นั่งลงฝั่งตรงข้ามเขม่นมองอาหารแต่ละอย่างที่ถูดจัดมาอย่างสวยหรูด้วยความขุ่นเคืองใจจนเบเซทสังเกตเห็น
“ท่านร่างอวตารไม่พอพระทัยหรือขอรับ?”
เด็กหนุ่มถามด้วยใบหน้าหวั่นใจ
เอเลนปลายตามองอาหารพวกนี้ก่อนจะเงยขึ้นสบมองกับนัยน์ตาสีเปลือกไม้
จนคนถูกมองถึงกับสะดุ้งว่าเขาทำอะไรที่ไม่สมคสรรึเปล่า?
“ทำไมนายไม่มาทานด้วยหันล่ะ?”
นัยน์ตาสีอร่ามเขม่นมองอย่างไม่ไว้ใจ
เบเซทมองท่าทางของอีกฝ่ายที่ดูระแวดระวังจนต้องหลุดขำน้อยๆ
“ขออภัยด้วยท่านร่างอวตารเทพ
ถ้าท่านไม่รังเกียจข้ายินดีที่จะร่วมโต๊ะกับท่าน
และเพื่อความสบายใจว่าเราไม่บังอาจกล้าที่จะใส่ยาพิษให้ท่าแน่นอน”
เบเซทที่ยืนอยู่จึงนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเอเลนก่อนจะหยิบแป้งนานที่อยู่ในถาดทากับน้ำผึ้งแล้วกัดคำโตเข้าปากก่อนจะเคี้ยวแล้วกลืนลงไป
ซึ่งทุกอิริยาบถนั้นเอเลนคอยจ้องตรวจสอบทุกขั้นตอน
“อ๊ะ!!”
เบเซทเบิกตาพลางอุทานอย่างตกใจ
ทำให้อีกคนที่ร้อนรนลุกขึ้นไปเขย่าร่างเด็กหนุ่มด้วยความเป็นห่วง
“เฮ้ยอย่าบอกนะว่ามียาพิษจริงๆน่ะ
คายออกมาเร็ว!!” เอเลนจับร่างเด็กหนุ่มอีกคนเขย่าด้วยความตกใจ
ตกลงว่าหมอนั่นคิดจะวางยาเขาจริงๆรึเนี่ย!!
แล้วใบหน้ามนต้องแปลกใจเมื่อเบเซทวางมือบนไหล่ของเขาก่อนจะยิ้มขำให้
“ข้าว่าน้ำผึ้งวันีน้น่าจะต้องส่งมาจากทางตอนเหนือแน่ๆ
เพราะหอมหวานผิดจากทุกวันนะขอรับ” เบเซทยิ้มหัวเราะขำกับท่าทางที่เหมือนจะมีน้ำตาคลอของอีกฝ่าย
ดูเหมือนเขาจะแกล้งร่างอวตารมากไป
แต่แบบนี้ก็รู้สึกได้ว่าร่างอวตารเทพนั้นช่างเป็นเด็กหนุ่มที่มีจิตใจดีเช่นเดียวกับหน้าตาที่งดงามนั้นจริงๆ
“โธ่เอ๊ย!
นายเล่นบ้าอะไรของนายทำเอาฉันใจหายหมด” เอเลนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะยกน้ำที่รินในถ้วยขึ้นดื่มเพื่อดับกระหาย
พรู๊ด!!
“แค่ก แค่ก นี่มันเหล้า!!” เอเลนดมเครื่องดื่มในแก้วทองพลันขมวดคิ้วมุ่น
นี่มันไวน์องุ่นชัดๆ คิดยังไงให้เด็กแบบเขาดื่มของพวกนี้เนี่ย!!
“ไม่ชอบเหล้าองุ่นอย่างนั้นเหรอขอรับ ถ้าเป็นเหล้าที่มาจากผลไม้อื่นจะดีกว่างั้นเหรอขอรับท่านร่างอวตาร?”
“ไม่ใช่ๆ นายก็ด้วยยังไม่บรรลุนิติภาวะ ดื่มได้ไง
ไอฟาโรห์บ้านั้นคิดอะไรกันให้เด็กดื่มเหล้าแบบนี้”
ว่าพลางคว้าแก้มอีกใบที่อยู่ข้างเบเซทขึ้นมาดมกลิ่นก็พบว่าเป็นเหล้าองุ่นเช่นเดียวกับของเขา
“ข้าสิบห้าแล้วถือว่าบรรลุนิติภาวะแล้วขอรับท่านร่างอวตาร
ท่านพ่อแม้จะเข้มงวดไปบ้างแต่เป็นบุรุษที่องอาจ ใจดีและน่าเคารพมากเลยนะขอรับ”
เบเซทกล่าวชื่นชมบิดาของตนด้วยความภาคภูมิ
“ฉันไม่เห็นจะเป็นงั้นนะ ดูยังไงก็เป็นตาแก่ขี้โมโหเอาแต่ใจ
แถมมักมากอีกต่างหาก”
“ไม่หรอกขอรับ
งานบวงสรวงตอนนั้นทันทีที่ท่านร่างอวตารหายไปท่านพ่อให้คนออกตามหาแทบพลิกแผ่นดิน”
ให้คนตามหาเขาเพราะหวังจะใช้งานน่ะสิไม่ว่า
ถ้าเจอเขาเป็นศพนอนแห้งตายหมอนั่นคงควักลูกตาเขาไว้ใช้งานไม่ผิดแน่
เอเลนค่อนคอดในใจก่อนจะจัดการหยิบน่องไก่ที่วางอยู่ตรงหน้าเข้าปาก
“และเพราะเหตุเพลิงไหม้ในงานบวงสรวง
เหล่านักบวชต่างถูกสอบปากคำกันยกใหญ่ถึงสาเหตุและแผนการที่เกิดขึ้น
ดูเหมือนท่านพ่อจะโมโหมากและเป็นห่วงสวัสดิภาพท่านร่างอวตารจริงๆนะขอรับ”
เบเซทมองคนที่นั่งกินอาหารอย่างไม่ใคร่สนใจฟังเขาเท่าไรนักก่อนจะถอนหายใจ
“ท่านร่างอวตารไม่ชอบท่านพ่องั้นเหรอขอรับ?”
เอเลนที่มีอาหารอยู่เต็มปากพยักหน้ารับอย่างไม่ปิดบัง
ถ้าจะเรียกให้ถูกก็คือเกลียดล่ะนะ
“ข้ามั่นใจว่าถ้าท่านร่างอวตารเปิดใจมองสิ่งที่ท่านพ่อกระทำท่านต้องเข้าใจแน่ๆ
เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่สิ่งที่องค์ฟาโรห์กระทำล้วนมีเหตุผลและเพื่อบ้านเมืองทั้งสิ้น”
นัยน์ตาสีเปลือกไม้ที่มุ่งมั่นและภูมิใจในตัวบิดาของเบเซททำให้เอเลนหวนนึกถึงตนเอง
ที่แม้จะชอบมีปากเสียงทะเลาะกับเจ้าพ่อบ้าเป็นครั้งคราวแต่เขาก็พูดได้เต็มปากว่าภูมิใจในตัวของผู้เป็นบิดาขนาดไหน
และการเคารพนับถือแบบนี้ออกมาจากใจมิใช่เป็นการสร้างภาพหรือเพียงเพราะฐานะเท่านั้น
สิ่งเหล่านี้เขาสัมผัสมันได้ผ่านแววตาที่มุ่งมั่นและชื่นชมของเบเซท
สายตานั้นทำให้เขาอยากลองเชื่อสิ่งที่เด็กหนุ่มตรงหน้าพูดดู
บางทีเพราะเจอแต่สถานการณ์เลวร้ายกับไอฟาโรห์นั่นเลยทำให้เขาไม่ชอบขี้หน้า
แต่การที่คนคนหนึ่งเป็นที่เคารพและน่านับถือต่อคนมากมายได้ขนาดนี้
บางทีคงมีอะไรมากกว่าการเป็นตาแก่มักมากขี้โมโหอย่างที่เบเซทกล่าวก็ได้
“เอเลน”
เบเซทมองอีกคนพลางเอียงคออย่างสงสัย
“ฉันบอกว่าฉันชื่อเอเลน นายเลิกเรียกว่าท่านหรือร่างอวตารเทพได้แล้ว
ฉันไม่ชิน”
แค่การมีคนมาทำความเคารพและนอบน้อมแบบนี้กับเด็กหนุ่มกะโปโลแบบเขาบอกตามตรงเขารู้สึกจั๊กจี้ชะมัด
“งั้นท่าน เออ... เอเลน”
เบเซทยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับเด็กหนุ่ม “เอเลนเรียกข้าว่าเบเซทนะขอรับ”
“ได้สิเบเซท นายเป็นเพื่อนคนแรกของฉันตั้งแต่มาที่บ้านี้เลย”
เอเลนยกกำปั้นส่งให้อีกคน เบเซทมองมือที่ยกมาอย่างงุนงง จนเด็กหนุ่มถอนหายใจ
ลืมไปว่านี่มันยุคโบราณ....
“นายต้องยกมือขึ้นมาแบบฉันอย่างนี้นะเบเซท”
เบเซทยกกำปั้นขึ้นมาด้วยความงุนงง
เอเลนจึงจัดการเอากำปั้นของเขาและเบเซทชนกันก่อนยกขึ้นทุบลงบนกำปั้นและเปลี่ยนตำแหน่งอยู่ใต้กำปั้นเบเซทอีกที
“อันีน้เขาเรียกว่าพิธีการเป็นเพื่อนกันในโลกของฉันล่ะ”
ใบหน้าหวานฉีกยิ้มหว้างให้กับเด็กหนุ่ม
“ข้าไม่นึกฝันเลยว่าจะได้มีเพื่อนเป็นถึงเทพอวตารแห่งรา
เป็นเกียรติยิ่งนะขอรับเอเลน”
“ฉันเองก็ไม่คิดว่าจะได้มีเพื่อนเป็นคนใหญ่คนโตแบบนายเช่นกัน”
ใครจะไปคิดว่าหยุดฤดูร้อนคราวนี้ของเขาจะได้ย้อนเวลามาเก็บเกี่ยวประสบการณ์สุดแปลกยิ่งกว่าไป
เวิร์คแอนด์ฮอลิเดย์ ตามโครงการแลกเปลี่ยนซะอีก
อย่างน้อยตอนนี้เขาก็มีมิตรหนึ่งคนที่น่าจะพอช่วยเหลือเขายามคับขันได้
อย่างน้อยเบเซทก็ดูน่าไว้วางใจและเชื่อถือมากกว่าตาแก่โรคจิตน่ากลัวแบบนั้นซะอีก
สมกับชื่อเบเซทที่แปลว่าความหวังจริงๆ
นายเป็นความหวังในการเอาตัวรอดเรื่องบ้าๆแบบนี้ของฉันเลยนะ
เอเลนมองเด็กหนุ่มที่ร่วมรับประทานอาหารด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง
มือบางคว้าแก้วเครื่องดื่มอีกใบที่หวังว่าจะไม่ใช่เหล้าขึ้นมาดม
กลิ่นหอมหวานของน้ำผึ้งที่ผสมกับน้ำอุ่นทำให้ร่างโปร่งรู้สึกผ่อนคลาย
จะว่าไปอียิปต์ก็ขึ้นชื่อเรื่องน้ำผึ้งแล้วก็การใช้น้ำผึ้งอยู่แล้วนี่นะ
เอเลนจิบน้ำผึ้งในถ้วยก่อนจะมองหน้าเบเซทที่ยังคงมองกำปั้นของตัวเองแล้วลองทำสิ่งที่เขาเรียกว่าพิธีการเป็นเพื่อนอยู่
“เบเซทฉันฝากนี้ไปให้พ่อนายหน่อยสิ”
เอเลนหยิบแก้วสีทองอีกใบรินน้ำผึ้งที่ผสมน้ำอุ่นลงในแก้วก่อนจะหยิบผลเลมอนที่จัดเรียงอยู่ในสำรับผลไม้แล้วใช้มีดเล็กนั้นผ่าผลเลมอนออกแล้วบีบน้ำจากผลลงไปในแก้ว
เห็นว่าอียิปต์ขึ้นชื่อเรื่องน้ำผึ้งหรอกนะแล้วในสำรับก็มีผลเลมอนพอดี
คิดซะว่าตอบแทนเรื่องเบเซทก็แล้วกัน
ไม่คิดว่าไอฟาโรห์นั่นจะมีลูกชายที่เป็นคนดีแบบนี้
บางทีแม่ของหมอนั่นคงเป็นผู้หญิงที่ดีและอ่อนโยนล่ะมั่ง
เพราะเบเซทบอกว่าใกล้เวลาที่จะเสร็จราชการช่วงเช้าแล้วเอเลนจึงขอตัวหนีออกมายังด้านนอกวัง
ทั้งเรื่องเมื่อคืนและเมื่อเช้าเขายังเจ็บใจไม่หายตอนนี้ก็ไม่คิดอยากเจอหน้าไม่รับแขกและขอบตาดำๆของฟาโรห์นั่นเท่าไร
เอเลนมองบรรดาเหล่าทหารที่อยู่รอบบริเวณรอบ
ตลอดระยะเวลาที่เขาก้าวขาออกจากห้องหาโรห์เหล่าทหารและคนอื่นๆล้วนหยุดทำความเคารพเขาทั้งสิ้น
คงเป็นเพราะพิธีบวงสรวงก่อนหน้านี้เลยทำให้เขาเป็นที่รู้จักทั่วทั้งธีบส์แล้วก็ว่าได้
มือบางกุมกุญแจที่คล้องคอไว้อีกครั้ง
เอายังไงดีตอนนี้เขาควรจะรีบหาประตูสักบานที่พอไขกุญแจได้แล้วกลับสักที
แต่พอเข้าไปคุยกับใครทุกคนล้วนแต่ก้มหน้าไม่ยอมคุยกับเขาทั้งนั้น
ไม่รู้ว่าจะกลัวอะไรเขานักหนาทั้งที่ก็เป็นแค่เด็กหนุ่มธรรมดา
จะที่แปลกก็นัยน์ตาสีทองที่อยู่ดีๆก็ปรากฏขึ้นมานี่แหละ
เอเลนถอนหายใจอีกครั้งซึ่งเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่อาจนับ
เอาไงดี?ตกลงนี่เขาต้องทำเควสอะไรก่อนรึเปล่าถึงจะกลับโลกของตัวเองได้?
หรือต้องตามหาดาบผู้กล้าพิชิตมังกร? แต่นี่ไม่ใช่โลกแฟนตาซีที่มีอัศวินแล้วปีศาจ
จะไปหามังกรจากไหน? ที่เห็นก็มีแค่อูฐ ตัวลามะ แล้วก็ม้าเท่านั้น
ถ้าเปรียบแต่ละตัวไอฟาโรห์นั่นต้องเป็นราชาปีศาจจอมเผด็จการที่เขาต้องมาปราบแหงๆ
แล้วนี่ถ้าจะกลับโลกเดิมอย่าบอกนะว่าเขาจะต้องปราบไอฟาโรห์เตี้ยตันกล้ามมัดๆแบบนั้น
แค่คิดก็หมดหนทางแล้วเขานี่แหละที่จะกลายเป็นผุยผงซะเอง....
ร่างโปร่งเดินมาจนถึงสวนที่คาดว่าน่าจะเป็นสวนติดกับเขตของวัง
ธารน้ำที่ไหลล้อมรอบเขตราชฐานทำให้ความร้อนระอุของทะเลทรายผ่อนคลายขึ้นบาง
ร่างบางจึงนั่งลงเอาเท้าจุ่มน้ำเพื่อผ่อนคลาย ก่อนจะค่อยๆหลับตาลงเพื่อนตั้งสมาธิหวังว่าจะคิดอะไรออกเสียบ้าง
สัมผัสเย็นชื้นของบางสิ่งบนแก้มเนียนทำให้เอเลนลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง
ก่อนจะเห็นเงาดำของใครบางคนคร่อมเขาไว้
ด้วยความตกใจเด็กหนุ่มจึงผลักร่างนั้นเต็มแรง
ตูม!!
เสียงน้ำแตกตัวสาดกระเด็นกับร่างของใครที่ร่วงลงไป พอเอเลนพยายามเพ่งดูคนที่ตกน้ำไปนั่นก็พยายามตะเกียดตะกายว่ายน้ำมาเกาะยังขอบพื้นหินที่เขานั่งอยู่
“จ..เจ้านี่ จะฆ่ากันรึไง!!”
ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลตัดรองทรงใบหน้ายาวและท่าทางกวนประสาทตะโกนใส่เขาอย่างตกใจ
“ใครใช้ให้นายมาทำอะไรแปลกๆตอนคนเขาหลับกัน!?” ว่าพลางส่งมือช่วยดึงอีกคนขึ้นจากน้ำ
“ข้าเห็นเจ้าอยู่ๆก็หลับไปนึกว่าเป็นลมดี
อุตส่าห์ทำดีไม่ได้ดีให้ตายเถอะ!”
สบถอย่างหัวเสียก่อนจะยกมือขึ้นมาเกาผมยุ่งๆที่เปียกน้ำของตนให้ยุ่งกว่าเดิม
เอเลนมองผ้าชุบน้ำที่หล่นอยู่ข้างตัว
หมอนี่คงเอามาประคบบนหน้าเขาเพราะคิดว่าเป็นลมแดดสินะ ใครมันจะไปอ่อนแอแบบนั้นกัน...
แต่เขาผิดเองที่เข้าใจหมอนี่ผิดล่ะนะ
“ขอโทษฉันนึกว่านายจะทำอะไรแปลกๆน่ะ”
เอเลนยื่นผ้าสีขาวที่ชุ่มน้ำส่งคืนชายแปลกหน้า
“ข้านึกว่าร่างอวตารเทพจะหยิ่งยะโสเสียอีก
แต่ดูเจ้าก็เป็นคนดีนี่” ชายหนุ่มรับผ้ามาก่อนจะจัดการเช็ดน้ำบนหน้าเขาแทน
“เลิกเรียกว่าร่างอวตารเถอะฉันไม่ชิน”
“แล้วจะให้ข้าเรียกเจ้าว่าอย่างไร?”
“เอเลน”
ชายหนุ่มยิ้มกริ่มอย่างถูกใจ
“ข้าแจนเป็นคนสวนคนใหม่เพิ่งเข้ามาที่นี้
ถ้ามีอะไรให้ข้ารับใช้บอกได้เลยนะเอเลน”
นัยน์ตาสีอร่ามมองอีกคนอย่างแปลกใจ
หมอนี่ถ้าเปรียบกับคนอื่นๆในวังแล้วช่างน่าประหลาด
ทั้งท่าทางที่ดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจเคารพเขาที่เป็นร่างอวตารมากนัก
อีกอย่างบอกตามตรงหมอนี่ไม่เหมือนคนสวนสักนิด
แต่เรื่องแปลกๆก็มีมาตลอดนี่นะจะมีอีกสักเรื่องสองเรื่องคงไม่เป็นไรล่ะมั่ง...
“ท่านร่างอวตารอยู่ที่นี้เอง
องค์ฟาโรห์มีรับสั่งให้เข้าพบขอรับ”
นายทหารประจำกายองค์ฟาโรห์เบลทรูธวิ่งเข้ามาหาเด็กหนุ่มก่อนจะคุกเข่าแจ้งเหตุให้ทราบ
“ถ้าฉันไม่ไปหมอนั่นก็ต้องให้พวกนายลากตัวไปอยู่ดีสินะ”
ทั้งที่อุตส่าห์จะหลบหน้าแล้วเชียว ไอฟาโรห์บ้านั้นจะตามติดเขาทุกฝีเก้าเลยรึไงถ้าจะทำแบบนั้นล่ามเขาไว้เลยดีไหม?
แค่คิดประชดเท่านั้นหวังว่าหมอนั่นคงไม่ทำจริง
เอเลนเสียวหลังวูบกับความคิดของตัวเอง
ถ้าเกิดฟาโรห์นั่นคิดล่ามเขาขึ้นมาจริงๆคงไม่ใช่เรื่องสนุกสักเท่าไร
เด็กหนุ่มยันตัวลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินนำหน้าทหารองครักษ์เบลทรูธไป
เบลทรูธมองชายแปลกหน้าที่เปียกเหมือนลูกหมาตกน้ำอย่างสงสัย
“เจ้าเป็นใครข้าไม่คุ้นหน้าเลย”
แจนคุกเข้าทำความเคารพองครักษ์คนสนิทขององค์ฟาโรห์ก่อนกล่าวรายงาน
“ขออภัยข้าเป็นคนสวนที่เพิ่งเข้ามาใหม่เมื่อวาน”
“ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี้แทนที่จะเป็นสวนส่วนกลางในราชฐานไม่ใช่ที่ส่วนพระองค์เยี่ยงนี้”
สำหรับเอเลนที่ไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้การที่อยู่ๆจะหลงเข้ามาในเขตราชฐานส่วนพระองค์ไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่สำหรับชายหนุ่มที่อ้างว่าตนเป็นคนสวนนั้นช่างน่าแคลงใจนัก
“ขออภัยอีกครั้ง
ข้าเห็นท่านร่างอวตารเดินมาแล้วล้มลงนอนข้าเข้าใจว่าท่านร่างอวตารอาจมีอาการไม่สู้ดีนักจึงถือวิสาสะเข้ามาโดยพลการ”
ว่าพลางยื่นผ้าชุบน้ำเพื่อเป็นหลักฐานยืนยัน
“ท่านทหารข้าจำทางกลับไม่ได้ช่วยมานำทางข้าด้วย”
เอเลนที่เดินเข้าไปส่วนในชะงักฝีเท้าก่อนจะหันหลังมาตะโกนเรียกคนมาตามเขาให้ช่วยนำทาง
เบลทรูธมองพิจารณาชายแปลกหน้าก่อนจะเลิกใส่ใจแล้วตามร่างอวตารที่เดินนำหน้าไปอย่างไม่รู้ทิศทาง
เมื่อทั้งสองจากไปแจนชำเลืองมองรอบๆจนแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดแล้วก่อนจะเดินกลับไปยังสวนเขตราชฐานส่วนกลาง
มาร์โกที่จัดการตกแต่งสวนอยู่นั้นเมื่อเห็นผู้เป็นนายกลับมาจึ้งรีบเข้าไปหาเพื่อกระซิบถามไถ่
ให้ได้ยินเพียงสองคน
“เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ไม่คิดว่าจะเจอง่ายแบบนี้ บางทีคงเป็นโชคชะตา”
ทำใจไว้แล้วว่ากว่าจะได้เจอเจ้าของนัยน์ตาสีทองอร่ามเขาอาจต้องเป็นคนสวนไปสักสองถึงสามวัน
ไม่คิดว่าเพียงลอบเข้ามาช่วงเช้าแล้วช่วงบ่ายจะได้เจอกับเป้าหมายเร็วขนาดนี้
“จะว่าก็ว่าเถอะ ท่านทำตัวสมเป็นคนสวนแน่นะ
ตอนนี้ฐานะของเราคือคนสวนนะขอรับแล้วเจ้าชายปากร้ายอย่างท่านจะไม่เผลอทำกิริยาไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเหรอ?”
อดห่วงคนที่ใช้ชีวิตในฐานะเจ้าชายมาตลอดไม่ได้
อยุ่ๆก็ลอบมาเป็นคนสวนในแดนศัตรูแบบนี้บอกตามตรงทำเอาเขารู้สึกหัวจะหลุดจากบ่าได้ทุกเมื่อ
“ข้าทำได้น่า
อย่างน้อยองครักษ์คนสนิทของฟาโรห์เตี้ยนั่นก็ยังจับพิรุธไม่ได้”
“นี่ท่านเผลอเจอองครักษ์ส่วนพระองค์ด้วยงั้นเหรอ
เห็นทีเราคงต้องรีบสืบแล้วกลับกระโจมก่อนเรื่องจะแตกนะขอรับ”
มาร์โกสีหน้าซีดเผือกทันที
“จะแตกก็เพราะท่าทางของเจ้านั้นแหละ ยังไงการลอบเข้ามาครั้งนี้เราคงจะได้อะไรมากกว่าที่คาดล่ะนะมาร์โค”
เจ้าชายหนุ่มในสภาพคนสวนจำแลงยิ้มกริ่ม
ตอนที่เห็นภาพวาดก็นับว่าน่าดึงดูดมากมาย
แต่พอได้เจอตัวจริงเรียกว่าภาพวาดที่ทำให้เขาหลงใหลนั้นเทียบไม่ติด
ดูเหมือนว่าธีบส์จะเป็นสถานที่น่าสนใจกว่าที่เขาคาดไว้นัก ถ้าได้มาครอบครองทั้งความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักร
ทรัพยากร และแรงงานนั้นนับว่าน่าสนใจไม่เลว
แต่ตอนนี้ไนล์มีอัญมณีน้ำงามที่น่าหลงใหลและน่าช่วงชิงยิ่งนัก
TBC.
……………………………………………………………………………………………………
Talk: ตัวละครโผล่มามากมายแต่ยังไม่เห็นหนทางรักระหว่างเราเลยค่ะขุ่นพี่ Akerah
แน่ใจนะว่าจั่วหัวที่ Levi x Eren จริงๆ
ยังหาทางลงเอยลำบากมากค่ะ สงสัยต้องหาอีเวนท์สร้างสะพาน หาทูตเชื่อมไมตรี
หาซัมติงให้ได้ใจเต้นล่ะมั่งคะเนี่ย >/////<